โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) - Chapter 11 ปีใหม่แต่หัวใจดวงเดิม โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น,โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,ไทย,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

โรแมนติก,รักวัยรุ่น,ศิลาของอาโป

รายละเอียด

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1) โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

โบราณว่ากันว่า น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน...

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

สารบัญ

ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Action! บทนำ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 1 เจอกันวันแคสติ้ง,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 2 นัดเจอกันนอกรอบ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 3 อิหยังวะ,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 4 เพราะใจมันเต้นแรงกว่าที่เคย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 5 เพราะความหิวจึงเกิดปัญหา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 6 โลกเอยจงซับซ้อนยิ่งขึ้น,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 7 ออกกองเดย์,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 8 ขอเคลียร์หน่อย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 9 เรียกเดทได้ใช่มั้ย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 10 วันเกิดศิลา,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 11 ปีใหม่แต่หัวใจดวงเดิม,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 12 ของขวัญวันเกิด,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 13 ตอนพิเศษ : สุขสันต์วัน Halloween,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 14 ตอนพิเศษ : ไอ้ศิลาเรียนจบแล้วโว้ยยยย,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 15 ตอนพิเศษ : มีอะไรอยู่ในกอไผ่,ศิลาของอาโป (น้ำหยดลงหินทุกวันฯ เล่ม 1)-Chapter 16 ตอนพิเศษ : ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้เท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง

เนื้อหา

Chapter 11 ปีใหม่แต่หัวใจดวงเดิม

ลมเย็นๆ ในช่วงสิ้นปีพัดโชยมายิ่งทำให้เสียงเพลงสุนทราภรณ์ต้อนรับปีใหม่ที่ดังแว่วมาจากบ้านข้างๆ รู้สึกไพเราะมากยิ่งขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว


ศิลาซุกกายอยู่ภายใต้ผ้าห่มและเตียงนุ่มๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้ยิ่งทำให้เขาไม่อยากขยับตัวออกจากเตียงสักเท่าไหร่ เพลงที่ลอยแว่วมาตามลมช่วยขับกล่อมให้เขาเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศในวันสิ้นปีได้ไม่ยาก


แพลนในวันสิ้นปีตามแบบฉบับของศิลาก็คือไม่มีแพลนนั่นเอง ก็ตั้งใจอย่างเดียวว่าจะนอนดูเน็ตฟลิกซ์อยู่ที่บ้าน อากาศสบายขนาดนี้ใครจะอยากออกไปไหน


ศิลาใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมงหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นมานั่งแล้วหยิบมือถือมาเปิดเช็คแอพนู่นนี่นั่นตามประสาเป็นปกติแบบทุกวัน


ไลน์กลุ่มหนังสั้นธีสิสของกานต์เด้งขึ้นมาระหว่างที่ศิลากำลังเปิดไอจีดูอยู่


KARN : คืนนี้เคาท์ดาวน์ไหนกัน


ข้อความไลน์จากกานต์โชว์เด่นอยู่ในห้องแชท ขึ้นจำนวนคนอ่านแต่ยังไม่มีใครตอบ ศิลาจึงค่อยๆ บรรจงพิมพ์คำตอบลงไป


Sila : อยู่บ้านครับ


KARN : อ่อ


กานต์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ยังคงเงียบอยู่ ทั้งๆ ที่มีจำนวนคนอ่านขึ้นโชว์ให้เห็นอย่างต่อเนื่อง


ศิลาวางมือถือลงหลังจากตอบข้อความในไลน์กลุ่มเสร็จ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไป มือบางหยิบยาสีฟันขึ้นมาบีบลงบนแปรงแล้วเริ่มทำความสะอาดฟันอย่างที่เคย พอแปรงเสร็จเขาก็ล้างหน้าล้างตาแล้วยืนมองกระจกหันซ้ายขวาเช็คใบหน้าหล่อของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง


ไม่อาบน้ำแล้วกัน หนาวไม่ไหว


ศิลาคิดแล้วเดินออกไปนั่งบนเตียงแล้วหยิบรีโมตขึ้นมาเปิดเน็ตฟลิกซ์แล้วเลือกหนังเรื่องที่อยากจะดู แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลือกได้สักที ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ชายหนุ่มที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงก็ยังคงกดรีโมตไล่ตามรายชื่อในหนังไปเรื่อยๆ


“เฮ้ออออ.. ดูอะไรดีเนี่ย” ศิลาบ่นเล็กน้อย แต่นิ้วก็ยังคงกดไล่หาหนังไปเรื่อยๆ


“ดูอันนี้ละกัน”


Love, Simon


ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ศิลาเลือกกดหนังเรื่องนี้ดู ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าเพราะเหตุผลอะไรถึงได้เลือกหนังเรื่องนี้ รู้เพียงแค่ตอนเห็นหน้าปกหนังแล้วมันดึงดูดให้อยากดูก็เท่านั้น


เรื่องราวของหนังเริ่มต้นขึ้นและดำเนินไป โดยมีศิลานั่งจดจ่อจ้องมองภาพในจอที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่มีหลุดสมาธิ อากาศดีเสียจนเด็กหนุ่มไม่ต้องเปิดแอร์ เปิดเพียงหน้าต่างลมเย็นก็มากเพียงพอที่จะทำให้เขานั่งบนเตียงซุกอยู่ในผ้าห่มได้อย่างสบายอารมณ์


ครืด ครืด~


เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้น ศิลาละสายตาจากหน้าจอโทรทัศน์แล้วหันมามองหน้าจอมือถือที่กำลังขึ้นโชว์ชื่อของอาโป เขารีบกดหยุดหนังแล้วคว้ามือถือขึ้นมากดรับทันที


“ฮัลโหลพี่”


(วันนี้ไปไหนเปล่า)


“น่าจะอยู่บ้านอ่ะพี่”


(หรอ ไม่ออกไปเคาท์ดาวน์ข้างนอกหรอ)


“ขี้เกียจอ่ะ น่าจะอยู่บ้านกินข้าวกับที่บ้านมั้งพี่”


(อ่อ..)


“มีไรเปล่าพี่”


(เปล่าๆ ว่าจะโทรมาชวนออกไปข้างนอกอ่ะ)


“อ๋อ.. เย็นๆ ได้มั้ยอ่ะ”


(ได้ๆ แล้วแต่เราเลย)


“เคพี่ งั้นเย็นๆ ละกันครับ”


(โอเคเลย งั้นเดี๋ยวเย็นพี่เข้าไปรับนะครับ)


“โอเคครับ”


ศิลาวางมือถือลงพลางยิ้มกว้าง จู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาซะงั้น จากที่ดีอยู่แล้วกลับกลายเป็นดียิ่งขึ้นกว่าเดิมไปอีก หนังรักในจอก็ดำเนินไปแบบที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้โฟกัสสักเท่าไหร่นัก


ส่วนฝั่งอาโปพอศิลาตอบรับคำชวนที่จะออกไปเคาท์ดาวน์ด้วยกันคืนนี้ สีหน้าของเขาก็แสดงออกว่ามีความสุขจนเก็บเอาไว้ข้างในไม่อยู่ เขารีบโทรจองร้านอาหารร้านดังที่เขามักไปกินเป็นประจำกับครอบครัวในวันพิเศษ


แต่ก็อย่างว่า วันนี้เป็นวันสิ้นปี ยิ่งร้านอาหารดังแค่ไหน ก็ยิ่งเต็มเร็วมากขึ้นไปอีก


อาโปก็เลยได้แต่ถอนหายใจแล้วยอมแพ้ที่จะพาศิลาไปกินอาหารร้านโปรด แต่เขาก็ไม่ย่อท้อเพราะยังคงพยายามหาร้านอื่นๆ เพื่อที่จะได้ใช้ช่วงเวลาที่สุดแสนจะพิเศษกับคนที่เขาคิดเอาไว้ว่าอยากจะให้เป็นคนพิเศษ


“ฮัลโหลครับ” อาโปต่อสายโทรหาร้านอาหารอีกร้านที่อยู่ไม่ไกลจากทั้งบ้านของเขาและบ้านของศิลา “ผมขอจองโต๊ะหน่อยครับ ประมาณ 2 ที่ จะเข้าไปประมาณทุ่มนึงครับ”


(ขอโทษด้วยนะคะ พอดีทางร้านเราไม่รับจองค่ะ ยังไงรบกวนคุณลูกค้าวอร์คอินมาที่ร้านนะคะ ขอบคุณค่ะ)


“อ่อ.. ครับ” สีหน้าของอาโปมีอาการเซ็งลงเล็กน้อย “ขอบคุณนะครับ”


คนร่างโตถอนหายใจยาว เพราะร้านอาหารดีๆ ในวันสิ้นปีแบบนี้ช่างหายากหาเย็นเสียเหลือเกิน


ส่วนกานต์กับเตชินท์หลังจากรู้ว่าศิลาไม่ยอมออกมาปาร์ตี้เคาท์ดาวน์ปีใหม่คืนนี้ด้วยแน่ๆ ก็เลยต้องตามหาเพื่อนฝูงเพื่อมาเพิ่มเติมความสนุกในคืนนี้แทน


“เอาไงดี ศิลาเทละหนึ่ง” เตหันมาถามกานต์


“ไม่รู้ ก็ลองถามคนอื่นดิ”


“ทำเหมือนพวกเรามีเพื่อนเยอะงั้นแหละ” เตมองบนแล้วบ่นใส่


“เออว่ะ มึงก็พูดถูก” กานต์ได้ยินก็หยุดคิดไปพักหนึ่งแล้วก็พูดออกมาพลางหัวเราะ


“สรุปเอาไง”


“มึงลองโทรหาอิแยมดิ” กานต์เสนอ


“โอ้โหหหหหห มึงนี่นะ พูดไม่คิด เพื่อนติดผัวจ้าา ยังไงมันก็ไม่มาหรอก”


“มึงก็ไปว่าเพื่อน แต่ก็จริง” กานต์หันไปย้ำกับเตด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาเตหลุดหัวเราะออกมา


“ขำอะไรห้ะ”


“ขำหน้ามึงไง” เตหัวเราะรัว จนโดนกานต์ยกมือขึ้นมาทุบไหล่ไปทีหนึ่ง


“หรือมึงจะให้กูชวนมังกร?” เตเหล่ตามองแล้วเอ่ยถาม


“…”


“…”


กานต์เงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา เตก็เลยรีบหุบปากแล้วนั่งนิ่งเพราะกลัวไอ้กานต์จะอาละวาดขึ้นมาอีก


วันดีๆ แบบนี้ ขี้เกียจจะรับมือเรื่องปวดหัว


“ก็แล้วแต่..” กานต์ตอบเสียงนิ่ง


“จริงอ่อ”


“ก็.. อยากชวนก็ชวน กูไม่ติด” กานต์หันมาย้ำกับเต


“แต่กูติด”


“เอ้า อะไรของมึงเนี่ยไอ้เต” กานต์ส่ายหัวเอือมระอา


“ก็ถ้ากูชวนมา มึงก็จะรู้สึกไม่ดีอีกอ่ะ” เตชินท์พูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง


“ใครบอกมึง”


“กูบอกอยู่นี่ไง”


“คิดแทนคนอื่นเก่ง”


“คิดแทนมึงต่างหาก ไม่ใช่คนอื่น”


“รำคาญ!!”


“เออๆ กูเองก็ไม่ได้อยากเจอน้องมังกรมันเท่าไหร่หรอกน่า” เตรีบบอกปัด เพราะไม่อยากให้กานต์อารมณ์ไม่ดี


“…” กานต์เงียบไม่พูดอะไร


“เอาน่ะ เอาเป็นว่าวันนี้วันดี อย่าอารมณ์เสียเลยเนอะ” เตขยับเข้าไปหากานต์แล้วพยายามยิ้มกว้างเพื่อหวังจะให้อีกคนมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าบ้าง หลังจากหน้านิ่งตึงมานาน


“กูไม่ได้อารมณ์เสีย เรื่องน้องมังกรนั่นด้วย ถ้าอยากชวนก็ชวน”


“ไม่ชวนแล้ว อยากอยู่กับเฉพาะเพื่อนที่สนิทๆ มากกว่า” เตชินท์จ้องมองใบหน้าของกานต์นิ่ง


กานต์เองพอได้ยินอะไรแบบนั้นจากปากของเตก็แอบรู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ เพราะเขาก็ไม่อยากจะดูเป็นคนงี่เง่าในสายตาของเตขนาดนั้น


เรื่องน้องมังกรเนี่ย เอาจริงๆ กานต์ก็แค่ไม่ชอบหน้าเฉยๆ แต่ก็เคยบอกไปแล้วว่าการที่เขาไม่ชอบมังกร ไม่ได้แปลว่าเตจะต้องไม่ชอบไปด้วย เพราะว่ามันคนละส่วนกัน


แต่พอได้ยินเตชินท์พูดแบบนี้ กานต์ก็แอบรู้สึกผิดเหมือนกัน


ไม่รู้ว่าไปบังคับจิตใจของเตเข้าหรือเปล่า


แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว การที่เตไม่ชวนมังกรมาแล้วก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน


จะได้ไม่ต้องปั้นหน้า...


“แล้วสรุปเย็นนี้จะไปไหนอ่ะ” กานต์หันไปถามเต


“อยากไปไหนเป็นพิเศษมั้ยล่ะ”


“ไม่มีอ่ะ”


“งั้นไปกินบุฟเฟต์กันป้ะ กูได้คูปองมาอ่ะ” เตหยิบคูปองบุฟเฟต์ร้านดังริมแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นมาโชว์


“จริงๆ กูได้มา 4 ใบ แต่ถ้าไม่มีใครไปเพิ่มก็ไปสองคนก็ได้” เตพูดเสริม


“อ่อ”


“เอาไงสรุป” เตเอ่ยถาม


“ก็ไปดิ ของฟรีอ่ะ” กานต์ตอบพลางยักคิ้วกวน


“จัดไป”


“ละอีกสองใบทำไงอ่ะ” กานต์ถามถึงคูปองสองใบที่เหลือ


“ก็เก็บไว้ใช้วันอื่นดิ ยังไม่ถึงวันหมดอายุสักหน่อย”


กานต์คิดตามพลางพยักหน้ารับ


บรรยากาศในวันสิ้นปีแบบนี้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่รอยยิ้มของผู้คนเต็มไปหมด เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผู้คนรวมไปถึงห้างร้านต่างๆ พร้อมใจเฉลิมฉลองกันแบบไม่คิดอะไรมาก ลมเย็นๆ ในช่วงเดือนธันวาคมยิ่งมีส่วนช่วยขับให้วันปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจและน่าประทับใจได้มากยิ่งขึ้น


เป็นช่วงเวลาสุดแสนพิเศษที่ใครหลายๆ คนอยากจะหยุดเอาไว้ตลอดไป


อาโปยังคงท่องโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อตามหาร้านอาหารที่จะได้ใช้เวลากับศิลาในค่ำคืนของวันสิ้นปี แต่ก็ยังไม่เจอร้านไหนที่ว่างพอให้จองเลย ยิ่งร้านใหญ่ ร้านดัง ติดท็อปรีวิวล้วนแล้วแต่ถูกจองจนเต็มหมดแล้วทั้งสิ้น อาโปถอนหายใจแรงด้วยความหนักใจ เพราะเวลาล่วงเลยมานานจนเกือบจะเย็นแล้ว ก็ยังไม่ได้ที่ปักหลักเสียที


“ไปตายเอาดาบหน้าละกัน” อาโปพูดพึมพำกับตัวเองก่อนจะเงยหน้าดูนาฬิกาแล้วตัดสินใจคว้ากุญแจรถแล้วออกไปรับศิลาที่บ้านทันที


รถยนต์ของอาโปค่อยๆ ขับเคลื่อนไปตามทางที่คุ้นเคย สองฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านรวงที่จัดตกแต่งสวยงามตั้งแต่วันคริสต์มาสแล้วลากยาวมาจนถึงวันนี้ ผู้คนมากมายทยอยกันออกมาเดินเต็มสองข้างถนน บ้างช้อปปิ้ง บ้างถ่ายรูป บางส่วนก็นั่งกินข้าวอยู่กับครอบครัว แฟน หรือไม่ก็กลุ่มแก๊งเพื่อนสนิท


อาโปเองก็กำลังขับรถไปรับน้องชายคนที่สนิทกันมากเป็นพิเศษอยู่เหมือนกัน


รถคันเดิมที่ศิลาคุ้นเคยค่อยๆ เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ก่อนที่คนตัวสูงจะก้าวลงมาจากรถคันนั้น แล้วเดินยิ้มกว้างมาที่หน้าประตู


กริ๊งงง


อาโปกดออดที่หน้าประตูบ้านของศิลา ไม่นานคนน้องก็เดินออกมาพร้อมใบหน้าแจ่มใสเป็นพิเศษ


“หวัดดีพี่”


ศิลาที่ใช้กระเป๋าคาดอกสีดำ ตรงมาเปิดประตูรั้วแล้วเดินออกไปโดยมีอาโปเดินตามอยู่ไม่ห่าง คนพี่เดินไปประตูฝั่งคนนั่งให้คนเป็นน้องขึ้นไปนั่ง ก่อนที่ตัวเองจะวิ่งกลับไปขึ้นรถฝั่งคนขับ


เสียงปิดประตูรถดังขึ้นก่อนที่อาโปจะหันมามองหน้าของคนที่นั่งข้างๆ นิ่ง


ทำไมวันนี้น่ารักจัง


“มีอะไรเหรอพี่” ศิลาเอ่ยถามอีกฝ่ายเพราะเห็นว่าจ้องหน้าของตัวเองจนไม่ยอมละสายตา


“อะ..อ่อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร” อาโปได้สติเมื่อได้ยินเสียงทักของศิลา ทำให้เขาเกิดอาการเลิ่กลั่กออกมาเล็กน้อย จนฝ่ายคนน้องสังเกตเห็นได้


“อ่อ ครับ” ศิลาแอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของอาโป


เวลาเขินก็น่ารักดีเหมือนกันแฮะ


“ไปกันเลยมั้ย” อาโปเอ่ยถาม


“ครับ” ศิลายิ้มตอบแล้วพยักหน้ารับ


รถยนต์ของคนพี่เคลื่อนตัวออกไปได้ไม่นาน ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีจุดหมายปลายทางที่ไหนเลย ศิลาสังเกตเห็นได้จากการที่อาโปขับรถไปเรื่อยๆ โดยสอดส่ายสายตาไปตลอดสองข้างทาง


“มีอะไรหรือเปล่าครับ”


“อ่อ เปล่าๆ” อาโปบอกปัด


“ตกลงเราไปร้านไหนนะพี่”


“เอ่อ...”


“…” ศิลาหันมองหน้าอาโปนิ่ง เฝ้ารอคำตอบ


“ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะพากินร้านประจำอ่า” เสียงของคนพี่เบาลง “แต่ว่ามันเต็มหมดเลยอ่ะ”


“อ่อครับ”


“ตอนนี้ก็เลยยังไม่รู้จะพาไปกินอะไรดี” อาโปยิ้มแห้งๆ เพราะแอบรู้สึกผิดที่วันพิเศษแบบนี้ ไม่สามารถพาศิลาไปอยู่ในสถานที่ที่พิเศษได้


“งั้นไปร้านที่ผมกินประจำมั้ยพี่” ศิลาเสนอด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ร้านไหนอ่ะ”


“แต่ว่า.. พี่จะกินได้ใช่ป่ะ”


“ทำไมจะกินไม่ได้อ่า”


“ก็ปกติผมเห็นพี่พาแต่ผมไปร้านดีๆ” ศิลาหยุดพูดแล้วนิ่งไปนิดหน่อยก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ร้านที่ผมบอกมันค่อนข้างจะริมถนนนิดนึงอ่ะ”


“อ่อ” อาโปลากเสียงยาวพลางทำหน้าคิด


“โอเคมั้ยพี่ ถ้าไม่ได้ ผมจะได้หาร้านอื่น”


“เราอยากกินใช่ป่ะล่ะ”


“ก็..” ศิลาอ้ำอึ้ง


“งั้นไปร้านนั้นกัน” อาโปยิ้มกว้างแล้วขับรถไปยังปลายทางที่คนทั้งสองได้ตัดสินใจเลือกแล้ว


จำนวนลูกค้าที่ร้านนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าที่อื่นเลย หลังจากที่อาโปขับรถเข้ามาจอดที่ลานจอดรถด้านหลังของร้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะลงรถแล้วค่อยๆ เดินออกมายังบริเวณด้านหน้าที่ร้านจัดโต๊ะไว้สำหรับรองรับลูกค้า


“มาบ่อยเหรอ” อาโปถามศิลาขณะที่กำลังเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวที่ว่างอยู่


“ใช่พี่ มากับที่บ้านอ่ะ”


“แสดงว่าอร่อย”


“ใช่พี่ โดยเฉพาะเป็ดพะโล้นะ ร้านนี้โคตรเด็ด” ศิลาเอ่ยพูดอย่างภาคภูมิใจ แล้วเปิดเมนูอาหารดู


“สั่งเลยนะ พี่ไม่เคยกินอ่ะ”


“เคพี่” ศิลามองดูเมนูอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะยกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์


“เอาเป็ดพะโล้จานใหญ่หนึ่งครับ แล้วก็....”


เสียงเจื้อยแจ้วของคนตัวบางเอ่ยสั่งอาหารไปเรื่อยๆ พนักงานก็ค่อยๆ จดรายชื่ออาหารตามไปด้วย โดยที่อาโปนั่งมองด้วยความรู้สึกปลื้มปริ่มแบบบอกไม่ถูก


เพราะมันยิ่งทำให้คนตัวบางดูสดใสมากเป็นพิเศษกว่าทุกๆ วัน


อาหารจำนวนมากถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะที่คนทั้งคู่นั่งอยู่ ละลานตาเสียจนคนเป็นพี่ต้องเอ่ยถาม


“นี่เราหิวใช่มั้ยเนี่ย”


“นิดนึงอ่ะพี่” ศิลาตอบพลางหัวเราะแห้งๆ


“ก็ว่าสั่งมาซะเยอะเลย เขาถึงบอกไงว่าอย่าสั่งอาหารตอนหิว”


“ไม่เป็นไรหรอกพี่ กินไม่หมดก็ให้ร้านเขาห่อกลับบ้านเอา” ศิลาพูดจบก็หยิบช้อเอื้อมไปตักเป็ดพะโล้มากินทันที


สีหน้าสุดฟินเพราะความอร่อยของเป็ดพะโล้ที่แตะเข้าไปในปากถูกแสดงออกมาผ่านสีหน้าของศิลาอย่างที่ยากจะควบคุม อาโปที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นเข้าก็อดที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้


เอาจริงๆ อาโปไม่ต้องกินอะไรแล้วก็ได้ในตอนนี้


เพราะอะไรน่ะเหรอ


ก็เพราะว่าเขาน่ะเต็มอิ่มกับความสุขที่ได้อยู่กับศิลาอย่างเต็มที่แล้วน่ะสิ


จะว่าไปวันนี้เขาก็เตรียมตัวเตรียมใจที่จะบอกอะไรบางอย่างกับคนน้องที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงหน้า แต่ก็อย่างว่าเวลานี้อาจจะยังไม่เหมาะมากนัก เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะพูดที่ไหนก็พูดได้สักหน่อย


“ไม่กินเหรอพี่” ศิลาเงยหน้ามาเห็นอาโปนั่งจ้องหน้าตัวเองเอ่ยถามอย่างสงสัย


“อ่ะ..อ่อ กินดิ กินๆ” อาโปเลิ่กลั่กทันทีที่ได้ยินคนเป็นน้องเอ่ยทัก ก่อนจะรีบหันไปสนใจอาหารบนโต๊ะแทนใบหน้าหวานของอีกฝ่าย


ดินเนอร์ธรรมดาๆ ในวันสิ้นปีมื้อนี้ คงไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าความรู้สึกที่ก้องดังอยู่ภายในใจของอาโป ที่มันอยากปะทุออกมาจะแย่ แต่เขาก็ยังคงต้องควบคุมมันเอาไว้ เพื่อรอเวลาที่เหมาะสม


แล้วก็เป็นไปตามธรรมเนียมที่ออกมากินข้าวกันสองคน มื้อนี้พี่อาโปก็ยังเป็นคนจ่ายเงินค่าอาหารเพื่อเลี้ยงน้องศิลาเช่นเคย แม้จะเป็นเพียงร้านเป็ดพะโล้ธรรมดาๆ แต่มันก็ได้สร้างช่วงเวลาที่ดีให้กับคนทั้งคู่ไม่น้อย


ติ๊ง~!


เสียงข้อความไลน์ของอาโปดังขึ้น


คืนนี้หม่าม้าไปสวดมนต์ข้ามปีนะ ไปด้วยกันมั้ย


“ไปสวดมนต์ข้ามปีกันมั้ย” อาโปเงยหน้าขึ้นจากจอมือถือแล้วเอ่ยถามอีกฝ่าย


“ห้ะ ทำไมอยู่ดีๆ ก็ชวนอ่ะพี่”


“พอดีหม่าม้าไลน์มาชวนอ่า”


“อ่อครับ”


“เอาไงดี อยากไปมั้ย” คนพี่ถามย้ำ เพราะไม่อยากบังคับจิตใจอีกฝ่าย


“อื้อ แม่พี่ชวนทั้งที ก็ต้องไปดิ”


อาโปยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบจากปากของศิลา ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่เขาจะได้พาน้องไปให้ที่บ้านได้รู้จักแบบจริงๆ จังสักที


ได้มีโมเมนท์พิเศษในวันพิเศษกับคนที่รู้สึกแสนพิเศษ ..


ดูเหมือนว่าค่ำคืนนี้จะถูกจัดวางมาเพื่ออาโปเสียจริงๆ


เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนจำนวนมากภายในวัดดังเซ็งแซ่แข่งกับเสียงประกาศของโฆษก อาโปและศิลาที่ลงจากรถรีบเดินตรงเข้าไปหาบริเวณที่หม่าม้านั่งอยู่ เพราะตอนนี้ก็ค่อนข้างที่จะดึกแล้ว กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีก็เริ่มสวดกันไปได้พักใหญ่ พวกเขาทั้งคู่เลยต้องพยายามสำรวมท่าทีในขณะที่กำลังเดินหาหม่าม้าของอาโปไปด้วย


คนทั้งคู่ค่อยๆ เดินลัดเลาะบริเวณที่คนนั่งสวดมนต์กันอยู่เข้าไปเรื่อยๆ จนถึงพื้นที่ในส่วนที่หม่าม้านั่งอยู่


“หม่าม้าาา” อาโปเอ่ยเสียงเรียกก่อนที่คนเป็นแม่จะหันมามอง


“อ้าว อาโป มานั่งนี่มา” หม่าม้ากวักมือเรียกไหวๆ อาโปเลยหันมาจับมือศิลาแล้วจูงเดินเข้าไปนั่งด้วยกัน


“สวัสดีครับ” ศิลาเอ่ยทักคนเป็นแม่ของอาโป


“สวัสดีจ้ะ” แม่ยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยทัก ก่อนจะทำเป็นชี้นิ้วให้อาโปและศิลาหันไปดูว่าพระกำลังสวดอยู่ ให้รีบตั้งใจไหว้พระ ศิลาเห็นแบบนั้นก็แอบอมยิ้มแล้วรีบยกมือขึ้นพนมไว้ที่หน้าอก


อาโปเห็นก็หัวเราะเบาๆ ออกมาแล้วตามด้วยอมยิ้มมุมปาก เพราะเขาอดที่จะเอ็นดูคนร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้


เสียงสวดมนต์ดังยาวไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่ล่วงเลยไป ศิลาที่ปกติไม่ได้เป็นคนในแวดวงนี้สักเท่าไหร่ เริ่มมีอาการสัปงกหลังจากนั่งสวดมนต์มานาน


ก็เสียงพระสวดมนต์มันชวนง่วงจะตาย ..


เขาเองก็เลยเริ่มที่จะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ หัวมันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ ก้มต่ำลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก


“ศิลา” อาโปเอ่ยเรียกเมื่อเห็นว่าศิลาหลับ


“ศิลา!” คนพี่เพิ่มระดับความดังของเสียงในการเรียกให้เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แล้วเอามือเขย่าไหล่คนร่างบางเบาๆ


“คะ..ครับ” ศิลาสะดุ้งตื่นแล้วลุกขึ้นมานั่งตัวตรงเหมือนเดิม แต่สีหน้านั้นเต็มไปด้วยความงุนงง


อาโปเห็นแบบนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วเอื้อมมือไปจัดสายสิญจน์ที่หลุดห้อยออกมาจากหัวของศิลา แล้ววางไว้บนหัวของคนน้องให้มันกลับเข้าไปอยู่ในที่เดิมของมันเหมือนตอนแรกที่เริ่มสวดมนต์


“สายสิญจน์หลุดหมดแล้วเนี่ย” อาโปแกล้งแซวเบาๆ


“ก็มันง่วงอ่ะพี่ เผลอหลับไปตอนไหนยังไม่รู้เลยอ่ะ” ศิลาเกาหัวแกรกๆ เพราะอาการเขิน เพราะตั้งแต่ลืมตามาก็เห็นแต่คนหัวเราะแอบขำเบาๆ อยู่ไม่น้อย


ศิลาขยี้ตาเบาๆ เพื่อขจัดความง่วง แต่ไม่ทันไรอาโปก็เอื้อมมือมาคว้ามือของอีกฝ่ายไว้


“ไม่เอา อย่าขยี้ เดี๋ยวตาเจ็บหมด” อาโปเอามือน้องวางลงแล้วใช้มือตัวเองค่อยๆ ลูบที่เปลือกตาของอีกฝ่ายเบาๆ


“ขอบคุณครับ” ศิลาเอ่ยตอบพลางยิ้มแป้น


ทั้งคู่หันกลับไปใส่ใจอยู่กับการสวดมนต์ข้ามปีกันต่อ จนกระทั่งได้ยินเสียงพลุและเสียงสวดมนต์ดังคละเคล้ากันลั่นไปทั่วบริเวณวัด อาโปหันหน้ามามองคนน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ ในขณะเดียวกันกับที่ศิลาก็หันมามองหน้าคนพี่เช่นเดียวกัน


“แฮปปี้นิวเยียร์นะ” อาโปขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง


ศิลาเมื่อเห็นแบบนั้นก็เผลอยิ้มออกมาก่อนจะขยับปากพูดตอบกลับอีกฝ่ายไป “แฮปปี้นิวเยียร์ครับ”


อาโปยิ้มกว้างแบบกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ความสุขในวันปีใหม่มันเอ่อล้นภายในใจเสียจนเขาแทบจะสำลักมันออกมา รอยยิ้มที่เจิดจ้าสว่างจนตาหยีของเขาเป็นคำตอบที่ใครๆ ก็สามารถรับรู้ได้โดยไม่ยาก


มือหนาของอาโปเลื่อนขึ้นไปลูบหัวของศิลาเบาๆ ก่อนที่เขาจะค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย


เสียงพลุและเสียงสวดมนต์ที่ดังลั่นยิ่งทำให้อาโปต้องขยับเข้าไปใกล้คนน้องมากยิ่งขึ้น


“ครับ?” ศิลาเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนพี่ขยับเข้ามาจนเกือบจะแนบใบหูของเขาอยู่แล้ว


“พี่ชอบเรานะ” อาโปเอ่ยกระซิบ


เสียงนุ่มของอาโปดังชัดในโสตประสาทของศิลา คนน้องแอบตกใจที่ได้ยินแบบนี้


แต่สิ่งที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือ


หัวใจของศิลามันเต้นแรงเสียจนเขารู้สึกว่ามันจะทะลุออกมาจากอกอยู่แล้ว!


----------------------------------------------------


#ศิลาของอาโป