เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"
แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก,transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.10 ต้องวางแผนกันใหม่ (1)
แคลเรตถูกขังอยู่ในห้องนั้นตลอดหนึ่งสัปดาห์เต็ม
เขาไม่สามารถออกไปได้ และไม่มีใครคิดที่จะช่วยเขาออกไป มีเพียงสาวใช้ที่มาส่งอาหารให้เขาเท่านั้นที่เดินเข้ามาในห้องแต่เธอก็ไม่ยอมปริปากอะไรเช่นกัน
ในตอนแรก เขาพบว่าสิ่งนี้แปลกมากจนกระทั่งได้ยินเสียงทหารด้านนอกพูดคุยเกี่ยวกับมัน
'เขากำลังถูกดัชเชสกักบริเวณ'
นั่นคือหนึ่งในข้ออ้างที่ดัชเชสเอวาใช้ เพื่อให้ทุกคนในปราสาทจับตาดูการเคลื่อนไหวและไม่ให้เขาออกไปไหนได้
ทว่า...
'นี่มันสวรรค์ชัดๆ'
เขาแทบไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากกินและนอนอยู่ในห้อง ไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงิน และไม่จำเป็นต้องทำอาหารเพื่อประทังชีวิต สิ่งที่เขาต้องทำก็แค่สั่นกระดิ่งเพียงหนึ่งครั้งแล้วออกคำสั่งเพียงสองสามคำ เหล่าข้ารับใช้ก็จะประเคนทุกอย่างมาให้เขาด้วยตัวเอง
เรียกได้ว่าบริการดียิ่งกว่าโรงแรมห้าดาวเสียด้วยซ้ำ
ใครจะไปคิดล่ะว่าการถูกกักบริเวณของพวกขุนนางมันจะสะดวกสบายได้ขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมแคลเรตคนก่อนถึงไม่ค่อยอยากออกจากห้องนัก เพราะไม่ว่าใครถ้าได้อยู่สุขสบายขนาดนี้ก็ไม่อยากออกไปเจอผู้คนให้ปวดหัวเล่นหรอก รวมถึงเขาด้วยเช่นกัน
พึ่บ
เขาพลิกหน้าหนังสือในมือ เลื่อนสายตากวาดตามตัวอักษรที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากใช้ชีวิตที่ดูไร้แก่นสารมากสักพัก เขาที่ไม่มีอะไรให้ทำเต็มทีจึงเลือกที่จะเอาหนังสือมาอ่านเล่น และหนังสือที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากหนังสือศาสตร์เวทเบื้องต้นที่ได้รับมาจากเควสเฮงซวยก่อนหน้า มันถูกเขียนด้วยภาษาที่ไม่รู้จักแต่เขาก็ยังสามารถอ่านมันได้อย่างคล่องแคล่ว นับว่าเป็นหนึ่งในความสามารถที่มีประโยชน์ที่สุดในโลกนี้
ในเนื้อเรื่องของเกม ภาษาที่มนุษย์กำลังใช้ในตอนนี้มีเพียงภาษาเดียว ส่วนนอกเหนือจากนั้นล้วนถูกระบุให้เป็นภาษาโบราณทั้งสิ้น เนื่องจากในอดีต มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอาณาเขตปกครองมากที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งสัตว์ประหลาดจำนวนมากที่ไม่รู้จักก็บุกเข้ามา กลืนกินอารยธรรมและอาณาเขตของพวกเขา ทุกวันนี้อารยธรรมและความรู้ของผู้คนที่นี่จึงเสื่อมถอยกว่าในอดีต ไม่ว่าจะภาษา ความเชื่อ หรือแม้แต่อาณาเขตของมนุษย์ที่ถูกเหลือน้อยเต็มที เรียกได้ว่ามนุษยชาติของโลกนี้กำลังถึงจุดล่มสลาย
พึ่บ
เขาพลิกหน้ากระดาษอีกครั้ง กลิ้งตัวไปกับที่นอนบิดร่างกายให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุดเมื่อรู้สึกปวดตามร่างกาย
โอ้
นอกจากเวทมนตร์พื้นฐานธรรมดาๆ แล้วหนังสือเล่มนี้ยังมีเวทเทเลพอร์ต หลอมโพชั่นและวิธีการสร้างอุปกรณ์สื่อสารแบบง่ายถูกเขียนไว้อย่างละเอียดให้ได้อ่าน แน่นอนว่ามันเป็นเพียงศาสตร์เวทธรรมดา ๆ ของจอมเวทสายมิติที่เชี่ยวชาญด้านการบิดเบือนเชิงพื้นที่และการโทรคมนาคมของโลกนี้ ทว่า ในตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถถอดภาษาโบราณได้อย่างถูกต้องเพื่อเรียนรู้มัน
แคลเรตพลิกตัวอีกครั้ง ดูเหมือนหนังสือนี่จะมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดไว้ ถึงสุดท้ายเขาจะยังคงไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างที่คิดไว้ก็เถอะ
ปัง!
