โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) - Chapter 8 ขอเคลียร์หน่อย โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป

รายละเอียด

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

สารบัญ

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Action! บทนำ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 1 เจอกันวันแคสติ้ง,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 2 นัดเจอกันนอกรอบ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 3 อิหยังวะ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 4 เพราะใจมันเต้นแรงกว่าที่เคย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 5 เพราะความหิวจึงเกิดปัญหา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 6 โลกเอยจงซับซ้อนยิ่งขึ้น,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 7 ออกกองเดย์,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 8 ขอเคลียร์หน่อย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 9 เรียกเดทได้ใช่มั้ย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 10 วันเกิดศิลา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 11 ปีใหม่แต่หัวใจดวงเดิม,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 12 ของขวัญวันเกิด,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 13 ตอนพิเศษ : สุขสันต์วัน Halloween,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 14 ตอนพิเศษ : ไอ้ศิลาเรียนจบแล้วโว้ยยยย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 15 ตอนพิเศษ : มีอะไรอยู่ในกอไผ่,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 16 ตอนพิเศษ : ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง

เนื้อหา

Chapter 8 ขอเคลียร์หน่อย

ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีส้มเป็นมืดสนิทบ่งบอกเวลากลางคืน ดวงจันทร์คืนนี้ส่องสว่างชัดแจ้งกว่าทุกคืน อาจเพราะเป็นคืนวันเพ็ญ ลมเย็นๆ พัดโบกช่วยให้บรรยากาศในคืนนี้มันดีกว่าที่เคย เสียงครึกครื้นของร้านค้าภายนอกเริ่มดังเล็ดลอดเข้ามาภายในรีสอร์ท แต่ก็ไม่ได้ดังจนรบกวนพวกเรามากเกินไปนัก


ผมนั่งเช็ดหัวอยู่บนเตียงด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ให้หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ส่วนไอ้เตก็กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำนู่น ผมเอื้อมมือไปคว้ารีโมตทีวีมากดเปลี่ยนช่องเพื่อหารายการอะไรที่มันบันเทิงจิตบันเทิงใจดูสักหน่อย เพราะตั้งแต่เย็นก็เครียดจนจะบ้า ปวดหัวแทบแย่


แกร๊ก!


เสียงประตูห้องน้ำถูกเปิดออก พร้อมๆ กับที่ไอ้เตนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากด้านใน


“มึง กูขอผ้าเช็ดหัวหน่อย”


“ในห้องน้ำก็มี ทำไมไม่ใช้วะ” ผมถามไอ้เตกลับไปด้วยความสงสัย


“ก็กูเดินออกมาแล้วเนี่ย เอามาเร็วๆ”


ผมก็เลยต้องโยนผ้าขนหนูผืนที่เช็ดหัวตัวเองอยู่ไปให้มัน


ไอ้ห่านี่!


หลังจากที่มันจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว มันก็เดินมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างๆ ผม รายการวาไรตี้ในทีวีก็ฉายไปเรื่อยๆ เอาจริงๆ ผมว่ารายการสมัยนี้มันไม่ค่อยมีอะไรน่าดึงดูดใจให้ดูได้นานสักเท่าไหร่เลย หรือว่าเพราะผมโตเกินจะดูแล้วก็ไม่รู้


“เออมึง ละสรุปเรื่องพี่อาโปกับน้องศิลามีอะไรอัพเดทมั้ยวะ” อยู่ๆ ไอ้เตก็เอ่ยถามขึ้นมา


“หึ ไม่มีไรเลย เงียบกริบ”


“พี่อาโปอ่ะนะ”


“เออดิ อยู่ในห้องตั้งแต่ตอนที่กูออกมานั่นแหละ”


“โห ไม่หิวเหรอวะ”


“ไม่รู้จ้าาา” ผมบอกปัด เพราะเริ่มรำคาญ


“แล้วน้องศิลาอ่ะ”


“รายนั้นไปอยู่ห้องเพื่อนตั้งแต่เพื่อนมาถึงละ”


“อ่อ ชิลเลย”


“จริงมึง” ผมหยิบรีโมตมาเปลี่ยนช่องอีกครั้ง คราวนี้กดเลื่อนไปยังช่องที่กำลังออกอากาศภาพยนตร์ต่างชาติอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวแฟนตาซีแบบที่ผมชอบ ผมก็เลยเอนตัวลงนอนดูทันที


โอ้โห เตียงกับหมอนของรีสอร์ทนี่มันดูดวิญญาณจริงๆ จะดูจนจบเรื่องมั้ยเนี่ย


ก๊อกๆ


เอ่า ยังไม่ทันจะได้อินกับหนังเลยเนี่ย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกละ


ผมกำลังจะลุกจากเตียงไปเปิดประตู แต่ไอ้เตก็ยั้งผมเอาไว้ก่อน


“เดี๋ยวกูไปเปิดเอง มึงนอนดูไปเหอะ”


ไอ้เตเดินไปเปิดประตูห้องในขณะที่ผมก็ยังคงจดจ่อสายตาที่หน้าจอทีวีกับหนังฝรั่งเรื่องดัง ไม่นานมันก็เดินเข้ามาพร้อมกับพี่อาโปที่ถือบทเข้ามาด้วย


“เอ้าพี่ นั่งก่อน” ผมสะดุ้งตัวขึ้นนั่งทันทีที่เห็นพี่อาโปเดินเข้ามาภายในห้อง


พี่อาโปเดินมานั่งลงข้างเตียงฝั่งที่ผมนั่งอยู่ด้วยสีหน้าเรียบที่ผมเองก็เดาไม่ถูกว่าพี่เขากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่


“มีอะไรเปล่าพี่” ผมถาม


“แค่.. อยากคุยเรื่องบทอ่ะ”


“อ่อครับ เดี๋ยวผมช่วยดูให้ครับ พี่ติดตรงไหนมั้ยครับ” ผมพูดพลางยื่นมือไปขอบทจากมือพี่อาโปมาไว้ในมือตัวเอง แต่พี่อาโปก็ส่ายหัวแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง


“…”


“พี่หมายถึง.. คุยกับศิลาอ่ะ”


“อ๋อ.. อยากคุยกับน้องศิลา เดี๋ยวผมเรียกให้ครับ”


ผมเตรียมจะลุกเดินไปเรียกน้อง แต่เสียงพี่อาโปก็ดังขัดขึ้นมาซะก่อน


“หมายถึงเรื่องบทนะ” พี่อาโปยังคงคอนเซปท์หน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม


เห้อ ฟอร์มจัดเกินไปก็เหนื่อยงี้แหละพ่อ!


“ได้พี่ เดี๋ยวผมบอกให้” ผมกระโดดลงจากเตียงเดินไปที่ประตู แต่ไอ้เตก็ขัดขึ้นมาอีกรอบ จะถึงห้องไอ้ศิลามั้ยวันนี้ หลายรอบละนะ


“ทำไมมึงไม่โทรหาวะ จะได้ไม่ต้องเดิน”


“ก็เผื่อน้องมันสังสรรค์กับเพื่อนอยู่งี้ กลัวมันไม่ได้ยิน เดินไปเรียกง่ายกว่า”


ผมพูดจบก็รีบสวมรองเท้าแตะแล้วเดินออกไปที่ห้องเพื่อนของศิลาทันที ซึ่งอยู่ห่างจากห้องของผมไปเพียงแค่นิดเดียว ก็เลยไม่ต้องเดินไกลสักเท่าไหร่นัก


เสียงกีตาร์กับเสียงร้องเพลงลอยแว่วออกมาจากในห้อง ก็แอบคิดไว้แล้วแหละ เวลาแก๊งเด็กผู้ชายอยู่ด้วยกันหลายๆ คนอ่ะเนอะ มันก็ต้องมีเฮฮากันเป็นเรื่องธรรมดา


ก๊อกๆ


เงียบ


ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก


แต่เสียงกีตาร์กับเสียงโหวกเหวกโวยวายยังคงดังลั่นอยู่ ยิ่งพอมายืนอยู่หน้าห้องแบบนี้ ยิ่งได้ยินชัดเข้าไปใหญ่


ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆ


ผมเคาะประตูรัวขึ้น รวมถึงดังขึ้นมากกว่าเดิมด้วย


ได้ผลแฮะ!


เสียงในห้องเงียบลงก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตู


“อ้าวพี่!” ศิลาร้องทักทันทีที่เปิดประตูมาเจอผมยืนรออยู่


“ว่างป้ะ”


“มีไรป่ะพี่” สีหน้าสงสัยของน้องศิลาเผยให้เห็นเด่นชัด


“พอดีพี่อาโปเขาอยากคุยเรื่องบทกับน้องอ่ะ เผื่อพรุ่งนี้จะได้ถ่ายทำกันง่ายๆ”


“อ่อ งั้นรอแป๊บนะพี่ เดี๋ยวผมเอาบทก่อน”


ศิลาหันหลังหายกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แล้วเดินออกมาพร้อมกับบทที่ผมเคยให้น้องไว้ตั้งแต่ตอนเจอกันแรกๆ


“ไปครับ จะได้เลิกไม่ดึก”


ผมได้ยินน้องศิลาพูดแบบนั้นก็แอบหลุดยิ้มออกมาเบาๆ มันตั้งใจดีเหมือนกันเว้ยเด็กคนนี้ ผมเดินนำน้องออกมาจนถึงห้องของผม พอเปิดเข้าไปก็เห็นพี่อาโปกับไอ้เตกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่เงียบๆ


“หวัดดีครับ” ศิลาเอ่ยพูดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่ได้เจาะจงถึงใคร


พี่อาโปเงยหน้ามองน้องศิลาแล้วหันไปหยิบบทของตัวเองมาเปิดออก


ผมที่เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่มันอึมครึมก็เหล่ตาไปมองไอ้เตเพื่อขอความช่วยเหลือ ว่่าจะทำยังกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ดี มันเต็มไปด้วยมวลอะไรก็ไม่รู้โคตรอึดอัดเลย


“ก็.. พี่อาโปอยากคุยตรงไหนนะครับ” ผมหันไปถามพี่อาโป เพราะหวังอยากให้บรรยากาศมันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่


“อ่อ พี่อยากลองซ้อมดูก่อนอ่ะ พรุ่งนี้จะได้ผ่านไวๆ”


“มาครับซีนไหนดี” ผมคว้าบทของตัวเองมาเปิดดู เพื่อมองหาซีนที่จะใช้ถ่ายพรุ่งนี้


“ซีนในห้องนอนมั้ยครับ” ศิลาเอ่ยเสนอขึ้นมา


“อ่ะ ก็ดีนะ เพราะมันเป็นซีนที่ต้องแสดงให้เห็นว่ารักกันมากๆ อ่ะเนอะ” ผมพูดเสริม


“พี่อาโปโอเคใช่มั้ยครับ” ผมหันไปถามเพื่อความมั่นใจ เพราะเอาจริงก็แอบกลัวอยู่เพราะทั้งคู่ทะเลากันอยู่อ่ะ ไม่รู้ว่าจะเล่นกันได้มั้ยเนี่ย ลองดูก่อนละกัน ถือซะว่าเวิร์คช็อป


“ได้แหละ” พี่อาโปพยักหน้าแล้วสูดหายใจเข้าลึก


“งั้นมาลองดูนะครับ” ผมพูดพลางลุกออกจากเตียงมานั่งที่โซฟา เพื่อจะได้มองเห็นชัดๆ ไอ้เตเองก็เดินตามมานั่งข้างผมด้วย


“มึงว่าจะรอดมั้ยวะ” ไอ้เตกระซิบถามที่ข้างหูผม


“กูว่าไม่รอด” ผมตอบกลับไปด้วยความมั่นใจแบบเกินร้อยเลย


พอพวกผมกับไอ้เตย้ายลงมานั่งที่โซฟา พี่อาโปกับน้องศิลาก็เริ่มทำสมาธิทันที แล้วปรับท่าทางและอารมณ์ให้ตรงกับซีนที่เราเลือกมาซ้อมกัน เอาจริงๆ จากสายตาผมตอนนี้น้องศิลาดูพร้อมกว่ามาก ดูเป็นคาแรกเตอร์ของตัวละครแล้ว แต่ฝ่ายพี่อาโปนี่แหละที่สายตายังดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ไม่อยากจะไปคิดแทนเขา


“พร้อมนะครับ” ผมพูดเพื่อบอกเป็นสัญญาณให้ทั้งคู่เตรียมพร้อม


“แอคชั่น!”


