โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)เช้าวันเสาร์ที่ควรจะสงบก็ไม่ได้สงบเลย เมื่อข้างบ้านผมดันมีการก่อสร้างปรับปรุงพื้นที่บ้าน ทำให้ผมต้องแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่เช้า ทั้งๆ ที่เมื่อคืนอุตส่าห์ออกไปเที่ยวแล้วดื่มซะหนัก เพราะคิดว่าวันนี้จะได้นอนยาวตื่นสายสักหน่อย
เสียงดังโครมครามทำให้ผมที่พยายามจะซุกตัวลงใต้ผ้าห่มเพื่อนอนต่อ จำใจต้องลุกขึ้นมาเพราะทนต่อเสียงคำรามของเครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่ไม่ไหว ผมเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวในตอนเช้า แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำตามเสต็ป ถึงแม้จะเป็นวันหยุดของผม แต่ก็ยังคงต้องลงไปช่วยแม่ทำงานบ้านด้านล่างอยู่ดี
ผมเดินเช็ดหัวลงมาที่ด้านล่างของบ้านเพราะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ แม่ทำกับข้าววางไว้เต็มโต๊ะอาหาร แต่ตัวแม่เองยังคงวุ่นวายอยู่ในครัวผมเลยเอ่ยปากเรียก
“แม่ กินข้าวกัน”
“แป๊บนึงลูก แม่ทำต้มจืดอยู่ใกล้เสร็จละ”
“แล้วพ่ออ่ะ”
“อยู่หลังบ้าน รดน้ำต้นไม้อยู่”
อยู่กันสามคน แม่จะทำกับข้าวทำไมเยอะแยะเนี่ย ก็เห็นเหลือทุกที
ผมตักข้าวใส่จานเตรียมไว้ให้พ่อกับแม่ แล้วก็ค่อยตักให้ตัวเอง ไม่นานพ่อก็เดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะก่อนที่แม่จะยกจานต้มจืดออกมาวาง
ครืด ครืด..
โทรศัพท์ผมสั่น เลยหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นสายโทรเข้าจากไลน์ของไอ้เต
“ฮัลโหลว่าไง” ผมกดรับสายแล้วเอ่ยทัก
(มึง เรื่องพี่อาโปกับน้องศิลาจะเอาไงเนี่ย)
“เออดิ กูปวดหัว จะรอดมั้ยเนี่ยงานกู”
(มึงอ่ะ จัดการดิ ผู้กำกับไม่ใช่เหรอ ไปคุยเลย)
“เออๆ เดี๋ยวกูเคลียร์เอง”
(เคมึง แค่นี้แหละ)
ผมกดวางสายแล้วกำลังจะตักข้าวเข้าปาก แต่เสียงแม่ก็ดังขัดขึ้นมาก่อน
“ทะเลาะกับเพื่อนเหรอลูก”
“เรื่องเพื่อนที่ม.อ่ะแม่ ไม่มีไรหรอก กานต์ไม่ได้ไปทะเลาะกับเขา แต่เพื่อนมันทะเลาะกันเอง”
“ก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน รอให้ใจเย็นก่อน คุยตอนใจร้อนมีแต่จะแย่กว่าเดิม” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็น เพราะแม่เป็นคนไม่ชอบให้มีปัญหา ทุกครั้งแม่เลยเลือกที่จะเป็นฝ่ายใจเย็น เพราะไม่อยากทะเลาะ สังเกตเห็นได้จากเวลาที่มีเรื่องกับพ่อ แม่จะเป็นฝ่ายนิ่งทุกครั้ง จนพ่อโวยวายเสร็จแล้วอารมณ์ดีขึ้น แม่ถึงจะเข้าไปเปิดใจคุย
“ได้แม่ ไม่ต้องห่วงเลย กานต์เอาอยู่ เรื่องจิ๊บๆ” ผมยิ้มให้แม่ ก่อนจะกินข้าวเช้าต่อ ท่าทางร่าเริงของผมไม่ได้บ่งบอกถึงสิ่งที่ผมคิดอยู่ภายในหัว เพราะมันวุ่นวายไปหมด
จะตายก่อนเขาดีกันหรือเปล่าก็ไม่รู้
ติ๊ง!