โครมมมม!!
"!!!"
แคลเรตสะดุ้งโหยง เด้งตัวขึ้นจากเตียงทันทีที่ประตูห้องถูกถีบเข้ามาเต็มแรง บานประตูกระเด็นออกจากกรอบตกใส่ชั้นวางของล้มระเนระนาด
เพล้งง!!
แจกันราคาแพงตกแตกลงตกหน้า แคลเรตอ้าปากค้างมองมันก่อนจะตวัดสายตาเตรียมด่าคนทำ แต่คำด่ายังไม่ทันจะออกจากปากดีแคลเรตก็ต้องกลืนมันลงท้องไปในทันทีเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นไรรีย์ สาวใช้หน้าตายที่เป็นถึงปรมาจารย์ดาบคนหนึ่งของตระกูลแครอล
ดวงตาของเขาสั่นไหว ริมฝีปากอ้าๆ หุบๆ กำลังจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ต้องหยุดลง เขายกมือหนาขึ้นลูบใบหน้า บีบนวดหัวคิ้วที่เริ่มปวด
"เปิดประตูเข้ามาดี ๆ ไม่ได้รึไง"
แคลเรตพูดด้วยท่าทีที่นิ่งสงบไม่ใช้อารมณ์ที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะนอกจากอัลมอนด์และดัชเชสเอวาที่อันตรายแล้ว ก็มีไรรีย์นี่แหละที่น่ากลัวไม่แพ้กัน ขืนทำให้เธอเป็นปรปักษ์ไปอีกคน ชีวิตนี้เขาคงจบสิ้นของจริง
แค่นึกว่ามีปรมาจารย์ดาบสองคนกับฆาตกรอีกหนึ่งรายกำลังชี้ดาบมาทางเขา แคลเรตก็อยากกัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียให้ได้
ถ้าขืนรับมือกับพวกเขาทั้งหมด จุดจบของเขาก็คงมีแค่ทางเดียวเท่านั้น
"ขออภัยค่ะ"
ไรรีย์ลดเท้าที่ยกค้างกลางอากาศของเธอลง ก้มหน้าลงหยิบบานประตูขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างง่ายดายคล้ายว่ามันเบาเหมือนแผ่นโฟมโง่ ๆ หนึ่งแผ่น แคลเรตมองภาพนั้นด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย
เขาพยายามทำตัวให้ชินกับคนที่นี่แต่ดูเหมือนพวกเขาจะมีสเกลที่ใหญ่เกินกว่าจิตสำนึกของเขาจะรับไหว แคลเรตรีบปิดหนังสือลง เก็บข้าวของใส่ลงกระเป๋ามิติขณะเอ่ย
"มีธุระอะไรถึงได้มาที่นี่ล่ะ?"
"นายท่านเรียกให้ทุกคนไปรวมตัวที่ห้องโถงใหญ่ค่ะ"
ดยุกเดริคคนนั้นน่ะนะ? แคลเรตเลิกคิ้วสูง ปกติดยุกเดริคจะไม่เรียกหรือออกคำสั่งใด ๆ โดยเด็ดขาดหากนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ หนำซ้ำครั้งนี้ยังเรียกเขาที่กำลังถูกกักบริเวณออกไปด้วยนี่สิ
"มีเรื่องอะไรกันอีกล่ะทีนี้"
แคลเรตเอ่ยถามขณะหยิบเสื้อคลุมตัวใหม่ขึ้นมาสวม
"มีข่าวการเสียชีวิตของดัชเชสส่งมาเมื่อเช้านี้ค่ะ"
"..."
เสื้อคลุมในมือชะงัก แคลเรตหันไปมองไรรีย์ที่มีท่าทีนิ่งเฉย ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าที่ชัดเจนเหมือนอย่างเคย
เธอเอ่ยเสริมอีกครั้ง
"อีกสักพักทหารราดตระเวนจะมาที่นี่เพื่อยืนยันการเสียชีวิตของเธออีกครั้งค่ะ"
"....บอกอัลมอนด์ว่าข้าต้องการชุดใหม่"
"รับทราบแล้วค่ะ"
ไรรีย์รับคำก่อนจะรีบถอนเท้าออกไปทันที ทิ้งให้แคลเรตอยู่คนเดียวในห้องมืด ๆ นั้น เขาลอบมองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่ม่านสีดำที่เคยกั้นไว้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ ทำให้เห็นสวนดอกไม้กลางปราสาทที่อยู่ถัดออกไป มันถูกจัดการดูแลอย่างดีกว่าครั้งล่าสุดที่เขาเห็น
'ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงเลยแฮะ'
แคลเรตใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเปลี่ยนชุดใหม่ มันยังคงหรูหราและน่าอึดอัดเหมือนที่ผ่านมา เขาดึงเนกไทที่คอออกเล็กน้อย ทันทีที่มาถึงห้องโถงใหญ่คนงานในปราสาทก็ล้วนอยู่ที่นั่นทั้งหมด แคลเรตเดินไปยังจุดที่ไม่มีคนอยู่ ลอบมองดยุคเดริคยังคนมีร่างกายซูบผอมและดูอิดโรยเหมือนทุกที
บรรยากาศภายในโถงที่เคยครึกครื้นอยู่ทุกวันกลับกลายเป็นมืดมนผิดปกติ เสียงฝนและแสงจากฟ้าผ่าด้านนอกทอดเข้ามาเป็นระยะให้รู้สึกหนักหน่วงมากกว่าที่คิด เหล่าคนงานทั้งหลายต่างเฝ้ามองกระทำของบุตรชายคนโตของตระกูลด้วยความระมัดระวัง
"..."