สิ้นเสียงสั่งแอคชั่นของผม พี่อาโปและน้องศิลาก็เริ่มเล่นตามซีนที่เลือกมาทันที ศิลาเริ่มพูดในส่วนของตัวเอง ฝ่ายพี่อาโปก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ผมเห็นในตอนนี้มันไม่ใช่การแสดงเลยอ่ะ มันอะไรก็ไม่รู้ เคมีไม่ได้ สายตาที่มองกันมันก็เต็มไปด้วยความกังวลไปหมด ไม่เหมือนกับตอนที่เคยเวิร์คช็อปมาก่อนหน้านี้เลย ไม่ใช่แค่พี่อาโปคนเดียวนะที่มีสายตากังวลแบบนั้น ในตอนนี้น้องศิลาเองก็มีท่าทีเก้ๆ กังๆ เหมือนยังกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปใกล้ตัวพี่อาโป คือแบบ ผู้กำกับอย่างผมเห็นแบบนี้มันก็แอบรำคาญนิดนึงอ่ะเอาจริงๆ เพราะมันก็ค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐานของทั้งคู่ไปเยอะทีเดียว ถ้าเทียบจากครั้งก่อนๆ ที่เราเคยเวิร์คช็อปกันอ่ะ


“คัทก่อนครับ” ผมเอ่ยสั่งปุ๊บทั้งคู่ก็ผละตัวออก แล้วแยกกันนั่งคนละมุมเตียง


“ถามจริง ยังไม่พร้อมกันใช่มั้ย”


“ครับ ผมไม่พร้อมเอง” เสียงของศิลาเอ่ยพูดขึ้นก่อน ในขณะที่พี่อาโปยังนั่งนิ่งไม่ได้พูดอะไร


“แล้วพี่อาโปล่ะครับ” ผมหันไปถาม


“ก็.. น่าจะแบบนั้น”


เห้อออออออ....


ปวดกบาล


“อยากเคลียร์อะไรก่อนมั้ย เผื่อจะดีขึ้น ไม่งั้นพรุ่งนี้เราถ่ายกันไม่ได้แน่ๆ” ไอ้เตช่วยพูดให้เมื่อเห็นว่าผมถอนหายใจแรงไปเมื่อครู่


“จริงๆ ผมไม่มีอะไรนะพี่” ศิลาบอกปัด


“พี่ก็ไม่มีอะไรนะ” พี่อาโปพูดเสริม


“แต่นี่คิดว่ามีนะ ทั้งคู่เลยอ่ะ มันดูไม่มีสมาธิ ไม่เหมือนกับที่เราเคยเวิร์คช็อปกันมาก่อนหน้านี้เลยอ่ะ มันแปลกไปหมด”


“จริง อันนี้เห็นด้วย” ไอ้เตพูดต่อทันทีหลังจากที่ผมพูดจบ


“เพราะเรื่องเมื่อเย็นใช่ป้ะ” ผมโพล่งถามขึ้นมา เพราะเริ่มรู้สึกว่าจะทนไม่ไหวแล้ว


“งั้นก็ไปคุยกันให้เคลียร์ก่อนนะ เรียบร้อยละก็มาบอกละกันครับ จะได้มาซ้อมกันต่อ”


ผมพูดจบก็ทิ้งตัวลงนอนก่ายหน้าผากที่โซฟาทันที ไอ้เตก็เลยพาพี่อาโปกับน้องศิลาออกไปจากห้องผม เพื่อให้ไปเคลียร์ใจกันข้างนอก แล้วค่อยว่ากันใหม่


—————————— The Story of Water and Stone ——————————


เตชินท์พาอาโปกับศิลามาที่หน้าห้องของอาโป โดยที่ทั้งคู่ก็ดูไม่ได้มีท่าทีขัดขืน แต่ก็ดูไม่ได้อยากจะคุยกันสักเท่าไหร่ แต่มันจำเป็นต้องเคลียร์กันให้ได้ เพราะไม่งั้นพรุ่งนี้กานต์ต้องอาละวาดแน่ๆ ถ้างานถ่ายทำเป็นไปแบบไม่ราบรื่น


“คุยกันให้เรียบร้อย เอาให้เคลียร์นะ ผมไม่อยากให้งานผมกับเพื่อนเสียอ่ะ” เตชินท์พูดเชิงขู่ไปหน่อยๆ แล้วก็เดินกลับไป ทิ้งให้อาโปกับศิลายืนมองหน้ากันไปมาอยู่พักใหญ่โดยไม่มีใครพูดอะะไรออกมา