ไลน์จากพี่อาโปเด้งเข้ามา
A-PO : กานต์ ช่วยพี่ง้อน้องหน่อยดิ
A-PO : ศิลามันไม่ง้อพี่เลยว่ะ
ผมหลุดขำทันทีที่เห็นข้อความของพี่อาโป ก่อนจะรีบกินข้าวให้หมดแล้วขออนุญาตแม่เดินขึ้นห้องของตัวเอง ผมรีบกดแป้นพิมพ์เพื่อส่งข้อความตอบพี่อาโปกลับไป
KARN : ได้พี่
A-PO : ออกมาเจอพี่หน่อยดิ อยู่ร้านกาแฟหน้าม.อ่ะ
KARN : เคพี่ รอแป๊บ
ผมใช้เวลาไม่นานในการเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคว้ากระเป๋าใบโปรดวิ่งออกไปเรียกรถที่หน้าบ้าน เพื่อตรงไปร้านกาแฟหน้ามหาลัยที่พี่อาโปนัดไว้ พอไปถึงผมก็เห็นพี่อาโปนั่งโดดเด่นอยู่ในร้าน ออร่าที่อยู่รอบตัวพี่อาโปนั้นไม่เคยจางหายไปจริงๆ อยู่ตรงไหนของมุมโลกก็มองเห็นอ่ะ ไม่แปลกใจละว่าทำไมถึงเป็นที่หมายปองของคนทั้งมหาลัย
“หวัดดีพี่” ผมเดินเข้าไปทักพี่อาโปที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบ
“หวัดดีๆ นั่งก่อนๆ”
“มา ว่ายังไง” ผมวางกระเป๋าลงข้างเก้าอี้แล้วเอ่ยถามถึงเหตุผลที่เราสองคนต้องออกมาเจอกันแบบกะทันหันขนาดนี้
“ใจเย็นดิน้อง จะกินไรเปล่า สั่งเลยนะ เดี๋ยวเลี้ยง” พี่อาโปยื่นบัตรเครดิตมาให้ผม
“อ่อครับ”
ผมรีบคว้าบัตรของพี่อาโปแล้วลุกวิ่งไปสั่งกาแฟกับเค้กมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะตามเดิม
“น้องศิลาไม่คุยกับพี่เลยว่ะ” พี่อาโปเอ่ยเปิดประเด็น
“ก็พี่ไปพูดประชดน้องมันทำไมล่ะ”
“ไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า ตอนนั้นมันคุมอารมณ์ไม่อยู่อ่ะ” พี่อาโปมีสีหน้าหงอยลงเล็กน้อย ส่วนผมก็ได้แต่หัวเราะขำอยู่ในใจ
“ละก็ต้องมานั่งหงอย”
“ทำไงดีวะ ไลน์หาน้องมันก็ไม่ตอบอ่ะ” พี่อาโปถามด้วยสีหน้าที่ดูกังวล
“ไม่ต้องห่วงพี่ ผมจัดการให้”
ผมพูดจบก็หยิบมือถือขึ้นมาต่อสายโทรหาน้องศิลาทันที ไม่นานน้องก็รับสาย
“ฮัลโหลน้อง” พอพี่อาโปได้ยินเสียงผมพูด ก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
(ครับพี่กานต์)
“คุยไรด้วยหน่อยดิ” ผมเริ่มถาม
(เรื่องพี่อาโปใช่มั้ยครับ)
“เออ รู้ได้ไงวะ”
(ก็เดาไม่เห็นยากเลยพี่)
“เออ ไม่คุยกันหน่อยว้าาา จะได้เคลียร์กันให้จบๆ”
(ผมง้อคนไม่เป็นอ่ะพี่ ไม่รู้จะทำไง)
“งั้นก็รับโทรศัพท์ หรือตอบไลน์พี่เขาหน่อยดิ”
(ยังไม่พร้อมอ่ะพี่ ไม่รู้จะคุยอะไร)
“เอ้า”
(แต่ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก แค่ไม่ชอบที่พี่อาโปทำเฉยๆ)
“อ่าา เข้าใจๆ”
(แค่นี้ก่อนนะพี่ พอดีผมติดธุระอยู่)
“เคๆ ไว้คุยกันน้อง”
ศิลากดวางสายไป ผมก็เลยวางมือถือลงบนโต๊ะในขณะที่สีหน้าของพี่อาโปก็มีความลุ้นอยู่ไม่น้อย ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไป ไม่รู้จะบอกยังไง จะให้บอกตรงๆ ว่าศิลาง้อคนไม่เป็นมันก็จะทำให้น้องเสียเชิงไปสักหน่อย ก็ตอบกลางๆ ละกัน เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเราอ่ะ ให้สองคนเขาไปคุยกันเองจะดีกว่า
