เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"

เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก - EP.7 คืนวันลอบสังหาร (1) โดย Zephyr_W @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก,transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า

รายละเอียด

เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"

ผู้แต่ง

Zephyr_W

เรื่องย่อ

[ The tale of light ] หรือ [TOL] หนึ่งในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซี ที่มีตัวเอกเป็นนักบุญของมหาวิหารแห่งหนึ่ง ซึ่งเน้นเรื่องราวการผจญภัยไปกับชายรูปงามที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายรักขายดีอันดับหนึ่งติดต่อกัน 3 ปีซ้อน


เป็นเกมออนไลน์แนว open world ที่จะเปิดโอกาสท่องโลกเก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่องราวความรักและการต่อสู้กับเหล่าสัตว์ประหลาด อีกทั้งยังมีระบบแต่งบ้าน สร้างร้านค้า ดูแลอาณาเขตที่ดินและระบบจีบ


ทว่า...


" ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่ในตอนนี้กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"


รินทิ้งศรีษะลงบนมือทั้งสองที่นุ่มเกินกว่าจะเป็นมือของเขาทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ดังนั้น


...นี่มันแย่ชะมัด




สารบัญ

เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.1 ตัวประกอบผู้ไม่มีแม้แต่บท,เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.2 ยับยั้งการสังหารหมู่ (1),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.3 ยับยั้งการสังหารหมู่ (2),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.4 ยับยั้งการสังหารหมู่ (3),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.5 สามสิ่งที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง,เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.6 เพราะมันมีต้นฉบับเป็นนิยายรักโรแมนติก (?),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.7 คืนวันลอบสังหาร (1),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.8 คืนวันลอบสังหาร (2),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.9 ดัชเชสเอวาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตราย,เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.10 ต้องวางแผนกันใหม่ (1),เกิดใหม่เป็นตัวประกอบไร้บท #นายท่านต้องการลาออก-EP.11 ต้องวางแผนกันใหม่ (2)

เนื้อหา

EP.7 คืนวันลอบสังหาร (1)




EP.7 คืนวันลอบสังหาร (1)





บึ้มมมม!!

เสียงการระเบิดดังขึ้นด้านหลัง ปราสาทสั่นสะเทือนจากแรงปะทะ โลแกนรีบกดบุตรชายคนโตลงหมอบพื้นไม่ให้โดนลูกหลง เรียกสติของแคลเรตที่กำลังคิดอะไรบางอย่างให้กลับมาเป็นปกติ

"รีบพานายน้อยไปยังโถงใต้ดินฝั่งตะวันตกเร็วเข้า!"

จอมเวทประจำตระกูลรีบออกคำสั่ง เขากัดริมฝีปากแน่น รีดเค้นพลังเวทออกมาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของบาเรีย ต้านเวทโจมตีจากมือลอบสังหาร

"ข้าฝากทางนี้ด้วย"

"รีบไปซะ! ข้าไม่สามารถโจมตีพวกมันได้หากยังต้องกางบาเรียไว้เช่นนี้"

โลแกนพยักหน้า หันมาออกปากกับแคลเรตที่อยู่ใกล้ๆ

"รีบไปยังที่ปลอดภัยกันเถอะครับนายน้อย"

ว่าจบแคลเรตก็ถูกพาตัวออกจากห้องนอนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบจ้ำอ้าวไปยังทิศตะวันตกของปราสาทตามที่จอมเวทประจำตระกูลกล่าวไว้ ทิ้งเสียงปะทะมากมายที่ดูรุนแรงกว่าในตอนแรกไว้ด้านหลัง



[จำนวนปัจจุบัน 64 คน]



ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที จำนวนตัวเลขก็ถูกลดฮวบหายไปอย่างรวดเร็วถึง 8 คน

'ไรรีย์งั้นเหรอ?'

เธอเป็นคนเดียวที่เขาพอจะนึกออกว่าสามารถทำมันได้เมื่อดูจากการต่อสู้ที่ผ่านๆ มา แม้นั่นจะเป็นเพียงการมองผ่านหน้าจอเกมก็ตาม

"พวกเราจะไปที่โถงใต้ดินฝั่งตะวันตกที่ปลอดภัย ดังนั้นรีบไปกันเถอะครับ–"

"รายงานสถานการณ์ที"

แคลเรตปัดหน้าต่างระบบทิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคง โลแกนมองแคลเรตด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายแต่ก็ยอมตอบโดยไม่ขัดคล่อง

"นอกจากฝั่งตะวันออกและทางทิศใต้ของปราสาทแล้วยังมีพวกที่แฝงตัวเข้ามาเป็นคนงานในปราสาท...ตอนนี้พวกหน่วยที่สองกำลังอพยพคนงานบางส่วนไปยังจุดปลอดภัย ส่วนท่านดยุกและดัชเชสกำลังสกัดกั้นการโจมตีจากทิศใต้อยู่ครับ"

แคลเรตพยักหน้า ดูเหมือนดัชเชสเอวานอกจากมีความสามารถในการควบคุมดยุกแล้วเธอยังมีความสามารถในการบู๊เช่นกัน คงไม่มีมากนักหรอกที่จะเห็นผู้หญิงออกไปสู้แต่โลกนี้เป็นโลกที่ไม่ได้วัดกันที่ความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะอยู่ที่นั่น

เขาลอบมองตราบนชุดเกราะของโลแกน สัญลักษณ์บ่งบอกว่าสังกัดอยู่หน่วยที่สามของตระกูล

โลแกนเอ่ยเสริม

"ส่วนหน่วยที่สามต่างได้รับคำสั่งจากท่านดยุกให้กระจายกำลังกันไปเพื่อคุ้มครองนายน้อยแต่ละคนครับ"



ติ๊ง!

[จำนวนปัจจุบัน 62 คน]



แจ้งเตือนเด้งขึ้นอีกครั้ง จำนวนผู้ลอบสังหารถูกกำจัดไปในคราเดียวถึงสองคนจนผิดปกติ แคลเรตจึงเอ่ยถามโลแกน

"เจ้าเห็นอัลมอนด์บ้างไหม?"

"ครับ?"

"คนที่อยู่กับข้าบ่อย ๆ ในช่วงนี้น่ะ"

"ข้ายังไม่พบเขาเลยครับ"

"งั้นรึ–"

พรึ่บ!

แคลเรตยังพูดไม่ขาดคำ โลแกนก็หยุดเดิน ยกมือขึ้นมาคว้าตัวเขาไปด้านหลังขณะก้าวไปด้านหน้าเพื่อเผชิญกับใครบางคน

ตุบ!

ร่างของพ่อบ้านคนหนึ่งล้มลงไปกองกับพื้น หยดเลือดไหลรินเป็นทางยาวท่ามกลางทางเดินที่มืดสลัว แคลเรตชะโงกหน้าออกไปมองผ่านลานไหล่ของโลแกน

เป็นอัลมอนด์ที่ยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับร่างของพ่อบ้านและคนครัวที่ไร้วิญญาณนอนหมดสภาพอยู่บนพื้น ในมือของเขาถือมีดทำครัวเปื้อนเลือดที่ยังคงสดใหม่ เป็นภาพที่ชวนขนหัวลุกเหมือนหลุดออกมาจากหนังฆาตกรรมไม่มีผิด

แคลเรตมองมีดทำครัวที่ไม่ควรมาอยู่ที่นี่ มือขาวรีบคว้าไหล่ของโลแกนโดยพลันเมื่อเผลอสบกับดวงตาสีเทอร์ควอยซ์เข้า

หมับ!

อย่างน้อยๆ ถ้าอัลมอนด์เกิดโจมตีขึ้นมาเขาจะได้ผลักโลแกนที่ดูมีฝีมือไปด้านหน้าเพื่อป้องกันตัวได้ทัน เพราะถึงเขาจะพอรู้วิธีป้องกันตัวมาบ้างแต่การจะให้ไปสู้กับคนที่สามารถล้มผู้ชายที่โตเต็มวัยได้ถึงสองคนโดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนนั้นก็มากเกินไป

โลแกนที่ถูกคว้าไหล่ชะงัก เขาลอบมองฝ่ามือแคลเรตที่ดูหนักแน่นและไม่ตื่นตระหนกกับสถานการณ์ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะใบหน้าที่ดูมั่นใจนั้นทำให้โลแกนต้องลดการ์ดลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว

'บางทีนั่นอาจเป็นคนของนายน้อยแคลเรต'

"ปลอดภัยดีใช่ไหม?"

แคลเรตที่ไม่ได้สังเกตเห็นถึงความเข้าผิดของดลแกนเอ่ยทักอัลมอนด์เพื่อให้ดูเหมือนกำลังเป็นห่วง มันคงจะวุ่นวายมากกว่านี้แน่ถ้าเกิดอัลมอนด์เป็นพวกบ้า ที่จะอาละวาดขึ้นมาเพียงเพราะมีใครสักคนโจมตีใส่เขา คล้ายหนังฆาตกรรมสักเรื่องที่เขาเคยดู และเขาต้องการเช็กมันให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นที่นี่

"ท ทำไมถึงอยู่ในสภาพแบบนั้นได้ล่ะครับ?"

ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์ของอัลมอนด์เบิกกว้าง มันสั่นวูบไหวเมื่อพบว่าแคลเรตในตอนนี้มีสภาพที่ยุ่งเหยิงเต็มที ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหนำซ้ำยังมีคราบเขม่าควันเกาะตามร่างกายและใบหน้า ดูสกปรกไม่สมเป็นบุตรหลานของขุนนางสิ้นดี

"แล้วน้ำส้มข้าล่ะ"

"...อะไรนะครับ?"

แคลเรตลอบสำรวจอัลมอนด์ที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในชุดพ่อบ้านที่สะอาดเอี่ยมไม่มีแม้แต่รอยยับหรือคราบเลือดแม้แต่น้อย ต่างจากระเบียงทางเดินที่เละเทะเต็มไปด้วยเลือด

แค่มองก็รู้สึกว่าคอของเขากำลังแห้งผาก

แต่ถึงอัลมอนด์จะเอาน้ำส้มมาให้เขาได้แต่ก็คงจะกินมันไม่ลงอยู่ดีเมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้

"ช่างเถอะ...ว่าแต่เจ้าควรอยู่ที่ครัวปีกตะวันออกไม่ใช่รึไง?"

แล้วทำไมถึงมาโผล่อยู่หน้าห้องครัวปีกตะวันตกได้ล่ะ?

"...ครับ? อา ผมไปที่ห้องครัวมาแล้วแต่พ่อครัวบอกว่ามีสาวใช้นำมันไปหมดแล้วเลยต้องมาเอาที่ปีกตะวันตกแทน"

'ไรรีย์สินะ'

เธอเป็นพวกแปลก ๆ ที่มักจะเสิร์ฟมันให้แอลรีสเสมอในเกมแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการมันก็ตาม และหลังจากเจอเธอมาสักพักก็พบว่านั่นเป็นเพียงนิสัยที่ติดมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น หรือก็คือตอนนี้

"เล่าต่อไปสิ"

แคลเรตดันโลแกนให้เดินไปด้านหน้าเมื่อพบว่าอัลมอนด์ดูไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีใส่

อัลมอนด์มองมีดในมือตน เขาทิ้งมันลงพื้นทันทีก่อนจะเดินเลี่ยงร่างไร้วิญญาณของคนงานออกมาและเล่าต่อตามคำพูดที่ไม่ต่างจากคำสั่งของแคลเรต

เคร้งง!!

"...ผมมาฝั่งตะวันตกเพื่อมาเอาน้ำส้มอย่างที่ว่าไป แต่พอได้ยินเสียงระเบิดเลยรีบไปหานายน้อย แล้วจู่ ๆ พวกเขาก็พุ่งมาทำร้าย ผมก็เลย..."

อัลมอนด์กระอักกระอ่วนที่จะพูดประโยคหลังออกมา แต่ก็มากพอที่จะรู้คำตอบ แต่...

'ทำร้าย?!

