โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)ผมฟุบหัวลงกับโต๊ะหลังจากที่อาจารย์เดินออกจากห้องไป จบสักทีคลาสวันนี้ โชคดีที่มีเรียนแค่ตอนเช้า จะได้กลับไปนอนต่ออีกสักหน่อย
“มึงๆ” ไอ้เตสะกิดผม
“อะไร”
“ไปบ้านกูไหมวันนี้”
“ไปทำไมวะ” ผมยกหัวขึ้นจากโต๊ะแล้วหันไปมองไอ้เตด้วยสายตางงๆ
“ก็... กูอยู่คนเดียววันนี้ มันน่าเบื่ออะ”
“อ่อ เออๆ ไปก็ไป” ผมตอบรับไปแบบง่ายๆ เพราะเอาจริงๆ ถึงให้ผมกลับบ้านตัวเอง ก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่ดี แวะไปบ้านไอ้เตมันก่อนแล้วกัน อย่างน้อยก็แก้เบื่อไปได้หลายชั่วโมง
“แล้วแต่มึงนะ มึงจะไม่ไปก็ได้ กูแค่ลองชวนดูเฉยๆ อะ เผื่ออยากไป แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร” ไอ้เตพูดต่อ
อะไรของมันวะ เป็นห่าอะไร เมื่อกี๊ยังชวนไปบ้านอยู่เลย พอตอบตกลง ดันมาบอกว่าไม่ไปก็ได้ อะไรของมัน งงนะเนี่ย!
“กูไปได้ ก็ว่างอยู่” ผมตอบย้ำอีกครั้งแล้วเก็บของใส่กระเป๋าเป้ใบโปรด
“เออ ชวนพี่อาโปกับไอ้ศิลาไปด้วยดีกว่า จะได้ให้มันซ้อมบทให้ดูสักหน่อย” ไอ้เตพูดขึ้นหลังจากนึกขึ้นมาได้
“ก็ดีนะ กูอยากดูสองคนนั้นตีความบทด้วย อยากรู้ว่าจะตรงกับตอนที่กูเขียนไหม เผื่อจะได้แนะนำเพิ่มเติมได้” ผมพูดเสริมในฐานะผู้กำกับและคนเขียนบท ก็อยากให้นักแสดงทำออกมาให้ตรงกับตัวละครที่เราเขียนให้ได้ดีที่สุดอะเนอะ
“เค งั้นกูไลน์ไปชวนแป๊บบบ” ไอ้เตพูดจบก็รีบคว้าโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาส่งข้อความหาพี่อาโปกับน้องศิลาทันที
หลังจากไอ้เตส่งไลน์หาพี่อาโปกับน้องศิลาเสร็จแล้ว ผมกับไอ้เตก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องเรียน เราสองคนเดินฝ่าผู้คนจำนวนมากที่เดินขวักไขว่อยู่ตามทางเดินของตึก เพราะเป็นเวลาเลิกคลาสของทุกวิชาพอดี ผมกับไอ้เตลงไปจนถึงใต้อาคารเรียน แล้วจู่ๆ ก็มีมือปริศนาจากไหนไม่รู้มาเกาะไหล่ของไอ้เต พร้อมด้วยเสียงแฮ่ดังลั่น คงหวังจะให้ไอ้เตมันตกใจ
อ่อ น้องมังกรนี่เอง...
“เอ้า มาไงเนี่ย” ไอ้เตร้องทัก
“ผมเรียนห้องข้างๆ พี่อะ เห็นตั้งแต่ตอนเดินออกมาจากห้องแล้ว แต่พี่แม่งเดินโคตรเร็ว ตามไม่ทัน” มังกรพูดกับไอ้เตยาวเป็นต่อยหอย ก่อนจะหันมาทักผม
“อ้าวพี่กานต์ หวัดดีครับ”
“อื้อ หวัดดีๆ”
ไอ้เด็กเวร กูเดินลงมาพร้อมกับไอ้เตไหม เพิ่งจะเห็นเรอะ!! เอาเถอะ ไม่อยากจะเสวนาด้วย แค่เห็นหน้าก็หงุดหงิดละ ไม่ถูกชะตายังไงชอบกล
“ไปกินข้าวกันไหมพี่ ผมว่างพอดี” มังกรยิ้มถามไอ้เตก่อนจะหันมามองหน้าผม
เป็นเหี้ยไร มองอยู่นั่นแหละ
“พี่กำลังจะกลับบ้านอะ”
“อ่อ น่าเสียดายจัง”
“ไปด้วยกันไหมล่ะ ไอ้กานต์ก็ไปเนี่ย”
ไอ้เต ไอ้สัส! จะชวนมันทำไมเนี่ย
“เห้ยย น้องมันไม่ว่างหรือเปล่า” ผมรีบแย้ง แล้วพยายามส่งสัญญาณให้ไอ้เต ไม่อยากให้มันไปอะ ไอ้เตมันจะรู้ไหมเนี่ย
“ผมว่างอยู่แล้วพี่ ไปดิๆ” มังกรรีบพยักหน้าตอบทันที
โว้ยยยยยยย!!!