“ศิลาว่าไงมั่งอ่ะ” พี่อาโปเอ่ยถาม
“ก็.. น้องมันยังไม่พร้อมคุยอ่ะพี่”
“อ่อ..” พี่อาโปสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“ก็ให้เวลาน้องมันหน่อยละกันพี่” ผมพูดพร้อมยิ้มบางๆ ให้พี่อาโป เพราะอยากให้พี่อาโปเข้าใจน้องศิลาด้วย
พี่อาโปพยักหน้าแล้วถอนหายใจยาว “ทำไงดีวะเนี่ยยย”
ผมเองก็มืดมนเหมือนกัน แต่ก็จะพยายามคอยช่วยอยู่ข้างแบบนี้แหละ ออกหน้ามากเดี๋ยวก็จะโดนบ่นเอา ว่าเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น ไม่อยากเป็นขี้ปากให้คนอื่นติฉินนินทาได้
“ก็รออีกสักพักค่อยโทรหาน้องมันใหม่มั้ยพี่ ตอนนี้น้องมันบอกว่าติดธุระอยู่”
พี่อาโปพยักหน้า
“ละนี่กานต์จะไปไหนต่อมั้ย” พี่อาโปถาม
“ก็ ไม่มีนะพี่ น่าจะกลับบ้านเลย”
“อืมๆ”
“มีไรเปล่าพี่” ผมมองพี่อาโปแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะสีหน้าพี่เขาเหมือนมีอะไรบางอย่างอยากพูดแต่ยังไม่ได้พูดออกมา
“เอ่อ.. ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยดิ”
“ห้ะ?”
“เออ นั่นแหละ พี่ไม่อยากอยู่คนเดียวตอนนี้ว่ะ ฟุ้งซ่านอ่ะ”
“อ่อ เอาดิ พี่จะไปไหนอ่ะ”
“นั่นดิ ไปไหนดี”
“สยามมั้ย?” ผมเสนอ
“คนจะเยอะเปล่า”
“เยอะอยู่ละ ไม่น่าถามเลยพี่” ผมหัวเราะกับคำถามของพี่อาโป
“ไปก่อนละกัน เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที” พี่อาโปพูดจบก็ลุกขึ้นพร้อมคว้ามือถือกับกุญแจรถเดินออกไปข้างนอกร้าน ตรงไปหารถยนต์ที่จอดเอาไว้ด้านหน้า
ผมลุกเดินตามไปติดๆ
พี่อาโปขับรถออกไปด้วยความสายตาที่ดูเลื่อนลอยกว่าปกติ ผมล่ะอดสงสัยไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วเวลาที่ทะเลาะกับเพื่อนเนี่ย มันต้องมีอาการขนาดนี้เลยเหรอ แต่จริงๆ เราก็ไม่ควรเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่นอ่ะเนอะ บางทีประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรามันต่างกัน ก็อาจจะทำให้แต่ละคนมีการแสดงท่าทีต่อเรื่องที่เจอต่างกันไปด้วย
พอคิดได้แบบนั้น ผมก็เลยเลิกสนใจไปเลยว่าพี่อาโปจะกำลังคิดอะไรอยู่ ผมมองออกไปด้านนอกรถเหมือนเดิมกับที่เคยทำเป็นประจำเวลานั่งรถ ไม่นานเสียงเพลงก็ดังขึ้น แต่ดันเป็นเพลงเศร้าว่ะ
เอ๊ะ ยังไงซิ
อาจจะคิดเยอะไปแหละ ปกติคนเราก็มีสิทธิที่จะฟังเพลงเศร้าได้ป่ะวะ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเศร้าอยู่ก็ได้นี่
“เห้อออออ” เสียงถอนหายใจของพี่อาโปดังลั่นรถ พอเพลงดังมาถึงท่อนฮุค
ผมหันขวับไปมองพี่อาโปทันที
“เป็นอะไรรึเปล่าพี่อาโป”
“หื้ม.. อินเพลงเฉยๆ อ่ะ”
อินขนาดนั้นเลยเหรอวะ?
“อ่อ อ่อนไหวเหมือนกันนะพี่เนี่ย” ผมแซว
“ก็ปกตินะ พี่อ่อนไหวกับทุกเรื่องแหละ”
“โดยเฉพาะเรื่องของศิลาใช่มั้ยครับ” ผมยิ้มถาม
สายตาของพี่อาโปเปลี่ยนไปในทันที มันมีแววของกับตกใจแต่เขาก็ยังพยายามที่จะปกปิดมันไว้ ราวกับจะซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองไม่ให้ผมรู้
แต่คนอย่างผมน่ะเหรอ ไม่มีทางรอดสายตาผมหรอกครับ ฮ่าๆๆ
“อะไรรร ไม่เกี่ยวๆ”
“อ่ะ เนี่ย พี่ตอบไม่ตรงคำถามละ”
“กานต์ถามไม่ตรงคำตอบพี่เหอะ”
ผมได้แต่ส่ายหัวกับคำแก้ตัวของพี่อาโป แต่ก็เอาเหอะ ยังไม่อยากเซ้าซี้ถามเยอะ มันจะดูก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเขาเกินไป เอาเท่าที่ได้ก่อนก็แล้วกัน
พี่อาโปขับรถพาผมมาจนถึงสยาม แล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอดในสยามพารากอน เราทั้งคู่เดินลงจากรถมาแล้วตรงเข้าไปด้านในห้างทันที และด้วยออร่าความหล่อของพี่อาโปนั้น ก็ทำให้คนที่อยู่บริเวณที่พวกเราเดินผ่านหันมามองพี่อาโปกันเป็นตาเดียว ถึงแม้วันนี้พี่อาโปจะแค่ใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ กับกางเกงยีนส์ก็ตาม
ผมไม่ได้ถามว่าพี่อาโปจะเดินไปไหน เพราะเขาบอกว่าให้มาเดินเล่นเป็นเพื่อน ผมก็เลยทำหน้าที่แค่เดินตามไปเรื่อยๆ คอยตอบโต้บทสนทนาบ้างเวลาที่พี่อาโปหันมาคุยด้วย
ระหว่างที่พี่อาโปแวะร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่งอยู่ ผมก็อาศัยจังหวะช่วงที่รอ หยิบมือถือขึ้นมาเล่น เปิดอินสตาแกรมเพื่อเช็คความเคลื่อนไหวว่ามีใครทำอะไรหรือไปเที่ยวไหนกันบ้าง
เอ้ย น้องศิลาอัพสตอรี่นี่หว่า กดดูสักหน่อยดีกว่า
ผมยื่นนิ้วชี้ข้างขวาไปกดที่แอคเคาท์ไอจีของศิลาที่แจ้งเตือนว่ามีการอัพเดทสตอรี่ เพื่อจะเข้าไปดูว่าน้องอัพอะไรไว้ เมื่อกดเข้าไปก็พบว่าน้องอัพรูปร้านอาหารที่อยู่แถวๆ สยาม สงสัยกำลังกินข้าวอยู่แถวๆ นี้เหมือนกัน ผมก็เลยทำหน้าที่น้องที่ดีคาบข่าวไปบอกพี่อาโปเสียหน่อย
“จริงป่ะเนี่ย” พี่อาโปตาโตด้วยความดีใจ
“ไม่เชื่อพี่ก็กดดูเอาเอง”
ผมพูดจบพี่อาโปก็รีบล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเปิดไอจีเพื่อเช็คทันที พอเห็นว่าสิ่งที่ผมพูดคือเรื่องจริง ใบหน้าของพี่อาโปก็ยิ่งเปื้อนยิ้มมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“ไปร้านนั้นกัน” พี่อาโปรีบยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วพุ่งตัวเดินนำไปทันที
“เดี๋ยวพี่!!”
โห.. ตามไปคว้าเกือบไม่ทัน
“ใจเย็นก่อน อะไรจะขนาดนั้น ต้องมีเชิงหน่อยดิ” ผมรีบพูดเสริม คนแก่นี่ใจร้อนจังวะ
“ละต้องทำไงอ่ะ พี่ร้อนใจไม่ไหวแล้วเนี่ย” พี่อาโปเริ่มมีท่าทีร้อนรนจนผมต้องห้ามปราม
“พี่หายใจเข้าลึกๆ ก่อน รู้ว่าอยากรีบไปง้อศิลามัน แต่พี่ก็ต้องวางแผนก่อน เข้าไปตรงๆ แบบนี้เสียเชิงหมด” ผมร่ายยาวให้พี่อาโปฟัง พี่เขาก็ตั้งใจฟังแบบไม่ละสายตากันเลยทีเดียว
“ยังไงล่ะ”
“ง่ายมาก ก็แค่ทำเนียนว่าเราไปกินข้าวร้านนั้นพอดีไง แบบทำเป็นบังเอิญเจออ่ะพี่”
เพียะ!
“โอ๊ย!” ผมลูบหัวป้อยๆ เพราะโดนพี่อาโปตบหัวไปฉาดใหญ่
“พี่ก็นึกว่าอะไร แผนแค่นี้ใครๆ ก็คิดได้ป้ะ พี่ก็จะทำแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนะ” พี่อาโปส่ายหัว
“ใครจะไปรู้อ่ะ ก็พี่ดูรีบร้อนจนขาดสติขนาดนั้นอ่ะ”
พี่อาโปมองแรงใส่ผมอีกรอบ ทำท่าง้างมือเหมือนจะตบหัวผม ผมก็เลยรีบเอนตัวหลบทันที พี่อาโปเห็นแบบนั้นก็หลุดขำออกมา สงสัยผมคงดูตลกน่าดู พอผมดึงตัวขึ้นมายืนตรงเหมือนเดิม พี่เขาก็รีบออกตัวเดินนำไปทันที
“รอด้วยพี่!!!” ผมรีบวิ่งตามไป สงสัยพี่อาโปคงกลัวน้องศิลามันจะหายตัวไปมั้ง
พอมาถึงที่ร้าน พี่อาโปกับผมก็รีบสวมบทบาทคนเนียนทันที ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้านอาหารก่อน แล้วรีบกวาดตามองไปรอบๆ ร้านเพื่อที่จะหาว่าน้องศิลานั่งอยู่ตรงไหนของร้าน ส่วนพี่อาโปก็สวมแว่นดำแล้วเดินเนียนๆ ตามหลังผมมาเงียบๆ
โถ่เอ๊ยยย จะเนียนกว่านี้ถ้าพี่แกไม่ใส่แว่นตาดำมาเนี่ย
ไม่นานผมก็หันไปเจอน้องศิลานั่งกินข้าวอยู่กับเด็กผู้ชายมัธยมปลายคนหนึ่ง อยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน ผมก็เลยหันมาส่งสัญญาณให้พี่อาโปว่าเจอแล้ว พี่เขาเลยพยักหน้ารับ เราทั้งคู่ก็เลยเดินไปนั่งโต๊ะว่างที่อยู่ใกล้โต๊ะของศิลามากที่สุด เพื่อจะทำเนียนว่า อุ๊ย โลกกลมจัง บังเอิญเจอได้ไงเนี่ยยย..
“เอ้าพี่กานต์” เยส!! น้องศิลาทักผมแล้ว
“เอ้ย!! โลกกลมจังวะ ไม่คิดว่าจะเจอ” ผมหันไปยิ้มแล้วเอ่ยทักตอบ
ผมเห็นศิลาหันไปมองพี่อาโปที่ยืนอยู่หลังผม แต่น้องไม่ได้พูดทักอะไร เพียงแต่ยกมือขึ้นมาไหว้สวัสดีเท่านั้น
“แล้วนี่มากับใครเนี่ย” ผมถามพลางหันไปมองน้องม.ปลายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามศิลา
“น้องบลิ๊งก์ครับ” ศิลาแนะนำด้วยน้ำเสียงนิ่ง
น้องบลิ๊งก์ยกมือขึ้นพร้อมเอ่ยสวัสดีผมกับพี่อาโป
เสียงโคตรน่ารักเลย แถมหน้าตาก็น่ารักด้วย ขาวๆ ตัวเล็กๆ คงตรงสเป็คของใครหลายๆ คนเลยแหละ พิมพ์นิยมขนาดนี้
“เออ นี่พี่มากับพี่อาโปแหละ” ผมผายมือพร้อมเอี้ยวตัวเบี่ยงหลบ เพื่อจะให้น้องศิลาได้เห็นหน้าค่าตาพี่อาโปได้ชัดขึ้น ในขณะที่พี่อาโปเองก็ยืนนิ่ง ทำเป็นขรึม
ตอนก่อนจะมาไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย ดี๊ด๊าจนนึกว่าจะเสียสติซะแล้ว
“อ่อครับ” ศิลาตอบแค่นั้น
“กินข้าวเถอะ พี่ไม่กวนละ” ผมยิ้มแล้วพาพี่อาโปเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของพวกเรา
ผมหันไปเหลือบมองอีกรอบ ก็เห็นน้องศิลากำลังตักอาหารใส่ในจานของน้องบลิ๊งก์ ดูแลกันเป็นอย่างดี
มันยังไงกันซิ..
