เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"
แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก,transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.2 ยับยั้งการสังหารหมู่ (1)
บางครั้งแคลเรตก็อยากตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน เขาหลับตาลง ลืมตามองหน้าต่างระบบอีกครั้ง มันลอยอยู่อย่างนั้นมาสองชั่วโมงกว่าๆ
[ เควสระดับยาก : ยับยั้งการสังหารหมู่ตระกูลดยุกแครอล
เควสจะเริ่มในอีก 3 วัน
หากล้มเหลว : การล่มสลายของตระกูลแครอล , การตายของคุณ ]
ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นการส่งผิดหรือภาพลวงตาแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะถามพวกสาวใช้สักเท่าไหร่ พวกเธอล้วนแต่บอกว่ามองไม่เห็นมัน แม้แต่สิ่งที่คล้ายกับหน้าต่างระบบหรือสิ่งที่เรียกว่าเควสก็ไม่มีใครรู้จักเช่นกัน
'นี่มันไม่ตลกสักนิด'
และสิ่งที่ทำให้แคลเรตหงุดหงิดมากกว่านั้น คือการที่มันส่งเควสระดับยากทันทีที่เพิ่งผ่านเควสระดับง่ายไปเพียงแค่ครั้งเดียว ถ้าเปรียบสิ่งนี้กับหนังสือ นี่ก็ไม่ต่างอะไรจากการให้อ่านหนังสือภาพเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเบื้องต้นในโลกใบนี้แล้วข้ามขั้นไปอ่านคัมภีร์โบราณเพื่อหาวิธีกู้โลกอย่างไรอย่างนั้น
เขาพลิกตัวไปทางด้านข้าง หน้าต่างสีฟ้าก็ลอยตามมาอยู่ในสายตาของเขาอีกเช่นกัน
แคลเรตเลื่อนสายตามองมันอย่างไร้อารมณ์
[ อัตราความสำเร็จปัจจุบัน 0% ]
เฮ้ออ~
แคลเรตถอนหายใจ
"พรุ่งนี้ค่อยไปคุยกับดยุกแครอลอีกทีก็คงไม่สาย"
เพราะยังไงซะไม่ว่าตระกูลจะล่มสลายหรือใกล้วันโลกแตก หน้าที่และอำนาจในการป้องกันก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในการจัดการของดยุคที่เป็นเจ้าของบ้านทั้งสิ้น
ถึงจะดูตัดพ้อไปสักหน่อย แต่แคลเรตก็เป็นแค่ลูกติดที่ไม่มีอำนาจอะไรในตระกูล ถ้าดัชเชสคนปัจจุบันตายเขาจะโดนเฉดหัวออกจากบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หัวใจของแคลเรตเริ่มที่จะสั่นคลอนอีกครั้งเมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงอีกข้อหนึ่งขึ้นได้
ถ้าไม่ไล่ดัชเชสออกไปแม้ตระกูลดยุกจะรอดจากสังหารหมู่นี้ก็ยังมีโอกาสล่มสลายอยู่ดี แต่ถ้าไล่เธอออก...ลูกติดอย่างแคลเรตก็จะโดนเฉดหัวออกไปด้วยเช่นกัน
'...ฉันควรหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหมนะ'
แคลเรตมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาถูกดึงโฟกัสไปยังวัตถุสองสี ที่ลอยเคียงกันอยู่กลางท้องฟ้า
ดวงจันทร์
มันเป็นหนึ่งในซิกเนเจอร์ของเกม [The tale of light] ดวงหนึ่งเป็นสีฟ้าสดใส ในขณะที่อีกดวงหนึ่งเป็นสีชมพูน่ารัก
ซ้อนทับกันและเปล่งประกายเหมือนกับทุกคืนไม่มีอะไรต่างไปจากวันอื่นๆ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับแคลเรตไม่น้อย
ตอนนี้ถ้ามีใครมาบอกว่า 'เฮ้! จริง ๆ แล้วโลกนี้แบนและมีจุดสุดขอบโลก' เขาก็พร้อมที่จะเชื่อมันในทันที
ตรรกะเดิม ๆ ในหัวของเขากำลังถูกทำลายไม่มีชิ้นดี
ตอนนี้แคลเรตไม่ต้องการรับรู้อะไรเพิ่มเติมทั้งนั้น
เขายกมือขึ้นปิดตา ในใจแอบหวังให้ได้ตื่นขึ้นมาเป็นดารินทร์อีกครั้ง พนักงานบริษัทธรรมดา ๆ ที่นั่งโต๊ะทำงาน
ในโลกที่เขาเคยชินกับกฎเกณฑ์เดิม
การให้คนในยุคทุนนิยมที่สงครามสงบไปแล้ว มาอยู่ในที่ที่มีแต่สัตว์ประหลาดกับสงครามอยู่รอบกายนั้น
...มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือไง
...
"อรุณสวัสดิ์ครับนายน้อย"
"อืม"
แคลเรตพยักหน้า ตอบรับการทักทายจากพ่อบ้านหนุ่มคนใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าอีกครั้ง
หลังจากใช้ชีวิตเป็นแคลเรตมาได้หนึ่งวันเต็ม ก็สรุปได้ว่า แคลเรตนั้นนอกจากจะไม่มีอำนาจใดในตระกูลแล้วยังไม่มีแม้แต่พ่อบ้านหรือสาวใช้ส่วนตัวของตนแม้แต่คนเดียว
พวกเขาจะสลับผลัดเปลี่ยนกันไปตามความจำเป็นและตารางเวลาที่ถูกหัวหน้าพ่อบ้านจัดไว้ให้เพื่อมาปรนนิบัติเขา ส่วนไรรีย์เองก็เหมือนจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่เพราะส่วนใหญ่แคลเรตมักเรียกเธอมาจึงเป็นเหมือนสาวใช้ส่วนตัวของเขาไปโดยปริยาย
กุกกักๆ
แคลเรตลอบมองพ่อบ้านและสาวใช้ที่เดินเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ พวกเขามีเส้นผมสีน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่และมีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีสีผมที่ดูขัดธรรมชาติสำหรับเขา
"นี่ เจ้าน่ะ"
พ่อบ้านคนหนึ่งสะดุ้ง เขามองพ่อบ้านระดับสูงใกล้ ๆ สลับกับแคลเรต ปลายนิ้วชี้เข้าที่ตนเองอย่างฉงนใจ
"ผมเหรอครับ?"
แคลเรตมองอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนจากนั้นจึงมองย้อนไปที่เส้นผมสีเขียวมิ้นต์ที่ดูโดดเด่น
"ใช่ เจ้าชื่ออะไร"
สำหรับโลกนี้ เส้นผมสีน้ำตาลและบลอนด์เป็นสีที่หาง่ายโดยทั่วไป ส่วนใหญ่พวกเขามักเป็นผู้ที่มีพลังเวทที่ต่ำถึงขนาดที่บางคนไม่สามารถใช้มันทำอะไรได้มากนัก ส่วนคนที่มีพลังเวทที่มากก็มักมีสีของเส้นผมหรือดวงตาที่โดดเด่น
เหมือนกับเป็นตัวกำหนดความแตกต่างระหว่างตัวเด่นและตัวประกอบ
'ไม่ว่ายังไงก็ยังทำตัวให้ชินกับเส้นผมหรือดวงตาสีประหลาดของคนที่นี่ได้สักทีแฮะ'
"ชื่ออัลมอนด์ครับ"
แคลเรตชี้นิ้วไปที่เจ้าตัว
"ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะมาทำหน้าที่พ่อบ้านส่วนตัวให้ข้า"
"ครับ?"
แคลเรตเพิกเฉยต่ออัลมอนด์ที่ทั้งตกใจ กังวลและดูอึดอัด
หันไปโบกมือไล่ให้คนที่เหลือออกไปจากห้อง พวกเขาโค้งคำนับให้และเดินออกจากห้องไปหลังวางอ่างล้างหน้าและผ้าขนหนูเอาไว้
พวกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว และชำนาญสมเป็นพ่อบ้านในตระกูลดยุก แม้แต่เสียงของประตูก็ไม่มีให้ได้ยิน
"ทำงานส่วนของเจ้าก็พอ"
เขาแค่ไม่อยากให้ใครมารุมแต่งตัวให้หรือดูแลอย่างใกล้ชิดก็เท่านั้น เขาไม่ได้รังเกียจมันแต่ก็ไม่ชอบให้ใครมาสนใจเขามากเกินไปเช่นกัน มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เขาจำความได้และยังคงไม่หายแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
มันน่ารำคาญมากกับการที่ต้องรับมือกับคนมากมายในเวลาเดียวกัน
ตึก ตึก ตึก
อัลมอนด์ที่ตั้งสติได้ เดินตรงดิ่งไปเปิดผ่านม่านออก
ครืดดด
แสงยามเช้าถูกสาดเข้ามาในดวงตาของแคลเรตแทนผ้าม่านในตอนแรก
อึ่ก!
แคลเรตสะดุ้ง ก้มลงนวดหัวตาที่แสบร้อนขึ้นมาในกะทันหัน
'เวร'
อัลมอนด์เดินย้อนกลับไปทางเดิมอีกครั้ง เปิดตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ หยิบจับเสื้อผ้าสไตล์ขุนนางยุคกลางออกมา 2-3 ชิ้น
แคลเรตคิ้วกระตุก
มองเหยียดใส่ชุดที่หยิบออกมาอย่างไม่พยายามปิดบัง มันเป็นชุดสไตล์ขุนนางยุคกลางที่ดูหรูหราราวกับหลุดออกมาจากเกมจีบหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น
"...ขอแบบเรียบๆ"
อัลมอนด์หันกลับไปแขวนมันไว้ที่เดิม หยิบชุดใหม่อีกครั้งแต่ก็ต้องหยุดมือลงเพราะเสียงของคนด้านหลัง
"...ครับ"
แคลเรตสั่งเสร็จจึงลุกออกจากเตียงเดินผ่านอัลมอนด์มุ่งหน้าไปยังห้องน้ำโดยเร็ว
"...เอ่อ นายน้อยครับ"
แต่ก็ต้องหยุดลง เขาเดินถอยหลังกลับ ชะโงกหน้าออกมานอกห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงระส่ำระสายของพ่อบ้าน
"อะไร?"
"นายน้อย...จะอาบน้ำเวลานี้เหรอครับ?"
ทำไม?
'นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?'
แคลเรตสื่อออกมาเช่นนั้นผ่านทางสีหน้า ตื่นมามันก็ต้องอาบน้ำไม่ใช่หรือไง?
โอ้...แคลเรตเลิกคิ้วสูงขึ้น นึกขึ้นได้ว่าปกติคนของโลกนี้ไม่อาบน้ำเช้ากันเพราะสภาพอากาศที่ไม่ได้ร้อนอะไรมากนัก เวลานอนอากาศก็เย็นไม่ต้องกังวลเรื่องเหงื่อออก จึงไม่จำเป็นต้องอาบน้ำแบบคนไทย
ทว่า แคลเรต ไม่สิ ดารินทร์ เป็นคนที่ตื่นมาจะต้องรีบอาบน้ำทันทีเพื่อให้หัวของเขาโล่งและปลอดโปร่งพร้อมที่จะทำงาน ไม่ว่าวันนั้นเขาจะตื่นตอนเช้าหรือบ่ายของวันก็ตาม
และคงจะไม่สามารถเลิกทำนิสัยนี้ได้เช่นกัน
"ใช่ ข้าจะอาบน้ำเช้าเสียหน่อย"
"ครับท่าน ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเรียกสาวใช้ให้"
'แล้วจะไปเรียกสาวใช้มาทำไมมิทราบ?'
เขาเริ่มนึกถึงคำพูดที่ไม่น่าจดจำของไรรีย์เมื่อวานนี้
'พรากความบริสุทธิ์ไปแล้วหรือคะ?'
ดูเหมือนแคลเรตคนเก่าจะเป็นหนุ่มเสเพลมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ มันแทบไม่แปลกเลยที่คนงานผู้หญิงในสวนเมื่อวานนี้จะหลีกเลี่ยงเขา
ดูเหมือนฉันจะต้องแก้ข่าวเสีย ๆ นั่นใหม่อีกครั้งหลังจากพ้นวิกฤตสังหารหมู่นี้ไป
"ไม่ ไม่ต้อง เตรียมแค่ชุดให้ข้าก็พอ"
เขาโบกมือปัด ๆ ไม่ลืมเอ่ยปฏิเสธข้อเสนอของอัลมอนด์ทิ้ง
...
" ... "
แคลเรตขมวดคิ้ว ดึงผ้าที่ผูกตรงคอออกด้วยความอึดอัด ปัดปกเสื้อที่ตอนนี้ใส่อยู่ประมาณสามชั้นเห็นจะได้ ขณะมองอัลมอนด์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง สะท้อนอยู่ภายในกระจกบานใหญ่ขนาดเต็มตัว
ตรงไหนที่เรียกว่าเรียบง่าย?
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ๆ ก็ให้แต่ความรู้สึกอึดอัดและฟุ่มเฟือย
"ถูกใจไหมครับ?"
"ก็ดี"
แคลเรตเหนื่อยใจกับเครื่องแต่งกายของที่นี่ ซึ่งชุดนอนดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขา ในการใส่มัน แต่สำหรับคนที่นี่กลับมองว่ามันไม่สุภาพ ครั้นจะหาเสื้อผ้าที่ธรรมดาจริง ๆ มาใส่ก็กลับไม่พบมันแม้แต่เศษเสี้ยวให้ได้เห็น เพราะดูเหมือนเสื้อผ้าทุกตัวในตู้เสื้อผ้าของเขาจะถูกออกแบบและตัดด้วยห้องเสื้อชั้นนำทั้งหมด
อัลมอนด์ค่อนข้างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ สองมือยกตารางงานสำหรับวันนี้ขึ้นมาอ่านให้แคลเรตฟัง
แคลเรตยืนหวีผมอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงสางเส้นผมที่ยาวทิ่มตาไปด้านหลัง
'ดูเหมือนต้องตัดผมจริงๆ'
เขากระชับเสื้ออีกครั้ง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อัลมอนด์รายงานจบ
"...หลังจากนั้นจึงทานมื้อเย็นแล้วกลับห้องครับ"
"...อืม"
"มีส่วนไหนไม่พอใจหรือเปล่าครับนายน้อย?"
"ไม่ ไม่มีอะไรทั้งนั้น"
ตารางงานทั้งหมดของแคลเรตมีแค่การไปร่วมมื้อเช้ากับครอบครัว จากนั้นจึงออกไปเดินเล่นเพื่อย่อยอาหาร นั่งดื่มชาแล้วกลับมากินอีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นอีกที แครอลทำมันเช่นนั้นตลอด 2-3 ปีตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
มีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่จะออกไปสังสรรค์ดื่มเหล้าหรืองานปาร์ตี้กับบุตรหลานชนชั้นสูงคนอื่นๆ ดูเป็นชีวิตในฝันวัยเกษียณซะไม่มี
ทว่า... เขากลับทำทุกอย่างที่ว่านั่นด้วยชุดที่ดูอึดอัดเหมือนจะไปออกงานสังคมตลอดเวลานี่น่ะนะ?
'ฉันต้องไปร้านเสื้อผ้าอย่างน้อยสักหนึ่งครั้ง'
เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้กับเสื้อผ้าที่ดูอึดอัดนี้ได้ แม้ว่าชีวิตของเขาจะดูมีอันจะกินไปตลอดสามชาติโดยไม่ต้องทำอะไรก็ตามที
แคลเรตจัดการจดมันลงไปในลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำในอนาคตในทันที จากนั้นจึงเดินตามอัลมอนด์ที่เปิดประตูให้เขาและนำทางไปยังห้องอาหาร
ระหว่างทางแคลเรตสอดส่องดูภายในปราสาทอย่างที่ไม่ได้ทำในครั้งก่อน ทั้งรูปแบบ สไตล์และตำแหน่งสิ่งของล้วนตรงตามกับในเกมที่เขาเคยเล่นไม่มีผิด ถึงเขาจะไม่ค่อยจดจำรายละเอียดของเกมที่เล่นมากนักแต่มันก็มากพอที่จะทำให้นึกถึงตำแหน่งต่าง ๆ ในปราสาทได้เมื่อเขาเพิ่งเล่นมันครั้งล่าสุดเมื่อสามวันก่อนที่จะมาที่นี่
...
อัลมอนด์โค้งให้หนึ่งครั้งด้วยท่าทางที่มั่นคงเมื่อมาถึงหน้าห้องอาหาร แคลเรตมองมันสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาหารที่ข้ารับใช้เป็นคนเปิดให้
ด้านในมีคนสี่คนกำลังนั่งประจำตำแหน่งของตนอยู่ สายตาของเขาถูกดึงโฟกัสไปยังชายวัยกลางคนที่ดูหล่อเหลาจนยากที่จะละสายตา ราวกับมีบางอย่างที่ดึงดูดสายตาให้เขาจับจ้อง แม้ใบหน้าของคนคนนั้นจะดูซูบผอมและอ่อนเพลียกว่าที่ควร
นั่นทำให้แคลเรตรู้ได้ทันทีว่าเดริค แครอล ดยุกคนปัจจุบันของตระกูลแครอลนั้นมีพลังเวทที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
ผู้คนกล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีพลังเวทอยู่ในระดับสูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นมากเท่านั้น รวมถึงฟีโรโมนหรือแรงดึงดูดบางอย่างที่น่าพิศวง แม้คนในห้องนี้จะมีแรงดึงดูดดังกล่าวรุนแรงแต่ก็ถูกแรงดึงดูดของเดริคกลบมันจนหมดสิ้น
สมกับเป็นผู้นำตระกูลดยุกที่อยู่ในตำแหน่งสูงของประเทศ
ถัดออกมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลดยุก เรนเดล แครอล ฝเป็นชื่อที่เขาเคยเจอจากเนื้อเรื่องในเกม แต่เมื่อสืบประวัติของเขามาคร่าว ๆ ก็พบว่าตอนนี้เขาอายุได้ 17 ปี อายุน้อยกว่าแคลเรตสองและกำลังอยู่ในช่วงปิดเทอมจึงกลับมาอยู่บ้านในเวลานี้
'ในเนื้อเรื่อง...เรนเดลก็อยู่ในระหว่างกลับบ้านช่วงปิดเทอมหรือเปล่านะ?'
แคลเรตที่กำลังนึกถึงเนื้อเรื่องที่เคยเล่นผ่านไป ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงหวานที่ดูน่าเกรงขามดัชเชส แม่ของเขาในตอนนี้
"อรุณสวัสดิ์จ๊ะแคลเรต"
"อรุณสวัสดิ์ครับท่านแม่"
เคร้งง!
แคลเรตตอบอย่างสดใส หวังทำตัวเป็นลูกที่ดี แต่ปฏิกิริยาที่ได้กลับแตกต่างออกไปเมื่อดัชเชสเผลอปัดมือจนช้อนร่วงกราว
"..."
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้อง ทุกคนในห้องมีท่าทีปกติดีและเพียงแค่มองเขาเท่านั้น มีเพียงดัชเชสเอวาที่ดวงตาสีแดงฉานของเธอนั้นสั่นระรัว
'อะไร? ฉันพูดอะไรผิด?'