“จัดไป เดี๋ยวมีตามไปอีกหลายคนเลย ไอ้แยม พี่อาโป น้องศิลา ไปกันหมด” ไอ้เตดึงมังกรเข้ามาโอบไหล่แล้วเดินนำหน้าไป
อ่าว แล้วกูล่ะ...
ผมถอนหายใจแรง เวรเอ๊ยยย ไม่อยากไปแล้วเนี่ย เท้าทั้งสองข้างแม่งหนักขึ้นมาเสียงั้น เดินลำบากฉิบหาย เอาไงดีวะ อยู่ๆ ก็นอยด์เฉย ไอ้เตเดินนำลิ่วไปพร้อมกับน้องมังกรละนั่น พอมีเพื่อนใหม่ละลืมกูเลยมั้ง
หงุดหงิด!
ผมเดินผ่านถังขยะที่ตั้งอยู่แถวนั้น ก็เลยเผลอเตะเข้าไปทีหนึ่งด้วยความโมโห
“เห้ยๆๆ พาลจังวะ เป็นไรเนี่ย” ไอ้แยมที่เพิ่งตามผมมา วิ่งเข้ามาตบหัวผมเบาๆ เชิงหยอกล้อ แต่ก็เจ็บไม่น้อยเลย ผู้หญิงอะไรเนี่ย มือหนักฉิบหาย
“กูเจ็บ อีห่านี่” ผมเอามือลูบหัวป้อยๆ
“หงุดหงิดไรมึง” ไอ้แยมถามผม
“กูไม่ชอบน้องมังกร” ผมหลุดโพล่งพูดออกไปตรงๆ ก็คนมันอารมณ์ไม่ดีอยู่อะ อีกอย่างไอ้แยมก็น่าจะเป็นคนเดียวที่ผมสามารถระบายความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ข้างในใจของผมตอนนี้ได้
“หึ” แยมยกยิ้มมุมปาก “กูก็ไม่ชอบแม่งเหมือนกัน วอแวไอ้เตฉิบหาย”
เอาล่ะ ผมมีทีมละ!
“กูก็นึกว่ากูรู้สึกไปเองคนเดียว อีห่า แค่เห็นหน้าก็รำคาญละ” ผมเผลอเบะปากไปแบบไม่รู้ตัว เวรเอ๊ย เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้อะ ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ทุกที เวลาที่ไม่ชอบขี้หน้าใคร
“จริงมึง” แยมรีบพูดเสริมทันที อารมณ์มาเต็ม
มึงเจอแน่มังกร เพื่อนเขาสนิทกันอยู่ดีๆ จะมาชุบมือเปิบแย่งเพื่อนสนิทคนอื่นเสียงั้น
“รีบไปเหอะมึง ไอ้เตกับอีน้องมังกรมันเดินไปถึงไหนละเนี่ย จะทำอะไรเพื่อนเรามั่งก็ไม่รู้ กูล่ะสังหรณ์ใจแปลกๆ” แยมพูดยาวเหยียด ปั่นเก่งจังวะ คนยิ่งคิดมากๆ อยู่ อารมณ์ก็ไม่ดีอยู่เนี่ย ยังจะมาพูดให้คิดหนักเพิ่มขึ้นไปอีก
“พักก่อน อย่าเพิ่งปั่น กูเครียดดดด” ผมรีบผลักไอ้แยมให้เดินไปข้างหน้า พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันไอ้เตที่เดินนำลิ่วไปไกลแล้ว
บ้านไอ้เตอยู่ถัดจากมหา’ลัยไปแค่สองซอย พวกเราก็เลยตัดสินใจเดินไปกัน ถามว่าแดดร้อนไหม ก็บอกเลยว่ามาก แต่โชคดีที่ตามรายทางมีต้นไม้เรียงเป็นแถวไป ก็เลยพอที่จะมีที่ให้หลบร่มได้เป็นระยะๆ แล้วพอเดินกันหลายๆ คน คุยไปด้วย เดินไปด้วย มันก็เพลินๆ ดี แต่ระยะทางมันก็ไม่ได้ไกลไง นึกออกไหมครับ ก็แค่สองซอยเอง
“ร้อนฉิบหาย” ผมแกล้งบ่นทันทีที่เดินมาถึงหน้าบ้านไอ้เต
“บ่นเก่งฉิบหายมึงเนี่ย ก็เดินมาบ่อยๆ ไม่ชินอีกหรือไง” ไอ้เตพูดพลางล้วงเอากุญแจบ้านในกระเป๋าเป้ออกมาไขประตูแล้วผลักเข้าไป
“นั่นดิพี่ ไม่เห็นร้อนเลย สนุกดีออก” มังกรยิ้มแล้วหันมาพูดกับผม
ไอ้มังกร ใครถามมึงห้ะ!!
ผมทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินเข้าไปในบ้านไอ้เต ก่อนจะตรงไปยังโซฟาตัวโปรดที่ผมชอบไปหย่อนตูดนั่งเป็นประจำเวลามาที่บ้านมัน โซฟาที่มีแต่ผมคนเดียวที่จะได้นั่ง
ทำไมน่ะเหรอ เพราะถ้ามีคนมาแย่งนั่ง ผมจะอาละวาดไง ขนาดไอ้แยมเคยมานั่ง ผมยังโวยวายจนมันรำคาญเลย ผมหวงอะ มันนั่งสบายนี่หว่า ขนาดไอ้เตยังไม่เคยมาแย่งเลยเวลาผมมาบ้านมันอะ
ตุบ!
อะไรแว้บๆ ผ่านหน้าไปวะ
ผมหันไปมอง ไอ้เชี่ยมังกร วิ่งแซงหน้าผมไป แล้วก็กระโดดลงโซฟาตัวโปรดของผม ผมเบิกตากว้างด้วยความโกรธ อารมณ์ร้อนของผมพุ่งปี๊ดขึ้นไปบนหัว ผมนี่กำหมัดแน่นจนแขนสั่น
ไอ้เตกับไอ้แยมหันขวับมาทางผมพร้อมกันทันทีเมื่อเห็นน้องมังกรกระโดดลงไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดของผม
“ใจเย็นก่อนมึง” ไอ้แยมลูบไหล่ผมรัวๆ ให้อารมณ์ผมเย็นลง
ไอ้เตเดินเข้าไปใกล้น้องมังกรแล้วกระซิบอะไรที่ข้างหูมังกรก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้ยิน แล้วก็ค่อยๆ พากันลุกแล้วเดินออกไปทางหลังบ้าน
มีอะไรวะ ไอ้เตไปพูดอะไรเนี่ย อยากรู้ฉิบหาย ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ช่างแม่ง อย่างน้อยผมก็ได้โซฟาตัวโปรดของผมคืนละ
ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวนั้น ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา สัมผัสที่คุ้นเคยช่วยลดความรุ่มร้อนเพราะความโกรธในตัวของผมไปได้มากทีเดียว
“มึง อีน้องมังกรนี่ไม่น่าจะธรรมดานะ” ไอ้แยมเดินมานั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ แล้วกระซิบคุยกับผม
“สัตว์!” ผมหลุดปากด่าออกไป
“เอ้า! ด่ากูหรอ” ไอ้แยมรีบสวนกลับทันควันด้วยความตกใจ
“เห้ย ไม่ใช่ๆ กูด่าไอ้มังกร”
“อ่อ กูก็ตกใจ นึกว่าด่ากู” ไอ้แยมพูดจบก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนหายใจยาว
เวรเอ๊ย ยิ่งเวลาผ่านไป ความไม่ชอบขี้หน้าในตัวน้องมังกรมันยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ รู้สึกไม่ถูกชะตามากๆ ถึงแม้ว่าน้องมันจะยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีกับผมก็เหอะ แต่ความรู้สึกแบบนี้มันก็ห้ามกันไม่ได้อะเนอะ
ก็แค่ไม่ชอบอะ ไม่ชอบแบบไม่มีเหตุผลด้วย
“มันเป็นห่าไรมากเปล่า ขาดความอบอุ่นเหรอ ถึงต้องนัวเนียขนาดนั้นอะ” ผมบ่นออกมาหลังจากหันหน้าไปเห็นไอ้น้องมังกรกอดแขนแล้วนอนซบไหล่ไอ้เตอยู่ โดยที่ไอ้เตก็นั่งนิ่ง มิหนำซ้ำยังพูดคุยยิ้มแย้มกับน้องมังกรไม่หยุด
ควายเอ๊ย! หงุดหงิดว่ะ เหม็นขี้หน้า
“เออ เพื่อนเราก็ปฏิเสธคนไม่เป็นเลยมั้ง” ไอ้แยมพูดเสริม
“ช่างแม่ง กูไม่สนใจละ” ผมพูดจบก็หันขวับไปคว้ารีโมตทีวีที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมากดเปิด แล้วไล่หาหนังในเน็ตฟลิกซ์ดู เพื่อระบายอารมณ์
นิ้วยาวของผมกดไล่ดูเมนูหนังและซีรีส์ไปเรื่อย สายตาจ้องมองไปบนหน้าจอก็จริง แต่ในหัวผมมันยังคงคิดวนเวียนแต่ภาพของไอ้เตกับน้องมังกร ทำเอาผมไร้ซึ่งสมาธิในการเลือกหาหนังเพื่อที่จะดูโดยสิ้นเชิง
“โว้ยยยย!!!” ผมร้องลั่นออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนจะทิ้งรีโมตลงพื้น ตามด้วยทิ้งตัวเอนหลังลงบนโซฟาแบบเต็มแรง ไอ้แยมหันมามองที่ผมด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“กลับไหมล่ะ ถ้าจะขนาดนี้” ไอ้แยมเอ่ยแซวผม
“กลับได้ไงวะ ก็ต้องรอพี่อาโปกับน้องศิลามาก่อนดิ” ผมเว้นจังหวะก่อนพูดต่อ “มาทำงานเว้ย ต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัว”
“แหมมมม แยกได้มากเลยมั้ง กูเห็นมึงยังเอาแต่หงุดหงิดเรื่องไอ้เตกับไอ้น้องมังกรเนี่ย” ไอ้แยมกรอกตามองบนใส่ก่อนจะพูดต่อ “เมื่อกี๊หมาตัวไหนยังพูดอยู่เลยว่าช่างแม่ง ไม่สนใจละ”
“เออๆ เลิกคิดแล้ว” ผมพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทางหน้าบ้าน แต่เสียงไอ้เตก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ไอ้กานต์ มึงจะไปไหนอะ พี่อาโปกับไอ้ศิลาจะมาแล้วนะเว้ย”
“กูจะไปเซเว่น กูหิว!” ผมตะโกนตอบดังลั่นบ้านด้วยความโมโห เสร็จแล้วก็รีบจ้ำเท้าเพื่อจะเดินออกนอกประตูบ้านทันที
ไอ้แยมรีบวิ่งตามมาคว้าแขนผมเอาไว้ แล้วกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู “แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานได้มากเลยนะมึงเนี่ย อีเวร”
“อะไร กูก็พูดอยู่ว่าหิว จะไปเซเว่น”
“ไอ้กานต์ กูเพื่อนมึง กูดูมึงไม่ออกเลยมั้ง” ไอ้แยมยักคิ้วกวนตีนใส่ผม
“เอออออ... กูรำคาญ ไม่อยากเห็นหน้าไอ้มังกร”
“แล้วการออกไปเซเว่นเนี่ย จะช่วยกำจัดความรู้สึกนี้ได้จริงๆ ใช่ไหม” ไอ้แยมจ้องหน้าผมแล้วถาม
“ไม่รู้เว้ย แต่ก็ดีกว่าต้องทนเห็นมันอยู่ในบ้านอะ”
“งั้นก็แล้วแต่มึงเลย” ไอ้แยมปล่อยแขนผม
ผมหันตัวกำลังจะเดินออกจากบ้านของไอ้เต แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันมาถามไอ้แยม “จะไปด้วยกันไหม”
แยมยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตามีแววความไม่ไว้วางใจบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยตอบผม “มึงจะทิ้งสองคนนั้นให้อยู่ด้วยกันจริงๆ เหรอ”
“อ่อ… ไม่เห็นเป็นไรเลย... เรื่องของไอ้เตมัน...”
ผมตอบ แต่ในใจก็รู้สึกหวิวแปลกๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หรือว่าจะเป็นอาการของคนหวงเพื่อน กลัวไอ้น้องมังกรจะทำอะไรไม่ดีกับไอ้เต แต่ก็นั่นแหละ ไอ้เตมันโตเป็นควายละ ถ้าจะยอมปล่อยตัว ไม่ระมัดระวังจนน้องมังกรมันทำอะไรต่อมิอะไรได้ ก็คงจะช่วยอะไรมันไม่ได้เหมือนกัน
เดี๋ยวๆ นี่ผมคิดไปถึงไหนเนี่ย คิดมากเกินไปละ ผมกับไอ้แยมจะออกไปเซเว่นแป๊บเดียว ถ้ามันสองคนจะกล้าทำอะไรต่อมิอะไรก็ดูจะเกินไปหน่อยละ
คิดเยอะทำไมก่อน พอๆๆ หยุดๆ
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองให้ออกไปจากสมอง แล้วรีบเดินพ้นประตูรั้วบ้านไอ้เตออกมา โดยมีไอ้แยมเดินตามมาด้วยติดๆ
แสงแดดแรงจัดจนผมต้องยกมือขึ้นมาบังหน้าบังตาเอาไว้ แต่ก็ยังโชคดีที่มีสายลมอ่อนๆ พัดโชยอยู่ไม่ขาด พอจะช่วยให้รู้สึกเย็นสบายอยู่ได้บ้าง ผมเดินเรื่อยมาจนถึงเซเว่นที่อยู่หน้าปากซอย ใช้มือข้างที่ยกบังแดดเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาเล็กน้อยระหว่างทาง ก่อนจะเดินผ่านประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเข้าไปด้านในเซเว่น ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในปะทะเข้าที่ร่างกายของผม โอ้โห! ความรู้สึกมันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่สิ! ราวสวรรค์กับนรกมากกว่า จากร้อนจัดเข้ามาเจอเย็นจัด ผมนี่ฟินจนไม่รู้จะฟินยังไง ซึ่งระหว่างที่ผมกำลังดื่มด่ำกับความเย็นในเซเว่นอยู่นั้น ร่างของชายหนุ่มสองคนที่คุ้นตาผมปรากฏอยู่เบื้องหน้าถัดไปอีกสองแถวของชั้นวางสินค้า
“มึงๆ สองคนนั้นใช่พี่อาโปกับน้องศิลาปะวะ” ไอ้แยมเอาข้อศอกสะกิดผม
“เออว่ะ” ผมกับไอ้แยมรีบวิ่งไปซ่อนอยู่หลังชั้นวางสินค้าแล้วค่อยๆ ย่องไปแอบดูทั้งสองคน
“จะกินอะไรก็หยิบเลยนะ เดี๋ยวพี่จ่ายให้” พี่อาโปที่ยืนถือตะกร้าหันไปบอกกับน้องศิลาที่กำลังยืนมองบรรดาเครื่องดื่มในตู้เย็นอยู่
“ไม่รู้จะกินอะไรอะพี่”
“หยิบๆ ไปเหอะ” พี่อาโปเปิดตู้เย็นแล้วโกยเครื่องดื่มมาหลายขวดใส่ลงในตะกร้าที่ตัวเองถืออยู่
“พอแล้วพี่ เดี๋ยวก็กินไม่หมดหรอก” ศิลาเอ่ยห้ามแล้วทำท่าจะหยิบออก
“ไม่ต้องๆ ก็เอาไปเผื่อคนอื่นด้วยไง” พี่อาโปคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของน้องศิลา เพื่อไม่ให้น้องหยิบเอาเครื่องดื่มใส่คืนไปในตู้เย็น ไอ้แยมที่ยืนแอบอยู่หลังผมดิ้นไม่หยุดพอเห็นว่าพี่อาโปจับมือน้องศิลาอยู่
“มึงอยู่เฉยๆ ดิ๊ เดี๋ยวสองคนนั้นก็เห็นหรอก” ผมหันไปดุ
แต่คงไม่ทันละ...
“เอ้า กานต์” พี่อาโปหันมาเห็นผมที่นั่งยองๆ แอบอยู่หลังชั้นวางสินค้า ผมก็เลยเนียนทำเป็นว่ากำลังหาของที่ต้องการซื้ออยู่ก่อนจะเอ่ยทักพี่อาโปกลับไป
“อ้าว พี่อาโป สวัสดีครับ”
“เลือกเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยง”
โอ้โห พี่อาโปสายเปย์ว่ะ
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมจ่ายเองดีกว่า เกรงใจอะ” ผมแกล้งทำเป็นหยิบขนมสองสามชิ้นแล้วจะเดินไปจ่ายเงินที่หน้าเคาท์เตอร์
“มาเหอะ ไม่ต้องคิดมาก” พี่อาโปยื่นตะกร้ามาให้ ผมก็เลยหย่อนขนมพวกนั้นลงไป
พี่อาโปกับน้องศิลาใช้เวลาไม่นานในการเลือกซื้อของ เอาจริงๆ จากที่ผมกับไอ้แยมแอบมองตลอดเวลาที่อยู่ในเซเว่น มันฟีลแบบแฟนพากันมาหาอะไรกินเหมือนกันนะ พี่อาโปคือเทคแคร์น้องศิลาดีมากเวอร์ จนพนักงานในร้านยังแอบหวีดกันเลย พี่อาโปเดินถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยของกินตามหลังน้องศิลาที่เดินเลือกของไปเรื่อยๆ ถามจริง ใครเห็นก็ต้องคิดแหละว่ามันไม่ใช่แค่เพื่อนกันแน่ๆ
“ไปกันเถอะ” เสียงพี่อาโปดังขึ้น ทำให้ผมกับไอ้แยมสะดุ้งโหยง “เดี๋ยวเตมันจะรอนาน”
ปล่อยให้มันรอไปเถอะรายนั้น...
“ค่าาา พี่อาโป” ไอ้แยมตอบรับเสียงดัง ก่อนจะยิ้มแป้นแล้วเดินนำออกไปจากเซเว่น โดยมีผมกับพี่อาโปและน้องศิลาเดินตามหลังไป
ถุงขนมมากมายถูกวางไว้บนโต๊ะอาหารในบ้านไอ้เต พี่อาโปกับน้องศิลาเลือกหยิบกันไปคนละอย่างก่อนจะเดินไปหาไอ้เตที่นั่งอยู่ที่โซฟากับน้องมังกร
เอาอีกละ ความรู้สึกแบบนี้... ไม่อยากเห็นหน้าไอ้น้องมังกรเลย แต่เราต้องมืออาชีพมากกว่านี้ ผมพยายามกำจัดความรู้สึกไม่ดีแบบนี้ออกไป เพราะถ้าแสดงออกชัดเจนมันก็ดูจะเป็นการทำร้ายน้องมังกรไปเสียหน่อย เดี๋ยวไอ้เตจะมองผมไม่ดีอีก
“โอเค ทุกคนพร้อมแล้วเนอะ” ผมเอ่ยขึ้นในฐานะผู้กำกับ
เริ่มเลยแล้วกัน จะได้จบๆ แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านตัวเอง ไม่งั้นผมคงได้แต่คิดฟุ้งซ่านเรื่องไอ้เตกับน้องมังกรแน่ๆ
หลังจากทุกคนพยักหน้า ผมก็เริ่มการเวิร์กช็อปทันที วันนี้ผมกับไอ้เตตัดสินใจเลือกซีนที่คิดว่ายากที่สุดมาเวิร์กช็อป เพื่อต้องการให้พี่อาโปกับน้องศิลาแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะมันค่อนข้างจะเป็นซีนที่พีคที่สุดของหนังสั้นเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ผมกับไอ้เตเข้าไปพูดคุยกับพี่อาโปกับน้องศิลาถึงซีนนี้ว่ามีความเป็นมายังไง แต่ละตัวละครกำลังรู้สึกอะไรอยู่ ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เพื่อจะให้พี่อาโปและน้องศิลาเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในซีนแล้วเลือกอารมณ์ ความรู้สึกมาใช้ในการแสดงซีนนี้ได้แบบตรงจุด
พอบรีฟเสร็จ สิ้นเสียงคำว่าแอคชั่นของผม แววตาของพี่อาโปกับน้องศิลาก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งคู่จ้องตากันแล้วพูดไดอะล็อกออกมาได้แบบไม่มีผิดเพี้ยน ครบถ้วนทุกคำ แถมน้ำเสียงที่สื่อออกมายังได้อารมณ์ตามที่ผมต้องการอีกด้วย
เอาล่ะ ใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญละ
จุดพีคที่สุดของซีนนี้ คือการที่ต้องจูบกัน ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความรักและความโหยหา มา! รอดูกันว่าพี่อาโปกับน้องศิลาจะพาผู้กำกับอย่างผมไปถึงจุดที่ผมตั้งเป้าไว้ได้ไหม
ตอนนี้แหละ!!
ใบหน้าของพี่อาโปกับน้องศิลาเริ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้กัน สายตาที่มองกันและกันนั้นเป็นสายตาแบบเดียวกันกับตัวละครที่ผมเขียนบรรยายเอาไว้ ประทับใจสุดๆ ทั้งคู่มองตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ปลายจมูกของพี่อาโปและน้องศิลาจะค่อยๆ สัมผัสกันเบาๆ ในบริเวณบ้านที่เงียบสนิททำให้ทุกคนในห้องได้ยินเสียงลมหายใจของพี่อาโปกับน้องศิลาได้อย่างชัดเจน
เสียงลมหายใจของทั้งคู่ดังก้องไปทั่วห้องนั่งเล่น ผมกับไอ้แยมนั่งดูแบบเท้าจิกพื้นเกร็งไปหมด มือทั้งสองข้างกำแน่น เพราะไม่สามารถหวีดร้องระบายอารมณ์ออกมาได้ ส่วนไอ้เตกับน้องมังกรก็นั่งจ้องตาไม่กะพริบ
น้องศิลาค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้มากขึ้นจนริมฝีปากเริ่มสัมผัสกับริมฝีปากของพี่อาโป จากสิ่งที่ผมเห็นจากมุมที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็คือพี่อาโปเบิกตากว้างขึ้นเหมือนคนตกใจ และใช่.. ทุกคนตรงนี้ก็ตกใจไม่ต่างกัน
เอาอีกแล้วเหรอวะ ผมคิดแล้วหันไปมองหน้าไอ้เตกับไอ้แยม
“จูบจริงอีกแล้ว” ผมขยับปากแบบไม่มีเสียงให้ไอ้เตกับไอ้แยมดู ทั้งคู่ก็พยักหน้ารับรู้
พี่อาโปนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับมาได้สติแล้วเริ่มแสดงต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภาพของพี่อาโปกับน้องศิลาที่กำลังจูบกันอยู่นั้นมันทำให้ผมอดที่จะประทับใจไม่ได้ เพราะมันช่างตรงกับภาพที่ผมเขียนไว้เสียเหลือเกิน ภาพของการจูบกันของคนทั้งคู่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
เสียงริมฝีปากสัมผัสกันและเสียงน้ำลายดังไม่ขาดสายตลอดระยะเวลาการจูบอันดูดดื่มนั้น เมื่อเป็นที่น่าพอใจผมก็เอ่ยปากสั่งคัทออกไป ก่อนจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
เกือบตายแล้วเมื่อกี๊..
“กรี๊ดดดด” เสียงกรี๊ดของไอ้แยมดังลั่นบ้าน “ดีมากเลยพี่อาโป เมื่อกี๊คือสุดๆ”
น้องศิลาหันมายิ้มแป้นเพราะดีใจกับคำชมที่ได้ยิน ส่วนพี่อาโปก็เผยยิ้มบางๆ แล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ออกมา ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมากุมหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง แต่ก็รีบวางมือลงทันทีที่พี่อาโปหันมาเห็นว่าผมกำลังจ้องมองเขาอยู่
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ ท่าทางเมื่อกี๊... หมายความว่าไง?
พี่อาโปหวั่นไหวกับน้องศิลาเหรอ!?!?