“น้องบลิ๊งก์นั่นใครวะ พี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” พี่อาโปอ้าปากถามทันทีที่เรากลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเอง
ถามแบบไม่กลัวน้องเขาได้ยินเลยนะ
แต่เอาจริง ไม่น่าจะได้ยินหรอก เพราะโต๊ะที่พวกเรานั่ง ถึงแม้จะดูใกล้ในระยะสายตา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องระยะเสียงแล้วน่าจะปลอดภัยอยู่ประมาณหนึ่ง เพราะเสียงภายในร้านอาหารก็ค่อนข้างที่จะดังพอที่จะกลบเสียงของผมกับพี่อาโปในขณะที่กำลังนินทาน้องศิลากับน้องบลิ๊งก์ไปได้
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ” มาถามผมว่าใครคือน้องบลิ๊งก์ แล้วจะให้ผมไปถามใครอ่ะ เพราะไม่รู้จักเหมือนกัน
“รู้สึกแปลกๆ เหมือนจะไม่ชอบ” พี่อาโปบอกผมพร้อมทำหน้ายู่
“ใจเย็นก่อนนน น้องมันก็ยังไม่ได้ทำอะไรพี่เลย เขาก็นั่งกินข้าวของเขาเฉยๆ น่ะ”
“แต่น้องศิลาก็ดูแลดีจังอ่ะ ตอนไปกับพี่ไม่เห็นมีงี้เลย” เสียงพี่อาโปหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
“แหนะ แอบไปไหนมาไหนกันสองคนบ่อยสินะ” ผมกระซิบถามพลางอมยิ้มไปด้วย
สายตาของพี่อาโปเลิ่กลั่กทันที ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติ อย่าคิดว่าผมไม่เห็นเลย ไม่มีอะไรรอดผ่านสายตาคนขี้ชิปแบบผมไปได้ ไม่งั้นก็คงไม่เลือกทำหนังสั้นแนววายแบบนี้หรอกครับ
“ไม่ๆๆ ไม่ได้บ่อยขนาดนั้น” ลิ้นพันกันหมดแล้วพี่อาโป ฮ่าๆ
“อ่อ นึกออกๆ”
“นั่นแหละ” อ่ะ พี่อาโปถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกหนึ่ง
“ผมถามจริงๆ นะพี่ นี่พี่คิดอะไรกับน้องศิลามันป่ะเนี่ย”
ตรงไปมั้ยวะ พี่อาโปนิ่งไปเลย
“ก็... เอ็นดูแหละ น้องมันน่ารักดี ไม่ได้อะไรๆ”
“อ่อ..”