แคลเรตเริ่มสงสัยแล้วจริง ๆ ว่าแคลเรตคนเก่านั้นเป็นคนยังไงกันแน่ ถึงทำให้การพูดคุยอย่างเป็นมิตรกับครอบครัวของตนถึงได้ดูเป็นสิ่งที่น่าตกใจ
สำหรับคนอื่นยังพอเข้าใจได้เพราะพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน แต่ดัชเชสเอวาที่เป็นแม่ของเขานั้นต่างออกไป
"ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ยังไงก็รีบมาทานก่อนสิ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน"
ดัชเชสเอวาหัวเราะแห้งกลบเกลื่อน บอกแคลเรตจากนั้นจึงหันไปจับมือของดยุคไว้
"วันนี้ฉันมีกำหนดงานเลี้ยงน้ำชาร่วมกับภรรยาของเคานต์ อาจจะกลับมาช่วงบ่ายแก่นะคะที่รัก"
"ได้สิ ผมจะให้คนเตรียมไวน์ชั้นดีไปเป็นของฝากด้วยดีไหม?"
"เธอต้องชอบมากแน่ ๆ ค่ะ"
แคลเรตมองภาพนั้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปนั่งประจำตำแหน่งที่ถูกเว้นว่าง เอวา แครอล เธอถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการวางยาให้ดยุกมีอาการผิดปกติที่ไม่สามารถประคองสติของตนได้ครบถ้วนในเวลานี้ และถูกตรวจพบสารบางอย่างที่คล้ายยาเสพติดในร่างของดยุคหลังทำการชันสูตร
ตัวละครหลักเมื่อทราบเกี่ยวกับมันจึงต่างตั้งข้อสงสัยไปในทางเดียวกันว่าเธอพยายามยึดอำนาจและมอบมันให้กับแคลเรต ลูกชายของตน
กึก
เสียงวางขาเก้าอี้ที่ข้ารับใช้ขยับให้เขานั่งนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน
'หื้ม?'
แคลเรตสบตากับลูกชายคนเล็กของบ้าน หนึ่งในตัวละครหลักที่เป็นหนึ่งในฮาเร็มของตัวเอกในต้นฉบับนวนิยาย
ซึ่งจะปรากฏตัวในเนื้อเรื่องในบทที่แปดของเกมหรือเล่มที่สองของนวนิยายที่เขาไม่ได้อ่านมัน
แอลรีส แครอล หนุ่มเจ้าสำราญจอมเจ้าชู้ หนึ่งในไม่กี่คนที่รอดพ้นจากการสังหารหมู่ตระกูลดยุกแครอล และจบลงด้วยการกลายเป็นเจ้าของบ่อนกาสิโนรายใหญ่ของประเทศเพื่อนบ้าน ที่รายได้กว่า 70% ของประเทศนั้นล้วนเป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้น
หลังจากตระกูลแครอลล่มสลาย แอลรีสก็ใช้เวลาเพียง 2 ปีในการตั้งหลักใหม่อีกครั้งและกลายเป็นคนที่รวยที่สุดเป็นอันดับสามของโลก
แคลเรตยิ้มให้แอลรีส ก้มหน้าลงจัดการกับอาหารสุดหรูหราระดับภัตตาคารตรงหน้า เขาแล่สเต๊กมีเดียมแรร์ยัดใส่ปากเข้าไปหนึ่งคำขณะลอบสำรวจแอลรีสอีกครั้ง
ถึงจะบอกว่าแอลรีสโตขึ้นจะกลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญและเจ้าชู้ แต่แคลเรตก็ต้องมองเขาเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
และอีกครั้ง
'ใช่เหรอวะ?'
แอลรีสตรงหน้าเขาตอนนี้เป็นเด็กที่กำลังจะเข้าวัยรุ่นและเค้าโครงใบหน้ายังไม่เข้ารูปดี แต่ก็พอมีเค้าโครงของแอลรีสที่เขาเห็นผ่านหน้าจอเกมที่เคยเห็นอยู่บ้าง ทั้งเส้นผมสีน้ำตาลไหม้และดวงตามรกตเองก็ไม่ผิดเพี้ยน
แต่...
นี่มันเด็กเนิร์ดไม่ใช่หรือไง?
ไม่ว่าจะท่าทางหรือโครงหน้าตอนนี้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนลูกคุณหนูบ้านรวยที่ถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ ไม่ก็พวกที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุดทุกคาบว่างแล้วกลับบ้านตรงเวลาไม่มีผิด
หากบอกว่าเขาจะกลายเป็นประธานนักเรียนยังดูน่าเชื่อถือยิ่งกว่าเจ้าของบ่อนกาสิโนอายุน้อยด้วยซ้ำ
แคลเรตเริ่มสงสัยเกี่ยวกับพัฒนาการที่ก้าวกระโดดภายในสองปีของแอลรีสในเกมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ปลายมีดที่กำลังเล็งสเต๊กตรงหน้าเริ่มสั่นไหว
เคร้ง!
เขาตัดสินใจวางมันลงแล้วหันไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มให้คอที่กำลังแห้งผาก
'นี่มันไม่สมเหตุสมผลสักนิดไม่ใช่หรือไง'
กึก
แคลเรตวางแก้วน้ำในมือที่ดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด คนรับใช้ก็เดินเข้ามาเติมมันใหม่ให้ในทันที แคลเรตมองน้ำที่กำลังกระเพื่อมนั้นสักพัก เขาหันไปหาดยุกเดริค พ่อของเขาในตอนนี้ที่กำลังแล่สเต๊ก
"ผมอยากให้พ่อตรวจคนงานในปราสาทแครอลใหม่อีกรอบ"
"..."
เดริคหยุดมีดลงมีดลง เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับแคลเรต ลูกติดของภริยาคนใหม่ของเขา
"ได้สิ พ่อจะให้ผู้ช่วยชาร์ลกับหัวหน้าพ่อบ้านทำมัน"
'ว้าว เขารับคำโดยไม่มีการถามถึงเหตุผลใด ๆ เลยแม้แต่น้อย'
แคลเรตค่อนข้างชอบดยุกเดริคที่เป็นเช่นนั้น แม้จะไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงเพราะฤทธิ์ยากล่อมประสาทหรือเพราะเขาเป็นคนเช่นนั้นจริงๆ แต่หากมันช่วยให้ทุกอย่างนั้นง่ายขึ้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัย
ในเนื้อเรื่องของเกม แอลรีสในวัย16ปีได้กล่าวไว้ว่า ตระกูลของเขาถูกลอบสังหารโดยข้ารับใช้ที่ปลอมตัวเข้ามาในตระกูลมาระยะหนึ่งแล้ว รวมถึงการก่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจในเวลากลางคืน ทำให้พวกเขาตั้งรับพวกมันไม่ทัน
แคลเรตกลับมาจับมีดและส้อมใหม่อีกครั้ง เขาจิ้มมันลงบนเนื้อสเต๊กที่ยังคงร้อน
"อยากให้เพิ่มเวรยามให้มากขึ้นในช่วงหัวค่ำด้วยครับ"
"ได้สิ"
เขาปาดมีดลงบนเนื้อสเต๊กตรงหน้า หั่นมันเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ
"จ้างจอมเวทเข้ามาเพิ่ม"
"แน่นอน"
"แล้วก็เปลี่ยนศิลาป้องกันใหม่"
"พ่อจะจัดการให้"
"..."
แคลเรตหยุดมีดในมือ หันไปมองหน้าดยุกเดริคด้วยใบหน้าที่ยากจะอธิบาย
"มีอะไรที่อยากได้อีกไหม?"
"ขอเงินหน่อยสิครับ"
"ได้สิ"
"..."
แคลเรตเชื่อแล้วว่านั่นอาจจะเป็นนิสัยของดยุกเดริคโดยธรรมชาติโดยไม่เกี่ยวกับยาที่เอวาทำให้เขากิน เมื่อกี้นี้เขาพูดเพื่อเป็นการลองใจเท่านั้น แต่ดูเหมือนเดริคจะไม่แม้แต่จะถามถึงเหตุผลและให้เขาในทันทีเสียอย่างนั้น
มันไม่น่าแปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมตระกูลแครอลถึงใกล้ล่มสลายอยู่รอมร่อในทุกวันนี้
แคลเรตเริ่มรู้สึกเป็นห่วงกับอนาคตของตัวเองแล้วว่าจะเป็นยังไง หากผู้นำตระกูลคนปัจจุบันยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป