โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) - Chapter 10 วันเกิดศิลา โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป

รายละเอียด

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

สารบัญ

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Action! บทนำ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 1 เจอกันวันแคสติ้ง,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 2 นัดเจอกันนอกรอบ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 3 อิหยังวะ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 4 เพราะใจมันเต้นแรงกว่าที่เคย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 5 เพราะความหิวจึงเกิดปัญหา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 6 โลกเอยจงซับซ้อนยิ่งขึ้น,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 7 ออกกองเดย์,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 8 ขอเคลียร์หน่อย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 9 เรียกเดทได้ใช่มั้ย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 10 วันเกิดศิลา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 11 ปีใหม่แต่หัวใจดวงเดิม,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 12 ของขวัญวันเกิด,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 13 ตอนพิเศษ : สุขสันต์วัน Halloween,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 14 ตอนพิเศษ : ไอ้ศิลาเรียนจบแล้วโว้ยยยย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 15 ตอนพิเศษ : มีอะไรอยู่ในกอไผ่,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 16 ตอนพิเศษ : ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง

เนื้อหา

Chapter 10 วันเกิดศิลา

กริ๊ง~!


เสียงออดดังขึ้นเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินมากดตั้งแต่เช้า ศิลาในชุดเสื้อยืดสีขาวและกางเกงยีนส์สีเข้มรีบสวมรองเท้าแตะแล้ววิ่งออกมาเปิดประตูหน้าบ้าน


“อ้าว บลิ๊งก์ มาละหรอ รอแป๊บนะ” ศิลาเอ่ยทักน้องชายข้างบ้านก่อนจะเปิดประตูให้บลิ๊งก์เข้าไปนั่งรอภายในบ้าน


“พี่ศิลาตื่นสายใช่มั้ยเนี่ย” บลิ๊งก์เอ่ยถามระหว่างเข้าบ้าน


“นิดนึงอ่ะ เมื่อคืนดูบอลดึกไปหน่อย”


“ว่าละไง”


“เออน่า นั่งรอแป๊บ” ศิลาบอกให้บลิ๊งก์นั่งรอในห้องรับแขกแล้วตัวเองวิ่งชั้นสองไป เพื่อแต่งตัวต่อให้เสร็จ


เอาดีๆ ศิลาก็ไม่ได้มาแต่งตัวเพิ่มอะไรนักหรอก แค่ไดร์ผมให้เข้าทรงสักหน่อย แล้วก็ฉีดน้ำหอมแค่นั้น ตอนแรกเขาก็กะว่าจะใส่รองเท้าผ้าใบ แต่ไปแค่ใกล้ๆ รองเท้าแตะก็น่าจะพอ


ไม่นานศิลาก็เดินลงมาที่ห้องรับแขก บลิ๊งก์ที่นั่งเล่นมือถือรอก็เงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเอ่ยถาม


“ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอพี่”


“แม่กับพ่อออกไปตลาดแต่เช้าละ” ศิลาพูดพลางคว้ากุญแจรถ


“ห้ะ! นี่ก็เพิ่ง 7:00 น. เองนะ คุณป้าออกไปเช้าจัง” บลิ๊งก์ถามด้วยความสงสัย


“ไปใส่บาตรที่ตลาดด้วย แล้วก็ต้องไปซื้ออะไรมาทำมื้อเช้าอ่ะ ของในตู้เย็นก็หมดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”


“อ่อ..”


“เราก็รีบไปกันเหอะ” ศิลาบอกแล้วเดินนำออกไปด้านนอกบ้าน


“รอด้วยพี่!!” บลิ๊งก์วิ่งตามออกไป “จะรีบไปไหนเนี่ยยย วัดไม่หนีไปไหนหรอกน่า”


ศิลาไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงแค่เปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง ส่วนน้องบลิ๊งก์ก็วิ่งตามกระโดดขึ้นไปนั่งฝั่งข้างคนขับ รถเคลื่อนตัวออกไปโดยที่ศิลาก็โฟกัสที่การขับรถ ส่วนบลิ๊งก์ก็นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยเปื่อยตามประสา


ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เกิดเรื่องที่สยาม พอบลิ๊งก์ได้ฟังคำตอบจากปากของศิลาก็ยิ่งย้ำชัดลงไปในความรู้สึกของเขาที่ฝังอยู่ในใจว่าเขาคงเป็นได้แค่น้องชายของศิลาจริงๆ เขาก็เลยพยายามรักษาระยะห่างของเขากับศิลาให้อยู่ในระยะที่พอดี และเหมาะสมกับความเป็นพี่น้องกัน บลิ๊งก์เองก็ไม่พยายามก้าวก่ายอะไรกับเรื่องของศิลาอีก ซึ่งพอเป็นแบบนั้น ศิลาก็สบายใจมากขึ้นที่จะคุยกับน้องหรือไปไหนมาไหนกับน้องสองคน เพราะไม่ต้องคอยกังวลแล้วว่าบลิ๊งก์จะคิดอะไรไปไกลเหมือนแต่ก่อน


“พี่ อย่าลืมแวะซื้อของนะ” บลิ๊งก์เอ่ยเตือนศิลาเมื่อขับรถออกมาได้สักพักหนึ่ง


“ของไรวะ” ศิลาถามกลับด้วยความสงสัย


“เอ้า! ก็พี่จะทำบุญวันเกิดไม่ใช่เหรอ”


“ก็ใช่ไง ก็ไปไหว้พระที่วัดไง กับบริจาคเงินที่วัดก็พอแล้ว”


“ถวายสังฆทานหน่อยมั้ยล่ะ วันเกิดทั้งที”


“ไปเอาของที่วัดก็ได้” ศิลากล่าวเสริม


“ไม่ได้ อันนั้นมันสังฆทานเวียน พระท่านไม่ได้ใช้ประโยชน์ ไปซื้อของเองดีกว่าแล้วเอาไปถวายอ่ะ”


“อ่ะๆ เดี๋ยวแวะเซเว่นก็ได้ แหม่” ศิลาบอกปัดเพราะอยากให้มันจบๆ ไป จะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน


“ดีมาก”


“แล้วต้องซื้ออะไรมั่งวะ” ศิลาถามต่อ เพราะอยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้


“โว้ะ! ก็ของที่มันเป็นประโยชน์อ่ะพี่”


“อ่อ”


“เดี๋ยวผมช่วยเลือก” บลิ๊งก์เหลือบตามองบนเมื่อเจอคำถามแบบนี้เข้าไป วันเกิดตัวเองทั้งที แล้วก็เป็นคนพูดเองด้วยว่าวันเกิดปีนี้อยากไปทำบุญที่วัด แต่ดันไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ เห้ออ...


ศิลาเลี้ยวรถเข้าไปทางตลาดหลังจากที่เถียงกันกับน้องบลิ๊งก์จบ เขาขับเรื่อยๆ เข้ามาจนถึงหน้าร้านสะดวกซื้อ พอจอดปุ๊บบลิ๊งก์ก็ลงจากรถปั๊บ โดยมีศิลาเดินตามมาข้างหลัง


“พี่อย่าลืมถุงผ้าด้วย ผมไม่ได้หยิบมา” บลิ๊งก์ตะโกนบอกก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปด้านในก่อน


ศิลาก็เลยต้องเดินย้อนกลับไปที่ด้านหลังรถเพื่อเอาถุงผ้าที่เก็บเอาไว้ท้ายรถ แล้วเดินตามเข้าไปด้านในร้าน ศิลาไม่ลืมที่จะคว้ารถเข็นคันเล็กกับตะกร้าติดมือเข้าไปด้วยเพราะคิดไว้ว่าอาจจะต้องซื้อเยอะ เพราะทำบุญวันเกิดทั้งทีก็อยากจะจัดเต็มเสียหน่อย


เขาเดินไปยังล็อกที่มีของใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อหยิบพวกแปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ต่างๆ ที่จะเอาไปถวายพระ ขณะที่กำลังเลือกดูอยู่นั้นก็มีนิ้วมือเล็กๆ เดินมาสะกิดเขาที่ด้านหลัง


“เอ้าพี่กานต์!” ศิลาร้องทักเมื่อหันไปเห็นกานต์กับเตยืนอยู่ข้างหลัง


“ไงน้อง มาทำไรแถวนี้” กานต์เอ่ยถาม


“ผมจะไปทำบุญวันเกิดอ่ะพี่ เลยมาแวะซื้อของ”


“เห้ย จริงป่ะเนี่ย แฮปปี้เบิร์ดเดย์เว้ย” กานต์พูดต่อ


“เบิร์ดเดย์มึง มีความสุขมากๆ” เตชินท์เอ่ยเสริม


“ขอบคุณมากพี่”


“มาคนเดียวหรอ” กานต์ถามพลางมองไปรอบๆ ร้าน


“มากับน้องอีกคนอ่ะพี่” ศิลามองหาบลิ๊งก์แล้วชี้ให้กานต์กับเตดู


กานต์กับเตก็ชะโงกหน้ามองก่อนจะหันมามองหน้ากันเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ทำได้แค่เงียบไว้


“แล้วนี่พี่มาทำไรแถวนี้อ่ะ” ศิลาเอ่ยถามกานต์กลับ


“บ้านพี่อยู่แถวนี้อ่ะ”


“จริงป่ะพี่”


“เออดิ จะโกหกทำไมล่ะ”


“ไม่รู้มาก่อนไง เลยแปลกใจ” ศิลาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ


“ก็รู้ละนี่ไง วันหลังจะเปิดตี้ที่บ้านก็บอกพี่ได้ เดี๋ยวแว้นมาหา ฮ่าๆ” กานต์หัวเราะเสียงดังตามสไตล์ของตัวเอง


“ได้เลยพี่ หมูกระทะสักแมทช์” ศิลาพูดพลางยักคิ้วข้างหนึ่ง


“อ่ะ จัดไป” กานต์พูดแล้วหันไปมองหน้าเป็นสัญญาณกับเตชินท์


“อ๋อ เออ พี่ไปก่อนละ” เตชินท์พูดขึ้นเพราะอยากหาเรื่องให้ตัวเองกับกานต์ออกจากตรงนี้ เนื่องจากเขานั้นอยากเมาท์กับกานต์แทบจะแย่ แต่จะให้พูดตรงนี้น้องศิลาก็ยังอยู่ ก็อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย ขอออกไปเมาท์กันตามประสาเพื่อนฝูงจะดีกว่า


“มึงว่าน้องคนนั้นเป็นใครวะ” เตเอ่ยถามกานต์ทันทีที่เดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อ


“ไม่รู้ แต่ไม่ธรรมดาแน่ๆ”


“ใช่มะ กูว่ากูเห็นรังสีบางอย่างจากตัวน้องคนนั้น”


“จริงมึง กูก็รู้สึกแปลกๆ เซนส์กูไม่เคยพลาด” กานต์พูดย้ำ “ไม่ใช่แค่น้องธรรมดาแน่ๆ มึง”


“จริง เอ๊ะ! แล้วพี่อาโปอ่ะ” เตเอ่ยขึ้นเมื่อนึกขึ้นมาได้


“ก็นั่นน่ะสิ แต่เราอย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป ค่อยๆ ดูไปก่อน” กานต์เสนอ


“เออๆ กูก็ไม่อยากหน้าแตกเหมือนกัน” เตพูดต่อก่อนจะเดินขึ้นรถสองแถวที่ขับมาจอดพอดี โดยมีกานต์กระโดดขึ้นตามหลังไป


พอกานต์กับเตเดินออกจากร้านไป ศิลาก็โกยเอาของที่ดูไว้เมื่อครู่ลงใส่ในตะกร้าแล้วเดินไปหาน้องบลิ๊งก์ที่กำลังเลือกพวกของกินที่เป็นอาหารแห้งอยู่ด้านในสุดของร้าน


“ได้ไรมั่งยัง” ศิลาเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึง


“กำลังเลือกกาแฟอยู่อ่ะพี่ ไม่รู้จะเอาอะไรดี” บลิ๊งก์หยิบกาแฟ 3 in 1 ขึ้นมาสามยี่ห้อให้ศิลาช่วยเลือก แต่สุดท้ายศิลาก็หยิบลงตะกร้าทั้งหมด


“ซื้อๆ ไปเหอะ เราไม่ได้กินเอง” ศิลารีบบอกปัด เพราะเป็นคนไม่ชอบเรื่องเยอะ เลยมักจะตัดสินใจอะไรรวดเร็วอยู่เสมอ ถือเอาสัญชาตญาณตัวเองเป็นหลัก


“อ่ะเค งั้นได้” บลิ๊งก์ได้ยินแบบนั้นก็เลยจัดเต็ม หยิบแบบไม่ตัดสินใจเลือกยี่ห้อ


ป๊อก!


ศิลาเอาแพ็คแปรงสีฟันเคาะหัวบลิ๊งก์ไปทีนึง


“กวนตีนละ”


“เอ้า ก็พี่บอกเองว่าให้ซื้อๆ ไปเหอะ เราไม่ได้กินเองไง” บลิ๊งก์พูดพลางเอามือลูบหัวป้อยๆ


“ก็ซื่อเกินไปเนาะ เอาที่มันจำเป็นกับพระกับวัดดิ”


“อ่อ เคๆ ฮ่าๆๆๆ” บลิ๊งก์หัวเราะออกมาเสียงดัง เพราะจริงๆ ก็ตั้งใจจะกวนพี่ข้างบ้านตัวโตนั่นแหละ


ศิลาส่ายหัวเอือมๆ แล้วเดินนำไปที่แคชเชียร์ โดยมีบลิ๊งก์เดินตามมาต้อยๆ เขาทยอยเอาของที่หยิบมายื่นให้พนักงานในร้านคิดเงิน หยิบไปหยิบมามันก็เยอะเหมือนกันแฮะ ทีแรกก็ว่าไม่ได้ซื้อเยอะขนาดนั้น


ส่วนน้องบลิ๊งก์ก็หยิบเอาถุงผ้าที่ศิลาเอาลงมาจากรถมากางแล้วหยิบของที่คิดเงินแล้วใส่ลงไป ซึ่งจากขนาดถุงกับของที่ซื้อนั้นบลิ๊งก์เองก็คิดว่าน่าจะไม่พอจนถึงกับเผลอหลุดปากบ่นออกมา


“ซื้อเยอะขนาดนี้คงต้องใช้กระสอบแทนถุงละมั้งเนี่ย”


ศิลาได้ยินก็หันมาแกล้งทำท่าจะทุบบลิ๊งก์ให้หลังแอ่น แต่น้องมันก็ทำท่าทางและสีหน้าล้อเลียนกลับไป พนักงานที่คิดเงินอยู่ตรงนั้นก็เลยเอ่ยชมขึ้นมา


“น่ารักจังเลยนะคะ”


“ครับ?” ศิลามองด้วยความสงสัย


“ก็พี่กับแฟนอ่ะค่ะ หยอกกันน่ารักดี”


“เห้ย ไม่ใช่แฟนครับ น้องชายๆ” ศิลารีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ส่วนไอ้น้องบลิ๊งก์ก็แอบยิ้มเขินก่อนจะช่วยศิลาบอกปัด


“ไม่ใช่แฟนกันครับ พี่น้องๆ บ้านติดกันเฉยๆ ครับ” บลิ๊งก์พูดพลางยิ้มแป้น แต่มือก็ยังไม่หยุดที่จะหยิบของลงถุง


“อ่อ ขอโทษค่ะ” พนักงานสาวได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่งคืนกลับไป


บลิ๊งก์ยังแอบยิ้มต่อเนื่อง ส่วนศิลาก็ได้แต่ส่ายหัว ก่อนจะจ่ายเงินทั้งหมดแล้วโกยของกลับไปขึ้นรถ


“เห้อออ” ศิลาถอนหายใจยาว


“เป็นไรพี่”


“ก็โดนทักว่าเป็นแฟนกับแกอีกละ” ศิลาหันไปพูดบลิ๊งก์ที่นั่งอยู่ข้างๆ


“โหหห มันแย่ขนาดนั้นเลยอ่อ น้องเสียใจนะเนี่ย"


“ไม่ใช่แบบนั้น”


“ถึงแม้ว่าพี่จะปฏิเสธผมแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าผมจะทำใจได้แล้วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์นะพี่” บลิ๊งก์ยู่ปากพร้อมถอนหายใจ “แอบเจ็บจึ้กๆ เลยเนี่ย”


“โอ๋ๆ ไม่นอยด์ๆ พี่ขอโทษ” ศิลาพยายามพูดปลอบบลิ๊งก์ในขณะที่ถอยรถออกจากหน้าร้านสะดวกซื้อเพื่อจะเดินทางต่อไปที่วัด


“ช่างมันเหอะพี่ เลิกคุยๆ” บลิ๊งก์พยายามบอกปัด ไม่อยากพูดถึงเพราะเรื่องนี้มันก็ยังส่งผลกับจิตใจของเขาอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีภูมิต้านทานขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม


อากาศวันนี้ก็ดูสดใสราวกับรู้ว่าเป็นวันคล้ายวันเกิดของศิลา สองข้างทางที่ศิลาขับรถผ่านก็ดูครึกครื้น ผู้คนขวักไขว่ ยิ่งเข้าใกล้วัดเท่าไหร่คนก็ยิ่งดูเยอะมากขึ้นเท่านั้น


“ทำไมวันนี้คนเยอะจัง” ศิลาเอ่ยถามด้วยความสงสัย


“วันพระหรือเปล่าพี่” บลิ๊งก์ตอบ


“ไม่รู้ น่าจะใช่มั้ง”


ศิลาค่อยๆ เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถของวัด เขาเลือกช่องจอดที่อยู่ใกล้ศาลามากที่สุดเพราะจะได้ไม่ต้องเดินไกลเนื่องจากว่ามีของเยอะ ไม่อยากต้องถือหนักๆ


พอรถจอดปุ๊บเสียงโทรศัพท์ของศิลาก็ดังขึ้นทันที


“ฮัลโหลครับพี่” ศิลากดรับสายแล้วเอ่ยตอบรับปลายสาย


(วันนี้วันเกิดหรอ)


“ใช่พี่”


(เออ พี่ไม่รู้มาก่อน ละเราก็ไม่บอกพี่เลย)


“ก็พี่ไม่ได้ถามผมอ่ะ” ศิลาตอบพลางหัวเราะบางๆ


(แล้วเย็นนี้ไปไหนป่ะ)


“ไม่มีนะพี่”


(งั้นเดี๋ยวไปกินข้าวกัน)


“ที่ไหนอ่ะ”


(ลองหาดูเลย อยากกินที่ไหน)


“ผมยังไงก็ได้พี่”


(งั้นเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที)


“ได้ค้าบ”


(เย็นนี้พี่ไปรับที่บ้านนะ)


“ครับพี่”


ศิลากดวางสายหลังคุยจบ ขณะที่กำลังจะวางมือถือลงบลิ๊งก์ก็เอ่ยถามขึ้นมา


“ใครอ่ะพี่”


“พี่อาโปอ่ะ”


“อ่อ..” บลิ๊งก์ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “คนที่ไปสยามด้วยกันวันนั้นใช่ป่ะ”


“อื้อ ใช่ๆ” ศิลาพยักหน้ารับ


“…”


พอเห็นว่าบลิ๊งก์เงียบไป ศิลาก็เลยรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากให้น้องต้องไปนั่งคิดมากกับเรื่องเก่าๆ ที่เวียนกลับเข้ามาในหัว


“ป่ะ เอาของลงไปถวายพระกัน” ศิลายิ้มหวานก่อนจะเปิดประตูรถแล้วเดินลงไปยังท้ายรถ


บลิ๊งก์เห็นแบบนั้นก็เดินตามลงมาแล้วพยายามไล่ความคิดไม่ดีออกจากหัวไป เพราะวันนี้เป็นวันดีของศิลา เขาก็ไม่อยากให้มีเรื่องแย่ๆ มารบกวนจิตใจตัวเองเหมือนกัน เพราะไม่อยากแสดงอาการไม่สดใสออกไป ไม่อยากเป็นพลังงานลบวันดีๆ ของพี่ศิลา


ศิลาและบลิ๊งก์ช่วยกันขนของที่ซื้อมาจากเซเว่นลงจากรถแล้วศิลาก็มองหากุฏิของเจ้าอาวาส เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มาวัดบ่อยนัก ไม่ใช่นิสัยของเชาเลยสักนิด แต่วันเกิดทั้งทีศิลาก็อยากจะเอาฤกษ์เอาชัยสักหน่อย


เผื่อจะได้อะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตเพิ่มขึ้นบ้าง


“โทษนะครับ กุฏิเจ้าอาวาสไปทางไหนอ่ะครับ” ศิลาหันไปถามแม่ค้าที่ร้านขายพวงมาลัยที่อยู่ใกล้ๆ


“อยู่ข้างในสุดเลยหนุ่ม รั้วแดงๆ อ่ะ”


“ขอบคุณครับ”


ศิลาเดินนำบลิ๊งก์เข้าไปยังด้านในสุดของวัด ประตูรั้วสีแดงเห็นเด่นชัดมาแต่ไกล ทั้งคู่จึงเดินตรงเข้าไปทันที ศิลาค่อยๆ ใช้ข้อศอกดันประตูเข้าไป เสียงเอียดอาดดังขึ้นอย่างห้ามไม่ได้เนื่องจากความเก่าของประตู หมาวัดที่นอนอยู่หน้ากุฏิก็เห่าขึ้นทันทีที่ศิลากับบลิ๊งก์เดินเข้าไป แต่พอเห็นว่าคนทั้งสองไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวมันก็เดินหนีห่างออกไป


ประตูกระจกด้านในสุดถูกเปิดออก ทั้งคู่ค่อยๆ เดินเข้าไปด้านใน ก่อนจะพบท่านเจ้าอาวาสนั่งอยู่ ศิลาและบลิ๊งก์ก็เลยยกมือขึ้นนมัสการพระคุณเจ้าก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ


“เอาสังฆทานมาถวายครับ” ศิลาเอ่ยขึ้นกับเจ้าอาวาส


“เอาใส่ถาดเลยโยม อยู่ข้างประตูอ่ะ”


“น่าจะไม่พอนะครับ” บลิ๊งก์เอ่ยเสริมหลังจากเดินไปดูถาดที่วัดมี เพราะจำนวนของน่าจะเยอะกว่าขนาดของถาด


“ถวายในถุงแบบนี้เลยได้มั้ยครับ” ศิลาเอ่ยถามเพิ่ม


“ได้ๆ เดี๋ยวโยมว่าตามอาตมานะ”


หลังจากท่านเจ้าอาวาสพูดจบ ก็เริ่มนำสวดให้ทั้งศิลาและบลิ๊งก์สวดตามทันที ทั้งคู่ก็ท่องตามอย่างแข็งขันจนจบแล้วก็ทยอยยกของขึ้นประเคนจนครบ จากนั้นตามด้วยกรวดน้ำก็เป็นอันเสร็จสิ้น ศิลากับบลิ๊งก์ก็เอ่ยลาเจ้าอาวาสแล้วเดินออกมาจากด้านในกุฏิ


“เสร็จละ ไปกินไรกันดี” ศิลาเอ่ยถามบลิ๊งก์


“ขอไปเลี้ยงปลาก่อนได้ป่ะพี่ เมื่อกี๊เห็นป้ายแว้บๆ”


“อ้อ เอาดิๆ”


บลิ๊งก์พยักหน้าแล้วเดินไปทางริมน้ำที่ตอนแรกบังเอิญเดินผ่านแล้วเห็นป้ายขายอาหารปลา เขาเลยตั้งใจว่าจะแวะไปซื้อทำทานสักหน่อย


ศิลาและบลิ๊งก์หยอดตู้บริจาคสำหรับอาหารปลาไปคนละ 20 บาท แล้วหยิบไปคนละสองถุง ปลาจำนวนมากในแม่น้ำว่ายวนชนกัน กระโดดขึ้นเหนือน้ำกันเป็นพัลวันพอเห็นว่ามีคนเดินมาที่ริมน้ำ เสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นเป็นระยะไม่ขาดสาย


บลิ๊งก์แกะถุงแล้วค่อยๆ เทอาหารปลาลงไปในน้ำ ทันทีที่อาหารแตะบนผิวน้ำเสียงแย่งกันงับอาหารของปลาจำนวนมากก็ดังขึ้น พร้อมน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาโครมใหญ่ บลิ๊งก์ร้องลั่นพร้อมกระโดดหนี โดยมีศิลายืนหัวเราะไม่หยุดอยู่ห่างๆ


“สมน้ำหน้า” ศิลาเอ่ยเยาะเย้ย


“อะไรเล่า”


“ก็แทนทีแกจะโยนไปไกลๆ น้ำจะได้ไม่กระเด็นมาโดน เห้อออ..”


“ไม่อยากมือเลอะอ่ะ” บลิ๊งก์ยู่ปาก


“ก็เลยตัวเลอะแทนไปเลยจ้ะ” ศิลาหัวเราะพลางส่ายหัวไปด้วย


บลิ๊งก์ไม่สนใจอะไรก็ยังคงให้อาหารปลาด้วยการเทลงไปบริเวณใกล้ๆ ตลิ่งอยู่ดี


“เอ้อ บลิ๊งก์ แกถ่ายสตอรี่ให้พี่หน่อย” ศิลาพูดพลางยื่นมือถือให้บลิ๊งก์


“พร้อมละบอก” บลิ๊งก์เอ่ย


“ถ่ายเลยๆ เอาวิดีโอนะ” ศิลาหันมาบอกก่อนจะหันกลับไปหยิบอาหารปลาในถุงแล้วกว้างออกไปไกลๆ ปลาฝูงใหญ่กระโจนแย่งกันงับเสียงดังโครมใหญ่


“ปังไม่ไหวว โยนไปไกลเวอร์” บลิ๊งก์เอ่ยขึ้นขณะถ่าย


“คนมันเก่งอ่ะ” ศิลาหันมายิ้มแล้วยักคิ้วข้างหนึ่งให้กล้องก่อนที่บลิ๊งก์จะกดหยุดอัดไป


“ลองเช็คดูพี่ว่าได้เปล่า” บลิ๊งก์ยื่นโทรศัพท์คืนให้ศิลา


“ได้แหละ” ศิลารับมือถือคืนมา แต่ก็ไม่ได้เช็คคลิปอะไรเพียงแต่กดอัพโหลดคลิปลงไอจีสตอรี่ทันที


“ป่ะ ไปกินข้าวเหอะ หิวละ” ศิลาพูดพลางปัดมือเอาเศษอาหารปลาที่ติดมืออยู่ออกไป แล้วเดินกลับไปที่รถของตัวเอง ส่วนบลิ๊งก์ก็รีบเทอาหารปลาที่เหลือในถุงจนหมดแล้วเดินตามหลังพี่ชายข้างบ้านไป


—————————— The Story of Water and Stone ——————————


เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนจำนวนไม่น้อยดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ศิลาและบลิ๊งก์ค่อยๆ เดินเข้าไปภายในร้านอาหารชื่อดังเพื่อมากินมื้อกลางวัน เขาทั้งคู่เดินเข้าไปยังโต๊ะริมหน้าต่างเพราะมันยังว่างอยู่ ศิลากับบลิ๊งก์นั่งลงตรงข้ามกันไม่นานพนักงานร้านก็เอาเมนูมาให้ทั้งคู่ดู


ศิลาเลือกสั่งแต่เมนูที่ตัวเองชอบและไม่เผ็ดมาก ส่วนบลิ๊งก์สั่งเพียงเมนูต้มยำกุ้งเท่านั้นเพราะอยากกิน


“เอาอย่างเดียวหรอ” ศิลาถาม


“พี่ก็สั่งไปตั้งเยอะละนะ กินกันสองคนเอง เดี๋ยวไม่หมด”


“เคๆ” ศิลาตอบรับแล้วหันกลับไปบอกกับพนักงานร้าน “เอาแค่นี้ก่อนครับ”


“รับน้ำอะไรดีคะ” พนักงานร้านถามต่อ


“น้ำเปล่าครับ ไม่เอาน้ำแข็ง”


“ผมเอา” บลิ๊งก์พูดแทรกขึ้น


“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” พนักงานร้านรับคำแล้วเดินจากไป


ไม่นานอาหารทั้งหมดที่ทั้งคู่สั่งก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ทั้งศิลาและบลิ๊งก์ก็ไม่ลืมที่จะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายลงไอจีสตอรี่ก่อนที่จะลงมือกินเพราะว่าหิวมาก ไม่ได้กินอะไรกันมาเลยตั้งแต่เช้า


ระยะเวลาการรับประทานอาหารในมื้อนี้ของทั้งศิลาและบลิ๊งก์เป็นไปอย่าไม่ได้รีบร้อนนัก ทุกอย่างเรียบง่ายและค่อยเป็นค่อยไป แทบไม่มีบทสนทนาอื่นใดหลุดลอดออกมา ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะทั้งคู่กำลังหิวโหยจากการไม่ได้มีอาหารตกถึงท้องในมื้อเช้า ตอนนี้ก็เลยต่างฝ่ายต่างกระหน่ำกับอาหารบนโต๊ะเป็นอย่างมาก


แต่ในขณะที่กินแม้ศิลาจะมัวแต่สนใจกับการกินและการเล่นมือถือโดยไม่ได้สนใจน้องบลิ๊งก์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามสักเท่าไหร่นัก แต่น้องบลิ๊งก์เองก็พยายามเหลือบตามามองหน้าศิลาอยู่บ่อยครั้ง ในสายตาแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้แบบที่อยากพูดแต่ก็ยังไม่กล้าพูด


จนกระทั่งศิลาและบลิ๊งก์กินข้าวมื้อนี้จนเสร็จสิ้น ระหว่างที่กำลังกินน้ำอยู่นั้น จู่ๆ บลิ๊งก์ก็วางแก้วเสียงดังแล้วถอนหายใจแรง


“เป็นไรเปล่า” ศิลาเอ่ยถามเพราะเห็นความผิดปกติของบลิ๊งก์


“เปล่าพี่..” บลิ๊งก์อึกอักเหมือนมีอะไรอยากจะพูดต่อ


“…”


“แค่มีเรื่องอยากคุยด้วยอ่ะ”


“อะไรอ่ะ”


“…”


“เรื่องซีเรียสหรอ” ศิลาถามย้ำ


“ก็นิดนึงอ่ะพี่”


“…” ศิลามองหน้าบลิ๊งก์นิ่ง เพราะอยากจะตั้งใจฟัง


“ผมใช้เวลาคิดทบทวนมากเลยนะว่าควรพูดมั้ย” บลิ๊งก์เริ่มมีอาการหายใจผิดจังหวะ เพราะรู้สึกเกร็งไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง


“พูดมาเลย” ศิลาบอก


“ก็..” บลิ๊งก์ถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่วันนั้นที่สยามอ่ะ เอาจริงๆ ผมก็พยายามจะตัดใจไม่ให้ชอบพี่แล้วนะเว้ย”


“…”


“มันก็ค่อยๆ ดีขึ้นมากแล้วแหละ ผมพยายามไม่รู้สึกอะไรกับพี่ หลังๆ ที่เราเจอกันอ่ะ ผมก็พยายามที่จะวางตัวให้อยู่ในระยะที่เรียกว่าพี่น้องมาตลอดเลย”


ศิลาพยักหน้ารับ


“ไม่รู้ว่าพี่ได้สังเกตมั้ย ว่าพักหลังผมก็ไม่พยายามจะไปหาพี่ หรือไปเจอหน้าสักเท่าไหร่ เวลาพี่ชวนไปไหนมาไหนอ่ะ”


“แกบอกพี่ว่าไม่ว่างหนิ”


“ก็ใช่... แต่ก็ข้ออ้างแหละ” บลิ๊งก์ยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ “เพราะผมกลัวว่าถ้าอยู่ใกล้พี่มากๆ มันจะทำให้ผมกลับไปรู้สึกแบบเดิมกับพี่อีก”


“อ่า..”


“แล้วสุดท้ายมันก็เกิดขึ้นจริงๆ”


“…” ศิลามองหน้าบลิ๊งก์นิ่ง


“มันเพิ่งเกิดขึ้นวันนี้แหละ” บลิ๊งก์มองหน้าศิลา น้ำตาคลอเกาะอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา “ความรู้สึกแบบนั้นมันกลับมาอีกแล้วอ่ะพี่”


“…”


“ผมเลิกชอบพี่ไม่ได้จริงๆ ว่ะ”


“พี่ขอโทษนะ”


“ไม่ๆ พี่ศิลาไม่ต้องขอโทษผม ผมต่างหากที่คิดเยอะไปเอง ผมเข้าใจว่าวันนี้เป็นวันพิเศษของพี่ มันเป็นวันดีๆ วันนึงอ่ะเนอะ”


บลิ๊งก์พยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้


“ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้ตั้งใจให้ความหวังอะไรผมทั้งนั้น มีแต่ผมที่คิดไปเอง”


“…”


“คิดไปเองว่าพี่แอบอ่อยผม.. ไม่งั้นคงไม่ชวนผมออกมาในวันพิเศษแบบนี้”


“โอ้ยยย.. ทำไมเป็นเด็กแบบนี้ห้ะ!” ศิลาเอ่ยพูดออกมาหลังจากเงียบมาสักพัก “แกนี่เป็นเด็กคิดเยอะจริงๆ นะ”


“ก็ใช่ไง!” บลิ๊งก์พูดไปหัวเราะไป น้ำตาไหลไป


“ถ้าพี่ไม่เอ็นดูว่าเป็นน้อง พี่จะด่ายิ่งกว่านี้อีกนะ” ศิลาพูดพลางหัวเราะแล้วจะเอื้อมมือไปลูบหัวบลิ๊งก์ แต่น้องก็ร้องห้ามเอาไว้ก่อน


“อย่าลูบหัว”


“ทำไมอ่ะ”


“เดี๋ยวผมหวั่นไหวอีก พอเลย นั่งเฉยๆ”


“อ่ะๆ เลิกร้องๆ แกนี่นะ”


“เดี๋ยวเลิก รอแป๊บ” บลิ๊งก์เอ่ยตอบแล้วเอาทิชชู่มาซับน้ำตา โดยมีศิลานั่งหัวเราะพลางส่ายหัวให้ด้วยความเอ็นดู


“ไป กลับบ้านกัน” ศิลาลุกขึ้นพร้อมหยิบบิลเพื่อไปจ่ายเงิน ส่วนบลิ๊งก์ก็ค่อยๆ ลุกตามไป


เอาจริงๆ ศิลาก็รู้มาตลอดนั่นแหละ ว่าน้องยังรู้สึกอยู่ คนเราอ่ะเวลาชอบอะไรให้เลิกชอบง่ายๆ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เขาก็ไม่ได้อยากจะบังคับให้น้องเลิกชอบเขา เพียงแต่เขาแค่อยากย้ำเตือนในสถานะที่เขากับน้องจะเป็นได้เท่านั้น พี่น้องก็คือพี่น้อง แล้วศิลาก็ไม่เคยคิดว่าจะพัฒนาไปมากกว่านี้ ซึ่งเขาก็ไม่ติดถ้าน้องจะรู้สึกชอบเขาไปเรื่อยๆ แต่บลิ๊งก์ก็จะต้องบอกตัวเองอยู่เสมอด้วยว่าระยะห่างของความเป็นพี่น้องมันอยู่ที่ตรงไหน ซึ่งน้องก็ต้องเข้าใจว่ามันไม่มีทางใกล้ชิดเท่ากับระยะของคนเป็นแฟนกันอย่างแน่นอน


—————————— The Story of Water and Stone ——————————


ครืด ครืด~


เสียงสั่นของโทรศัพท์มือถือปลุกศิลาให้ตื่นขึ้น หลังจากเผลอหลับไปตอนที่กลับมาถึงบ้านและส่งน้องบลิ๊งก์กลับเข้าบ้านเป็นที่เรียบร้อย


“ฮัลโหลครับ” เสียงสะลึมสะลือของศิลาเอ่ยตอบรับปลายสาย


“เพิ่งตื่นหรอ” อาโปถาม


“ผมเผลอหลับไปอ่ะพี่”


“อ่อ พี่เสร็จธุระแล้ว กำลังจะเข้าไปรับนะ”


ศิลาได้ยินแบบนั้นก็เลยยกโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่ออกเพื่อจะดูเวลา


17:30 น.


“อ่อครับ”


“เดี๋ยวถึงแล้วพี่บอกนะ”


“ครับๆ”


ศิลาวางโทรศัพท์ลงข้างตัวหลังจากที่ปลายสายตัดสัญญาณไป ก่อนจะบิดขี้เกียจเพื่อขับไล่ความเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้อที่หลงเหลืออยู่จากการที่เขาเผลอหลับไปบนโซฟาที่หน้าทีวีในห้องนั่งเล่น ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วกลับมานั่งดูทีวีต่อเพื่อรออาโปมารับ


ไม่นานนักเสียงรถยนต์ของอาโปก็เข้ามาจอดเทียบประตูหน้าบ้าน ศิลาชะโงกหน้ามองพอเห็นว่าเป็นรถของอาโปก็เตรียมจะวิ่งออกไปหน้าบ้านทันที


“ใครมาอ่ะลูก” แม่ของศิลาเอ่ยถาม


“เพื่อนครับ” ศิลาตะโกนตอบขณะที่กำลังวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน


สองมือเล็กเลื่อนประตูรั้วที่หน้าบ้านให้เปิดออกแล้วยืนมองรถยนต์ที่คุ้นตาที่จอดนิ่งอยู่ตรงหน้า


“พร้อมยัง” อาโปเอ่ยทักศิลาที่ยืนอยู่ตรงประตูรั้วหน้าบ้านทันทีที่ลงจากรถ


ศิลาไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแต่ยิ้มกว้างแล้วก็พยักหน้ารัวๆ


“งั้นก็ไปกัน”


อาโปวิ่งไปเปิดประตูฝั่งคนนั่งในขณะที่ศิลาค่อยๆ เลื่อนประตูรั้วบ้านให้ปิด ก่อนจะหันหลังกลับมาเดินขึ้นรถ อาโปพอเห็นคนน้องขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ก็ปิดประตูแล้ววิ่งกลับไปฝั่งคนขับแล้วออกตัวให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าทันที


ถนนในกรุงเทพช่วงที่เป็นเวลาเลิกงานแบบนี้คือหายนะ ความตั้งใจที่อาโปอยากจะไปให้ถึงร้านอย่างเร็วที่สุดต้องหยุดชะงักลงเมื่อเจอการจราจรที่ติดขัดขนาดนี้ ยิ่งถนนเส้นลาดพร้าวที่พวกเขากำลังใช้เดินทางอยู่ในตอนนี้ยิ่งขึ้นชื่อเรื่องรถติดแบบนรกแตก รถของอาโปจอดแน่นิ่งมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แบบไม่ขยับเลยสักนิด


ทั้งคู่ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก เพราะรู้สึกเบื่อที่จะต้องนั่งอึดอัดอยู่บนรถแบบนี้ หิวก็หิว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ เพราะถนนก็แน่นขนัดไปด้วยรถ อาโปเลยตัดสินใจแหกกฎตัวเองที่จะไม่เล่นมือถือตอนขับรถ หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย


เสียงเพลงบนรถยังคงเล่นไปเรื่อยๆ ตามเพลย์ลิสท์ที่อาโปได้เปิดไว้ตั้งแต่ตอนแรกที่ขับรถออกมาจากบ้านของศิลา