“ทำไม คิดว่าพี่ชอบน้องศิลาหรอ”
“ใช่พี่” เร็วปานวอก ตอบแบบไม่คิดเลยผม
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ บอกไม่ถูก แต่ก็รู้สึกว่าน้องมันน่ารักดี” พี่อาโปยิ้มไปพูดไป สายตามองไปทางที่น้องศิลานั่งอยู่ ผมก็เลยหันไปมองตาม ปรากฏว่าน้องศิลาเงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาสบสายตากับพวกผมพอดี ผมกับพี่อาโปสะดุ้งแรงก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง
“น้องเขารู้แน่เลยว่าเรากำลังนินทาเขาอ่ะ” ผมกระซิบบอกพี่อาโป
พี่อาโปพยักหน้าด้วยสีหน้าแหยๆ
“งั้นเราสั่งอาหารกันก่อนละกันพี่”
ผมยกมือเรียกพนักงานให้เดินมาที่โต๊ะเพื่อรับออเดอร์ แต่ระหว่างที่เรากำลังรอให้พนักงานเดินมาที่โต๊ะ ศิลากับน้องบลิ๊งก์ก็ลุกเดินออกจากโต๊ะแล้วผ่านมาทางโต๊ะผม ก่อนจะเอ่ยพูด
“ผมไปก่อนนะพี่กานต์”
“เออๆ กลับดีๆ” ผมตอบกลับไปแบบงงๆ
พอน้องศิลากับน้องบลิ๊งก์เดินออกไป ผมก็รีบหันกลับไปคุยกับพี่อาโปทันที “น้องศิลามันหนีพวกเราป่ะวะ”
“นั่นดิ พี่ก็คิดงั้นว่ะ”
“เออ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ไปมองน้องมันขนาดนั้น เป็นผม ผมก็หนี อึดอัดตาย โดนมองขนาดนั้น”
พอผมพูดจบถึงจะระลึกได้ว่าไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ออกไป ก็เลยหุบปากเงียบ สีหน้าของพี่อาโปออกอาการผิดหวังอยู่หน่อยๆ แต่ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ พนักงานร้านก็เดินมารับออเดอร์ ผมกับพี่อาโปก็เลยสั่งเมนูที่เลือกกันไว้ก่อนหน้านี้ แต่เอาจริงๆ ดูท่าแล้ว พี่อาโปคงอยากกลับมากกว่าอยากกินแล้วแหละ
“กินข้าวกันก่อนละกันพี่ แล้วค่อยว่ากัน ว่าจะเอายังไงต่อ”
พี่อาโปพยักหน้ารับ
ผมกับพี่อาโปนั่งรออาหารอยู่ไม่นานก็มาเสิร์ฟ พวกเราทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างกินโดยไม่ค่อยได้มีบทสนทนาอะไรกันมากมายนัก ผมเองก็ไม่กล้าจะชวนพี่อาโปคุยเยอะด้วยแหละ เพราะว่าพี่เขาคงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะคุยสักเท่าไหร่
พวกเรานั่งกินข้าวเงียบๆ กันแบบนั้นจนเสร็จ มื้อนี้พี่อาโปอาสาเป็นคนเลี้ยง เขาจ่ายค่าอาหารให้ทั้งหมด ก่อนจะเดินออกมาที่รถ แล้วเดินขึ้นรถไปด้วยใบหน้าที่แฝงแววความเครียดอยู่ไม่น้อย
พี่อาโปดูกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวเยอะมาก ผมเองทำได้แค่เดินตามขึ้นรถไปนั่งฝั่งข้างคนขับเงียบๆ โดยไม่เอ่ยถามอะไรทั้งนั้น
“พี่ควรโทรหาศิลามันมั้ยวะ” พี่อาโปหันมาถามผม
“อยากโทรก็โทรเลยพี่”
“ใช่มะ อยากเคลียร์ให้จบๆ เมื่อกี๊กานต์ก็เห็นนี่ ว่าน้องมันไม่คุยกับพี่เลยอ่ะ”
“มันก็หวัดดีพี่อยู่นะ” ผมแย้ง
“ก็นั่นมันทักตามมารยาทมั้ยล่ะ”
“เออ ก็จริงแหละ” ผมก็เห็นด้วย เพราะสิ่งที่เห็นก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“อือ” พี่อาโปตอบด้วยการขานรับในลำคอ
ผมมองหน้าพี่อาโปนิ่ง รู้แหละว่าพี่เขากังวลอ่ะ สีหน้าออกขนาดนั้น แต่ผมจะเข้าไปก้าวก่ายมากก็คงจะไม่ดี เพราะมันไม่ใช่เรื่องของผมโดยตรงขนาดนั้น ทำได้มากสุดก็คงเป็นการนั่งให้กำลังใจพี่เขาอยู่ข้างๆ ตรงนี้แหละ
“พี่โทรหาน้องมันเลยดีกว่าเนอะ” พี่อาโปหันมาหาผม
ผมก็เลยพยักหน้าตอบไป
พี่อาโปยกมือถือขึ้นมากดโทรออกหาน้องศิลา ไม่นานก็ได้ยินเสียงปลายสายลอดออกมาเบาๆ จากโทรศัพท์ของพี่อาโป พอพี่เขาเห็นว่าผมมีท่าทีชัดเจนว่าอยากจะร่วมฟังบทสนทนาของพวกเขาทั้งคู่เสียเต็มประดา พี่อาโปก็เลยเปิดลำโพงมือถือไปซะเลย
(ฮัลโหลครับ)
“หวัดดีน้อง”
(…)
“เอ่อ.. โกรธไรพี่ป่าวอ่ะ”
เชี่ยยย ถามตรงๆ แบบนี้เลยเหรอ
(เปล่านะพี่)
“อ่อ ก็เห็นเราไม่คุยกับพี่เลยวันนี้”
(คิดมากน่ะพี่)
“เออ เรื่องวันนั้นอ่ะ พี่... ขอโทษนะที่ขึ้นเสียงใส่อ่ะ”
(วันไหนอ่ะ)
เอ้า! นี่ศิลามันลืมจริงหรือแกล้งลืมวะ
“ก็ วันที่ไปดูหนังอ่ะ”
(อ๋อ.. ช่างมันเหอะพี่ ผมลืมไปละ)
“อ่อ...”
(…)
“แล้ว..”
นี่พี่!! เจอกันเฉพาะในงานไม่พอหรอ ไม่คิดจะให้เวลาส่วนตัวคนอื่นเขาหน่อยหรือไง!
เชี่ยยย เสียงใครวะ
(บลิ๊งก์ ไม่เอาน่า)
เสียงศิลาเรียกชื่อน้องบลิ๊งก์ที่ปลายสายทำเอาผมกับพี่อาโปหันมองหน้ากันขวับ
“พี่ขอโทษที่รบกวนเวลาส่วนตัวนะครับ”
แล้วพี่อาโปก็ตัดสายทันที
“เป็นเหี้ยไรมากป้ะ” พี่อาโปสบถแรง
น่ากลัวจังวะ ไม่เคยเห็นพี่อาโปโหมดนี้เลย
“ใจเย็นก่อนพี่” ผมเอื้อมมือไปลูบไหล่พี่อาโปเบาๆ ให้ใจเย็นลงก่อน
“พูดขนาดนี้งั้นก็รู้จักกันเฉพาะตอนทำงานละกัน นอกงานก็ไม่ต้องมายุ่งกันละ” พี่อาโปไม่ได้ใจเย็นลงแม้แต่น้อย นิ้วมือไล่กดบล๊อกไลน์ ลบเบอร์ของศิลาจนหมด
สงสัยจะโกรธจริงๆ คราวนี้
“ต้องขนาดนี้เลยเหรอพี่” ผมถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ
“ก็ไม่อยากให้ยุ่งในเวลาส่วนตัวไม่ใช่เหรอ ก็นี่ไงเลิกยุ่ง”
“อ่า.. มันไม่แรงไปหน่อยเหรอพี่”
“แกก็ด้วย เลิกยุ่ง! นี่เรื่องของพี่ พี่จะจัดการเอง”
เอาล่ะ เริ่มพาลใส่ผมละ พูดงี้ก็เคืองนะ อุตส่าห์ออกมาช่วยแต่มาพูดงี้ใส่อ่ะ ก็เข้าใจได้แหละว่ากำลังโกรธ ครั้งนี้จะไม่ถือโทษละกัน สงสารแก
—————————————————————————-
พูดคุย อย่าลืมติดแท็ก #ศิลาของอาโป กันด้วยนะครับ
แล้วก็ขอแจ้งข่าวนะครับ หลังจากตอนหน้าเป็นต้นไป จะมีการติดเหรียญเพื่อจำหน่ายนะคร้าบ ใครที่อดใจไม่ไหว อยากรีบอ่านก่อนใครก็อุดหนุนกันได้งับ ส่วนใครที่รออ่านฟรีจะสามารถอ่านได้หลังจากการจำหน่ายไปแล้ว 1 สัปดาห์ครับ ส่วนตอนพิเศษที่จะอัพหลังจากนี้ ก็จะเริ่มมีการติดเหรียญเพื่อจำหน่ายนะค้าบ รับรองว่าพิเศษจริงๆ และเนื้อหาไม่เหมือนกับตอนพิเศษที่จะปรากฏในเล่มตอนรวมเล่มแน่นอนครับ!
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามงับ