เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"
แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก,transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.4 ยับยั้งการสังหารหมู่ (3)
"ที่นี่...มีไอเทมสำหรับป้องกันไหมครับ พี่สาว"
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หางคิ้วกดลงต่ำให้ดูน่าสงสารยิ่งกว่าเก่า มันเป็นวิธีที่ง่ายที่จะทำให้เขาสามารถมีภาพลักษณ์ที่ออกมาดูน่าสงสารในเวลาอันสั้น
ทำเอาอัลมอนด์ที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้ง หันมามองแคลเรตจนคอแทบหักด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย เขาต้องการจะถามบางอย่างกับแคลเรต แต่แคลเรตเลือกที่จะเดินหนีก่อนจะได้พูดอะไร
แม่มดมาริเนด เธอเป็น npc ที่พร้อมจะช่วยเหลือตัวเอกทุกเมื่อหากพวกเขามีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือมีปัญหา นอกจากจะเป็นเพื่อนคุยแล้วยังมีบทบาทในการช่วยทำเควสบ้างตามอีเวนท์ที่ถูกจัดขึ้น จนถูกขนานนามว่าเป็น npc สาวอันดับหนึ่งที่มีจิตใจดี
เธอได้รับความนิยมจากผู้เล่นมากมายในร่วมเล่นกับเธอเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรออีเวนท์
หากพูดถึงกฎของการเล่นกับ npc ในเกม TOL นั้นง่าย
เพียงแค่คุณพูดคุยกับเขาหรือเธอในบางครั้ง ค่าความสัมพันธ์ก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถปลดล็อกเนื้อหาบางส่วนในอดีตของอีกฝ่ายได้เล็กน้อย โดยรางวัลอ่านเนื้อเรื่องนั้นเป็นเหรียญทองและเพิ่มโอกาสให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
หากผลตอบแทนนั้นเป็นเงินคุณก็จะได้เงินที่เยอะมากกว่าตอนแรก หากผลตอบแทนคืออาวุธระดับ C ในตอนแรก คุณก็จะมีโอกาสได้อาวุธระดับ B หรือ A ขึ้นไปเมื่อค่าความสัมพันธ์นั้นเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ยิ่งคุณสนิทกับเขาหรือเธอมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้ของที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
คล้ายการผูกมิตรกับคนทั่วไปในโลกแห่งความจริง
เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของเกม TOL ที่เน้นขายเนื้อเรื่องและไขปมปริศนาเล็ก ๆ ระหว่างการผจญภัยเพื่อช่วยเหลือผู้คนมากมาย
และนั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รู้ว่า...
แท้จริงแล้วแม่มดมาริเนดเป็นพวกคลั่งไคล้ผู้ชายที่ดูน่าสงสาร
โดยเฉพาะคนที่ดู 'อ่อนแอ' และ 'ไร้เดียงสา'
ติ๊ง!
[ คุณได้รับค่าความสนใจจาก 'มาริเนด' ]
'ฮ่ะ!'
แคลเรตหัวเราะหยัน มองหน้าต่างระบบที่เด้งขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่ยังคงต้องแสดงใบหน้าของขุนนางที่อ่อนแอไว้
'ให้ตายสิ นี่มัน...'
...เหมือนระบบในเกมไม่มีผิด
มันเป็นข้อความเดียวกับในเกมเมื่อเหล่า npc เริ่มมีความสนใจบางอย่างในตัวผู้เล่นก่อนจะพัฒนาเป็นความสัมพันธ์
บางที...บทบาทของคนอ่อนแออาจเป็นบทที่เข้ากับเขาในตอนนี้มากทีเดียว ทั้งร่างกายที่ไม่มีกล้ามเนื้อมากเกินไปเหมือนพวกใช้แรงงาน ใบหน้าที่ดูอ่อนแอและผิวที่ขาวเหมือนพวกขี้โรค
ทุกอย่างเพอร์เฟกและลงตัวซะไม่มี
"ม มีสิ ยังไงก็เข้ามานั่งก่อนเถอะ"
แม่มดมาริเนดแทบจะลากเก้าอี้ตัวสูงออกมาให้แคลเรตนั่งในทันทีหากไม่ติดว่ามีขวดโหลดองอยู่ในมือ
เธอรีบวางมันลง เดินมาขยับข้าวของออกเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้มากพอสำหรับทางเดิน เธอดึงเก้าอี้ตัวสูงออกมาวางหน้าเคาน์เตอร์ให้ถึงสองตัวก่อนจะเดินหายไปหลังร้านในทันที
"ขอบคุณครับ"
แคลเรตยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาที่คลออยู่หางตาของเขา ไม่ลืมถูจมูกที่แดงให้หายคัน แต่ยิ่งถูมันกลับแดงยิ่งกว่าเก่าเสียอย่างนั้น
'ขออย่าให้ร่างนี้เป็นภูมิแพ้เลย'
มันคงแย่มากถ้าเขาต้องมีโรคประจำตัวในชีวิตครั้งนี้ เพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถมีชีวิตที่สุขสบายและออกไปเที่ยวเล่นได้ตามปกติ และถึงจะมีโอกาสออกไปก็ใช่ว่าจะสามารถสนุกกับการเที่ยวเล่นได้อย่างเต็มที่
ครืดด
อัลมอนด์ขยับเก้าอี้ตัวสูงออกจากเคาน์เตอร์เล็กน้อยให้สามารถนั่งได้สบายมากขึ้น
"เชิญครับนายน้อย"
แคลเรตทำเพียงพยักหน้าให้หนึ่งครั้งและเดินไปนั่งแต่โดยดี แต่ก้นยังไม่ทันได้แตะเก้าอี้ก็ต้องรู้สึกอยากลุกหนีขึ้นมาในทันทีเมื่อเห็นของที่อยู่ในโหลดองที่แม่มดมาริเนดทิ้งเอาไว้
บุ๋ม บุ๋ม
"..."
แคลเรตคิ้วกระตุก
มันคือลูกตาของอะไรบางอย่างที่ถูกควักออกมาจนเหลือเพียงลูกกลม ๆ ให้เห็น มันลอยเคว้งคว้างอยู่ในของเหลวสีเขียวใสที่ชวนน่าขนลุก
พอสังเกตดี ๆ ใกล้กันนั้นยังมีขวดโหลอีกสองใบ ที่ด้านในถูกบรรจุด้วยสมองและหัวใจของอะไรบางอย่างที่ยังคงเต้นตุบๆ
'รสนิยมแปลกชะมัด'
แคลเรตมองพวกมันสักพัก ลูกตาที่อยู่ใกล้ที่สุดก็หันมามองเขาช้าๆ นัยน์ตาสีแดงฉาบของมันนั้นดูสวย
วูบบบบบบ
ม่านตาของมันหดลงในเสี้ยววิ
–ตายจริง! ทำไมพ่อหนุ่มน้อยถึงได้มาอยู่ที่นี่กันล่ะเนี่ย?
"!!!"
แคลเรตสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นมา เขารีบขยับตัวหนีออกห่างจากเคาน์เตอร์ มือขาวรีบคว้าคอเสื้ออัลมอนด์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
หมับ!
'อ อะไร!?'
ดวงตาของเขาสั่นวูบ มองลูกตาในขวดโหลด้วยความสับสน เมื่อกี้เขาไม่ได้หูฝาดไปเองใช่ไหม?
–ดูเหมือนเจ้าหนุ่มนั่นจะกลัวเจ๊นะ คิกๆๆ
–กรี๊ดด นั่นปากเหรอยะนังสมอง! เรียกใครว่าเจ๊มิทราบ
–หมอนั่นมีปากที่ไหนกันล่ะคุณผู้หญิง
–อุ๊ย ฉันลืมไปซะสนิท
–เฮ้อ เพราะแบบนี้ไง ถึงไม่มีใครมารับซื้อไปสักที
–เพราะฉันชอบอยู่ที่นี่หรอกหน่า จิ๊ๆๆ แต่ถ้าพ่อหนุ่มน้อยคนนี้รับฉันไป อาจจะลองคิดดูใหม่อีกทีก็ได้ จริงมั้ยจ๊ะพ่อหนุ่มน้อย♡
"..."
เสียงพูดเจื้อยดังออกมาจากขวดโหลทั้งสามใบเป็นระยะ แคลเรตมองมันอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะทำทีเป็นไม่ได้ยิน
เขาหันมองออกไปทางชั้นวางของที่อยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน หลีกเลี่ยงการสบตากับลูกตานั้นในทันที เขาไม่ต้องการที่จะรู้ว่าพวกมันคืออะไร แล้วก็ไม่คิดที่จะเพิ่มค่าความสัมพันธ์หรือทำความรู้จักกับมันเช่นกัน
บางทีโลกแฟนตาซีก็มักมีอะไรแปลก ๆ ที่เข้าไม่ถึงมากมาย
"ให้ผมซื้อของให้แล้วนายน้อยออกไปรอข้างนอกดีไหมครับ"
อัลมอนด์ก้มลงมาถามด้วยความเป็นห่วง
แคลเรตมองอัลมอนด์ก่อนจะเห็นว่ามือของเขาคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายเอาไว้เต็มแรงจนยับยู่ยี่ไปหมด
"ไม่เป็นไร ขอโทษที"
อัลมอนด์ชะงักก่อนจะยิ้มให้ตามมารยาท
"...ไม่เป็นไรครับ"
อัลมอนด์จับมือของแคลเรตออก หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนขึ้นมาเช็ดฝ่ามือให้ ทำเอาแคลเรตต้องขมวดคิ้ว มองภาพตรงหน้าที่ดูจะเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ดูเหมือนค่านิยมของที่นี่จะแปลกมากจริง ๆ สำหรับเขา
หรือไม่หมอนี่ก็แค่รังเกียจเขาเท่านั้นเอง
ปัง!
แค่กๆๆ
ประตูหลังร้านถูกเปิดออกพร้อมกับฝุ่นตลบอบอวลออกมาเหมือนเกิดไฟไหม้ แม่มดมาริเรดรีบปิดมันในทันทีก่อนที่จะมีฝุ่นเข้ามาในร้านมากกว่านี้
'เธอไปทำอะไรมาในนั้นล่ะนั่น'
แคลเรตมองมาริเนดที่เคยสะอาดในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยฝุ่นและสิ่งสกปรกมากมายเกาะตามตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอสาวเท้ายาว ๆ ของเธอ ลากกล่องในมือมายังเคาน์เตอร์
ตุบ!
มันเป็นกล่องไม้ขนาดกลางที่ดูเก่าแก่ มีอุปกรณ์เวทมนตร์รูปร่างหน้าตาประหลาดมากมายอยู่ในนั้น เธอหยิบกล่องเครื่องประดับที่ดูธรรมดาที่สุดออกมาแล้วเปิดมันบนโต๊ะ ด้านในมีหิน แร่ และถึงอัญมณีราคาแพง
พวกมันล้วนเป็นศิลาเวท วัตถุที่เหล่าจอมเวทจะสลักศาสตร์เวทเอาไว้เพื่อให้สามารถใช้ในยามฉุกเฉินหรือมอบให้คนที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ใช้มัน อย่างที่รู้กันว่าคนในโลกนี้ล้วนเป็นผู้ที่มีพลังเวทอยู่ในตัว แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาทั้งหมดจะสามารถใช้มันได้ บางคนมีพลังเวทน้อยเกินไป บางคนเข้าไม่ถึงความรู้ บ้างก็ไร้ความสามารถที่จะควบคุม แล้วก็ใช่ว่าพวกเขาทุกคนจะมุ่งเน้นไปที่การเป็นจอมเวทเหมือนกันหมด เหล่าจอมเวทในหอคอยจึงเริ่มคิดค้นวิธีบรรจุพลังลงไปในสิ่งของเพื่อให้สามัญชนสามารถใช้มันได้
