เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"
แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก,transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.8 คืนวันลอบสังหาร (2)
ตึก ตึก ตึก
"การติดต่อจากท่านโดมินิคหายไปแล้วครับ"
หนึ่งในคนครัวละมือออกจากต่างหูตน รายงานสถานการณ์ให้กับผู้เป็นหัวหน้า รีบเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังส่วนกลางที่มีเพลิงลุกไหม้ผิดปกติ
ฟูววววว
ทันทีที่เลี่ยงมุมเข้ามา หมอกสีดำขมุกขมัวก็เป็นที่ประจักษ์ ปกคลุมทางเดินมองไม่เห็นแม้แต่ทางเดินตรงหน้า
พวกเขาหยุดชะงักกึก!
"จะทำยังไงดีครับหัวหน้า?"
"แค่จัดการมันก็สิ้นเรื่อง"
อีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะถึงห้องเก็บศิลาเวทป้องกัน ถึงพวกเขาจะอ้อมไปตอนนี้ยังไงอีกฝั่งก็คงมีกับดักไม่ต่างกัน หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าท่องคาถาบางอย่าง ศาสตร์เวทสีสดใสปรากฏขึ้นในมือ เธอโบกสะบัดมือสวยไปด้านหน้า กวาดลมหมุดพัดพาหมอกหน้าให้ออกไป
ทว่า ยิ่งพัดออกไปเท่าไหร่หมอกสีดำก็ยิ่งหนามากขึ้นเท่านั้น
จิ๊
เธอคลิกลิ้นไม่สบอารมณ์ สิ่งนี้ต้องไม่ใช่ควันธรรมดาอย่างแน่นอน พวกมันลุกลามปกคลุมพื้นที่ทั้งด้านหน้าและหลังอย่างรวดเร็ว ปิดล้อมรอบพวกเขาจนไร้ซึ่งทางออก
"...นี่มันควันจากต้นไม้มายา ทุกคนระวังไว้ให้ดี!"
โอ๊ะ!
แคลเรตที่เฝ้ามองสถานการณ์ประหลาดใจอีกครั้งที่พวกเขามีความรู้มากกว่าคนทั่วไปรวมถึงเรื่องของต้นไม้มายา มันเป็นหนึ่งในผลผลิตจากป่ามายาที่ยังอยู่ในการวิจัยและเก็บรวบรวมข้อมูลภายใต้การจัดการของหอคอยจอมเวทในตอนนี้ ดังนั้นจึงมีน้อยคนนักที่จะรู้ถึงคุณสมบัติของมันจริงๆ
และแน่นอนว่าแมดด็อกซ์เองก็ต้องใช้เส้นสายอย่างมากกว่าจะได้มันมาให้เขา
หัวหน้าสาวคนนั้นสลายวงเวทในมือ เปลี่ยนไปออกคำสั่งใหม่ให้กับลูกน้องตนด้วยท่าทีขึงขัง
"ยกดาบของเจ้าขึ้นมาแล้วมุ่งไปข้างหน้า! เราจะวิ่งฝ่าออกไป อย่าได้ประมาท"
ต้นไม้มายา เป็นต้นไม้จากป่ามายาที่มีควันสีดำตลอดทั้งปี ทันทีที่เข้าไปในป่าคุณจะไม่สามารถแยกแยะได้แม้แต่กลางวันหรือกลางคืน เนื่องจากในป่านั้นปกคลุมไปด้วยควันและแสงอาทิตย์ที่ส่องไปไม่ถึงทำให้ง่ายต่อการหลงทาง ทว่า สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่านั้นคือมันสามารถสร้างภาพลวงตาที่สมจริงจนยากที่จะแยกแยะได้ขึ้นมาเมื่อจิตใจของใครสักคนในนั้นไขว้เขว
'ใครมันเอาต้นไม้บ้านี่มากัน'
หัวหน้าสาวสะบัดดาบในมือ ถีบตัววิ่งเข้าใส่กลุ่มควันสีดำอย่างไม่ลังเล ตามด้วยลูกน้องร่วมยี่สิบคนที่ตามมาติดๆ
'ฉันชอบเธอชะมัด'
เธอเป็นผู้หญิงที่แน่วแน่และตัดสินใจได้เฉียบขาดในสถานการณ์เร่งด้วย หนำซ้ำยังมีภาวะผู้นำที่ปลุกเร้าอารมณ์คนได้ด้วยการพูดเพียงหนึ่งครึ่ง
...แต่มันก็แค่นั้น
แคลเรตง้างสายธนูในมือ ศรธนูชโลมด้วยของเหลวสีเขียวหนืดเคลื่อนไหวไปตามทิศทางเคลื่อนไหวของมือสังหารที่อยู่ท้ายแถว ดวงตาสีอเมทิสต์หรี่เล็งเป้าหมายก่อนจะปล่อยพรึงสายออกอย่างรวดเร็ว
ดึ๋ง
ฉึก!
ศรพุ่งเสียบร่าง ทหารนายหนึ่งล้มลงไปทันทีที่โดนมัน มือลอบสังหารคนอื่นๆ เริ่มแตกตื่น เงาสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาจำนวนมากตามกลไกของต้นไม้มายา
เหล่านักรบที่เน่าเปื่อยพร้อมอาวุธครบครัน
มันคือภาพลวงตาที่เกิดขึ้นจากต้นไม้มายาที่จะปรากฏทุกครั้งที่มีใครสักคนเข้าไปในป่า มันไม่มีชีวิตตามแบบฉบับของภาพลวงตา ทว่ากลับสามารถสร้างรอยบาดแผลที่เป็นพิษให้กับคน เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หอคอยจอมเวทต้องหยุดระงับการขยายอาณาเขตของมนุษย์ลงชั่วขณะ เพราะความน่าพิศวงของป่านั้น
เคร้ง!
"อย่าตื่นตระหนกแล้วรีบวิ่งฝ่าออกไป!"