“เข้าข้างในมั้ยครับ” ศิลาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเมื่อเริ่มรู้สึกว่าจะทนยืนให้ยุงกัดต่อไปไม่ไหว


“อื้ม” พี่อาโปพยักหน้าแล้วไขกุญแจห้องก่อนจะเปิดเข้าไป


เงียบสงัด


เสียงแอร์เป็นเพียงเสียงเดียวที่ส่งเสียงดังแทรกความเงียบภายในห้องนี้


ศิลาเดินไปนั่งที่โซฟา โดยมีอาโปเดินมานั่งลงข้างๆ แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้


“พี่อยากพูดอะไรมั้ย” ศิลาเอ่ยถามขึ้น


“ไม่มีอ่ะ”


“ไม่มีจริงอ่อพี่” ศิลาถามย้ำ “แต่จากที่ผมเห็นเมื่อกี๊ตอนเวิร์คช็อปอ่ะ พี่ดูมีอะไรอยากพูดนะ พี่ดูไม่มีสมาธิเลยอ่ะ ไม่เห็นเหมือนพี่อาโปที่เคยเวิร์คช็อปกับผมเลย”


“จริงๆ ก็มี”


“เห็นมั้ย แล้วก็ไม่ยอมพูด”


“ก็...”


“พี่โกรธผมแหละ ที่ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับพี่อะ”


“อือ”


“แต่ผมก็บอกแล้วไงว่าเพื่อนมาอ่ะ พี่ก็ต้องเข้าใจผมด้วย!” ศิลาเผลอขึ้นเสียงใส่อาโปก่อนจะรีบเงียบลงทันที ฝ่ายอาโปทีแรกก็ดูจะมีอารมณ์เหมือนกันตอนที่ได้ยินน้องพูดเสียงดังแบบนั้น แต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้


“…”


“ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นเสียง”


“อืม ไม่เป็นไร”


“พอดีเพื่อนผมมา ผมก็เลยอยากจะไปนอนกับเพื่อน เพราะยังไงพรุ่งนี้เราก็ต้องถ่ายงานด้วยกัน ก็อยู่ด้วยกันทั้งวันอยู่แล้วอ่ะพี่” ศิลาพยายามพูดให้อาโปเข้าใจ


อาโปก็พยักหน้ากึกๆ


“อืม พี่ก็ขอโทษนะ”


“ขอโทษเรื่องไหนครับ” ศิลาถามจี้เพราะอยากให้อาโปพูดออกมาตรงๆ อย่าอ้อมแอ้ม เพราะเขาไม่ชอบ


“ก็เรื่องนี้แหละ แล้วก็เมื่อเย็นด้วยที่โวยวายใส่เราอ่ะ” อาโปถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “พี่แค่ไม่ชอบที่เราไม่ทำตามที่พูดไว้”


“จริงๆ ผมก็ไม่ชอบที่พี่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวผม”


“…”


“แต่ว่าผมเข้าใจ ผมเองก็ไม่คิดให้ดีด้วย ดันชวนเพื่อนให้มานอนที่เดียวกันงี้ เพราะกลัวจะเหงา แทนที่จะโฟกัสกับเรื่องทำงานมากกว่าเจอเพื่อน”


“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว พี่ขอโทษนะ”


“ผมก็ขอโทษนะพี่”


อาโปพยักหน้าตอบรับ ศิลาเอาบทขึ้นมาวางบนโซฟาตรงพื้นที่ว่างตรงกลางระหว่างที่เขากับอาโปนั่งอยู่


“ทีนี้เราก็มาเริ่มทำงานของเรากันดีกว่าครับ” ศิลาเอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ


“มา”


อาโปหยิบบทมาเปิดไปยังซีนที่จะซ้อมกันเมื่อกี๊อีกครั้ง


“พร้อมนะ” อาโปหันมาถามศิลา ศิลายิ้มกว้างแล้วพยักหน้า


อาโปและศิลาเริ่มต้นพูดบทสนทนาตามที่ในบทบอกเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ แสดงท่าทางไปตามอารมณ์ของตัวละคร อย่างที่บอกว่ามันเป็นซีนที่แสดงถึงความรักของทั้งสองตัวละคร ดังนั้นก็คงหนีไม่พ้นพวกฉากเลิฟซีนต่างๆ ทั้งคู่พ่นคำหวานใส่กัน จากนั้นก็ส่งสายตาหวานสื่ออารมณ์ในฐานะตัวละคร ทั้งคู่ค่อยๆ ดำดิ่งลงไปจนหลงลืมไปว่าตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเป็นใคร