แคลเรตหันไปสบตากับคนรับใช้กลุ่มนั้น แต่พวกเขาต่างก็รีบหลบสายตาไปในทันที
'น่ารำคาญจริง'
เขาไม่ใช่ตัวตลกที่จะมาแสดงละครลิงให้ใครเขาดูสักหน่อย
หากการเสียชีวิตของดัชเชสเอวานั้นถูกยืนยันว่าเป็นความจริง สิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนไปในทันทีก็คือสถานะของแคลเรตภายในบ้านหลังนี้
เขาไม่มีเลือดของแครอลและไม่มีแม้แต่ความสนิทสนมกับใครในที่แห่งนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ก็คือดัชเชสเอวา แต่เมื่อเธอจากไป เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนนอกที่เข้ามาพักพิง
บางที หากดยุกเดริคมีความรู้สึกผิดเขาก็อาจจะสามารถคงสถานะของบุตรชายคนโตเอาไว้ได้แล้วอยู่สุขสบายโดยไม่ต้องทำงานเหมือนที่ผ่านมา แต่หากไม่ใช่ เขาก็อาจจะกลายเป็นขี้ปากแล้วถูกคนงานปฏิบัติไปในทางที่ไม่ดี หรือถ้าแย่ไปกว่านั้น มันอาจจะคล้ายกับนิยายน้ำเน่าสักเรื่องที่เขาต้องทำงานชดใช้เงิน ตั้งแต่ค่าบูรณะปราสาทตลอดจนคลังสมบัติที่ดัชเชสเอาไปถลุงเงินเล่นตลอดสองปีที่ผ่านมา
'ไม่ว่าจะอย่างไหนก็เฮงซวยทั้งนั้น'
เขาเกลียดการอยู่ในที่ดินของคนอื่นโดยมีสถานะไม่แน่นอน แต่ก็ไม่ชอบงานคนรับใช้ของที่นี่เช่นกัน
ชีวิตของคนรับใช้จะเปรียบดั่งหนึ่งในกรรมสิทธิ์ของเจ้านายที่ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่า 'กิน' หรือ 'นอน' พวกเขาก็จะทำมันภายใต้อาณาเขตและที่ดินของเจ้านาย ไร้ซึ่งอิสระ แถมยังทำงานอย่างหนักไม่ต่างจากโรงงานนรก
ตราบใดที่คุณเป็นคนรับใช้ในโลกนี้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ล้วนแล้วต้องระลึกถึงเจ้านายราวกับเจ้าชีวิต คุณจะสามารถพักผ่อนได้ก็ต่อเมื่อเจ้านายหลับ แต่หากวันได้เจ้านายสั่นกระดิ่งตอนเที่ยงคืนด้วยเหตุผลที่ว่า 'หิว' คุณก็ต้องออกไปหาสิ่งที่พวกเขาต้องการมาให้แม้จะต้องแลกกับการเดินไปยังอีกฟากของเมืองก็ตาม
แค่คิดถึงระบบเฮงซวยที่ไม่มีกรรมแรงงานคุ้มครองเขาก็รู้สึกคลื่นไส้เต็มที เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นี่สามารถทำมันราวกับเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ คือเขาจะไม่ทำมัน
ครืดดดด
ซ่าาาาาาาา!!!!
บานประตูทางเข้าขนาดใหญ่ถูกเปิดออกกว้าง ปรากฏร่างของอัศวินในชุดเกราะ อัศวินด้านหน้าสุดถอดหมวกเหล็กออก เผยใบหน้าที่ยังคงดูหนุ่มและแสดงถึงความเจ็บปวดบนใบหน้า
'ว้าว นี่มันละครลิงชัดๆ'
แคลเรตพบว่าสถานการณ์นี้เป็นสิ่งที่น่าตลก แม้หน่วยราชตระเวนจะมีท่าทีเสียใจแต่สิ่งที่อยู่บนใบหน้านั้นล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่ง เสียงร้องสะอื้นเริ่มดังระงมมาจากด้านหลัง เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นเช่นเดียวกับที่เขาเห็นจากใบหน้าของอัศวินหรือไม่ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่รู้เกี่ยวกับมัน
อัศวินนายนั้นทำความเคารพให้ดยุกเดริคก่อนจะเอ่ย
"เนื่องจากทางที่ดัชเชสเดินทางไปเกิดพายุลูกใหญ่กะทันหัน รถม้าจึงเสียหลักพลิกคว่ำตกหน้าผา"
เจ้าตัวเงียบไปสักพัก และเอ่ยต่ออีกครั้ง
"..เราใช้เวลาในการเก็บกู้ซากทั้งหมดแต่พบข้าวของดัชเชสเพียงสิ่งนี้ครับ"
พูดจบทหารที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมาด้านหน้า ในมือถือกล่องไม้ที่ด้านในบรรจุเครื่องประดับสีสดใสชิ้นโตและเศษผ้าขาด ๆ ผืนหนึ่ง พวกมันเต็มไปด้วยเลือดที่ถูกฝนชะล้างออกไปบ้างบางส่วน
'น่ะ นั่นเครื่องประดับที่นายหญิงใส่ออกไปเมื่อวันก่อนนี่'
'โถ่ นายหญิง'
'ม ไม่จริง ฮึก! ชุดเดรสนั่นของนายหญิงไม่ผิดแน่'
เสียงฮือของสาวใช้ด้านหลังดังขึ้นเป็นระยะ มากพอที่จะช่วยอธิบายสิ่งที่แคลเรตกำลังสงสัย เกี่ยวกับสถานการณ์ตรงหน้าว่าเกิดอะไรขึ้น
วืดดดดดด
"นายท่าน!!"
เหล่าคนรับใช้ต่างรีบแตกฮือ วิ่งกรูเข้ามารับร่างของดยุคเดริคที่ดูอ่อนแรงเต็มที ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะทรงตัวไหว
หมับ!
หัวหน้าพ่อบ้านเป็นคนแรกที่คว้าเจ้านายไว้ได้ทัน เขาช่วยประคองดยุกเดริคให้รับกล่องไม้นั้นไว้ อัศวินส่งให้เขาแต่โดยดี แคลเรตพบว่าดยุกเดริคมีใบหน้าที่แตกสลายจริง ๆ แม้จะไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
'อย่างน้อยก็มีคนให้ความสำคัญกับเธอจริง ๆ อยู่หนึ่งคน'
นั่นเป็นสิ่งที่แคลเรตสามารถพูดได้เต็มปาก อัศวินนายนั้นพูดต่ออีกครั้ง
"สำหรับคนงานและคนคุ้มกันในขบวนครั้งนี้ มีคนบาดเจ็บอีก 6 ราย หลังพายุฝนหยุดลงน่าจะเริ่มเดินทางมาครับ"
"ขอบคุณที่เหนื่อย เข้าไปพักด้านในก่อนสิครับ พวกเราจะเตรียมที่พักสำหรับคืนนี้ให้"
ผู้ช่วยชาร์ลเดินออกมารับอัศวินและกลุ่มทหารที่มาแจ้งข่าว ทำหน้าที่ของผู้ช่วยอย่างดีในขณะที่หัวหน้าพ่อบ้านรีบพาดยุคเดริคกลับไปพักผ่อนก่อนที่จะล้มป่วยไปอีกคน พวกเขามุ่งหน้าขึ้นไปยังห้องนอนของเดริคทันทีทิ้งห้องโถงที่เต็มไปด้วยเสียงสะอื้นไห้ของสาวใช้ โดยเฉพาะคนสนิทของดัชเชสเอวาที่ไม่ได้ติดตามไปด้วยเหมือนทุกที แตกต่างจากแคลเรตลูกชายของเธอที่ยังคงปกติดี
"ไม่เป็นไรนะครับ"
เรนเดลพูดปลอบแคลเรตที่ยังคงไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมา นับตั้งแต่มีการยืนยันการตายของดัชเชสตลอดจนทุกคนแยกย้าย อันที่จริง แคลเรตก็แค่ไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกไปอย่างไรก็เท่านั้น มันก็แค่เป็นเรื่องของธรรมชาติ แล้วเขาก็ไม่อยากแสดงออกว่ากำลังเสียใจกับการตายของใครสักคนทั้งที่ไม่ได้รู้สึกถึงขั้นอยากร้องออกมาก็เท่านั้น
"ขอบใจ"
แคลเรตพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไป เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรขนาดนั้น เขาก็แค่ตกใจและรู้สึกเหมือนไม่มั่นคงชั่วขณะที่แม้แต่ร่างของดัชเชสเอวาก็ไม่สามารถนำกลับมาได้
ตอนนั้นเองเสียแจ้งเตือนของระบบก็เด้งขึ้น
ติ๊ง
[ อัตราความสำเร็จปัจจุบัน 24% ]
มันลดลงถึง 4% ในคราเดียวอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับมันอยู่ดี
เฮ้อ
แคลเรตถอนหายใจ หันไปมองอัลมอนด์ที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ถึงจะน่าเศร้าที่ดัชเชสจากไปแล้ว แต่คนที่เหลือก็ต้องมีชีวิตให้รอดอยู่ดี
"มานี่สิ"
...
เปรี้ยงงงงงงง!!!
ซ่าาาาาาาา
ฮึก ฮือฮือออ
เสียงร้องของคนงานยังคงดังระงมแม้ในวันที่พวกเขาจัดงานศพ เนื่องจากพวกเราไม่ได้รับร่างของดัชเชสเอวากลับมา งานศพของเธอจึงไม่ต่างกับวันระลึกถึงบรรพบุรุษสักเท่าไหร่
มีเพียงหนึ่งป้ายหลุมศพและดอกไม้นับร้อย
ไม่มีการฝังร่าง แต่เพียงการกลบเครื่องประดับและเศษผ้าที่ได้มาจากหน่วยราชตระเวนลงไปเท่านั้น พวกเขาใช้เวลาสักพักในการระลึกถึงเธอเพื่อส่งวิญญาณของเธอสู่กลับคืนสู่ธรรมชาติ
คาร์เธียไม่มีศาสนาประจำชาติ ดังนั้นพิธีต่าง ๆ จึงแตกต่างกันไปตามเขตปกครอง และที่แครอลนั้น จะถือว่าการตายของพวกเขาคือการกลับสู่รูปลักษณ์เดิมและหวนคืนสู่ธรรมชาติ สิ่งที่เป็นร่างเนื้อจะถูกฝั่งเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาจะเผาทำลายร่างเนื้อของนักโทษเพื่อไม่ให้หลงเหลือถึงการมีอยู่
ซ่าาาาาาาา
"แคลเรต"
"ครับท่านดยุก?"
เดริคชะงักกึก! กระแอมไอหนึ่งครั้งก่อนจะส่งของบางอย่างให้เขา
"ของดูต่างหน้าจากเอวาน่ะ เมื่อนานมาแล้ว...เธอบอกให้พ่อส่งให้ลูก หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ"
แคลเรตขมวดคิ้วมองของในมือที่ถูกส่งมา มันเป็นเพชรสีแดงสดที่ด้านในมีต้นอ่อนของต้นไม้ต้นหนึ่งดูแปลกตา
หากสิ่งนี้เป็นของดูต่างหน้า บางทีคนที่ควรจะเก็บมันไว้คงไม่ใช่เขา แต่เป็นแคลเรตคนก่อน
"ยื่นมือมาสิ"
เดริคพูดอีกครั้ง แคลเรตจึงยื่นมือออกไปด้านหน้าแต่โดยดี
พรึ่บ
ริบบิ้นสีแดงสดถูกผูกลงบนข้อมือของเขา เป็นแค่ริบบิ้นธรรมดาที่ไม่มีอะไรลวดลายหรือรอยขีดเขียนใดๆ ยิ่งทำให้แคลเรตขมวดคิ้วแน่นจนแทบชนกัน
"นี่อะไรครับ?"
"สิ่งนี้ก็เป็นของขวัญที่เธออยากให้ลูกเก็บไว้น่ะ เธอบอกให้พ่อผูกมันให้ลูกแทนเพราะเธอต้องรีบไป..."
เสียงของเดริคแผ่วลงเมื่อถึงประโยคหลัง ใบหน้าของเขาที่ยังคงเปราะบางดูขมขื่นขึ้นมาอีกครั้ง ต่างจากแคลเรตที่ตอนนี้รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ใบหน้าของเขาซีดเผือดเหมือนจะคนขาดสารอาหาร นึกอยากกัดเล็บเหมือนพวกวิตกจริตขึ้นมาให้ได้
เธอส่งสิ่งนี้ให้ดยุกก่อนที่จะออกไปเมื่อเร็ว ๆ สิ่งนี้ นั่นหมายความว่าคนที่เธอต้องการจะให้ไม่ใช่แคลเรตคนก่อนแต่เขาจริงๆ
"เธอบอกว่าลูกเป็นเด็กที่เติบโตมาได้อย่างงดงามและสง่างาม แน่นอนว่าไม่มีใครที่ยอดเยี่ยมได้เหมือนกับลูกในโลกนี้แล้วเช่นกัน...เธออยากให้ลูกเก็บเอาไว้แล้วให้นึกถึงเธอตลอดเวลาน่ะ"
น้ำเสียงของดยุคเดริคฟังดูนุ่มละมุนชวนฝัน แต่มันไม่ได้ช่วยให้แคลเรตหายประหม่าเลยแม้แต่น้อย เขาบีบมือของแคลเรตไว้แน่น
"จำไว้ล่ะว่าไม่ว่ายังไงลูกก็ยังเป็นคนที่เธอรักและไม่มีใครมาแทนที่ได้"
"..."
แคลเรตเลือกที่จะไม่ตอบมัน เขายิ้มให้กับเดริคหนึ่งครั้งขณะลอบมองลงไปที่ริบบิ้นสีแดงสด
'สิ่งนี้ไม่ใช่ของขวัญแต่เป็นคำเตือน'
เธอกำลังบอกกับเขาว่า ไม่ว่าเขาจะพยายามทำตัวให้เหมือนแคลเรตยังไง สุดท้ายเขาก็ไม่ใช่แคลเรตอยู่ดี และต้องการให้เขาตระหนักถึงสิ่งนั้นทุกครั้งที่มองหรือสัมผัสมัน
เธอกำลังขีดเส้นให้เขา แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามผูกมัดเขาไว้ด้วยริบบิ้นบาง ๆ ที่ดูไม่มีอะไรนี้เช่นกัน
'เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวชะมัด'
แคลเรตพบว่าดัชเชสเอวาเป็นบุคคลที่น่ากลัวมากจริงๆ เธอสามารถทำให้หัวใจของเขาทำงานอย่างหนักแม้ในเวลาที่เธอจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ฉึบ
คราวนี้เป็นของอีกหนึ่งสิ่งที่ถูกยัดใส่ในมือของเขา มันเป็นแหวนที่ดูธรรมดา ๆ ไม่ใช่ของหรูหราอะไร มีเพียงรูปของปีกนกที่กำลังโอบกอดต้นไม้เอาไว้เท่านั้นที่ดูวิจิตรตระการตา
ติ๊ง!
[ เควสระดับกลาง : รวบรวมความกล้าแล้วมาขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแครอลกันเถอะ! ]
'บ้าไปแล้วหรือไง?!'
แคลเรตถลึงตาใส่หน้าต่างระบบตรงหน้า ไม่รู้ว่าควรจะด่ามันยังไงให้ดูหายหงุดหงิด
ทันทีที่ดัชเชสเอวาตาย นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเหตุผลใด ๆ ที่จะสามารถอยู่ในตระกูลได้แล้ว ถ้าจะให้เรียกง่ายๆ การตายของเธอก็เหมือนเอกสารไล่ที่ ที่มีผลบังคับใช้ในทันทีนั่นแหละ
"นายน้อย ถ้าจะทำหน้าเหมือนขาดน้ำตาลก็ช่วยทำหลังเสร็จพิธีด้วยค่ะ"
อึ่ก!
แคลเรตแทบหมดอารมณ์ที่จะใช้สมองต่อทันทีที่ไรรีย์พูด เขาถามดยุกเดริค
"แล้วอันนี้คืออะไรหรือครับ?"
ดยุกเดริคยิ้ม จับมือแคลเรตให้กำมันไว้แน่น
"เป็นรางวัลน่ะ ถ้าจวนตัวเมื่อไหร่ก็ใช้มันล่ะ"
"โอ้"
ดวงตาของแคลเรตเป็นประกายขึ้นมาทันที ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็ทำมาจากทอง เขาลองขยับมือขึ้นลงเพื่อลองชั่งน้ำหนักมันดู ถ้าเอาไปขายคงได้ราคาไม่น้อยทีเดียว
"แต่ถึงจะเอาไปขายก็ไม่ได้ราคามากหรอกนะ"
"..."
...
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เรนเดลเองก็ต้องกลับโรงเรียนจอมเวทเพื่อรับการศึกษาช่วงฤดูใบไม้ผลิตามกำหนดการเดิม
ฟิ้ววววว~
สายลมเย็นๆ หอบเอาใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีพัดเข้าใส่หัวของเขาเต็มแรง แคลเรตปัดมันออกมองซ้ายมองขวาเพื่อตรวจดูรอบๆ ถึงได้พบว่ามีเพียงเขากับคนงานของตระกูลเท่านั้นที่ออกมาส่งเรนเดล
"พวกเขาไม่ออกมาหรอกครับ"
เรนเดลไขข้อสงสัยให้แคลเรตโดยไม่จำเป็นต้องตั้งคำถาม
"ถ้างั้น เดินทางดี ๆ ล่ะ"
แคลเรตยื่นของว่างที่สั่งให้พ่อครัวเตรียมเอาไว้เมื่อเช้าส่งให้เรนเดล เนื่องจากเวทเทเลพอร์ตยังคงไม่ถูกค้นพบในตอนนี้ ทำให้วิธีเดียวที่ใช้ในการเดินทางจึงเป็นเพียงรถม้าตามแบบฉบับยุคกลางที่ยังไม่มีรถหรือยานพาหนะดี ๆ อย่างช่วยไม่ได้ แค่คิดว่าต้องนั่งคุดคู้อยู่ในรถม้าติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันก็ทำให้รู้สึกปวดก้นขึ้นมาแทน
'บางที ฉันควรหาวิธีเดินทางด้วยอย่างอื่นแทนรถม้าหลังออกจากตระกูล'
เขาได้ลองคิดเกี่ยวกับมันมาสักพักหลังการไว้อาลัยของดัชเชสจบลง เขาไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ และยังสามารถตั้งตัวใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ด้วยหินเวทมนตร์ที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ของเขา เพียงแค่จัดการกับอัลมอนด์ให้เสร็จเขาก็จะสามารถออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่ต้องห่วงอะไร
"ฝากดูแลท่านพ่อกับแอลรีสระหว่างที่ผมไม่อยู่ด้วยนะครับ"
อึ่ก!
แคลเรตถึงกับสะอึกเมื่ออยู่ ๆ เรนเดลก็มาฝากฝังงานให้เขาทั้งที่ปกติไม่เคยพูดถึงมัน เรนเดลหัวเราะคิกคักก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง
"ผมจะส่งจดหมายมา เพราะงั้นช่วยตอบกลับด้วยนะครับ"
แคลเรตหน้าซีด รู้สึกมีงานเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาบีบนวดหัวตาก่อนจะพยักหน้ารับ
'ดูเหมือนต้องกลับไปรื้อฟื้นวิธีเขียนจดหมายอีกแล้วสิ'
เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้เขียนจดหมายครั้งล่าสุดเมื่อไหร่แล้วต้องเขียนมันยังไง เขาจดมันใส่ลงในลิสต์รายการสิ่งที่ต้องทำในอนาคตก่อนจะส่งเรนเดลให้เสร็จสรรพ
แค่การช่วยเฝ้าบ้านระหว่างลูกชายคนโตของบ้านไม่อยู่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอก
...
แค่กๆๆ
โครกกกกกก!!!
'ไม่สิ! นี่มันโคตรจะเลวร้ายเลย'
แคลเรตมองดยุกเดริคที่กำลังป่วยหนัก อาเจียนเลือดออกมาชุดใหญ่หลังจากการตายของดัชเชสเอวาเพียงไม่กี่วัน ร่างกายที่ปกติซูบผอมอยู่แล้วสิ่งดูทรุดโทรมลงไปในคราเดียว เหล่าคนรับใช้ต่างวิ่งอลม่าน หาผ้าเตรียมน้ำมาช่วยกันดูแลดยุก บรรยากาศภายในห้องนอนดยุกแปรเปลี่ยนเป็นสนามรบที่แข่งขันกันด้านเวลา
แคลเรตทำเพียงยืนเป็นหุ่นอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง ยกมือขึ้นสูงปิดบังทัศนวิสัยให้กับแอลรีสที่อยู่ข้างๆ
"อยากกลับห้องก่อนไหม?"
"ไม่เป็นไรครับ"
แอลรีสดูมีท่าทีสงบ ดันมือของแคลเรตลงขณะเฝ้ามองดยุกเดริคราวกับมันเป็นเรื่องปกติ หมอประจำตระกูลเดินห่างออกมาจากเตียงทันทีที่ดยุกสลบลง มุ่งตรงมายังพวกเขาหลังเก็บกวาดเครื่องมือแพทย์
"ดูเหมือนท่านดยุกจะถูกพิษบางอย่างติดต่อกันมาระยะหนึ่งครับ ถึงจะมีปริมาณที่น้อยแต่เมื่อใช้ติดต่อกันในระยะหนึ่งก็จะกัดกินภายในและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ"
"รู้หรือเปล่าว่ามันคืออะไร?"
แคลเรตเป็นคนถามแต่หมอประจำตระกูลมีท่าทีอึกอักสักพัก
"...ไม่ครับ แต่เดิมมันเป็นพิษที่ไม่แสดงออกชัดขนาดนี้ แต่เพราะท่านดยุกกินบางอย่างที่เข้าไปเร่งปฏิกิริยาเข้า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปสุดท้ายอาจจะ–"
หมอประจำตระกูลหยุดคำพูดต่อจากนั้นลง ลอบมองแอลรีสที่ยืนอยู่ไม่ไกล แคลเรตพอจะรู้ว่าหมอประจำตระกูลกำลังจะพูดอะไรจึงเปลี่ยนเรื่อง
"แล้ววิธีรักษาล่ะ?"
"ข้าพอมีคนรู้จักในแอสทรัม เขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านยาและสมุนไพรเป็นพิเศษ ข้าจะรีบติดต่อเขาครับ"
หมอประจำตระกูลรีบพูดอย่างกระตือรือร้น
"ถ้างั้นก็ไปทำซะสิ"
แคลเรตยกมือไล่ให้หมอประจำตระกูลรีบออกไปทำงานของตนให้เสร็จ เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นมาขว้างทัศนวิสัยตรงหน้า
ติ๊ง!
[ เควสระดับง่าย : มาให้กำลังใจแอลรีสให้กลับมาเป็นปกติกันเถอะ! ]
แคลเรตรีบปัดมันทิ้ง ภาวนาให้ดยุกเดริครีบหายไวๆ
ทว่า กว่าผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรจะมาถึงดยุกเดริคก็หมดสติลงไปก่อนหน้านั้นถึงสองวัน
กลายเป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
'นี่เป็นเพียงกลไกการฟื้นฟูด้วยตัวเองตามสัญญาณของนักดาบเท่านั้นครับ ทันทีที่ท่านดยุกกลับมาอยู่ในสภาพร่างกายที่พร้อม เขาจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ด้วยตัวเองครับ สิ่งที่เราต้องทำคือการฟื้นฟูร่างกายภายนอกในระหว่างนั้นเท่านั้น'
'ถึงจะพบได้น้อยแต่ในแอสทรัมนั้นก็ถือว่าพบเจออยู่มาก ดังนั้นนี่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตครับ'
ถึงหมอจากประเทศที่เต็มไปด้วยนักดาบจะพูดเอาไว้แบบนั้นก็เถอะ แต่การฟื้นฟูร่างกายด้วยตัวเองนั้นก็ไม่ต่างจากเจ้าชายนิทราอยู่ดี แคลเรตไม่รู้ว่ามันมีกลไกในการทำง่ายอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือมันเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา
มันสามารถยับยั้งการแพร่กระจายของพิษและสารแอนติบอดีขึ้นมาใหม่เพื่อกำจัดพิษในตัวได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถประสบความสำเร็จเกี่ยวกับมัน เพราะในการสร้างภูมิคุ้มกันใหม่ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนอาจใช้เวลาหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หรือสิบปีในการสร้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่พิษลุกลามถึงหัวใจก่อนจะทำมันสำเร็จและตายไปในระหว่างนั้น
ฉึก!
แคลเรตจิ้มส้อมลงบนมะเขือเทศในจานสลัดที่ดูสดใหม่แตกต่างจากบรรยากาศที่ดูอึมครึมขึ้นทุกวันๆ ในปราสาทเก่าแห่งนี้
พวกเขาเพิ่งรอดพ้นจากการลอบสังหารมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ตามด้วยการจากไปของดัชเชส จากนั้นดยุกเดริคก็มาล้มป่วยกะทันหันพร้อมกับลูกชายคนโตอย่างเรนเดลที่ขาดการติดต่อเพราะเข้าสู่ช่วงสอบอีก
แคลเรตยกมะเขือเทศขึ้นมาตรงหน้า มันยังคงมีคุณภาพและสดใหม่เหมือนกับทุกวัน แต่ถึงอย่างนั้น สภาพในการคลังตอนนี้ก็คงร่อยหรอเต็มที่หลังการบูรณะครั้งใหญ่
'ไม่ว่าจะมองยังไงนี่ก็วิกฤต'
งับ!
แคลเรตงับมะเขือเทศที่ยังคงดูสดใหม่ตรงหน้า เหลือบมองลูกชายคนเล็กที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์แข็งแรงแต่ก็ยังเด็กเกินไปที่จะแบกภาระทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว
แกรก แกรก
ดวงตาสีอเมทิสต์กดลงต่ำ มองช้อนส้อมของอีกฝ่ายที่เขี่ยอาหารไปมาไร้ชีวิตชีวาเหมือนเด็กขาดสารอาหาร ไม่มีร่องรอยของการกินให้ได้เห็นแม้แต่คำเดียว
เขาโพล่งออกมาขึ้นมาในตอนนั้น
"ทำไมไม่กินล่ะ?"
"..."
มีดในมือของเด็กน้อยหยุดลง เขามองแคลเรตด้วยสายตาแปลกๆ แคลเรตเพิกเฉยมันแล้วพูดต่ออีกครั้ง
"สิ่งที่เด็กต้องทำคือกินให้อิ่มและนอนให้หลับ อา แล้วก็ออกไปเล่นด้วย"
แคลเรตไม่รู้วิธีปลอบเด็กหรือให้กำลังใจใคร ดังนั้นเขาจึงพูดสิ่งที่คิดออกมาจริงๆ
"ตอนนี้นายยังเด็กอยู่ไม่ใช่หรือไง? แค่ผลักภาระที่ไม่จำเป็นออกไปในตอนที่ยังสามารถผลักได้ก็พอ"
แคลเรตวางส้อมในมือของเขาลง หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก
"กินซะสิ เขาว่ากินตอนร้อน ๆ น่ะดีที่สุด"