โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)แดดแรงสาดแสงแผดเผาทุกสิ่งที่อยู่กลางแจ้งไม่ได้ทำให้อาโปรู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยาวันนั้นก็เหมือนจะทำให้ชีวิตของเขามีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าทุกที อาโปรู้สึกกระตือรือร้นในทุกๆ วันที่ต้องตื่นขึ้นมาและเฝ้ารอวันที่จะได้เจอกับศิลาอีกครั้ง
วันนี้ก็เช่นกัน..
อาโปรีบตื่นแต่เช้าด้วยอารมณ์ที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะเขานัดศิลาเอาไว้ว่าจะออกไปเจอกันที่สยาม ถามว่านัดไปทำอะไรกันอาโปก็ยังตอบไม่ได้ ขอแค่ออกไปเจอหน้ากันก่อน แล้วจะทำอะไรค่อยว่ากันหน้างานอีกที
เสียงก๊องแก๊งดังออกมาจากในครัว เพราะอาโปอารมณ์ดีจนลุกมาทำอาหารมื้อเช้ากิน จนแม่ที่เดินลงมาจากชั้นสองต้องเอ่ยทัก
“นึกยังไงเนี่ย วันนี้ตื่นมาทำกับข้าวแต่เช้าเชียว”
อาโปไม่ได้ตอบเพียงแต่หันไปยิ้มให้แม่เท่านั้น
“ทำอะไรกินหรอลูก” แม่เดินเข้ามาถามใกล้ๆ
“แค่ออมเล็ทกับต้มจืดเองแม่” อาโปเอ่ยตอบพร้อมขยับตัวให้แม่ช่วยดู
“วันนี้มีอะไรดีๆ หรอ”
“ครับ?”
“ก็ลูกแม่ดูอารมณ์ดีผิดปกตินะเนี่ย” แม่เอ่ยแซว
“ไม่มีอะไรคร้าบบ” อาโปยิ้มแป้นตอบแล้วหันไปโอบแม่เข้ามากอด
“อ่ะๆ ไม่มีก็ไม่มี เดี๋ยวแม่ออกไปตลาดก่อนนะ”
“เคครับ”
อาโปหอมแก้มแม่หนึ่งทีแบบเต็มฟอด ก่อนจะปล่อยคุณแม่ให้เดินออกไป แล้วตัวเองก็กลับมาสนใจอาหารบนเตาต่อ
มื้อเช้าของอาโปผ่านไปแบบเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยมวลของความสุขที่เอ่อล้นอยู่ภายในใจของอาโป เขาเปิดไลน์ของศิลาแล้วส่งข้อความไปหา
A-PO : ตื่นยัง
ไม่นานข้อความตอบกลับจากศิลาก็เด้งกลับมา
Sila : เพิ่งตื่นเลยพี่
A-PO : 555 เคๆ
Sila : เจอกันพี่
อาโปเห็นข้อความสุดท้ายก็เผลอยิ้มกว้างออกมาแบบไม่รู้ตัว ก็ตั้งแต่คืนนั้นมันก็ทำให้เขารู้สึกว่าเขาสนิทกับศิลามากขึ้นกว่าเดิมขึ้นไปอีก
พอกินข้าวเสร็จพี่อาโปก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพราะอีกชั่วโมงเดียวก็จะถึงเวลานัดแล้ว ชุดของพี่อาโปวันนี้ก็เป็นไปแบบเรียบง่าย ดูชิลๆ ด้วยเสื้อยืดสีดำเรียบๆ เหมือนเดิม บวกกับกางเกงยีนส์สีฟอกตัวประจำที่เขาชอบใส่ และรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่โปรด เป็นลุคที่ดูธรรมดาแต่พอเป็นอาโปใส่มันก็เลยดูมีระดับขึ้นมาทันที
นี่สินะเขาถึงบอกกันว่า เสื้อผ้าจะสวยหรือไม่สวยนั้น มันขึ้นอยู่กับไม้แขวนเสื้อจริงๆ
กลิ่นน้ำหอมยี่ห้อดังลอยตามหลังพี่อาโปมาติดๆ ในขณะที่เขากำลังเดินมาขึ้นรถที่จอดไว้หน้าบ้าน หากเวลานี้ใครได้ผ่านมาในละแวกนี้คงจะต้องหลงใหลไปกับเสน่ห์ความหอมของเขาเป็นแน่
A-PO : กำลังไปนะ
อาโปพิมพ์ข้อความในไลน์ส่งไปบอกศิลา ก่อนจะเปิดเพลงจากเพลย์ลิสท์โปรดที่ฟังอยู่บ่อยๆ
โอ้โห เพลงรักทั้งนั้น
อาโปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะสตาร์ทรถแล้วเริ่มออกเดินทาง เสียงเพลงขับกล่อมให้บรรยากาศในรถวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข แม้สองข้างทางที่รถของอาโปขับผ่านไปจะมีบรรยากาศที่ไม่ค่อยจะน่าพึงภิรมย์สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของอาโปลดถอยลงเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาเองก็มัวแต่โฟกัสจุดหมายปลายทางที่กำลังเดินทางไปเสียมากกว่า
แม้แสงแดดภายนอกรถจะแผดเผาแค่ไหน ก็ยังไม่เท่าไฟรักในหัวใจของอาโปในเวลานี้
รถยนต์ของอาโปเลี้ยวซ้ายเข้าสยามทางประตูฝั่งตรงข้ามมาบุญครองแล้วขับวนเข้าไปหาที่จอดในสยามสแควร์ ซึ่งอาจจะเป็นวันที่โชคดีของอาโปจริงๆ เพราะเลี้ยวเข้าไปปุ๊บก็เจอที่จอดปั๊บแบบไม่ต้องหงุดหงิดใจให้เสียอารมณ์ในการวนหาที่จอดหลายๆ รอบ
อาโปส่องกระจกมองหลังเพื่อเช็คหน้าผมให้ความหล่อเป๊ะปังก่อนจะลงจากรถ แต่ก็ยังไม่วายส่องกระจกเช็คภาพรวมของตัวเองในกระจกของร้านค้าที่อยู่ตรงที่จอดรถด้วยอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะมุ่งเดินตรงไปยังสยามวันเพราะเป็นที่นัดหมายระหว่างเขากับศิลา
เด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งที่ยืนอยู่ไกลๆ บริเวณชั้นสี่ดึงดูดสายตาของอาโปให้เดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เสื้อยืดแขนยาวสีกรมท่า กางเกงยีนส์ตัวโปรดที่ห้อยพวงกุญแจรถไว้ที่เอว กับรองเท้าคอร์สเวิร์ดคู่ประจำ เป็นภาพที่คุ้นตาอาโปแต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงทำให้เขาหลงใหลได้ทุกครั้งที่เห็น
“หวัดดีน้อง” อาโปเอ่ยทักทันทีที่เดินเข้าไปถึง
“หวัดดีครับ” ศิลายกมือไหว้ทักทายตามมารยาทที่ควรจะเป็น
“ถึงนานยัง”
“เพิ่งถึงเลยพี่ แล้วพี่อ่ะ”
“ก็มาถึงเมื่อกี๊เอง”
“อ่อครับ”
“…” อาโปมองศิลาแล้วยิ้มให้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“…”
“เอ่อ..” อาโปพยายามจะชวนคุยต่อ เพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการขัดเขินตอนที่อยู่ด้วยกันแค่สองคน
ก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นขนาดนี้นี่นา
หรือว่าเพราะเริ่มรู้หัวใจตัวเองแล้วนะ..
“เราอยากกินอะไรอ่ะ” อาโปเอ่ยถามก่อน
“อะไรก็ได้พี่”
“ยากเลย”
“ใช่มั้ยพี่” ศิลาหัวเราะขำออกมาเบาๆ
“จริง” อาโปตอบพลางหน้ายู่
“ผมทะเลาะกับพี่สาวทุกรอบเลย เวลาหาไรกินเนี่ย”
“จริงอ่ะ”
“จริงพี่”
“แต่วันนี้เราจะไม่ทะเลาะกันใช่ป่ะ” อาโปพูดแซวพลางยิ้มกว้าง
“พี่เลือกเลย ผมตามใจพี่เลยวันนี้” ศิลาเอ่ยแล้วก้าวเดินนำไปข้างหน้าก่อน
อาโปก้าวเดินตามไปให้ทันเพื่อจะได้เดินข้างๆ กับศิลา “งั้นไปกินบุฟเฟต์กันมั้ย”
“บุฟเฟต์อะไรอ่ะพี่”
“ก็ปิ้งย่างมั้ย หรือว่าชาบู”
“ผมยังไงก็ได้ แต่ไม่เอาอาหารทะเลนะ”
“เอ้อ! เราแพ้อาหารทะเลนี่นา" อาโปเอ่ยพูดแบบนึกขึ้นได้
"ใช่พี่"
“อ่ะ งั้น..”
“ชาบูมั้ยครับ” ศิลาตัดสินใจเสนอ เพราะกลัวว่าวันนี้จะไม่ได้กินกันสักที
“อยากกินหรอ” อาโปมีน้ำเสียงลังเล
“ใช่พี่ ปิ้งย่างเดี๋ยวหัวเหม็น”
“อ่ะ งั้นชาบู”
ปิดดีลได้ที่ร้านชาบู อาโปก็พาศิลาเดินไปร้านชาบูร้านประจำที่กินในสยามวัน โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดา คนก็เลยไม่เยอะมาก เพราะปกติร้านนี้จะต้องต่อคิวกันยาวเหยียดจนทำให้ต้องรอกันเป็นชั่วโมงก็เคยมีมาแล้ว
“ลูกค้ากี่ที่คะ” พนักงานหน้าร้านเอ่ยถามทันทีที่เห็นอาโปกับศิลาเดินมาถึงบริเวณหน้าร้าน
“สองครับ”
“เชิญด้านในเลยค่ะ โต๊ะ 10 นะคะ” พนักงานสาวผายมือให้อาโปกับศิลาเดินเข้าไปด้านในร้าน
อาโปกับศิลาเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะ 10 ที่ว่างอยู่ โต๊ะที่อยู่รอบข้างก็ว่างเหมือนกัน แต่เหมือนฟ้าจะเป็นใจเพราะโต๊ะ 10 นั้นอยู่ด้านในสุดของร้านและค่อนข้างเป็นส่วนตัวที่สุดแล้วถ้าเทียบกับโต๊ะอื่นๆ ภายในร้าน
แหม่.. เหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเป็นใจให้อาโปเสียจริงวันนี้
อาโปกับศิลาเลือกหยิบอาหารที่อยากกินมาวางจนเต็มโต๊ะ อาจจะเพราะว่าหิวเลยตักกันมาจนแน่นโต๊ะไปหมด อาโปกับศิลานั่งมองหน้ากันแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา
“จะหมดมั้ยเนี่ย” อาโปเอ่ยถาม
“นั่นดิพี่”
“ช่วยกันกินละกันนะ แต่ถ้าไม่หมดจริงๆ ก็ช่างมัน เดี๋ยวพี่จ่ายค่าปรับให้”
“เห้ยพี่ ไม่ได้ มันเปลือง”
“ช่างมันเหอะน่า พี่ไม่อยากให้เราต้องทรมาน ฮ่าๆ” อาโปหัวเราะเพราะอดเอ็นดูคนน้องที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่ได้
ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักขึ้นทุกที..
น้ำซุปใสและซุปดำในหม้อเดือดปุดๆ เมื่อเวลาผ่านไป อาโปและศิลาทยอยใส่ของผักและเนื้อสัตว์ลงไปในหม้อ โมเมนท์แบบนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอาโปจะมีความสุขมากขนาดไหน ฟีลแฟนอ่ะเนาะ ถึงแม้ว่าศิลาจะยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาขนาดนั้น แต่การที่น้องยอมออกมาหาเขาสองต่อสองแบบนี้ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีไม่ใช่เหรอ หากว่าอาโปจะสานต่อความสัมพันธ์กันต่อไป
อาโปเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะพัฒนาไปได้ไม่ยากนะ
เพราะอะไรน่ะเหรอ...
ก็เพราะว่าจูบมันไม่เคยโกหกไง
สายตาของอาโปเหลือบไปเห็นที่มุมปากของศิลามีเศษอาหารติดอยู่ในขณะที่นั่งกินชาบูกันไปได้พักใหญ่ ภาพคืนนั้นที่พัทยาย้อนคืนกลับมาอีกครั้งในความทรงจำ จนอาโปเองก็เผลอเลียปากตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว เพราะมันยังรู้สึกถึงสัมผัสในคืนนั้นได้เป็นอย่างดี
“พี่อาโป” ศิลาเอ่ยปากเรียก
“หื้ม?”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีนะ” อาโปที่ได้สติรีบตอบปฏิเสธ
“อ่อ เห็นจ้องหน้าผมซะนาน เลยนึกว่ามีอะไร”
“เปล่าๆ เศษอาหารติดปากเราอ่ะ” อาโปชี้นิ้วที่มุมปากของตัวเองเพื่อบอกให้ศิลารู้
“ไหนอ่ะครับ” เศษอาหารติดอยู่ที่มุมปากขวาแต่ศิลาดันเอามือไปปัดทางมุมปากซ้าย
“ไม่ใช่ๆ อีกฝั่งนึง”
ศิลาลดมือลงจากมุมปากฝั่งซ้าย แต่แทนที่เขาจะย้ายมือของตัวเองไปเช็ดมุมปากอีกด้านที่เลอะอยู่ แต่เขากลับยื่นหน้าเข้าไปใกล้อาโปแทนโดยไม่พูดอะไร
อาโปเองเมื่อเห็นดังนั้นก็แอบกระตุกเล็กน้อย เพราะไม่ได้คาดหวังว่าน้องจะทำแบบนี้
ใจมันสั่นรัวไปเลยพอเจอแบบนี้
น้องมันรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าทำแบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยอ่ะ
อาโปก็ทำได้แค่นึกในใจแล้วปล่อยให้มือของตัวเองเอื้อมไปช่วยเช็ดเศษอาหารออกจากมุมปากของศิลาแบบนุ่มนวลที่สุด
“ออกแล้ว”
“ขอบคุณครับ” ศิลาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เนี่ย...
แล้วแบบนี้จะให้อาโปหนีไปไหนได้อีก
ยิ่งพอรู้ตัวว่ารู้สึกอะไรกับศิลา พอเจอแบบนี้ไปก็คือยิ่งขุดหลุมฝังรากลึกให้กับความรู้สึกของอาโปได้โดยสิ้นเชิง
จากที่รู้สึกว่าน่ารักแล้ว ศิลาก็ยังน่ารักได้มากกว่าที่คิดไปอีก
จากที่รู้สึกว่าชอบมากที่สุด คงไม่มีทางชอบไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว..
แต่ศิลาก็ยังคงทำให้อาโปรู้สึกชอบมากขึ้นไปได้อีก
แบบไม่มีทีท่าว่าจะเจอจุดสิ้นสุด!
ชาบูมื้อนี้คงเป็นอาหารมื้อพิเศษสุดของอาโปเท่าที่เคยมีมา และเป็นที่น่าแปลกใจว่าวันนี้เขาแทบจะไม่หยิบมือถือขึ้นมาเล่นโซเชียลเลยแม้แต่นิด ใจเขาก็อยากจะอัพเดทล่ะนะว่าทำอะไรอยู่กับใคร เพราะใจของเขามันมีความสุขอัดแน่นจนแทบจะระเบิดออกมาแบบนี้ แต่เขาก็คิดว่าถ้าอัพไปคงจะไม่พ้นโดนกานต์กับเตแซวเป็นแน่ ก็เลยเลือกที่จะเซฟโมเมนท์ความสุขแบบนี้ด้วยตัวคนเดียวเสียดีกว่า
แต่อย่างที่ใครๆ ก็รู้กันว่าความลับมันไม่มีในโลก...
“พี่อาโป” เตชินท์ร้องทักซะดังลั่นร้าน
“เห้ย!” อาโปตกใจร้องเสียงหลง ซึ่งแตกต่างกับศิลาที่เงยหน้ามามองพร้อมรอยยิ้มหวานตามแบบฉบับของน้อง
“โลกกลมไปมั้ยเนี่ย” เตเอ่ย
“เออดิ”
“แหนะ แล้วมากันสองคนเองหรอ” เตเริ่มแซวเมื่อเห็นว่าทั้งโต๊ะมีแค่อาโปและศิลา
“อือ ละนี่มาคนเดียวหรอ” อาโปเอ่ยถามกลับ เพราะอยากจะปัดหัวข้อสนทนาออกจากเรื่องของตัวเอง
“มากับไอ้กานต์ มันแวะเข้าห้องน้ำ”
“อ๋อออออ” อาโปทำสายตาเจ้าเล่ห์
“ก็มากันสองคนเหมือนกันนั่นแหละเนอะ”
“ช่ายพี่ แต่ของผมเพื่อนสนิทกันไง ก็มาได้ดิ”
“เหรอๆๆ”
“ของพี่เหอะ ทำไมมาด้วยกันสองคนได้” เตชินท์เอ่ยพร้อมส่งสายตาเจ้าเล่ห์กลับไป
“ทำไมจะมาด้วยกันไม่ได้ ก็พี่น้องกันอ่ะ” อาโปยืดอกพยายามเถียงกลับ
“อ่ะ รู้เรื่อง”
อาโปพยักหน้ารับ ส่วนศิลานั่งยิ้ม น่ังหัวเราะอย่างเดียวตลอดเวลาที่อาโปกับเตชินท์สนทนากัน
“กินให้อร่อยพี่ ผมไปนั่งที่โต๊ะก่อน”
“เออๆ ไปเหอะ” อาโปรีบกวักมือไล่เตชินท์รัวๆ จนเตชินท์อดที่จะแซวต่อไม่ได้
“แหมมมมม รีบไล่น้องเลยน้าาาา” พูดจบเตชินท์รีบยกมือบ๊ายบายแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง
ฝ่ายกานต์เองพอเข้ามานั่งที่โต๊ะด้วยความหิวโหยก็ไม่ทันจะได้สังเกตว่าอาโปกับศิลานั่งอยู่ในร้านด้วย เพราะตั้งหน้าตั้งตาเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง
นั่งปุ๊บก็รีบสั่งน้ำซุปปั๊บแล้วก็จะรีบลุกไปตักอาหาร แต่เตก็คว้าข้อมือเอาไว้ได้ทัน
“มึง อย่าเพิ่งไป”
“อะไร กูหิว” กานต์ขึ้นเสียงเมื่อโดนเตขวาง
“นั่งก่อน”
“…”
“พี่อาโปกับไอ้ศิลานั่งอยู่โต๊ะในนู่น” เตกระซิบเบา เพราะกลัวสองคนนั้นจะได้ยิน
“ห้ะ! จริงป่ะเนี่ย” ตาของกานต์เบิกโพลงด้วยความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความสงสัยใคร่รู้ในทันที
“เออ เมื่อกี๊กูบังเอิญเห็น เลยเข้าไปทักมาละ” เตตอบ
“งั้นกูควรไปทักด้วยป่ะ” กานต์เอ่ยถาม
“ไม่ต้องมึง อย่าเพิ่งไปขัด”
“ขัดอะไรวะ”
“เอ้า มึงเนี่ย ชิปคู่นี้จริงป่ะเนี่ย อิเวร” เตด่ากานต์ไปหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด
“ละด่ากูทำไมก่อน”
“มึงหิวจนเบลอหรอ กูบอกว่า เขามากันแค่สองคน” เตเน้นย้ำเสียงที่ประโยคหลัง
“เชี่ย เดทหรอ!!!” กานต์ทำท่าจะหวีด เตเลยรีบเอามืออุดปากไว้ก่อน
“กูเลยบอกว่ามึงอย่าเพิ่งเข้าไปขัดไง”
“เออจริง กูไม่อยากไปขัดเวลาความสุขของพี่อาโป” กานต์ดี๊ด๊าทันทีที่พูดถึงเรื่องของสองคนนี้
เพราะภาพในหัวมันจินตนาการไปไกลแล้วววว...
“เออ ละสรุปเรื่องเขาสองคนนี่มันยังไงวะ” เตชินท์เอ่ยถามกานต์
“กูก็อยากรู้เหมือนกัน เรายังไม่ได้ขยายกันเลยนะมึง”
“จริงมึง ตั้งแต่พัทยาละนะ”
“กูก็พยายามสืบข่าวอยู่ แต่ช่วงนี้ดูสนิทกันมากกว่าเดิมเยอะเลย กูเลยแบบ เอ๊ะ! คืนนั้นที่พัทยาอ่ะ ที่เห็นว่าน้องปากแตก แม่ง ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ที่พวกเรายังไม่รู้” เสียงของกานต์ค่อยๆ เบาลงจนเป็นเสียงกระซิบ เพราะเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างลับเฉพาะ กลัวใครผ่านไปมาจะมาได้ยินแล้วจะไม่ดี
“เออ รู้อะไรก็รีบมาอัพเดทกูด้วย อิแยมก็มาตามตื้อกูอยู่เนี่ย ว่าหลังๆ ไม่อัพเดทข่าวให้มันรู้บ้าง มันอยากเบิกเนตรเรื่องพี่อาโปกับน้องศิลาจะแย่”
“มันหรือมึงกันแน่ที่อยากเบิกเนตร” กานต์เอ่ยถามกลับอย่างรู้ทัน
“ก็ทั้งหมดมั้ย มึงก็ด้วย ทุกคนนั่นแหละ!”
“ก็เออไง เพราะงั้นมึงไม่ต้องเอาอิแยมมาอ้างจ้ะ เพราะมันติดผัวไปละ อิห่า หายไปเลยตั้งแต่มีแฟน” กานต์บ่นยับพอพูดเรื่องแยม
เพราะตั้งแต่ตกลงคบกับหนุ่มสถาปัตยฯ ที่เจอกันที่ร้านเหล้า แม่นางก็กลายเป็นคนติดผัวจนห่างหายจากเพื่อนไปเลย งานการไม่มาช่วยทำ พวกกานต์กับเตก็ได้แต่ช่างมัน เพราะพวกเขาคิดว่าช่วงเวลาที่เพื่อนมีความสุขก็ควรปล่อยไปก่อน
ไว้อกหักเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที
หมายถึงค่อยด่าทีเดียว...
ส่วนอาโปนั้นพอเห็นว่ามีคนรู้จักเข้ามากินในร้านเดียวกัน เขาก็เริ่มมีความระมัดระวังมากขึ้น จนดูเหมือนระแวงเสียมากกว่า
“เป็นไรป่ะพี่” ศิลาถึงกับเอ่ยถามเพราะมองเห็นความผิดปกติ
“เปล่าๆ อิ่มแล้วอ่ะ” อาโปบอกปัด
“อ่อครับ”
“อิ่มยัง? ไปกินของหวานต่อมั้ย”
“ผมไม่ชอบกินของหวานอ่ะครับ”
“อ่าวหรอ” อาโปสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ศิลาก็สังเกตเห็นได้ทัน
“แต่ถ้าพี่อยากกิน เราไปกินกันก็ได้นะครับ”
“โอเค งั้นเช็คบิลเลยเนอะ”
“ครับ” ศิลาตอบแล้วรีบจัดการเนื้อหมูที่ลวกไว้แล้วอีกสองสามชิ้นที่เหลือเข้าปากจนหมดแล้วลุกเดินตามอาโปไปที่แคชเชียร์
“ไม่ไปลาพวกพี่เตหน่อยหรอครับ” ศิลาเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไรหรอก เวลาส่วนตัวเขาอ่ะ” อาโปปฏิเสธก่อนจะยื่นบัตรเครดิตของตัวเองให้พนักงานสาวที่ยืนรอคิดเงินอยู่
พอได้รับใบเสร็จกับบัตรเครดิตคืนมา อาโปกับศิลาเดินออกจากร้านทันทีโดยไม่ลืมที่จะหยิบลูกอมที่หน้าแคชเชียร์มาอมเพื่อดับกลิ่นปากด้วย
“ผมต้องให้พี่อาโปเท่าไหร่ครับ” ศิลาเอ่ยถามขณะที่กำลังเดินไปลงบันไดเลื่อน
“ไม่เป็นไร พี่เลี้ยง”
“ไม่เป็นไรครับ หารกันดีกว่า”
“ช่างมันๆ พี่เลี้ยงได้ๆ” อาโปยังยืนยันคำเดิม
“ไปรวยมาจากไหนเนี่ยคนนี้” ศิลาเอ่ยแซวแล้วพยายามยัดเงินสดใส่มืออาโป
“ไม่รวย แค่อยากเลี้ยงเฉยๆ อ่ะ เก็บไปเหอะ” อาโปยังยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ศิลาเลยจำยอมเก็บเงินส่วนนั้นเข้ากระเป๋าของตัวเองไป
“งั้นค่าขนมผมขอเป็นคนจ่ายนะครับพี่”
“เอางั้นหรอ”
“เอางั้นแหละพี่”
“ตามใจเลยงั้น”
อาโปกับศิลาคุยไปเดินไปตลอดทางที่ไปยังร้านขนมหวานชื่อดังร้านใหญ่ซึ่งอยู่ชั้นล่างสุดของห้าง แต่ความสบายใจจากการหนีห่างจากการเจอคนรู้จักของพี่อาโปก็ไม่ได้คงอยู่นานมากนัก เมื่อระหว่างทางก่อนที่จะถึงร้านของหวานนั้น อาโปดันได้เจอกับบุคคลที่เขาไม่ได้อยากเจอมากที่สุดในเวลานี้
“พี่ศิลา..” เสียงคุ้นหูดังขึ้นที่ด้านหลังของทั้งศิลาและอาโป
“บลิ๊งก์” ศิลาเอ่ยทัก “มาได้ไงเนี่ย”