อาโปค่อยๆ โน้มหน้าเข้าไปหาศิลามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นซีนจูบ ทีแรกอาโปก็ตั้งใจว่าจะแค่แกล้งทำเป็นว่าจูบแล้วก็เป็นอันจบการซ้อมบทในครั้งนี้ แต่ด้วยบรรยากาศและความอินในคาแรกเตอร์ตัวละคร ก็เลยทำให้อาโปยิ่งรู้สึกหลงใหลบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าที่เคย


จุ๊บ~!


อาโปเผลอกดจูบลงไปที่ริมฝีปากบางของศิลา สายตาของศิลาเผยให้เห็นความตกใจออกมาเล็กน้อย แต่อย่างที่บอกไปว่าด้วยบรรยากาศในตอนนี้มันช่างส่งเสริมให้เขาละทิ้งซึ่งความเป็นตัวตนของตัวเองไปทั้งหมด ศิลาเองก็หลงใหลไปกับบทบาทของตัวละครที่ตัวเองสวมอยู่ จนลืมไปว่าคนที่จูบตัวเองอยู่นั้นคือพี่อาโป ไม่ใช่ตัวละครในเรื่อง


เพราะความสับสนและลุ่มหลงในความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การจุ๊บธรรมดาแบบตอนที่เคยเวิร์คช็อปกันก่อนหน้านี้ แต่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เริ่มกระพือพัดอย่างหนักหน่วง ฝั่งอาโปพยายามที่จะรุกหนักเพื่อช่วงชิงพื้นที่เล็กน้อยในโพรงปากของศิลามาเป็นของตัวเอง ส่วนศิลานั้นก็เผลอเคลิบเคลิ้มไปกับความรู้สึกจนแอบเผลออนุญาตให้อีกฝ่ายครอบครองพื้นที่เหล่านั้นไปได้


ไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งคู่จะรู้สึกตัวตอนไหน แล้วเหตุการณ์นี้มันจะไปจบลงเมื่อไหร่


ไม่อาจล่วงรู้ นอกจากเขาทั้งสองคน...


—————————— The Story of Water and Stone ——————————


“ไอ้กานต์ มึงเดินไปดูหน่อยมั้ย นานไปละนะ กูกลัวเขาจะตีกันตายไปซะก่อนเนี่ย” ไอ้เตเอ่ยถามผมหลังจากที่เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าเห็นจะได้แล้ว


“เออๆ กูลืมไปเลย ดูทีวีเพลิน” ผมลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินนำออกจากห้องไป โดยมีไอ้เตวิ่งตามหลังมา


ยิ่งดึกยุงยิ่งเยอะแฮะ เดินออกมาไม่ทันไร โดนตอดขาไปสองสามทีละ


ก๊อกๆๆ


ผมเคาะห้องพี่อาโป แต่ก็เงียบไม่มีเสียงตอบรับอะไร


“มึง.. เขาไม่ได้ฆ่ากันตายไปแล้วใช่ป้ะ” ไอ้เตหันมาถามด้วยสีหน้ากังวลหนัก


เพี๊ยะ!


ผมก็เลยตบกะโหลกมันไปฉาดใหญ่ ไอ้เวรเอ๊ย คิดมาได้เนอะคนเรา


“อย่าคิดมากน่า เขาอาจจะกำลังเคลียร์กันอยู่ แล้วไม่อยากให้เข้าไปยุ่งก็ได้”


“แต่มันเงียบเกินไปนะเว้ย เคาะประตูขนาดนี้จะไม่ได้ยินเลยอ่อ” ไอ้เตเอ่ยต่อ


“งั้นลองดูอีกทีก็ได้อ่ะ” ผมพูดแล้วยกมือขึ้นเคาะประตูอีกรอบ


ก๊อกๆๆๆ


คราวนี้ออกแรงเคาะให้ดังกว่าเดิม


“รอแป๊บนะ” มีเสียงตอบรับดังลอดมาจากในห้องละ


ค่อยยังชั่ว นึกว่าตีกันตายไปซะแล้ว


แต่ใช่ว่าได้ยินเสียงตอบรับแล้วพวกเราจะได้เจอพวกเขาในทันที เพราะผมกับไอ้เตก็ต้องยืนรอตรงนั้นอยู่เกือบห้านาที กว่าที่พี่อาโปจะออกมาเปิดประตูให้