แต่การสลักศาสตร์เวทลงไปแต่ละครั้งต้องพึ่งความชำนาญของผู้ทำรวมถึงวัตถุดิบที่ใช้บรรจุพลังเวทลงไป มันจึงทั้งราคาแพงและหาซื้อยากมากในร้านปกติ
'ถึงจะคิดว่าเธอจะมีมันแน่นอนแต่ไม่คิดว่าจะเยอะเท่านี้'
ทว่าสิ่งที่เขากำลังตามหาก็ยังไม่ใช่ศิลาปกป้องพวกนี้อยู่ดี แต่เป็นศิลาเวทที่ถูกสลักลงไปในหินเวทมนตร์ที่แข็งแรงพอที่จะสลักศาสตร์ป้องกันที่แข็งแกร่งและมีมานาอยู่ในตัวของมัน แต่ดูเหมือนการหามันในช่วงเวลานี้จะเป็นสิ่งที่ยากเกินไป
บางทีหินเวทมนตร์ที่ว่ามันอาจยังไม่ถูกค้นพบด้วยซ้ำไป
"อันนี้เป็นศิลาป้องกัน ศิลาโจมตีและศิลาแห่งการรักษา แน่นอนว่าแต่ละอันจะใช้ในจุดประสงค์ที่ต่างออกไป"
แม่มดมาริเนดชี้ศิลาจากฝั่งซ้ายไล่ไปยังฝั่งขวาขณะอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
"พวกมันดูเหมือนกันหมดเลยนะครับ"
"เธอคงจะดูพวกมันไม่ออกสินะ จะเอาไปใช้ทำอะไรล่ะ ฉันจะได้แนะนำถูก"
อันที่จริง แคลเรตค่อนข้างจำพวกมันได้ว่ามีศาสตร์อะไรสลักไว้อยู่และต้องใช้ยังไงจากเกมTOLที่เขาเคยเล่นในชีวิตก่อนแล้ว
แต่ก็ใช่ว่าจะต้องแสดงความรู้ที่มีออกมานี่จริงไหม?
ยังไงซะบทบาทของคนอ่อนแอที่น่าสงสารนั้นก็สำคัญกว่า
"...อันที่จริง ช่วงนี้ผมรู้สึกเหมือนมีคนคอยตามติดอยู่ตลอดเวลา"
โดยเฉพาะข้ารับใช้ที่เอาแต่ตามติดเขาตลอดเวลา แม้แต่ตอนมืดก็ยังมีพวกผลัดเวรมานั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องนอนตลอดทั้งคืน
"ผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยเลยอยากได้ศิลาป้องกันน่ะครับ"
"ตายจริง ใครกันที่ทำแบบนั้น"
แม่มดมาริเนดปิดปากของเธอด้วยความตกใจ
ไม่ว่าจะมองยังไงเด็กชายตรงหน้าก็ดูไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องใครได้ แม้แต่การป้องกันตัวเองก็คงเป็นเรื่องอยาก บางทีอาจเป็นสตอล์กเกอร์หรือพวกคู่แข่งทางธุรกิจของตระกูลขุนนาง
มันคงจะแย่มากหากต้องเสี่ยงอันตรายเพียงเพราะมีใบหน้าที่งดงามนั้นหรือเป็นบุตรหลานขุนนางที่มีศัตรูมากมาย
–โอ้ พระเจ้า! ใครกันที่กล้าคุกคามพ่อหนุ่มน้อยของฉัน! แม่จะไปทุบมัน!
–ใจเย็นเจ๊ พ่อหนุ่มนั่นไม่ทุบเจ๊ที่เอาแต่มองแทะโลมเขาตั้งแต่เมื่อกี้นี้ก็บุญหนักหนาแล้วไหม
แคลเรตเพิกเฉยเสียงของลูกตาและหัวใจประหลาดพวกนั้น แล้วเอ่ยต่อ
"เรื่องนั้นผมเองก็ไม่รู้เช่นกันครับ แต่มันคงจะแย่มากถ้าพวกเขาทำร้ายครอบครัวแล้วก็คนงานที่ไม่รู้เรื่องอะไร"
พวกเขาเพียงแค่เข้ามาทำงานในปราสาทเพื่อเงินเดือนและไม่เกี่ยวอะไรด้วยทั้งสิ้น ไม่ว่าคนบงการการสังหารหมู่นี้จะเป็นศัตรูคู่แข่งของดยุกแครอลหรือใครก็ตามที่มีเรื่องบาดหมาง
หมับ!
แม่มดมาริเนดคว้าไหล่ทั้งสองของแคลเรตไว้แน่น แคลเรตสะดุ้งเล็กน้อย สบตากับดวงตาของเธอที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น อ่อนไหวและสงสารหมุนวนอยู่ในนั้น
"ไม่เป็นนะ ฉันจะช่วยเธอสุดความสามารถเอง ฉันจะไม่ให้พวกเวร- ไม่สิ คนพวกนั้นแตะต้องเธอหรือครอบครัวของเธอได้แม้แต่ปลายเล็บ!"
ดวงตาของแคลเรตสั่นไหว เขายิ้มให้เธอเมื่อได้ยินเช่นนั้น
"ฝากด้วยนะครับพี่สาว"
หากแม่มดมาริเนดเป็นฝ่ายเอ่ยเองย่อมหมายความว่าสิ่งที่เธอเลือกให้จะเป็นของที่ดีที่สุดในร้านและมีประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอน
ถึงสิ่งที่เขาทำตอนนี้จะแทบไม่มีผลต่อการหยุดยั้งการสังหารหมู่ แต่ยังไงการมีชีวิตรอดก็ย่อมดีกว่าเสมอ แน่นอนว่ารวมถึงคนอื่น ๆ ในตระกูลด้วย
...
อันที่จริง ดูเหมือนเขาจะคิดน้อยไปหน่อยเกี่ยวกับมัน
เขาเดินออกจากร้าน มองของในมือที่เขาซื้อมันออกมาด้วย มันคือศิลาเวทที่สลักศาสตร์เวทธาตุไฟเอาไว้สองชิ้น ศิลาแห่งการรักษาอีกหนึ่งซึ่งเขาซื้อมันมาด้วยเงินที่แอบแบ่งออกมาจากค่าขนม และ...
สร้อยคอรูปร่างประหลาดที่แม่มดมาริเนดมอบให้เขาโดยไม่คิดเงิน เธอบอกให้ใช้มันเมื่อมีคนร้ายเข้ามาใกล้ มันมีหน้าตาประหลาดเหมือนเอาหินสามก้อนมาร้อยต่อกัน แต่หินที่ว่าดันมีหน้าตาของคนกำลังที่กรีดร้องดั่งในภาพ The Scream นี่สิ
'หน้าตาเหมือนมีไว้สาปแช่งใครสักคนมากกว่าจะปกป้องเขาได้'
ขืนเอามาสวมในเวลาปกติได้มีข่าวลือว่าเสียสติไปแล้วแน่
ฉันเชื่อในสายตาอันเฉียบแหลมของเธอ แต่ดันลืมไปว่าเซนส์ด้านแฟชั่นของเธอนั้นห่วยแตก...นั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าร้านของเธอแม้ในนั้นจะมีของหายากมากมายอยู่ก็ตาม
ติ๊ง!
[ อัตราความสำเร็จปัจจุบัน 2% ]
แคลเรตขมวดคิ้วมองหน้าต่างระบบที่เด้งขึ้นมา เควสนั้นเป็นการยับยั้ง แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นอันและทำเพียงป้องกันหรือตั้งรับเท่านั้น แต่อัตราความสำเร็จกลับเพิ่มขึ้นจนน่าแปลก
เขากดยอมรับเควสเพื่อดูรายละเอียดของเควสเพิ่มเติม
[ เควสระดับยาก : ยับยั้งการสังหารหมู่ตระกูลดยุกแครอล
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในกำลังผันผวน แปรเปลี่ยนความคิดนั้นให้ตรงกัน ยืนยันถึงการมีอยู่ของคุณให้ทราบ หากต้องการที่จะมีชีวิตรอดต่อไป
สถานะ : เควสจะเริ่มในอีก 2 : 15 : 25 : 14 น.
หากล้มเหลว : การล่มสลายของตระกูลแครอล , การตายของคุณ ]
'ความขัดแย้งภายใน'
บางที สิ่งนี้อาจเกิดจากความขัดแย้งภายในบางอย่างซึ่งคนอย่าง 'แคลเรต' ไม่อาจแทรกแซงได้อย่างโดยตรง
'ก่อนอื่น ดูเหมือนการสังหารหมู่จะเริ่มตอนเที่ยงคืนสินะ'
แคลเรตเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ตอนนี้เพิ่งจะขึ้นจากขอบฟ้ามาได้เพียงครึ่งทาง เขาหลับตาลงยืนรับแสงแดดที่อบอุ่นและไม่ร้อนมากเกินไปเหมือนประเทศไทยของเขาที่อยู่ในยุควิกฤตการณ์โลกร้อน
'กำลังดีเลยแฮะ'
อากาศแบบนี้กำลังเหมาะกับการออกไปเดินเล่นหรือนอนอู้อยู่บนเตียงจริงๆ
"รีบกลับกันเถอะ"
เขายังต้องดูพวกของที่ยังพอหาได้ในยุคก่อนที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกในตอนนี้มากมายเพื่อรับมือกับคนร้าย มันยากมากกับการต้องมาเริ่มศึกษาทุกอย่างและเข้าใจมันใหม่ตั้งแต่ต้นกับสิ่งที่ไม่รู้จัก
แคลเรตรีบสาวเท้าของเขากลับไปทางเดิมที่จากมา ทิ้งอัลมอนด์ที่ยืนมองเส้นผมสีดำที่เป็นประกายสีม่วงเล็ก ๆ ของเขาไว้
อัลมอนด์หันกลับไปมองร้านที่เพิ่งออกมาเมื่อครู่ก่อนจะรีบเดินตามแคลเรตที่เริ่มห่างออกไป
...
"หนึ่ง! สอง! หนึ่ง! สอง!"
"ไม่ได้ยินเลย! พูดให้มันดัง ๆ หน่อย!"
"ครับหัวหน้า!"
เสียงกระฮึ่มของหน่วยอัศวินดังขึ้นเป็นระยะ เหล่าอัศวินประจำตระกูลต่างรับเสียงดังขณะที่สองเท้าออกแรงวิ่ง พวกเขาทำเช่นนั้นทุกวันเป็นปกติ แต่ดูเหมือนครั้งนี้หัวหน้าหน่วยของเขาจะอารมณ์เสียในบางอย่าง
จิ๊!
โอลิเวอร์ หัวหน้าหน่วยอัศวินที่ 1 ประจำตระกูลแครอลคลิกลิ้นไม่สบอารมณ์ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ท่านดยุกเริ่มหันกลับมาให้ความสนใจกับการฝึกซ้อมและตรวจสอบความแข็งแกร่งของหน่วยอัศวินอีกครั้ง ทั้งที่ปกติเขาแทบไม่ออกมาดูแลหรือสนใจมันเลยแม้แต่น้อย นอกเสียจากการส่งคนไปยังสนามรบในดินแดนตะวันออก
"วิ่งให้มันมีแรงกันหน่อย!"
"ครับหัวหน้า!"
'ให้ตายสิ'
พวกนี้ไม่ว่าจะมองยังไงก็ล้วนแต่อ่อนปวกเปียก ต่อให้เพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อให้เป็นที่พอใจของดยุคตอนนี้ก็ไม่ทันการอยู่ดี
เขาไม่คิดเลยว่าดยุกแครอลจะยอมรับฟังคำขอแปลก ๆ ที่นายน้อยแคลเรตพูดออกมาโดยไม่แม้แต่จะตั้งคำถามหรือไตร่ตรองมัน
ทว่า...
ผู้ชายคนนั้นกำลังจะทำอะไรกันแน่?
ตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาเขาไม่แม้แต่จะเห็นการเคลื่อนไหวที่ดูผิดปกติใด ๆ ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย แต่จู่ ๆ เจ้าตัวก็กลับพูดถึงการเพิ่มความแข็งแกร่งของตระกูลราวกับไปรู้อะไรมาบางอย่าง
"เหนื่อยหน่อยนะ"
โอลิเวอร์หันไปมองต้นเสียงที่เดินมาด้านหลัง ปรากฏร่างของบุคคลที่เขากำลังนึกถึง
นายน้อยแคลเรต
ลูกติดของดัชเชสคนใหม่ ที่ปกติแทบไม่ออกจากห้องของตนเลยแม้แต่หน่อยโดยเฉพาะเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นอย่างในเวลานี้
"อรุณสวัสดิ์ครับ วันนี้ตื่นไวกว่าทุกทีนะครับนายน้อย"
'แล้วหมอนี่มันไปรู้เวลาตื่นของฉันได้ยังไง'
แคลเรตยังคงยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กำจัดความสงสัยภายในใจออกไปในทันที
โอลิเวอร์หรือหัวหน้าหน่วยอัศวิน เป็นอีกหนึ่งในสามคนที่รอดพ้นจากการสังหารหมู่ในครั้งนี้ เนื่องจากวันที่เกิดเหตุ น้องชายของเขาเกิดโดนพิษของสัตว์ประหลาดเข้าและไม่มีเงินมากพอที่จะรักษา เขาจึงลางานแล้วอยู่บ้านเพื่อดูแลน้องชายของเขาในขณะนั้น
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังคงติดตามแอลรีสและช่วยเหลือในระหว่างการตั้งตัวใหม่อีกครั้ง
แอลรีส ไรรีย์ และโอลิเวอร์
พวกเขาสามคนคือสิ่งตกค้างหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จะเกิดขึ้นนี้ ถึงพวกเขาสองในสามจะไม่ได้อยู่ที่นั่นในวันเกิดเหตุ แต่ก็ล้วนเป็นคนมีความสามารถมากพอที่จะช่วยป้องกันการสังหารหมู่ในครั้งนี้ได้
แน่นอนว่าโอลิเวอร์ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกที่ต้องการให้มาช่วยป้องกัน แต่เป็นเพียงตัวเลือกที่อาจจะทำให้เปอร์เซ็นต์การสังหารหมู่นั้นน้อยลง
โอลิเวอร์ไม่ใช่ผู้ช่วย แต่เป็นตัวสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของแอลรีสหลังจากนั้น
ถึงเรื่องน้องชายของเขาจะเป็นเรื่องจริง แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่มีส่วนในเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด
"ความจริงข้าก็แค่นอนไม่ค่อยหลับก็เท่านั้น"
"นอนไม่หลับหรือครับ?"
"ใช่ ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้มีหนูวิ่งอยู่บนหลังคาจนน่ารำคาญน่ะ มันดังจนทำให้ข้าหวั่นวิตกว่าถ้าชินกับมันแล้วเกิดมันเป็นเสียงฝีเท้าขึ้นมาจะเป็นอย่างไง"
ฟิ้ววว~
แคลเรตรวบแขนทั้งสองของเขาเข้าหากัน กระชับผ้าคลุมไว้แน่น เขาเดินถอยหลังหลบทิศทางลมหนาวที่พัดมา ดูเหมือนอากาศข้างนอกตอนกลางคืนจะเป็นอุปสรรคมากเกินไปในการออกมาเดินเล่นในตอนเช้าจริงๆ
โอลิเวอร์หันมา กุมมือลงบนหน้าอกด้วยท่าทีหนักแน่นของอัศวิน
"อย่าห่วงไปเลยครับนายน้อย พวกข้าจะทำหน้าที่ของอัศวินเพื่อมอบชีวิตที่สุขสบายและปลอดภัยให้ท่าน"
"ด้วยเกียรติของอัศวิน?"
"แน่นอนครับ"
'เฮอะ!'
แคลเรตแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ดูเหมือนแม้แต่เกียรติของอัศวินอะไรนั่นก็ไม่มีความหมายอะไรมากนักสำหรับโอลิเวอร์ ดังนั้นเจ้าตัวจึงสามารถพูดถึงเกียรติได้โดยไม่ติดขัดอะไร
แคลเรตค่อนข้างชอบมัน แต่น่าเสียดายเมื่ออีกฝ่ายดูจะไม่อยากผูกมิตรกับเขาเท่าไหร่นัก
"อืม งั้นก็ฝากด้วยล่ะ"
เขาพูดจบก็หยิบลูกแก้วสีขาวที่ใหญ่เท่าลูกปิงปองยัดใส่มือโอลิเวอร์
มันคือศิลาแห่งการรักษาที่ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มันมีรูปลักษณ์และวิธีใช้ที่คล้ายกับศิลาเวทที่ทางหอคอยจอมเวทสร้าง แต่แตกต่างกันตรงที่แหล่งกำเนิดของมันไม่ใช่มานา และมีความสามารถในการรักษาบาดแผล อาการเจ็บไข้ไปจนถึงพิษ
เพียงแค่คุณวางมันไว้ส่วนใดในบ้านของคุณ มันก็จะทำหน้าที่เหมือนพระในบ้านที่จะทำให้ไม่เจ็บหรือป่วย มันมีราคาที่สูงกว่าศิลาเวทมาก และคนปกติแทบไม่สามารถที่จะมีมันได้เพราะส่วนใหญ่มันถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองชนชั้นสูงที่ไม่ต้องการเข้าไปคลุกคลีกับสามัญชน
แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำมันเพื่อให้โอลิเวอร์เปลี่ยนใจเพราะติดหนี้บุญคุณ แต่เขาก็แค่บังเอิญรู้ว่าน้องชายของโอลิเวอร์จะตายในไม่กี่วันหลังจากนี้เพราะไม่มีนักบวชหรือยาก็เท่านั้น
ในเมื่อน้องชายของเขาไม่มีความผิดอะไร ก็ไม่มีเหตุจำเป็นที่ต้องเมินนี่จริงไหม?
เขาไม่ใช่คนใจบุญอะไรแบบนั้นหรอก แต่เมื่อรู้ว่ามีคนกำลังจะตายทั้งที่ต้องการมีชีวิตอยู่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จะต้องทำ
"...นี่มันเป็นของมีค่ามากเลยไม่ใช่หรือครับ? ทำไมถึงให้ข้ากันล่ะ"
"ทำไม? การที่ข้าให้ศิลาแห่งการรักษากับคนที่จะทำให้ข้าปลอดภัย มันต้องมีเหตุผลที่มากกว่านี้ด้วยรึ?"
โอลิเวอร์ไม่ตอบ แคลเรตจึงพูดต่ออีกเล็กน้อย
"แต่ถึงจะมีมันก็ใช่ว่าเจ้าจะสามารถโลดแล่นในที่ที่มีแต่ดาบได้ อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามไม่คิดชีวิตเสียล่ะ" โดยเฉพาะกับการวิ่งเข้าใส่ตระกูลแครอล... แคลเรตไม่ได้พูดประโยคหลังออกมา เขาตบไหล่โอลิเวอร์แล้วเดินจากออกมาในทันที
ติ๊ง!
[อัตราความสำเร็จปัจจุบัน 3%]
แคลเรตมองมันสักพักก่อนจะปัดมันลง ดูเหมือนการยับยั้งจะเป็นสิ่งที่ยากเกินไปจริง คงต้องหันมาสนใจกับการหาวิธีป้องกันและตั้งรับน่าจะง่ายเสียกว่า
'ก่อนอื่นก็ต้องดูผังปราสาทก่อนสินะ'
วางแผนสิ่งที่ต้องทำต่ออีกหน่อยได้ เขาก็รีบมุ่งหน้าเข้าไปในตัวปราสาททันทีก่อนที่จะเป็นหวัดไปเสียก่อน