แคลเรตรู้สึกเหมือนได้ยินอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป เขามองสภาพคนสองคนที่โดนมีดปาดคอจนลึกสลับกับอัลมอนด์ที่ยังคงดูดีอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองยังไงนี่ก็น่าจะเป็นการถูกทำร้ายจริง ๆ นั่นแหละ

ไม่ใช่อัลมอนด์ แต่เป็นพวกเขา

ดูเหมือนคนพวกนั้นจะโดนฆ่าตายโดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้องด้วยซ้ำไป แคลเรตเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาแทนเมื่อได้พบความจริงที่น่ากลัวนี้ เขาดันหลังอัลมอนด์ที่ดูไม่มีการโต้ตอบใด ๆ ให้เดินผ่านศพพวกนั้นไป

"จะให้ไปไหนเหรอครับนายน้อย?"

อัลมอนด์ทักเมื่อพบว่าทางที่พวกเขาถูกพาไปนั้นไม่ใช่ทิศตะวันออกหรือแม้แต่ทางไปยังโถงใต้ดินปราสาทที่แคลเรตกำลังมุ่งหน้าไปจนถึงเมื่อกี้

"ไปหาเรนเดลกับแอลรีส"

"ครับ!?"

ครั้งนี้ไม่ใช่อัลมอนด์ที่ร้องทัก แต่เป็นโลแกน อัศวินหน่วยสามที่ได้รับมอบหมายให้มาคุ้มครอง แน่นอนว่าพวกเขาได้ส่งอัศวินคนอื่นไปแล้ว แต่การจะพาแคลเรตที่ไร้ฝีมือในการต่อสู้ไปที่นั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้

"นายน้อยจะไปที่นั่นไม่ได้นะครับ ที่นั่นอันตรายเกินไปสำหรับท่าน"

โลแกนพยายามหยุดฝีเท้า อธิบายเหตุผลให้แคลเรตฟังหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรพิเรนทร์อย่างการวิ่งเข้าหาอันตรายด้วยตัวเอง

"ใครบอกว่าข้าจะไปกัน"

"ครับ?"

"ข้ากำลังบอกให้พวกเจ้าไปที่นั่นเพื่อคุ้มกันเด็ก ๆ ต่างหาก"

"...ถ้าอย่างนั้นข้าจะทิ้งคนฝีมือดีไว้กับท่านสักสองสามคน"

โลแกนหันไปยกมือออกคำสั่งอัศวินด้านหลังทันที แคลเรตชอบโลแกนที่สามารถเข้าใจมันโดยไม่ต้องอธิบายสิ่งใดเพิ่ม

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดซะทีเดียว

"พาพวกเขาไปด้วย ยังไงการมีคนเยอะ ๆ ย่อมดีกว่าเสมอ...แน่นอนว่าเจ้าก็ไปด้วยเหมือนกันอัลมอนด์"

ประโยคหลังแคลเรตหัดไปบอกอัลมอนด์ที่อยู่ใกล้ๆ แต่เสียงคัดค้านจากโลแกนก็ดังขึ้นมาในทันที

"พวกเราไม่สามารถทิ้งให้นายน้อยอยู่เพียงลำพังในเวลานี้ได้ครับ!"

โลแกนกล่าวด้วยท่าทีขึงขัง ส่วนอัลมอนด์นั้นเงียบลงราวกำลังใช้ความคิด แคลเรตเพิกเฉยมันแล้วหาวิธีไล่โลแกนที่ดูหัวแข็งมากกว่าที่คิด

เขาไม่อยากใช้วิธีนี้เท่าไหร่แต่คงไม่มีทางเลือก เขาถอนเท้าออก กอดอกเชิดคางสูงที่ดูหยิ่งยโสดั่งขุนนาง

"เจ้าเป็นใครกันถึงได้กล้าขัดคำสั่งข้า...นี่เป็นคำสั่ง"

เขาเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึมที่ดูมั่นใจ ถึงเขาจะต้องการใครสักคนที่น่าไว้วางใจอยู่ข้าง ๆ เพื่อรักษาชีวิตนี้ไว้ แต่คนที่เขาอุตส่าห์ตั้งใจดูความสามารถและสร้างความไว้วางใจนั้นดันกลายเป็นตัวอันตรายไปเสียแล้ว หนำซ้ำโลแกน อัศวินหน่วยสามที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้เองก็ไม่น่าไว้วางใจเช่นกัน

ในบรรดาหนังสือและเอกสารที่เขาอ่านตลอดสามวันมานี้ สิ่งแรกที่เขาท่องจำก็คือชื่อและหน้าตาของคนงานในตระกูลแครอล แต่เขาไม่พบคนที่ชื่อโลแกนหรือคนที่มีใบหน้าแบบชายตรงหน้านี้เลยแม้แต่น้อย

...ตอนนี้เขากำลังอยู่ในกรงที่ขังเสือและจระเข้ไว้ด้วยกัน

นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาสามารถรับรู้ได้ในตอนนี้ ในบรรดาพวกเขา ไม่มีใครเลยที่เขาจะสามารถไว้วางใจได้ในสถานการณ์ที่มีมือลอบสังหารแฝงตัวเข้ามา

"ถึงข้าจะตายไปสักคนยังไงมันก็ไม่มีผลกระทบต่อตระกูลแครอลอยู่แล้วนี่จริงไหม?"

ในสถานการณ์แบบนี้อย่างน้อยทุกคนก็ต้องไปคุ้มครองดยุกหรือเด็ก ๆ ที่มีสายเลือดของแครอลเพื่อรักษาตระกูลเอาไว้มากกว่าจะเป็นเขาที่เป็นเพียงคนนอกที่ไม่มีอำนาจใด

ถึงมันจะฟังดูตัดพ้อไปสักหน่อย แต่นั่นก็ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง



ติ๊ง!

[อัตราความสำเร็จปัจจุบัน 18%]



แคลเรตเพิกเฉยต่อหน้าต่างระบบและกล่าวต่อ

"ท่านพ่อไม่ได้บอกงั้นรึว่าให้ฟังคำสั่งของข้าด้วยน่ะ"

เขายิ้มให้กับโลแกนที่มีท่าทีอึกอัก หากเป็นคนที่ดยุกเดริคส่งมา ไม่ว่ายังไงก็ต้องบอกว่าให้ทำตามที่เขาสั่งอย่างแน่นอน ไม่ว่านั่นจะเป็นเพราะนิสัยตามใจลูกจนเกินเหตุของดยุกหรือเป็นแค่ฤทธิ์ยาที่ดัชเชสใช้ควบคุมอีกฝ่าเพื่อออกคำสั่ง

"...ทราบแล้วครับนายน้อย"

โลแกนโค้งคำนับยอมรับคำสั่งในทันที แคลเรตเริ่มที่จะชอบโลแกนขึ้นมาเล็กน้อย

'การมีคนหัวไวที่ใช้งานได้นี่ดีจริงๆ'

เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรโลแกนก็สามารถเข้าใจมันได้ทุกอย่าง

"จะให้ผมทิ้งนายน้อยไว้ลำพังน่ะเหรอครับ"

อา นอกจากพวกหัวไวแล้วพวกที่ดูไร้เดียงสาแต่แอบน่ากลัวก็อยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน เขามองอัลมอนด์ที่มีท่าทีที่ดูเป็นมิตรเล็กน้อยแม้สิ่งนั้นจะเป็นเพียงมารยาทของพ่อบ้านคนหนึ่งที่ต้องแสดงก็ตามที

"หากทางนั้นปลอดภัย ถึงตอนนั้นค่อยกลับมาก็ยังไม่สาย"

แคลเรตใช้เวลาสักพักในการผลักอัลมอนด์ไปด้านหน้า สุดท้ายเจ้าตัวถึงจะยอมไปแต่โดยดี

"จะรีบกลับมานะครับ"

ไม่ลืมทิ้งท้ายเอาไว้ราวกับเด็กที่กำลังเป็นห่วงกันจริงๆ แคลเรตได้แต่โบกมือไล่หลังให้อัลมอนด์ไปเร็วๆ ก่อนจะลดมือลงเมื่อแผ่นหลังของพวกเขาหายไป

'ขนลุกชะมัด'

เขาไม่รู้ว่าอัลมอนด์ห่วงเขาจริงหรือไม่ หรือนั่นเป็นเพียงการหาโอกาสเพื่อจัดการกับเขาโดยง่าย แต่หากหนึ่งในพวกเขาเกิดเป็นมือลอบสังหารขึ้นมาจริง ๆ ไรรีย์จะเป็นคนจัดการกับพวกเขาด้วยตัวเอง

แคลเรตเป็นพวกอ่อนแอที่ไม่มีทั้งพลังเวทหรือแม้แต่พลังพิเศษอย่างคนในตระกูลที่มีสายเลือดแครอล ดังนั้น นี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตอนนี้ มากกว่าต้องมานั่งคาดเดาพฤติกรรมของพวกเขาทีละคนและระแวงระวังว่าจะถูกฆ่าเมื่อไหร่

ตอนนี้เขามีชีวิตใหม่แล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้มันต้องมาจบลงตั้งแต่ตอนนี้

'มาลองพยายามใช้ชีวิตกันใน 'โลกใหม่' อีกสักครั้งเถอะ'

ถึงที่นี่จะเคยเป็นเรื่องราวภายในเกมเกมหนึ่ง แต่การยอมรับมันแล้วลองใช้ชีวิตอีกครั้งก็คงไม่เลวเท่าไหร่ เขาหยิบสร้อยคอรูปร่างประหลาดที่ได้มาจากแม่มดมาริเนดออกจากกระเป๋า



'ถ้ามีคนเลวเข้ามาใกล้ก็ใช้มันเรียกฉันทันทีเลยนะ แค่บีบมันให้แตก เหมือนบีบถั่วลิสงเท่านั้นเอง'



เธอพูดเอาไว้แบบนั้น แคลเรตรีบบีบหินรูปร่างประหลาดที่เหมือนคนกำลังกรีดร้อง

กึก!

"..."

มันไม่แตก แม้แต่รอยร้าวสักนิดก็ไม่มีให้ได้เห็น

'ไหนว่าเหมือนถั่วลิสง'

นี่มันแข็งยิ่งกว่าหินกรวดอีกไม่ใช่หรือไง?

แคลเรตมองมันด้วยท่าทางรังเกียจเต็มที นอกจากจะดูอัปมงคลแล้วยังไร้ประโยชน์อีกต่างหาก เขาเก็บมันเข้ากระเป๋าด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะสาวเท้าไปยังที่ที่หนึ่ง ส่วนกลางของปราสาทแครอล สถานที่ที่เปรียบดั่งหัวใจของการป้องกัน



'อยู่ตรงนี้หรือเปล่านะ'

แคลเรตนึกถึงภาพกราฟิกของเกมที่เคยเล่นเพื่อเทียบกับภาพตรงหน้า ในเกม TOL ผู้เล่นสามารถเดินเล่นและจับสิ่งของแทบทุกชิ้นได้คล้ายกับการจำลองโลกใบหนึ่งผ่านหน้าจอจริง ๆ ดังนั้น เขาจึงพอรู้กลไกเข้าสถานที่ลับภายในตัวปราสาทแครอลได้ในบางส่วน

เขาเดินตรงไปยังโถงทางเดินที่มีภาพเสมือนของดยุกรุ่นแรกถูกแขวนอยู่ รูปหน้าของชายคนนั้นยังคงหนุ่มแน่นแม้เป็นภาพเสมือนที่ถูกวาดขึ้นในช่วงวัยกลางคน

'ดีเอ็นเอของตัวละครหลักนี่ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็น่ากลัวจริง ๆ นั่นแหละ'

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงบรรพบุรุษที่ไม่มีบทบาทใดในเนื้อเรื่องแต่กลับยังมีใบหน้าที่ดูดีราวกับรูปปั้นที่ตั้งอยู่ตามพิพิธภัณฑ์โบราณ ถึงจะน่าเสียดายไปหน่อยที่แม้แต่ดยุกรุ่นแรกก็ยังมีใบหน้าเหมือนกับเดริคราวกับงบบริษัทมันน้อยเกินไปก็เถอะ

แคลเรตเอื้อมมือไปจับตามกรอบภาพ ไล่ปลายนิ้วไปตามสันกรอบเลี่ยมทอง

'อยู่นี่เอง'

มีรอยต่อเล็ก ๆ ที่สะดุดอยู่ตรงกรอบ เขากดมันลง เสียงกลไกบางอย่างจึงเริ่มทำงาน

แกรก!

ครืดดดด

เสียงดังมาจากตู้วางของตรงหน้า มันถูกเลื่อนออกไปด้านข้าง เผยช่องทางลับเล็ก ๆ ที่สูงพอดีกับตู้วางของ

แคลเรตหยิบเชิงเทียนใกล้ ๆ ออกมาจุดไฟ เขาเดินเข้าไปในทางลับนั้นอย่างไม่ลังเล พอลอดผ่านทางเข้ามาได้ก็พบว่าด้านในเป็นทางเดินยาวที่แคบและสูงพอให้เขาเดินพอดี ด้านในมืดสนิทไม่มีแม้แต่คบเพลิงหรือหน้าต่าง

เดินลัดเลาะเข้าไปสักพักร่วม 5 นาที ในที่สุดก็โผล่พ้นทางเดินแคบๆ สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาคือลูกแก้วขนาดใหญ่วางอยู่บนแท่น ลวดลายวิจิตรตระการตาตั้งเด่นอยู่กลางห้องโถงใหญ่ รอบด้านเต็มไปด้วยทางเดินแคบ ๆ ที่เชื่อมต่อกับสถานที่ต่าง ๆ ในปราสาทไม่ต่างจากทางที่เขาเพิ่งเดินจากมา

ที่นี่คือห้องเก็บศิลาเวทป้องกันของปราสาทแครอล

สถานที่ที่เขาเคยเห็นในเกมแต่ไม่เคยเข้ามาจริง ๆ ด้วยตัวเองสักครั้ง

พวกมันเหมือนกันทุกอย่างจนน่าตกใจเลยล่ะ

ก๊อกๆ!

แคลเรตเดินไปเคาะลูกแก้วขนาดใหญ่กลางห้อง มันเป็นศิลาเวทที่ใช้แก่นของสัตว์ประหลาดระดับบอสเป็นตัวรองรับศาสตร์เวทป้องกันขนาดใหญ่ โดยปกติ ถึงแม้บาเรียจะแตกไปแล้วหนึ่งครั้งพวกเขาก็ยังสามารถกางมันขึ้นมาใหม่ได้ในภายหลังด้วยการถ่ายมานาลงไปเพื่อกระตุ้นการทำงานของมัน ทว่า แคลเรตไม่สามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง

อย่าว่าถึงวิธีถ่ายมานาอะไรนั่นเลย แม้แต่สิ่งที่เรียกมานาเขายังไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงด้วยซ้ำ

หากกล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่ามานาในโลกแฟนตาซี สิ่งแรกที่คุณมักคิดถึงก็คงเป็นบางสิ่งที่เหมือนอากาศแต่ไม่ใช่อากาศ ที่เป็นดั่งแหล่งพลังงานของเวทมนตร์ทั่ว ๆ ไป และแน่นอนว่านั่นก็เป็นกฎเกณฑ์เดียวกันกับโลกนี้

ทว่า...

ไอ้ของมโนธรรมที่ว่านั่นเขาไม่สามารถเข้าถึงมันได้เลยสักนิดนี่สิ

อันที่จริง เขานึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่เหมือนอากาศแต่ไม่ใช่อากาศที่ว่านั่น จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพึ่งพาคนอื่นที่พอจะใช้เวทมนตร์ได้

สวบ

แคลเรตหยิบหินหน้าตาเหมือนคนกำลังกรีดร้องที่ดูอัปมงคลขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่คิดจะบีบมัน แต่เลือกที่จะใช้ฟันที่ดูแข็งแรงที่สุด

กรวบ

แคลเรตกัดมันเต็มแรงแสงสว่างก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

ชิ้งงงงงงง

อึก!

แคลเรตสะดุ้งเฮือกเมื่อแสงสว่างวาบเข้ามาในดวงตาของเขารอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน เขาหรี่ตามองแสงตรงหน้า มันส่องแสงออกมาจากหินหน้าตาประหลาดก่อนปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูน่าหลงใหล ที่หากใครมาเห็นก็คงคิดว่าเป็นเทพธิดาสักองค์ที่ไม่รู้จัก

แคลเรตป้องมือบังแสงที่ยังคงสว่างจ้า นัยน์ตาสีแดงเพลิงของหญิงสาวตรงหน้าเปิดออก

"โอ๊ะ! พ่อหนุ่มน้อยนั่นเอง ไหน?! ใครกันที่กล้ามายุ่มย่ามกับเธอ ฉันจะอัดมันให้เอง!"

แม่มดมาริเนดยิ้มซุกซนด้วยความดีใจขณะเอ่ยถาม ต่างจากแคลเรตที่ยังคงขมวดคิ้วมองเธอท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าที่สาดมาจากด้านหลังราวสปอตไลต์

'แสบตาชะมัด'

เธอสามารถปรากฏด้วยเวทเทเลพอร์ตหรืออะไรก็ตามที่ธรรมดา ๆ  เหมือนในเกมได้ แต่เธอกลับไม่ทำมันและเลือกที่จะปรากฏตัวด้วยความอลังการที่ดูสิ้นเปลืองพลังงานนี่แทนเนี่ยนะ?

แคลเรตไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเธอทำมันไปเพื่ออะไรและไม่คิดที่จะค้นหามัน เขาเดินผ่านเธอที่ยังคงส่องแสงแสบตาอยู่อย่างนั้น และเริ่มทำธุระให้เสร็จ

ก๊อก!

เขาเคาะลงบนศิลาเวทขณะเอ่ย

"ตอนนี้มีคนร้ายที่บุกเข้ามาเพื่อลอบสังหารตระกูลของผมอยู่ และมีบางส่วนที่โจมตีจากด้านนอกด้วย เลยอยากให้คุณช่วยกางบาเรียให้หน่อยน่ะครับ"

"แน่นอน ได้สิ! ฉันสลักบาเรียใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมให้เธอเลยก็ยังได้"

แม่มดมาริเนดตอบรับด้วยความกระตือรือร้น ทำเอาแคลเรตพึงพอใจในคำตอบไม่น้อย แม่มดมาริเนด นอกจากจะมีชื่อเสียงว่าเป็นจอมเวทที่ยอดเยี่ยมแล้ว เธอยังสามารถรังสรรค์ศาสตร์เวทแบบใหม่ขึ้นมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่ขึ้นตรงกับพวกจอมเวทในหอคอย

และนั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่เธอถูกกล่าวว่าเป็น 'แม่มด' เช่นกัน

"งั้นฝากด้วยนะครับพี่สาว"

"แหม มีหนุ่มหล่อ ไม่สิ มีคนรู้จักกำลังลำบากก็ต้องช่วยเหลืออยู่แล้วล่ะ"

แม่มดมาริเนดถูพวงแก้มของเธออย่างเขินอาย แคลเรตทำเพียงส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร

'นี่เธอเพิ่งเจอฉันครั้งนี้เป็นครั้งที่สองเองไม่ใช่หรือไง?'

แคลเรตเดินถอยหลังออกจากแก่นของสัตว์ประหลาดเพื่อให้แม่มดมาริเนดทำงานได้สะดวกขึ้น  ไม่ลืมเอ่ยกำชับอีกเล็กน้อย

"ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจะให้คนมารับ เพราะงั้นอย่าออกไปข้างนอกจนกว่าจะมีคนมารับนะครับ"

"ฉันสามารถช่วยเธอจัดการคนพวกนั้นได้นะ"

"แค่สร้างบาเรียก็ถือว่าช่วยได้มากแล้วล่ะครับ"

ยังไงเธอก็เป็นคนนอก การต้องมามีส่วนร่วมเท่านี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว

แคลเรตเดินออกจากห้องเก็บศิลาเวทขณะเปิดหน้าต่างระบบขึ้นมา



[จำนวนปัจจุบัน 56 คน]



'พวกเขาทำงานได้ดีจนน่าขนลุกเลยแฮะ'

เพียงแค่มีการเตรียมการที่ดีขึ้น ตัวเลขของผู้ลอบสังหารก็ลดลงไปเกือบยี่สิบคนโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร

บางที เขาอาจไม่จำเป็นต้องจัดการกับพวกมันตามเควสก็ได้ ตราบใดที่ไรรีย์และทหารรับจ้างที่เขาจ้างมาก็คงสามารถจัดการกับพวกมันได้ หนำซ้ำพวกเขายังมีแอลรีสที่มีความสามารถในการจับเท็จอยู่กับพวกเขาเช่นกัน

หากยังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ บางทีเจ้าตัวคงจะกลายเป็นกำลังหลักในการค้นหาผู้ลอบสังหารเสียด้วยซ้ำ



...



เคร้งงง!

เสียงกระทบของดาบดังลั่น ออร่าสีดำพาดผ่านผนัง ตัดผ่านกำแพงแบ่งออกเป็นสองท่อนกลายเป็นซากปรักหักพังล้มระเนระนาดไม่เป็นชิ้นดี เศษกระดาษปลิวว่อนไปทั่วสารทิศ ศาสตร์เวทหลากสีสาดสัดเข้าปะทะกันเป็นว่าเล่น แปรเปลี่ยนห้องหนังสือกลายเป็นสนามรบไปอย่างสมบูรณ์

"....หนังสือข้า"

แอลรีสมองหนังสือราคาแพงของตนที่ถูกเหยียบย่ำและเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านในพริบตา ไม่สนว่ามันจะเป็นหนังสือเก่าหายากหรือเล่มใหม่ล่าสุดที่ยังไม่ได้แม้แต่จะเปิดอ่าน

"นายน้อย! หลบด้านหลังผมไว้ครับ!"

แมดด็อกซ์ตะโกนลั่น สองมือชูขึ้นไปด้านหน้า  บาเรียน้ำห่อหุ้มข้ารับใช้บางส่วนกับหนึ่งนายน้อยประจำตระกูลแครอล

ครืดดดดด

เปรี้ยงงงงง!!!

ศาสตร์เวทหลากสีกับออร่าสีดำวิ่งเข้าปะทะกัน เกิดลมแรงและไอร้อนไปทั่วห้องอีกครั้ง บาเรียน้ำกระเพื่อมเริ่มต้านแรงปะทะเอาไว้ไม่ไหว

'ผู้หญิงคนนั้นมันอะไรกัน'

ถึงจะรู้จากการสืบมาว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของอดีตนักดาบยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอาณาจักร แต่นี่กลับอยู่ในระดับที่สูงมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

ในตอนแรก เขาคิดว่าบุตรชายคนโตของตระกูลแครอลต้องการกำจัดสองพี่น้องเพื่อเป็นผู้นำคนต่อไป แต่ดูเหมือนว่าความจริงนั้นจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แมดด็อกซ์เริ่มสงสัยว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังที่กล้าเป็นศัตรูกับแครอลได้ แต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้

ซูมมมมมม

ดาบเย็นฟาดฟันใส่บาเรียน้ำ แมดด็อกซ์รีดเค้นมานาออกมาเสริมความแข็งแกร่ง หยดเลือดไหลออกมาตามมุมปาก

'อึ่ก! นี่มันมากเกินไปแล้ว'

 ถึงเขาจะเก่งด้านการป้องกันอย่างไร แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กที่ยังไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้องจากโรงเรียนจอมเวทเหมือนพวกผู้ใหญ่และถือว่าไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้จริง ๆ สักครั้ง

"ข้าสงสัยมาสักพัก แต่ทำไมลอร์ดอารันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?"

แอลรีสที่เฝ้ามองสถานการณ์จากภายในบาเรียมาสักพักเอ่ยทักด้วยความใจเย็น เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะมองมาที่แมดด็อกซ์

"ข้าถูกว่าจ้างจากลอร์ดแคลเรตให้มาคุ้มกันท่าน"

ซูมมมมมม

"อึ่ก! แล้วก็อีกอย่าง...ตอนนี้อยู่ในระหว่างทำงานเพราะงั้นไม่ต้องเรียกลอร์ดก็ได้ครับ"

แอลรีสเงียบไปสักพัก หันไปคว้าดาบที่ถูกแขวนไว้ในห้องก่อนจะสบตากับแมดด็อกซ์อีกครั้ง

แกรก

"ใครจะรู้ล่ะว่าท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อฆ่าข้า"

ดวงตาของแมดด็อกซ์สั่นไหว ใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่บนดาบเงางาม

"ข้าจะถามคำถามง่ายๆ ท่านเป็นผู้ลอบสังหารที่ปลอมตัวมาหรือไม่?"

"ไม่ครับ ข้ามาเพื่อคุ้มครองท่าน"

แมดด็อกซ์ตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม แอลรีสจึงหันไปหาข้ารับใช้ใกล้ๆ วงเวทหมุนวนปรากฏเปลวเพลิงลุกชโลมสันดาบ เปล่งประกายสีแดงฉาน เพิ่มอุณหภูมิห้องให้ร้อนอบอ้าวยิ่งกว่าเก่า

"แล้วเจ้าล่ะ?"

ข้ารับใช้มองดาบในมือแอลรีส สองเท้าก้าวถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง

"ข ข้าไม่ใช่ผู้ลอบสังหารครับ"

ฟรึ่บ!

อ๊ากกกกก

ดาบร้อนในมือตวัดขึ้นในอากาศ เปลวเพลิงลุกไหม้ฟาดลงบนร่างของข้ารับใช้ ล้มลงหงายหลังไปพร้อมร้องด้วยความทุกข์ทรมานจากความร้อน ดิ้นพล่านจากเปลวเพลิงที่ลุกโหมทั้งตัวไม่มีทีท่าว่าจะดับลงได้

แอลรีสเพิกเฉยมัน นัยน์ตาสีมรกตสดใสหันไปสบตากับข้ารับใช้อีกคน

"แล้วเจ้าล่ะ"

อ๊ากกก!!!



ติ๊ง!

[จำนวนปัจุบัน 54 คน]



เคร้ง! ฟาวววว

ครืนนนน

เสียงดาบและแสงสว่างจากการปะทะปรากฏขึ้นเป็นระยะ บาเรียโปร่งแสงขนาดใหญ่ถูกกางครอบคลุมปราสาทแครอลอีกครั้ง ปิดกั้นการโจมตีจากภายนอกโดยสมบูรณ์

ตุบ!

ร่างไร้วิญญาณของอัศวินกลุ่มหนึ่งร่วงลงกับพื้น รองเท้ามากมายวิ่งข้ามผ่านร่างนั้นไปโดยไม่หันกลับมามอง

"รีบไปตรวจที่ห้องเก็บศิลาเวทป้องกันด่วน ส่วนที่เหลือรีบไปสมทบกับพวกที่อยู่กับบุตรชายตระกูลแครอล"

หนึ่งในคนสวมชุดพ่อบ้านออกคำสั่งให้คนอื่น ๆ ในมือถืออาวุธครบครัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังส่วนกลางของปราสาทพร้อมกับคนงานส่วนหนึ่ง

"จะทำยังไงกับบุตรชายคนโตที่ยังหาไม่พบดีครับ ท่านโดมินิค"

อัศวินนายหนึ่งเอ่ยถามพ่อบ้านหนุ่ม พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ลอบสังหารที่แฝงตัวเข้ามาเป็นอัศวินหน่วยที่สองของตระกูลแครอล โดมินิคชะงักไปเสี้ยววิก่อนจะนึกถึงบางอย่าง

"ปล่อยพวกเขาไปก่อน"

"แต่-"

"สิ่งที่พวกเราต้องทำมีเพียงการกำจัดสามพ่อลูกตระกูลแครอลที่เป็นความเสี่ยงในอนาคตเท่านั้น สองแม่ลูกนั่นต่อให้มีชีวิตรอดก็ไม่มีผลต่อแผน"

ถึงตอนนี้พวกเขาจะได้เปรียบที่มีคนกลุ่มอื่นเข้ามาแทรกแซง ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไปได้บ้าง แต่การเฝ้าระวังของแครอลก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสามวันมานี้ พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะไปตามหาคนที่ไม่มีสายเลือดหรือพลังอะไรอย่างสองแม่ลูกคู่หนึ่ง

สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการกำจัดสายเลือดแครอลที่มีพลังเกี่ยวข้องกับจิตใจ

"แต่ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ก็ฆ่าได้ทันที... ช้าก่อน!"

โดมินิคร้องทักและเริ่มลดฝีเท้าลง เมื่อพบว่าทางด้านหน้าปกคลุมไปด้วยหมอก พวกมันลุกลามจนปกคลุมรอบทิศตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ

แค่กๆ

"หมอก? ไม่สิ ควันนี่มันอะไรกัน"

หนึ่งในมือสังหารในคราบของอัศวินโบกมือปัด โดมินิคสำรวจบริเวณโดยรอบ พวกเขาพบเงาของใครบางคนยืนอยู่ที่ปลายสุดทางเดิน

"ไง"

แคลเรตยกมือขึ้นทักทาย อัศวินที่อยู่ด้านหน้าชักดาบออกมา หมายวิ่งเข้ามาทำร้ายโดยพลัน วงเวทสีแดงเริ่มหมุนวนที่ปลายดาบ ทว่าโดมินิครีบคว้ามือนั้นไว้

หมับ!

"ห้ามใช้ไฟ!"

สิ่งที่อยู่รอบตัวพวกเขาไม่ใช่หมอก แต่เป็นแป้งที่มีใครบางคนจงใจสร้างมัน

โอ้

แคลเรตประหลาดที่มีเหมือนจะมีรู้ทัน ดูท่าว่าโลกนี้จะพอมีความรู้เกี่ยวกับมันเล็กน้อย เขาลดมือที่อยู่ด้านออกและเหวี่ยงมันไปด้านหน้า

พรึ่บ!

กระเป๋ามิติที่ได้มาก่อนหน้านี้เปิดอ้า แป้งจำนวนมากล้นทะลักออกมาเป็นควันสีขาว ฟุ้งกระจายเต็มพื้นที่จนมองด้านหน้าไม่เห็น

วิ้ง!

มีเพียงบางสิ่งพุ่งฝ่าเข้ามาแหวกว่ายฝุ่นสีขาวจนเป็นทาง แสงสีแดงสว่างเข้ามาในตาของโดมินิค ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะกลายเป็นเพลิงนรก

ซูมมมมมมม

อ๊ากกกกกกกกก!!!

แคลเรตยืนพิงข้างกำแพงหลังวิ่งเข้ามาหลบในห้องห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เขาหยิบทิชชูจากในกระเป๋าเสื้อขึ้นมายัดหู ปิดกั้นเสียงกรีดร้องน่ากลัวของบุคคลด้านนอก



ติ๊ง!



ติ๊ง! ติ๊ง!



ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!...



เสียงแจ้งเตือนยังคงเด้งขึ้นไม่หยุดหย่อนจนน่ารำคาญ แต่เขาก็ไม่รู้วิธีที่จะปิดหรือลดเสียงมันได้อยู่ดี ได้แต่ยืนฟังมันพูดของระบบที่กำลังอ่านข้อความที่ปรากฏตรงหน้าในระหว่างนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะมันไม่ได้ดังที่ข้างหู แต่กังวานอยู่ในหัวของเขา

ในระหว่างรอแคลเรตจึงเดินไปหยิบเอาสัมภาระที่เขาเพิ่งเอาออกจากกระเป๋าก่อนหน้าเก็บเข้ากระเป๋ามิติ ผ่านไปไม่นานนักเสียงร้องก็เงียบลง แม้แต่เสียงแจ้งเตือนเองก็กลับมาขยับช้าลงเหมือนในตอนแรก



[ จำนวนปัจจุบัน 48 ]



แกรก!

เขาเปิดประตูที่ร้อนระอุออกไปด้านนอก กลิ่นเหม็นไหม้ของไม้และเนื้อย่างสดที่เป็นกลิ่นหอมตีตลบอบอวล พร้อมกับไอร้อนที่พัดเข้ามาที่หน้าของเขา

'มันอาจจะทำให้รู้สึกหิว ถ้ากลิ่นนั้นไม่ใช่อะไรแบบนี้'

แคลเรตเดินข้ามร่างของใครสักคนที่ไม่สามารถระบุใบหน้าได้ เดินตรงเข้าไปยังคนที่น่าจะเป็นหัวหน้า ร่างของเขามีรอยไหม้ แต่ก็ชุ่มไปด้วยน้ำทำให้ไม่ถึงกับตายเหมือนกับคนอื่นๆ

ฟืดด ฟืดดด

เสียงลมหายใจของอีกฝ่ายดังขึ้นเป็นระยะ เมื่อแคลเรตเข้าไปใกล้จึงพบว่าแขนของเขานั้นไหม้และมีบาดแผลไปกว่าครึ่งใบหน้า แต่ยังพอสามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร

โดมินิค หนึ่งในพ่อบ้านที่เขาเคยเห็นในวันที่เลือกให้อัลมอนด์มาเป็นพ่อบ้านส่วนตัว เขาเป็นพ่อบ้านระดับสูงที่เข้ามาทักทายเขาเป็นคนแรกในวันนั้น

"โอ้ เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในมือสังหารด้วยงั้นรึ?"

คงไม่มีพ่อบ้านธรรมดาที่ไหนหรอกที่จะวิ่งมาที่ส่วนกลางทันทีที่มีการเสริมบาเรียขึ้นใหม่อย่างนี้ โดมินิคยันตัวขึ้น แคลเรตจึงยกขาของเขาไปด้านหลังก่อนจะ

พลั่ก!

เตะเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายจนสลบลงไปกับพื้นอีกครั้ง

ตุบ!

พอเห็นว่าโดมินิคไม่ได้สติเขาจึงก้มลงไปหยิบดาบในมืออีกฝ่ายขึ้นมาแทน

'ดูเหมือนแคลเรตคนก่อนจะพอจับดาบได้อยู่เหมือนกันแฮะ'

ถึงจะมีมือนุ่มนิ่มเหมือนคนที่จะยอมจับของมีคมแค่มีดในจานสเต๊กเท่านั้น แต่เขากลับรู้สึกว่าดาบนั้นพอดีมือจนน่าตกใจ ราวกับมือนั้นถูกรังสรรค์เพื่อให้ถือดาบมาตั้งแต่แรก



[ จำนวนปัจจุบัน 32 คน ]



ฟรึ่บ!

อัลมอนด์สะบัดดาบในมือลงด้านข้าง หยดเลือดกระเด็นกระเซ็นวาดผ่านกำแพงจนเป็นทางยาว หันไปทักถามเรนเดลที่อยู่ไม่ไกล

"ปลอดภัยดีใช่ไหมครับ?"

"แค่ข้อมือเคล็ดนิดหน่อยน่ะ"

เรนเดลขยับข้อมือของเขาไปมา หากไม่ได้คนมาช่วยไว้ได้ทันเวลาป่านนี้เขาคงได้ลงไปนอนรวมกันคนพวกนั้นเสียแล้ว โลแกนเดินเข้ามาช่วยดูข้อมือให้

เรนเดลหันมาถามอัลมอนด์

"แล้วพี่แคลเรตล่ะ?"

"นายน้อยสั่งให้มาดูความเรียบร้อยของท่านก่อนเป็นอันดับแรกครับ"

"ตอนนี้ข้าปลอดภัยแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่รีบกลับไปคุ้มกันล่ะ? เจ้าไม่ใช่ทหารแต่เป็นพ่อบ้านส่วนตัวของพี่แคลเรตที่ควรจะอยู่คุ้มครองเขาแม้นั่นจะเป็นการขัดคำสั่งไม่ใช่หรือไง?"

อัลมอนด์เงียบลง เขารู้สึกได้ถึงสายตาของเรนเดลที่กำลังคุกคามเขาอย่างช้าๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีใบหน้าที่ดูเป็นมิตรอยู่ก็ตาม เขาวางดาบในมือลงก่อนที่จะสวมถุงมือสีขาวเข้าไปใหม่

เรนเดลจึงพูดเสริมขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อดวงตาสีมรกตสว่างขึ้นหนึ่งระดับ

"เจ้าคิดว่าคนที่ดูปวกเปียกเช่นนั้นสามารถเอาชีวิตรอดจากมือสังหารได้ด้วยตัวคนเดียวงั้นรึ?"



ติ๊ง!

[อัตราความสำเร็จปัจจุบัน 21%]



"..."

'หมอนั่นกำลังฟุ้งซ่านอยู่หรือไง'

แคลเรตมองแจ้งเตือนที่อยู่ ๆ ก็เด้งขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไร ถึงจะมีทิศทางที่เป็นบวกแต่ตอนนี้มันไม่น่าเป็นช่วงที่จะมานั่งคิดว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าไม่ใช่หรือไง

"หวังว่าพวกเด็ก ๆ จะไม่ไปจี้ปมอะไรหมอนั่นเขาล่ะ"