โห.. นี่ต่อยกันป่ะเนี่ย ทำไมเหงื่อโชกขนาดนี้ เสื้อก็ยับเยินเชียว


“นี่พี่ทะเลาะกันหรอ” ผมถามด้วยความตกใจ ก็พี่อาโปตัวเปียกเหงื่อขนาดนี้ ทั้งๆ ที่แอร์ในห้องก็เย็นอยู่นะ


ถ้าไม่ใช่เพราะตีกัน มันจะเพราะอะไรได้อีกล่ะ!


“ทำไมไม่คุยกันดีๆ อ่ะพี่ แล้วงี้พรุ่งนี้ผมจะถ่ายยังไงเนี่ย” ผมเริ่มขึ้นเสียง ตัวเริ่มสั่นเพราะความโกรธ ไอ้เตรีบเข้ามาปลอบผมทันที มันยึดไหล่ผมไว้เพราะกลัวว่าผมจะลงไม้ลงมือไปซะก่อน แต่เอาจริงต่อให้โกรธขนาดไหนผมก็ไม่กล้าลงมือหรอกครับ พี่อาโปตัวใหญ่ขนาดนั้นใครจะไปกล้ามีเรื่องด้วย


“ใจเย็นๆ ก่อนพี่ ไม่ได้ทะเลาะกันครับ”


ศิลาวิ่งหัวฟูออกมาที่หน้าประตู โอ้โห นี่ก็เหงื่อท่วมตัวไม่ต่างกัน


“พอดีซ้อมบทกันอยู่อ่ะครับ” ศิลาพูดต่อ


“แน่ใจนะ” ผมถามย้ำ


“ครับผม”


“แต่แกปากแตกนะศิลา” ผมพูดต่อหลังจากสังเกตเห็นรอยแผลที่มีเลือดซึมเล็กน้อยที่มุมปากของน้องศิลา


น้องศิลาตกใจตาเบิกโตยกมือขึ้นมาแตะมุมปากบริเวณที่มีแผล แล้วหันมองหน้ากับอาโปแบบมีพิรุธ


“นี่ซ้อมซีนไหนกันอยู่เนี่ย ชักเริ่มจะสงสัยละ” ผมยกยิ้มมุมปากแล้วแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะมองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์


“ก็ซีนที่พี่จะให้ซ้อมนั่นแหละ ไม่มีไรหรอกพี่” ศิลารีบแก้ตัวด้วยอาการเลิ่กลั่ก เอาเป็นว่าผมจะยอมเชื่อในสิ่งที่น้องพูดก่อนก็แล้วกัน


“ไม่ได้ทะเลาะกันก็ดีละ งั้นเดี๋ยวไปเจอกันที่ห้องผมนะครับ” ผมหันไปบอกพี่อาโปที่ยืนเงียบอยู่นาน พี่อาโปก็ยิ้มรับแล้วพยักหน้า


“ไปมึง เรากลับไปรอที่ห้องกัน” ผมหันไปบอกไอ้เตแล้วค่อยๆ หันหลังเดินออกห่างจากประตูห้องพี่อาโป


“มึงคิดเหมือนกูป่ะวะ”


“เออดิ กูว่ามันแปลกๆ อ่ะ” ไอ้เตบอกด้วยสีหน้าที่เห็นด้วยกับผมเต็มที่


“จริง กูว่าเรื่องนี้แม่งต้องขยาย”


ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเขาไปเคลียร์ ไปซ้อมกันอิท่าไหนนะ ถึงได้ออกมากระเซอะกระเซิงกันขนาดนั้นอ่ะ


-----------------------------------------------------------------------------------


ฝากเป็นกำลังใจให้ด้วยนะค้าบบบ อย่าลืมติดแท็ก #ศิลาของอาโป กันเยอะๆ น้างับ รันจะได้ตามไปอ่านฟีดแบ็คได้ค้าบ