อาโปเปิดเช็คโซเชียลของตัวเองไปเรื่อยๆ จนมาจบที่ไอจี เขาเลื่อนดูรูปและกดไลก์ไปตามประสา ก่อนจะมาไล่ดูสตอรี่ของเพื่อนๆ เขาแต่ละคน จนสุดท้ายก็ต้องมาสะดุดที่สตอรี่ไอจีของศิลา เมื่ออาโปเปิดดูแล้วพบว่าเมื่อเช้าน้องไปวัดมากับบุคคลปริศนาที่อยู่หลังกล้อง


เอาจริงๆ อาโปคงไม่รู้สึกอะไรนักหรอกถ้าดูเพียงสตอรี่อย่างเดียว แต่เพราะไม่รู้อะไรดลใจให้อาโปกดเปิดเสียงสตอรี่จึงทำให้ได้ยินเสียงผู้ชายที่เป็นตากล้องกำลังถ่ายศิลาตอนให้อาหารปลา


‘ปังไม่ไหวว โยนไปไกลเวอร์’


แล้วเสียงคนถือกล้องถ่ายนั้นก็ช่างคุ้นเสียเหลือเกิน


“ดูสตอรี่ผมเหรอพี่” ศิลาเอ่ยทักทันทีที่ได้ยินเสียง


“อ่อ ใช่ๆ ไปกับเพื่อนมาหรอ”


“ไปกับน้องข้างบ้านอ่ะพี่”


อาโปสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น “น้องคนนั้นอ่ะเหรอ”


“…”


“ที่เจอที่สยามใช่ป่ะ” อาโปถามย้ำ


“ใช่พี่ มีไรเปล่า” ศิลาถามกลับเมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย


“เปล่าๆ แค่แปลกใจ ทำไมยังไปด้วยกันอีก”


“ก็น้องมันอยู่กับผมทุกปีอ่า ตั้งแต่เด็กแล้ว ปีนี้ผมก็เลยชวนไปด้วยกัน”


“อ่อ..” พี่อาโปน้ำเสียงอ่อนลง “ไม่เห็นชวนพี่เลย”


“ก็พี่บอกว่าติดธุระ”


“เออว่ะ ก็จริง” อาโปหลุดขำออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกขมขื่นก็ตาม


“เห็นมะ ชวนพี่ก็ไปไม่ได้อยู่ดี”


อาโปพยักหน้ารับหงึกๆ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้ว.. กลับไปคุยกับน้องมันแล้วเหรอ”


“ก็คุยปกตินะพี่ ไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย”


“อ่าว แล้วที่สยามวันนั้น” อาโปถามต่อ สีหน้ามีความลุ้นอยู่ในตัว


“ผมบอกแล้วว่าพี่น้องกัน วันนั้นน้องเขาก็โวยวายเป็นปกติแหละ คนมันเฮิร์ทอ่ะเนาะ แผลสดขนาดนั้น แต่ตอนนี้ได้คุยกันแล้ว ปรับความเข้าใจกันเรียบร้อย”


“อ่อ..”


“ก็เป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมแหละ”


“ดีใจจัง..” อาโปเผลอยิ้มออกมา


“ยิ้มอะไรพี่”


“เปล่าๆ”


“แต่จริงๆ .. วันนี้น้องก็มาบอกนะว่ายังชอบผมอยู่อ่ะ”


“แล้ว?” พี่อาโปเริ่มใจไม่ดีอีกครั้ง


“ผมนับถือน้องบลิ๊งก์นะ ที่มั่นคงขนาดนี้ ก็ดีใจแหละ”


“…” พี่อาโปนิ่งไป


“แต่กับบลิ๊งก์ผมให้ได้แค่พี่น้องจริงๆ”


“อ่อ..”


“นั่นแหละ” ศิลามีท่าทางเคอะเขินเล็กน้อย เหมือนเป็นสัญญาณบางอย่างให้อาโปเริ่มรับรู้


“แล้วถ้ากับพี่ล่ะ อยู่ในฐานะอะไรได้บ้าง” อาโปเสี่ยงวัดดวงเอ่ยถามออกไป


“ไม่บอก” ศิลาแลบลิ้นล้อเลียนคนข้างๆ


“ไม่อยากรู้ก็ได้..” อาโปแกล้งทำน้ำเสียงประชดประชัน ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาบางๆ เพราะอดเอ็นดูศิลาไม่ไหว


“พี่น้อง!” ศิลาเอ่ยสวนขึ้นมา


“หื้ม?”


“พี่น้อง..” ศิลาหันมองหน้าอาโป ในขณะเดียวกันอาโปก็หันมาสบตากับคนน้องพอดี


“พี่น้อง...” อาโปพูดย้ำ


“...ที่สนิทกัน...” ศิลาพูดต่อแล้วเว้นวรรคเป็นจังหวะหายใจ “...มากเป็นพิเศษ..”


“อ่อ..” อาโปเอ่ยพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “ก็ยังดี”


“ดียังไง”


“อย่างน้อยก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นมานิดนึงไง” อาโปพูดจบก็เอื้อมมือมายีหัวศิลาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับรถตามรถคันหน้าไป


เอาจริงๆ จนถึงตอนนี้อาโปกลับรู้สึกว่าอยากให้รถติดแบบนี้ไปอีกเรื่อยๆ นานกว่านี้ก็ย่อมได้ ไม่อยากให้การจราจรกลับไปเคลื่อนตัวได้ดีเลยด้วยซ้ำ เพราะเขารู้สึกได้ใช้เวลากับศิลาเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคย มันรู้สึกส่วนตัวและศิลาเองก็ค่อนข้างสบายใจในการจะพูดอะไรๆ ออกมา อาโปเองก็แอบคาดหวังว่าหลังจากนี้พอลงรถไปแล้ว ความสัมพันธ์ของเขากับศิลาจะก้าวไปได้ไกลมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้


------------------------------------------------------------


ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ #ศิลาของอาโป