หัวหน้ามือสังหารออกคำสั่ง ฟาดฟันดาบลงบนภาพลวงตาตรงหน้า ร่างกายของมันขาดเป็นสองท่อน ไร้ซึ่งเลือดเนื้อและแปรเปลี่ยนไปเป็นของเหลวสีดำ
ฟาววววววว
จิ๊
หัวหน้าสาวคลิกลิ้น รับเคียวในมือของหนึ่งในภาพลวงตา เสียงดาบกระทบกันมากมายดังขึ้นภายในปราสาทส่วนกลาง แคลเรตหยิบลูกธนูอาบเมือกคางคกขึ้นมาอีกลูก เหนี่ยวรั้งสายธนูเล็งเป้าหมายคนต่อไป
เมือกคางคกพิษเป็นหนึ่งในไอเทมที่พวกตัวละครหลักเคยใช้มันเพื่อกำจัดสัตว์ประหลาด มันมีพิษร้ายแรงที่สามารถฆ่าคนได้ง่าย ๆ ภายในสิบนาที แต่เมื่อมันเป็นเมือกของคางคกที่โตเต็มวัย มันจะมีคุณสมบัติในการกัดกร่อนที่แม้แต่ชุดเกราะหรือสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ก็สามารถเป็นแผลและตายได้เพียงไม่กี่วิเท่านั้น
ดึ๋ง!
สายรั้งธนูถูกปล่อยอีกครั้ง ศรธนูพุ่งใส่ปราสาทส่วนกลางเป็นเส้นตรง นำทางสายใยสีขาวที่มัดติดเอาไว้ให้ขึงตรึง
ฉึก!
อ๊ากกกกก
เสียงร้องของมือลอบสังหารดังลั่นพร้อมกับหมดสติลงไปกับพื้นทุกครั้งที่ลูกธนูถูกปักใส่ร่าง
"มีคนกำลังลอบโจมตีพวกเราอยู่ครับ!"
"ระบุจำนวนได้ไหม?"
"ไม่ครับ ข้ามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากภาพลวงตา อ๊ากกก"
ร่างของคนที่กำลังรายงานล้มลงไปกับพื้นทั้งที่ยังไม่ถูกภาพลวงตาโจมตี หัวหน้าสาวรีบถีบภาพลวงตาออก พลันวิ่งไปยังจุดเกิดเหตุฟาดฟันดาบลงในอากาศบริเวณนั้น
เคร้ง!
ดาบในมือกระแทกเข้ากับบางอย่าง เหวี่ยงสะบัดออกไปจนหลุดมือ ขณะหมอกหนาสีดำตรงหน้าเริ่มเขาลงหนึ่งระดับพอให้สามารถมองเห็นทัศนวิสัย
ทว่าด้านหน้าระเบียงทางเดินกลับเต็มไปด้วยด้ายสีขาวมากมายที่ขึงตรึงเอาไว้กรีดขวางทางเดินจำนวนมาก ชโลมด้วยของเหลวบางอย่างที่ดูน่าขยะแขยงสีเขียวส่งกลิ่นฉุนจนรู้สึกแสบร้อน
'เมือกคางคกพิษ'
เธอยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูกหันไปออกคำสั่งกับลูกน้อยที่ยังเหลืออยู่ ขืนไปทางนี้ต่อก็รังแต่จะตายเปล่าๆ หนำซ้ำด้ายนี่ก็แข็งเกินกว่าจะตัดมันขาด
"เราจะอ้อมไปอีกทาง"
"ท ทางถูกปิดกั้นไว้แล้วครับ!"
แม้แต่ทางที่เพิ่งวิ่งผ่านมาก็เต็มไปด้วยเส้นใยสีขาวที่ชโลมไปด้วยเมือกคางคกพิษไม่ต่างกัน หัวหน้าสาวมองไปตามเส้นสายสีขาวที่ถูกทอดยาวไปยังตัวอาคารเล็กๆ ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งที่คุ้นเคย
"แคลเรต เอ แครอล"
หัวหน้าสาวกัดฟันกรอด เขาคือผู้ชายน่ารำคาญที่เธอไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกันที่นี่
"เจ้าควรจะเรียกข้าว่านายน้อยสิ โรซี่"
แคลเรตเอ่ยขณะเหนี่ยวรั้งสายธนู เธอรีบยกมือขึ้นสูงร่ายวงเวทใหม่ให้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหมายปลิดชีวิตผู้เคยเป็นนาย
"ตัดสินใจได้ดีนี่"
ดึ๋ง!
แคลเรตปล่อยลูกธนูยิ่งเข้าใส่ปราสาทแครอล
เคร้ง!
ทว่าเขาดันยิงไม่โดนโรซี่เลยแม้แต่น้อย กลับกันมันตกลงพื้นไปนอนแน่นิ่งเมื่อไม่สามารถปักพื้นปูนแข็ง ๆ ได้
"..."
โรซี่มองมันด้วยสายตาที่ยากจะอธิบายก่อนจะหัวเราะหยัน
"เฮอะ! เล็งไปที่ไหนของเจ้า"
แคลเรตไม่ตอบอะไร เขาทำเพียงยิ้มให้ขณะหยิบลูกธนูขึ้นมาใหม่
'อะไร?'
โรซี่พบว่ามันแปลกที่แคลเรตดูมีความมั่นใจผิดปกติ รีบหันหน้ามองธนูที่ไม่มีพิษภัยในตอนแรก
'ไอ้บ้าเอ๊ย!!'
มีเพชรสีแดงสดถูกผูกติดไว้กับคันธนู แม้แต่บนพื้นก็พบว่าเต็มไปด้วยน้ำมันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ทันใดนั้นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกท่วมเพชรสีแดง ไฟลุกลามทั่วพื้นที่อีกครั้ง
"ออกไปทางหน้าต่าง!"
โรซี่ออกคำสั่ง
ทันใดนั้น ศรธนูได้วิ่งผ่านใบหน้าของเธอ พุ่งชนใส่แจกันที่อยู่ด้านหลังจนแตกกระจาย
เพล้ง!
ของเหลวสีเขียวที่ถูกบรรจุด้านในแตกออกเช่นกัน มันเป็นของเหลวสีเขียวน่าขยะแขยงที่เธอรู้จักดี พวกมันแตกกระจายร่วงหล่นใส่พื้นที่เต็มไปด้วยไฟ ก่อนที่จะ...
บึ้มมมมมมมมม!!!!
เกิดการระเบิดขึ้นครั้งใหญ่กลางปราสาทแครอล เศษซากกำแพงกระเด็นกระดอนไปอย่างไร้ทิศทางขณะที่ตัวปราสาทถูกพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว ฝังกลบร่างของมือสังหารที่เหลืออยู่
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ...
เสียงแจ้งเตือนจำนวนมากดังขึ้นในหัวของเขาอีกครั้งจนน่ารำคาญ แคลเรตหยิบลูกธนูที่ถูกป้ายเมือกคางคกพิษขึ้นมาใหม่ ตั้งท้ายเหนี่ยวสายธนูอีกครั้งก่อนจะยิ่งเข้าใส่มือสังหารที่กระโดดออกจากปราสาทเมื่อครู่ทัน
ฉึก!
ติ๊ง!
[ จำนวนปัจจุบัน 12 คน ]
ฮัดชิ้ว!
'หนาวชะมัด'
แคลเรตมองตัวเลขในหน้าต่างระบบ เดินลงจากอาคารที่ตัวเองอยู่กลับเข้าไปยังปราสาท หยิบใยแมงมุมสองหัวที่ได้มาจากแมดด็อกซ์ขึงตรึงไว้ตามทางเดินป้องกันเผื่อจะมีใครมาเพิ่ม ตัดมันด้วยดาบที่ยึดมาได้จากโดมินิคตามด้วยเทเลือดของเสือเคี้ยวดาบทับลงไปอีกที จากใยแมงมุมที่ดูธรรมดาก็แข็งตัวจนเงางามเหมือนใบมีดที่แข็งและคม มากพอที่ปาดเนื้อคนได้ง่าย ๆ หากโดนมัน
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากอีกครั้ง ขณะหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ามิติ
มันคือต้นไม้มายาอีกต้นที่ถูกบรรจุอยู่ในโหลแก้วสวยงาม ด้านในเต็มไปด้วยควันสีดำสนิทจนยากที่จะเห็นลักษณะที่แน่นอนของมัน เขาวางมันลงในมุมอับก่อนจะเปิดฝาครอบออก ควันสีดำน่าสยดสยองก็ลอยฟุ้งในอากาศปกคลุมระเบียงทางเดินใหม่อีกครั้ง
'เท่านี้ก็น่าจะพอ'
แคลเรตเดินออกจากที่นั่นในทันทีที่ทำเสร็จ ลอบสังเกตปีกตะวันออกและทางใต้ที่เคยเกิดการปะทะกันในตอนแรก ตอนนี้ได้เบาลงจนแทบไม่มีเสียงการต่อสู้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีเสียงปะทะกันอยู่
'ดูเหมือนต้องไปดูเด็ก ๆ แล้วสิ'
...
แคลเรตรู้สึกปวดหัวขึ้นมาตุบ ๆ หัวคิ้วกระตุกอย่างไร้เหตุผลเมื่อพบภาพตรงหน้า
'ทำไมหมอนี่ถึงอยู่ในสภาพนี้กันล่ะ?'
เขามองแมดด็อกซ์ที่อยู่ในชุดของสาวใช้อย่างไร้อารมณ์ แน่นอนว่าการมีบุตรหลานขุนนางคนอื่นแทรกแซงเข้ามาในอีกตระกูลหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะให้อภัย แต่...ทำไมต้องเป็นสาวใช้ด้วย?
"..."
พวกเขาเผลอสบตากัน แมดด็อกซ์จึงยิ้มสดใส
"! ลอร์ดแคลเรตปลอดภัยดีใช่ไหมครับ?"
แคลเรตไม่ตอบอะไร เขาเดินเลี่ยงไปยังอีกทางทำทีมองไม่เห็นอีกฝ่ายกำลังโบกมือทักทายให้เขา แอลรีสได้แต่มองแมดด็อกซ์ด้วยสายตาเวทนาก่อนจะถูกแคลเรตเดินมาเช็ดคราบเลือดบนแก้มของเขาออก
'ไอ้พวกบ้านี่คงไม่ได้ฆ่าคนต่อหน้าเด็กหรอกใช่ไหม?'
แคลเรตขมวดคิ้วมุ่น บางทีเขาควรจะพาแอลรีสไปอยู่กับแม่มดมาริเนดหรือกำชับให้พวกทหารรับจ้างทำมันอย่างอ่อนโยนกว่านี้เพื่อไม่ให้แอลรีสมีปมฝังใจในอนาคต
"ผมเช็ดเองได้ครับ"
"งั้นเหรอ"
แคลเรตส่งผ้าเช็ดหน้าในมือให้แอลรีสขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าอีกผืนออกมาให้เรนเดลที่อยู่ใกล้ๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมแคลเรตถึงได้มีผ้าเช็ดหน้ามากมายราวกับแค็ตตาล็อกขนาดนี้ แต่รู้เพียงว่ามันมีมากถึงขนาดที่ต้องมีตู้สำหรับใส่ผ้าเช็ดหน้าแยกโดยเฉพาะและใหญ่มากพอที่จะใส่คนได้ทั้งตัวในนั้นอยู่ในห้องของเขา
"...ขอบคุณครับ"
เรนเดลเอ่ยขอบคุณแต่ยังคงไม่รับผ้าเช็ดหน้า แคลเรตมองมือของเรนเดลที่ยังคงเกาะกุมข้อมือตนอยู่
"ทายาหรือยัง?"
"ยังเลยครับ ผมรู้สึกเจ็บไปหมดเหมือนจะขยับไม่ได้ไปสักอาทิตย์หนึ่ง"
เรนเดลเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แสดงท่าทีเหมือนคนร้องไห้ขณะปาดคราบน้ำตาที่เอ่อออกมาเป็นภาพที่เหมือนหนุ่มรูปงามที่แสนเปราะบาง ทำเอาโลแกนที่อยู่ใกล้ ๆ มองเรนเดลด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
'สำออยน่ะสิไม่ว่า'
เรนเดลในเนื้อเรื่องของเกม เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมากพอที่จะกำจัดกับมือสังหารได้เป็นจำนวนมากด้วยตัวคนเดียว ทว่าเพราะมีความต่างด้านตัวเลขที่มากเกินไปและช่วยให้แอลรีสมีชีวิตรอด ในสถานการณ์คับขันเรนเดลจึงได้ตายไปอย่างน่าเสียดาย และแน่นอนว่าตอนนี้เองก็ต่างออกไปจากในเนื้อเรื่องของเกมอยู่มากจึงแทบจะเชื่อคำพูดไม่ลง
เฮ้อ
แคลเรตถอนหายใจ ยื่นมือออกไปด้านหน้าเอ่ย
"ส่งมือมาสิ"
เมื่อคำพูดที่ไม่ต่างจากออกคำสั่งของแคลเรตดังขึ้น มือหนาทั้งสองข้างของเรนเดลก็วางลงโดยทันที รอยยิ้มหวานหยดที่ดูน่าขนลุกกลับมาประดับบนใบหน้าสวยของเจ้าตัวอีกครั้ง
แคลเรตรู้สึกได้ถึงแรงบีบจากมือของเรนเดล
"พี่แคลเรตไปทำอะไรที่ไหนมาเหรอครับ?"
'เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์'
แคลเรตพบว่าเรนเดลนั้นอันตรายมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ในอาณาจักรคาร์เธีย บุคคลที่มีเชื้อสายของขุนนางจากในยุคแรก ๆ ที่ก่อตั้งอาณาจักร พวกเขาจะได้รับพลังพิเศษบางอย่างติดตัวตั้งแต่เกิด
มันไม่ใช่เวทมนตร์ที่ขับเคลื่อนด้วยมานา แต่เป็นบางสิ่งที่ขับเคลื่อนด้วยเงื่อนไขบางอย่างตามแต่ละคนที่แตกต่างออกไป ซึ่งคนของตระกูลแครอลเองก็มีชื่อเสียงด้านพลังพิเศษที่เกี่ยวข้องกับความนึกคิดของผู้คน แต่ในบรรดาความรู้ที่เขามี แคลเรตรู้เพียงความสามารถของพวกตัวละครหลัก ๆ เท่านั้นและไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถของเรนเดลเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น มันคงจะยากเกินไปที่จะปิดบังพวกเขา
"ก็แค่จัดการกับบาเรียใหม่และติดกับดักรอบ ๆ ปราสาทกลาง"
"หื้ม? แต่พี่แคลเรตเสกน้ำได้ถ้วยน้ำชาใบเล็ก ๆ ก็เหนื่อยแล้วไม่ใช่หรือครับ?"
แคลเรตไม่ตอบอะไร แต่จดข้อมูลใหม่ที่เกี่ยวกับแคลเรตคนก่อนไว้ในจิตใจขณะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาพันข้อมือให้เรนเดล
"ขยับให้น้อยเท่าที่จะทำได้ล่ะ"
"จะพยายามครับ"
แคลเรตพยักหน้าเมื่อได้คำตอบ เรนเดลเลิกคิ้วสูงเมื่อพบว่าแคลเรตมีท่าทีสงบเสงี่ยมผิดปกติ แม้การแสดงออกจะเหมือนที่ผ่านมาแต่ก็มีบางจุดที่ดูต่างออกไป
"ช่วงนี้ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าครับ?"
"ไม่นิ มีอะไรผิดปกติ?"
เรนเดลทาบมือลงบนหน้าผากแคลเรตที่เริ่มอุ่น ๆ ต่างจากมือที่เย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง ใบหน้าของเขามีสีแดงเรื่อขึ้นในหนึ่งระดับเมื่อเทียบกับเวลาปกติ
"ถ้าเสร็จตรงนี้แล้วจะให้คนเอายาไปให้นะครับ"
แคลเรตลองทาบหน้าผากของเขาดูแล้วพบว่ามันอุ่น ๆ ขึ้นเล็กน้อย บางทีคงเพราะเขาเพิ่งโดนน้ำแล้วออกไปอยู่นอกอาคารเป็นเวลานานหลังจากนั้น
"ขอบใจ"
เขากล่าวขณะลอบสำรวจคนงานที่ยังคงเหลืออยู่ มีคนงานบางส่วนสามถึงสี่คน ทหารรับจ้าง อัศวินหน่วยที่สามรวมไปถึงโลแกนที่ยังคงอยู่ แต่กลับไม่มีวี่แววของอัลมอนด์ที่ควรอยู่ที่นี่
"แล้วอัล-"
ติ๊ง! ติ๊ง!
[ ได้รับค่าความสนใจจาก 'อัลมอนด์' ]
[ จำนวนปัจจุบัน 5 คน ]
แคลเรตเงียบลงเมื่อพบชื่อของคนที่กำลังนึกถึง
'ตายยากจริง'
เขาคิดว่าอัลมอนด์อาจจะถูกไรรีย์จัดการไปแล้วหรือไม่ก็เกิดการต่อสู้กันจนหนีออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่คิด ถึงจะสงสัยว่าทำไมค่าความสนใจถึงได้เพิ่มขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็เถอะ แต่คงไม่มีอะไรเลวร้ายมากไปกว่านี้แล้วหากเจ้าตัวยังไม่ตัดสินใจชี้ดาบเข้าใส่พวกเขา
"แล้วไรรีย์ล่ะ?"
"มีอะไรให้รับใช้หรือคะนายน้อย"
"!!!"
แคลเรตสะดุ้งเฮือก เมื่อไรรีย์โผล่มาด้านหลัง ร่างกายของเธอเต็มไปด้วยเลือดไปจนถึงบนหัว หางคิ้วของเขาถึงกับกระตุก แต่เดิมแค่เสียงพูดโทนเดียวนั่นก็ทำให้เขากลัวอยู่ทุกวันนี้แล้ว ยังจะโผล่มาในสภาพนี้อีก
เขาลูบหน้าตน ส่งผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ไปให้เธอ
"ก่อนอื่นเลย ช่วยทำอะไรกับคราบเลือดพวกนั้นที"
"ค่ะ"
ไรรีย์รับผ้าเช็ดหน้าไว้ แคลเรตจึงหันไปถามโลแกน
"ทำไมอัลมอนด์ถึงไม่อยู่ด้วยล่ะ?"
"ผมส่งเขาไปคุ้มครองพี่แคลเรต คงจะคาดกันระหว่างทางสินะครับ"
เป็นเรนเดลที่ตอบแทน แคลเรตพยักหน้า จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมที่แห้งแล้วส่งไปให้ไรรีย์ ที่ดูเหมือนผ้าเช็ดหน้าจะไม่พอ
"ใช้อันนี้เช็ดแทน"
...
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งวิ่งไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว ดัชเชสเอวาลอบมองปราสาทส่วนกลางที่ถูกพังลงมาไม่เป็นท่า พวกมันยังคงถูกปกคลุมไปดำควันสีดำขมุกขมัวชวนพิศวงอยู่ตลอดเวลา
"ใครเป็นคนทำกัน"
"ตามรายงานบอกว่าน่าจะเป็นฝีมือของนายน้อยแคลเรตครับ"
โอลิเวอร์เป็นคนรายงานให้เธอ หลังจากต่อสู้กับกลุ่มปริศนาเขาก็แทบไม่มีเวลาที่จะเปิดเผยตัวตนของตนได้ หนำซ้ำดัชเชสยังมีฝีมือที่ร้ายกาจเกินกว่าจะทำอะไรโดยไม่คิดชีวิตเช่นกัน
อย่างน้อย ก็ต้องเช็กให้แน่ใจว่านายน้อยทั้งสองของตระกูลแครอลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
แค่กๆๆ
"เดริค คุณไปพักผ่อนก่อนดีไหมคะ?"
ดัชเชสเอวาประคองดยุคเดริคที่เริ่มหอบเหนื่อยเต็มทีหลังจากไม่ได้ออกแรงมาสักพัก เดริคยกมือขึ้นปฏิเสธ พวกเขารีบมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตกที่สั่งให้อัศวินหน่วยที่สามพาพวกเด็ก ๆ ไปที่นั่นเพื่อความปลอดภัย
ตึก ตึก
สองสามีภรรยาชะลอฝีเท้าและหยุดลงเมื่อมาถึงหน้าทางเข้าโถงใต้ดิน สาวใช้และคนงานบางส่วนต่างนั่งสะอื้นไห้อยู่กับพื้นด้วยสภาพสะบักสะบอม เป็นภาพที่ชวนจิตตกเมื่อพบว่าพวกเธอนั้นล้วนเป็นสาวใช้ประจำตัวของเรนเดล แอลรีสหรือแม้แต่ไรรีย์ที่แคลเรตสนิทด้วย
"น นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"
ดวงตาสีมรกตของผู้นำตระกูลสั่นวูบไหว เมื่อพบว่าลูกชายของเขาไม่อยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว
"น นายน้อยเขา... อึก! ฮือออ"
สาวใช้คนหนึ่งกำลังพูดบางอย่างแต่ก็ปล่อยโฮออกมาอีกครั้งโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ เดริครู้สึกหัวใจของเขาตกวูบไปอยู่ตาตุ่ม ร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มทีรู้สึกไม่มีแรงขึ้นมากะทันหัน
"เดริค!"
ดัชเชสเอวารีบคว้าไหล่ดยุกเดริคไว้ เขาลูบหน้าตนก่อนจะตวัดสายตาไปคาดโทษใส่โลแกน โลแกนสะดุ้งเฮือก ไม่กล้าพูดอะไรได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาที่น่ากลัวนั้น
ดยุกเดริคจึงหันไปมองไรรีย์ที่กำลังนั่งอยู่ในหมู่สาวใช้ เธอเป็นเพียงสาวใช้คนเดียวที่แคลเรตเรียกใช้เป็นประจำ เธอนั่งกอดเสื้อคลุมสุดหรูหราของผู้ชายที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและขาดวิ่นไม่เป็นทรง ไรรีย์ที่เขารู้จักนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้ามากนัก ทว่าตอนนี้เธอกลับเต็มไปด้วยความสับสน สิ่งนั้นเป็นเครื่องยืนยันที่มากพอสำหรับทุกอย่าง
'แค่นั่งกอดมันไว้แล้วไม่ต้องพูดอะไร'
แคลเรตบอกเธอไว้แบบนั้นหลังทำลายเสื้อคลุมของตัวเองแล้วเดินจากไป
'เขาอยากให้ฉันทำอะไรกันแน่'
ไรรีย์ไม่เข้าใจสิ่งที่แคลเรตต้องการ ได้แต่นั่งทำตามไปด้วยความสงสัย
'ว้าว เธอแสดงได้ดีทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ'
แคลเรตที่กำลังเฝ้ามองจากระยะไกลพบว่าไรรีย์นั้นเป็นนักแสดงที่ดีได้ทีเดียวแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยก็ตามที โดยปกติ เมื่อบุคคลที่ไม่ค่อยพูดหรือแสดงออกมากนัก เมื่อถึงคราวแสดงออกพวกเขาจะสามารถชักจูงผู้คนให้คล้อยตามได้อย่างง่ายได้
ถึงจะรู้สึกผิดกับดยุกเดริคอยู่บ้างแต่สิ่งนี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะดึงโอลิเวอร์ออกมาจากเงาของต้นไม้
หากสามพ่อลูกตระกูลแครอลที่เป็นเป้าหมายยังอยู่ในสภาพดีพร้อมทั้งที่มือลอบสังหารถูกจัดการไปจำนวนมากนั้นโอลิเวอร์จะต้องเลือกเป็นตัวตุ่นในตระกูลต่อไปเหมือนในเกมอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกัน หากเป้าหมายเหลือเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งอ่อนแอและเหนื่อยล้าเต็มที่อย่างดยุกเดริคในตอนนี้ล่ะ?
แน่นอนว่าดยุกในตอนนี้ก็แทบไม่ต่างจากอาหารรสเลิศที่เสิร์ฟมาให้ถึงหน้าหรอกเหรอ?
'เอาล่ะ รีบเปิดเผยตัวเข้าสิ'
ไม่ว่าจะโอลิเวอร์ โลแกนหรือใครก็ตามที่กำลังรอจังหวะนี้อยู่น่ะ
"ให้พวกเขาโกหกว่าพวกเราตายแบบนี้จะดีเหรอครับ?"
แคลเรตชะงักกึก มองหน้าแอลรีสที่ยังคงใบหน้างดงามเหมือนคุณชายตระกูลผู้ดี
"มันไม่ถือเป็นการโกหกหรอก ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้พูดมันออกมา"
ใช่ ตราบใดที่ไม่ได้พูดออกมาก็ถือว่าไม่ใช่การโกหก พวกเขาก็เพียงแค่ร้องไห้ออกมาตามที่เขาสั่งก็เท่านั้น
ติ๊ง!
[ จำนวนปัจจุบัน 4 คน ]
แคลเรตถลึงตาเมื่อหน้าต่างระบบที่อยู่ ๆ ก็เด้งขึ้นมาตรงหน้า เขาไม่ได้มองมัน แต่เป็นเงาของใครบางคนที่อยู่ด้านหลังหน้าต่างระบบนั้น
'เวรแล้วไง'
มันคืออัลมอนด์ที่กำลังเดินลากคอของอัศวินนายหนึ่งมาด้านหลังดยุกเดริค แคลเรตรู้สึกวูบวาบเสียงสันหลังขึ้นมาแปลก ๆ เมื่อพบว่าอัศวินในมือของอัลมอนด์นั้นเป็นหัวหน้าหน่วยอัศวินที่สองของตระกูลแครอล ชายที่เก่งเป็นอันดับสามของอาณาจักรคาร์เธีย
ติ๊ง!
ติ๊ง! ติ๊ง!
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!....
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในหัวของเขา ตอนนั้นเองที่กริชสั้นเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่ดยุกเดริคที่สติหลุดไปไกล ดวงตาสีเพลิงของดัชเชสเบิกกว้าง ไรรีย์กับโลแกนรีบคว้าดาบข้างตัว ถีบตัวส่งไปยังคนร้าย ทว่ามีคนที่เร็วกว่าพวกเขา
พลั่ก!
โครมมมมมมมมมม!!!!
ร้ายของคนร้ายกระเด็นออกไปไกล กระแทกกำแพงจนแตกร้าวเหมือนหนังไซไฟที่เคยดู แคลเรตถึงกับร้องโอ๊ะ! ออกมาด้วยความประหลาดใจ
อัลมอนด์เป็นคนเตะโอลิเวอร์ออกไปด้วยตัวเอง หนำซ้ำยังเร็วยิ่งกว่าไรรีย์ที่เป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดทั้งที่เจ้าตัวอยู่ห่างออกไปไกลมาก
แคลเรตสางผมของตนที่ชุ่มเหงื่อ ผลักบานประตูตรงหน้าออกไป
"เสร็จแล้ว"
แอลรีส เรนเดลและทหารรับจ้างบางส่วนเดินออกจากห้องไป แคลเรตจึงปิดประตูไล่หลัง ยกยิ้มทักทายให้ดยุกเดริคเงียบๆ และปล่อยให้สามพ่อลูกคุยกันอีกเล็กน้อย
"นายน้อยไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?!!"
อัลมอนด์รีบบึ่งมาหาเขาทันที สองมือป้องอยู่ในอากาศสำรวจร่างกายแคลเรตตั้งแต่หัวจรดเท้า ท่าทางดูเป็นมิตรจนน่าตกใจ
"แน่นอน ข้าสบายดี"
แคลเรตยิ้มขณะดันแขนของอัลมอนด์ออก ตราบใดที่นายไม่ชี้ดาบใส่ฉันทุกอย่างก็โคเอหมดนั่นแหละ
แหมะ!
"..."
อัลมอนด์ชะงัก เมื่อแคลเรตเลือดกำเดาไหลออกมาจำนวนมากต่อหน้าเขา แคลเรตรีบยกแขนเสื้อขึ้นปาดมันออก
'เหมือนเมื่อกี้จะตื่นเต้นไปหน่อยแฮะ'
"ทำอะไรไม่สมกับเป็นเธอเอาเสียเลยนะ"
"!!!"
แคลเรตสะดุ้งเฮือก กุมอกตกใจเหมือนหัวใจจะไปอยู่ตาตุ่มเมื่อดัชเชสเดินเข้ามาด้านหลัง
'ทำไมคนที่นี่ชอบเข้ามาด้านหลังตลอดเลยเนี่ย'
นับว่าโชคดีที่เขาตอนนี้ยังเป็นวัยรุ่น ขืนถ้าเป็นคนแก่ขึ้นมาได้หัวใจวายตายกันพอดี แคลเรตหันกลับไปมองแผ่นหลังของดัชเชสเอวาที่เดินมาทิ้งระเบิดแล้วจากไปดื้อๆ ดูเหมือนการจัดดัชเชสเอวาเข้าไปในลิสต์รายชื่อบอกบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ
เขาไม่รู้ว่าแคลเรตคนก่อนมีนิสัยอย่างไรแน่ชัด ทว่าในระหว่างการปรับตัว การออกห่างจากคนเป็นแม่ที่น่าจะสนิทสนมมากที่สุดเองก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ
"ผู้ช่วยชาร์ล"
แคลเรตหันไปหาผู้ช่วยชาร์ล มือขวาของดยุคเดริคที่มักเป็นสนามอารมณ์และคนที่ต้องจัดการงานในตระกูลแครอลส่วนใหญ่ในตอนนี้
"มีอะไรหรือครับนายน้อย?"
"ข้าพาคนคนหนึ่งมาด้วย ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ในห้องเก็บศิลาเวท ช่วยดูแลเธอแล้วส่งกลับให้ที แล้วก็...."
พวกเขาคุยกันอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีเอากับดักที่เขาทำไว้ออก จากนั้นผู้ช่วยชาร์ลจึงเดินออกไป พร้อมสั่งให้อัศวินที่เหลือจับกุมโอลิเวอร์ไว้เพื่อสอบปากคำ แคลเรตหันไปรับเสื้อคลุมตัวใหม่จากคนรับใช้ขณะพูดกับคนข้างๆ
"รู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง?"
"แน่นอนครับ ข้อมูลของลูกค้าถือเป็นความลับทางธุรกิจเสมอ"
แมดด็อกซ์ยิ้มตอบขณะมองปราสาทแครอลบางส่วนที่พังทลายลง กิลด์ลูก้าถึงเป็นกิลด์ค้าข้อมูลอันดับต้นๆ ของอาณาจักร ดังนั้นเราจึงยึดถือเสมอว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลของลูกค้าตราบใดที่เงินไม่มากพอ
แคลเรตได้แต่ยิ้มแห้งเมื่อเห็นรอยยิ้มการค้าของแมดด็อกซ์ที่มักจะโผล่ออกมาเวลาเจ้าตัวกำลังเจรจากับใครสักคนในเนื้อเรื่องของเกม
'เจ้าเด็กนี่มัน...'
...
ตุบ!
แคลเรตทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีที่ถึงห้องรับแขก เนื่องจากห้องของเขาถูกไฟไหม้เละเกินกว่าจะใช้งานได้ จึงต้องมาใช้ห้องรับแขกที่อยู่อีกฝั่งแทนอย่างช่วยไม่ได้
'นี่แหละสวรรค์'
การได้เจอหมอนและเตียงนิ่ม ๆ หลังจากทำงานอย่างหนักนี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุด พวกมือลอบสังหารที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกทหารไป ส่วนอัลมอนด์นั้น...ช่างมันเถอะ
ตอนนี้ร่างกายเขาต้องการพักผ่อน ไว้ค่อยไปคิดถึงมันใหม่ที่หลังก็ยังไม่สาย คิดได้เช่นนั้นเขาก็หลับตาลงปล่อยกายปล่อยใจเพื่อเข้าสู่นิทรา
"รีบเปลี่ยนชุดก่อนที่จะเป็นหวัดเถอะครับนายน้อย"
อึ่ก!
แคลเรตรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัวเมื่อได้ยินเสียงอัลมอนด์ดังขึ้นด้านหลัง เขารีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแต่โดยดี มองหน้าอัลมอนด์ด้วยสายตาที่ยากจะอธิบาย
'บ้าจริง ทำไมต้องเป็นหมอนี่ด้วย'
เขาต้องการพื้นที่ส่วนตัวให้ได้พักผ่อนสมองและร่างกาย แต่ทำไมหมอนี่ต้องมาอยู่ที่นี่ตอนนี้?
"ใคร–"
ใครสั่งให้เจ้าเข้ามา...แคลเรตต้องการพูดมันออกมาแต่ก็ต้องกลืนมันลงคอไปอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอัลมอนด์กำลังทำหน้าที่ของพ่อบ้านส่วนตัว และใช่ คนที่สั่งให้เจ้าตัวมาเป็นพ่อบ้านส่วนตัวก็คือเขาเอง
แคลเรตรู้สึกอึดอัดกับข้อเท็จจริงบางอย่าง กัดปากตัวเองจนเลือดแทบซิบ
"เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ที่เหลือจะจัดการเอง"
"ถ้าอย่างนั้นราตรีสวัสดิ์ครับนายน้อย"
อัลมอนด์โค้งคำนับให้ก่อนจะเดินออกจากห้อง แคลเรตจึงเอ่ยก่อนที่ประตูจะปิดลง
"ข้าจะรับผิดชอบคนที่เจ้าฆ่าไปเอง"
ดวงตาสีเทอร์ควอยซ์สั่นวูบไหว แคลเรตยิ้มขณะพูดต่อ
"เพราะงั้นหลับให้เต็มที่ล่ะ ราตรีสวัสดิ์อัลมอนด์"
กึก!
ติ๊ง!
เสียงประตูปิดลงอย่างแผ่วเบาเป็นจังหวะที่เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
ในสิ่งสำคัญที่เป็นดั่งกฎของอำนาจ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่ามักจะผลักภาระของตนไปที่ทหารผู้รับใช้เพื่อลดความหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าให้ลดน้อยลง และในขณะเดียวกันทหารผู้รับใช้ก็จะผลักความผิดที่ตนทำไปที่เจ้านาย
หากเปรียบสิ่งนี้กับโลกแฟนตาซียุคกลางก็ไม่ต่างจากขุนนางและทหารระดับล่าง เมื่อพวกเขาสั่งฆ่าใครสักคน ขุนนางจะมองว่าสิ่งนั้นตนไม่ได้ทำ ในขณะเดียวกันทหารระดับล่างเองก็จะกล่าวว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขุนนางสั่งและผลักความรู้สึกผิดไปที่เบื้องบน
แต่ในทางกลับกัน หากมีใครสักคนยอมรับมันด้วยความเต็มใจ แม้ความรู้สึกผิดบาปของอีกฝ่ายจะไม่ลดลงแต่มันก็สามารถทำให้มีภาพพจน์ที่ดี
ยิ่งเขามีภาพพจน์ที่เป็นคนดีในสายตาอัลมอนด์มากเท่าไหร่ อัตราความสำเร็จก็จะเพิ่มมากขึ้น
นั่นเป็นสิ่งที่เขาสรุปได้หลังจากสังเกตมาสักพัก
'หมอนั่นเป็นเด็กไร้เดียงสาหรือไงกันนะ'
ไม่ว่าจะมองยังไงสิ่งนี้ก็ยังแปลกอยู่ดี บางทีนั่นอาจจะเป็นความสับสนแต่ก็มากพอที่จะลองใช้มันเพื่อปกป้องตัวเขาและครอบครัวใหม่ของเขาที่นี่
แคลเรตยกมือขึ้นเปิดหน้าต่างระบบที่ไม่ได้เช็ดมาสักพักขณะเดินไปหยิบชุดที่อัลมอนด์เตรียมไว้ให้
พรึ่บ!
แคลเรตแทบสำลักน้ำลายเมื่อพบว่ามันมีจำนวนมากจนอ่านแทบไม่หมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าความสนใจจากคนคนหนึ่ง
[ได้รับค่าความสนใจจาก 'อัลมอนด์' ]
[ได้รับค่าความสนใจจาก 'อัลมอนด์' ]
[ได้รับค่าความสนใจจาก 'อัลมอนด์' ]
...
[ได้รับค่าความสนใจจาก 'อัลมอนด์' ]
[ เนื่องจากได้รับค่าความสนใจมากขึ้นในระดับหนึ่ง ได้รับสถานะ 'เพิ่มค่าความสัมพันธ์' จากอัลมอนด์ ]
[ เนื่องจากได้รับสถานะ'เพิ่มค่าความสัมพันธ์'เป็นครั้งแรก ปลดล็อกสกิลพิเศษ 'เส้นด้ายแห่งโชคชะตา' ]
[ เนื่องจาก 'อัลมอนด์' อยู่ในสถานะ 'เพิ่มค่าความสัมพันธ์' ตรงตามเงื่อนไข ]
[ 'อัลมอนด์' จะถูกเพิ่มลงในรายชื่อสกิล 'เส้นด้ายแห่งโชคชะตา' ]
[ ได้รับค่าความสัมพันธ์จาก 'อัลมอนด์' เพิ่มขึ้น! ]
"...อืมม"
แคลเรตไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกยังไงเมื่อเห็นหน้าต่างระบบตรงหน้า แต่เดิมมันก็เป็นสิ่งที่เขาไม่คิดอะไรกับมันมากนักอยู่แล้วแต่ตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจ
สิ่งนั้นก็คือ 'สกิล'
สกิลแรกที่เขาได้นั้นถึงจะมีที่ชื่อน่าอายไปสักหน่อยแต่ก็ถือเป็นชื่อที่คุ้นเคย มันเป็นหนึ่งใน 'ระบบ' ของเกม TOL ที่ใช้สำหรับเล่นฆ่าเวลาหรือก็คือมินิเกม ที่ผู้เล่นสามารถระบุตำแหน่งของเหล่าตัวละครหลักและสามารถเทเลพอร์ตไปหาได้ทุกเมื่อเพื่อออกเดตและเล่นมินิเกมระหว่างทางเพื่อหวังเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับพวกตัวละครหลักได้
และหากถามว่าคุณจะเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับตัวละครเหล่านั้นไปเพื่ออะไร? เหตุผลนั้นก็มีแค่ปลดล็อกเนื้อเรื่องที่เป็นเชิงชู้สาวกับพวกตัวละครหลักนั้น ๆ ที่ NPC ไม่มีแล้วแต่งงานกับพวกเขาในภายหลังน่ะสิ
แคลเรตรู้สึกเหมือนจะวูบขึ้นมาให้ได้ เขาคว้าเสาเตียงใกล้ ๆ เป็นหลักคำ ถึงแม้จะเป็นสกิลที่ดีที่เขาสามารถเทเลพอร์ตไปไหนมาไหนได้โดยมีอัลมอนด์เป็นเหมือนที่ปักหมุดเคลื่อนที่ก็เถอะ แต่...
'หมอนั่นมันเด็กไร้เดียงสาจริง ๆ สินะ?'
เขาพยายามแทบตายเพื่อไม่ให้โดนเดธแฟลชปักหัวแต่ทำไมหมอนั่นถึงได้คิดไปทางนั้นได้ล่ะ?
'หรือว่าเพราะโลกนี้มันมีต้นฉบับเป็นนิยายรักโรแมนติก?'
บึ้มมมมมมม!!!
ตอนนั้นเองที่มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่อีกฟากของปราสาท เสียงเท้าของอัศวินด้านนอกดังขึ้นอย่างกระตือรือร้น แคลเรตกำลังจะเดินออกไปดูแต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าเมื่อมีเสียงแจ้งเตือน
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นเหมือนทุกครั้งที่มีบางอย่างผิดปกติ ทว่า ครั้งนี้เสียงของมันต่างออกไปจากเดิม หน้าต่างระบบที่เคยเป็นสีฟ้าโปร่งใสแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเลือดดูอัปมงคล
[ เควสระดับกลาง : กำจัดผู้ลอบสังหารที่แฝงตัวเข้ามาเป็นคนงานในปราสาทแครอล ]
[ จำนวนปัจจุบัน 3 คน ]
[ เควสล้มเหลว เนื่องจากมีคนหลบหนีไปได้ถึง 3 คน ]
[ ระบบจะเริ่มบทลงโทษในอีก... ]
[ 3 ]
"ห้ะ?"
แคลเรตอุทานขึ้นไม่ทันตั้งตัว ปกติในเกมมันไม่มีบทลงโทษไม่ใช่หรือไง? เพราะส่วนมากพอเควสล้มเหลวก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้ง
[ 2 ]
"เดี๋ยวสิวะ!"
แคลเรตยังไม่ทันเตรียมใจ เขาเอื้อมมือไปด้านหน้าก่อนที่จะ
[ 1 ]
แค่ก!!
สำลักเลือดออกมากองใหญ่ แคลเรตรู้สึกแสบคอไปหมดแต่ก็เวียนหัวเกินกว่าจะบ่นไหว ภาพตรงหน้าของเขาเริ่มเลือนราง ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งราวกับนี่ไม่ใช่ร่างกายของตน เขาทรุดตัวลงไปกับพื้นทั้งอย่างนั้น ก่อนที่สติจะหายไป
'เวรเอ๊ย ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่าบทลงโทษมันเสียสุขภาพแบบนี้'