สายตาของพี่อาโปเปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นแข็งกร้าวทันทีที่หันมาเห็นร่างของน้องบลิ๊งก์ยืนเด่นอยู่ตรงหน้า
“ผมต่างหากที่ต้องถามพี่” บลิ๊งก์หายใจแรง สายตาซ่อนความโกรธเอาไว้อยู่ “ไหนพี่บอกว่าวันนี้ไม่ว่างไง”
“ก็พี่ไม่ว่างจริงๆ”
“แต่มีเวลาออกมากับมันอ่ะนะ” บลิ๊งก์หันไปมองหน้าอาโป
“บลิ๊งก์ แกเป็นอะไร อย่าทำตัวไม่น่ารักแบบนี้นะ พี่นัดกับพี่อาโปก่อนแล้ว แกมาชวนพี่ทีหลัง พี่ก็ต้องบอกว่าไม่ว่างไง มันผิดตรงไหนเหรอ” ศิลาพยายามควบคุมอารมณ์เพราะรู้ว่าน้องที่ตัวเองรู้จักเป็นคนยังไง
แต่ดูท่าพี่อาโปจะไม่ใจเย็นด้วยน่ะสิ
อาโปทำท่าเหมือนจะเดินเข้าไปเอาเรื่องกับบลิ๊งก์แต่ศิลาก็ห้ามเอาไว้ก่อน อาโปเลยชะงักแล้วหยุดยืนอยู่เฉยๆ
“ใช่สิ ผมมันไม่น่ารักเหมือนเมื่อก่อนนี่เนอะ พี่ศิลาถึงไม่มีเวลาให้ผมแล้วอ่ะ”
“บลิ๊งก์ แกอย่าทำตัวแบบนี้”
“เออ! ผมมันงี่เง่า!!” บลิ๊งก์เริ่มขึ้นเสียง คนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มหันมามอง อาโปกับศิลาเองก็เริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มกระอักกระอ่วนแล้วถ้าจะมายืนทะเลาะกับเด็กตรงนี้ ในที่สาธารณะที่ใครๆ ก็สามารถรับรู้ได้
“ใจเย็นๆ” ศิลาเอ่ยปลอบแล้วเดินเข้าไปลูบไหล่บลิ๊งก์
“พี่ศิลาทิ้งผมอ่ะ ไม่รักผมแล้วหรอ”
“พี่ก็ยังรักแกเหมือนเดิมนั่นแหละ เราสัญญาว่าจะเป็นพี่น้องกันตลอดไปไง แกจำไม่ได้หรอ”
“จำได้..” บลิ๊งก์เสียอ่อนลง “แต่ผมไม่ได้อยากเป็นพี่น้องกับพี่หนิ”
อาโปที่ยืนดูอยู่เริ่มจะทนไม่ไหวอีกครั้ง ก้าวเท้าเข้ามาใกล้แต่ก็โดนสายตาของศิลาห้ามปรามไว้ซะก่อน
“พี่รู้ว่าแกคิดกับพี่ยังไง แต่พี่ให้แกไม่ได้เว้ย”
“เพราะพี่ให้มันไปแล้วใช่มั้ย” บลิ๊งก์พูดพลางหันมองอาโปทั้งน้ำตา
“ไม่ใช่..” น้ำเสียงของศิลาที่ตอบด้วยความหนักแน่นนั้น ทำเอาอาโปที่ได้ยินก็แอบใจสั่นไปเหมือนกัน
“แต่เพราะว่าพี่คิดกับแกแค่น้องจริงๆ เว้ย อย่าให้ความสัมพันธ์เป็นสิบปีของเราต้องพังลงเลยนะ” ศิลาพยายามพูดไกล่เกลี่ยกับบลิ๊งก์ เขารู้มาตลอดว่าน้องคิดยังไงกับเขา แต่เพราะว่าเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ศิลาจึงเอ็นดูบลิ๊งก์ในฐานะน้องชายคนหนึ่งมาตลอด
“แต่ผมชอบพี่”
“พี่รู้ แล้วพี่ก็ขอบคุณมากๆ เว้ย” ศิลาจับไหล่บลิ๊งก์ไว้แน่น “แต่แกรู้ใช่มั้ยว่าถ้าเป็นแฟนกันอ่ะ วันหนึ่งเกิดเลิกกันขึ้นมา เราจะกลับไปเป็นคนรู้จักกันยังยากเลยนะ แกจะทำใจได้หรอ”
“ผมไม่รู้”
“แกทำไม่ได้หรอก พี่รู้”
“…”
“พี่รู้จักแกมานานนะบลิ๊งก์ พี่รู้ว่าแกเป็นยังไง เราเป็นพี่น้องกันแบบนี้แหละดีแล้ว”
“…”
“แกลองคิดดูดีๆ นะ ถ้าอยู่ๆ ต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน แกจะโอเคจริงๆ หรอ ถ้าแกต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักกับพี่ แกทนได้มั้ย แกรู้จักกับพี่มาเป็นสิบปี มันก็เกือบทั้งชีวิตของแกเลยนะเว้ย”
บลิ๊งก์ร้องไห้หนักกว่าเดิม ศิลาเลยดึงน้องเข้ามากอดปลอบ โดยมีอาโปที่ยืนดูด้วยความพะว้าพะวงอยู่ไม่ห่าง
“ไม่ร้องนะ แกจะไปกินขนมกับพวกพี่มั้ย” ศิลาเอ่ยชวน แต่อาโปส่ายหัวไม่เห็นด้วย
บลิ๊งก์ผละตัวออกจากอ้อมกอดของศิลาแล้วถอนหายใจยาว “ไม่เป็นไรครับ ผมไปตามทางของผมดีกว่า”
อาโปเองก็ลอบถอนหายใจเมื่อได้ยินสิ่งที่บลิ๊งก์พูด เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้ใครมารบกวนวันดีๆ ของเขาแบบนี้ เขาอยากจะใช้เวลากับศิลาแค่สองคนเท่านั้น
“โอเค กลับบ้านแล้วเจอกันนะ” ศิลาบอกแล้วโบกมือลากบลิ๊งก์ที่ยกมือเช็ดน้ำตาก่อนจะยกมือสวัสดีเพื่อบอกลาพี่ทั้งสองคน
“ทำไมมันมาไวไปไวจัง” อาโปถามด้วยความสงสัย
“ก็งี้แหละพี่ ผมรู้จักน้องมันดี มันโดนครอบครัวทิ้งให้อยู่คนเดียวแต่เด็กอ่ะ มีแต่ผมนี่แหละที่อยู่ข้างมันตลอดเวลา มันก็เลยออกจะติดผมเกินไปหน่อย ก็เข้าใจได้อยู่” ศิลาอธิบายเหยียดยาว
“ไม่โกรธน้องมันหรอ”
“ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะพี่”
“ก็ที่มันมาวุ่นวายกับเราแบบนี้” อาโปเอ่ยเสริม
“โกรธมันไม่ลงหรอกพี่ เห็นกันมาตั้งนานแล้ว มันก็เหมือนน้องชายแท้ๆ ของผมคนหนึ่งอ่ะ” ศิลาพูดพลางก้าวเท้าเดินต่อ
“ไปกินขนมกันเหอะพี่ พี่จะได้ใจเย็นๆ ขึ้นเนอะ”
“เดี๋ยว...” อาโปคว้าข้อมือของศิลาเอาไว้ “ก่อนเข้าร้าน ขอถามไรอย่างดิ”
“ครับ?”
“ที่พูดกับน้องบลิ๊งก์เมื่อกี๊ หมายความว่าไง”
“เรื่องอะไรครับ” ศิลาเอ่ยถามอาโปตาใส
“ก็ตอนที่บอกน้องมันว่า รู้ว่าน้องคิดกับเรายังไง แต่เราให้มันไม่ได้..” อาโปเว้นวรรคประโยคพูดแล้วนิ่งคิดนิดหนึ่ง
“…”
“แล้วน้องบลิ๊งก์ก็พูดว่า เพราะเราให้มันมากับพี่แล้ว...”
“ครับ?” สีหน้าของศิลาเต็มไปด้วยความสงสัย
“แล้วเราตอบว่าไม่ใช่”
“อื้อ” ศิลาพยักหน้ารับ
“หมายความว่าไงหรอ” อาโปพูดจบก็เผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเพราะกลัวคำตอบจากปากของศิลา
“ก็หมายความว่า ไม่ใช่ นั่นแหละครับ”
“อ่อ..” สีหน้าของพี่อาโปหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
“ตอนนี้ไม่ใช่..” ศิลาเอ่ยต่อ
“…”
“แต่... ตอนหน้ายังไม่รู้ครับ” ศิลายิ้มแป้นแล้วเดินนำเข้าร้านขนมหวานชื่อดังไป
ส่วนอาโปน่ะเหรอ ยืนยิ้มกว้างจนลืมไปแล้วมั้งว่าชวนน้องมากินขนมน่ะ
----------------------------------------------------------------
ฝาก #ศิลาของอาโป ด้วยนะค้าบบบ