เมื่อลืมตาตื่น 'ดารินทร์' ก็พบว่าตัวเขาได้เข้ามาอยู่ในเกมผจญภัยในโลกแฟนตาซีที่เคยเล่นในอดีต ทว่า "ร่างที่ฉันเข้ามาอยู่กำลังจะถูกลอบสังหารในอีก 3 วัน"
แฟนตาซี,แอคชั่น,ชาย-ชาย,ตะวันตก,transmigration,ทะลุมิติ,ต่างโลก,แฟนตาซี,แนวระบบ,ตลก,แอ็คชั่น ,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
EP.11 ต้องวางแผนกันใหม่ (2)
แกร่ก
แคลเรตผลักประตูเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ดูหรูหรา สิ่งแรกที่ปะทะเข้าหน้าของเขาคือกลิ่นสมุนไพรจำนวนมากและยาฆ่าเชื้อที่ไม่ต่างจากโรงพยาบาล
มันไม่ได้รู้สึกสะอาด แต่เต็มไปด้วยความอึดอัดเหมือนคนแก่ที่กำลังป่วยติดเตียง
อึ่ก!
แคลเรตรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดจมูก แสดงท่าทีรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง สั่งให้คนรับใช้ให้รีบเปิดหน้าต่างระบายอากาศออก แสงอาทิตย์และสายลมเย็น ๆ จึงถูกสาดเข้ามาในห้องช่วยให้หายใจหายคอได้ระดับหนึ่ง
ครืดดด
'อยู่กันเข้าไปได้ยังไงในห้องมืดๆ อับๆ'
ถึงพายุฝนจนผ่านพ้นไปแล้วแต่นี่ก็ยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เต็มไปด้วยความชื้น แคลเรตชี้คางของเขาไปยังประตูทางเข้า
"ออกไปได้แล้ว"
สิ้นสุดคำสั่งข้ารับใช้และคนงานทั้งหมดจึงเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงแคลเรตและดยุกเดริคที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ที่เตียง แคลเรตใช้โอกาสนั้นเดินไปลากเก้าอี้จากมุมหนึ่งมาไว้ที่เตียง เปลี่ยนเทียนหอมและสมุนไพรเป็นของใหม่ เขาสำรวจใบหน้าของดยุกเดริค มันยังคงงดงามเหมือนในวันแรกที่พบแม้จะอยู่ในสภาพหลับใหล
'น่าหมั่นไส้ชะมัด'
เขาไม่รู้ว่าทำไมคนที่นี่ถึงได้ดูดีกันไปหมด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจ คือพวกเขาล้วนไม่สมจริง
คนป่วยควรจะมีอาการป่วยที่แสดงออกให้เห็นผ่านใบหน้า แต่ดยุกเดริคกลับดูงดงามเหมือนเจ้าชายนิทราในละครไทย เขาปักป้ายเส้นผมสีแดงสดของดยุคไปด้านข้าง ใบหน้าหล่อเหลายังคงดูเกินจริงแต่กลับคุ้นตาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
แคลเรตกำมือของดยุกไว้แน่น บีบนวดตามฝ่ามือไม่ให้กล้ามเนื้อหดตัวอย่างที่เคยได้ยินมา
น้ำเสียงผ่อนคลายของเขาพูดขึ้นในระหว่างนั้น
"เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ? ท่านน่าจะได้เห็นว่าเมื่อคืนเป็นคืนเดือนเพ็ญครั้งที่สองของเดือน...ผมได้ยินมาว่ามันเป็นวันที่จะสามารถเห็นดวงจันทร์สีฟ้าเต็มดวงเพรียงดวงเดียวด้วยครับ"
มันดูคล้ายสิ่งแปลกปลอม แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แคลเรตเพิ่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่
"พวกคนงานในปราสาทเองก็บอกว่าท่านชอบออกมาดูมันทุกครั้งโดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบยนี้"
เขาลูบหลังมือของดยุกเดริค สอดปลายนิ้วเพื่อบีบนวดตามนิ้วข้อใหญ่ๆ
เขาเปลี่ยนเรื่องใหม่อีกครั้งเมื่อไม่มีการตอบรับใด ๆ เหมือนอย่างเคย
"...ส่วนเรนเดล ตอนนี้เขากำลังอยู่ในระหว่างการสอบช่วงเปิดเทอม คิดว่าต้องใช้เวลาเอีกสักพักกว่าจดหมายจะถึงมือ"
ที่แคลเรตพอจะรู้การเคลื่อนไหวของเรนเดล นั่นก็มาจากการซื้อข้อมูลจากกิลด์ลูก้าอีกทีเพียงเท่านั้น ซึ่งเรื่องการป่วยของเดริคเองก็น่าจะยังไม่ถึงหูของเรนเดลด้วยเช่นกันเนื่องจากพวกเขาได้ทำการปกปิดเรื่องนี้ไว้ภายในปราสาทเก่า ๆ หลังนี้ เขาละมือนั้นออกและหยิบมืออีกข้างของดยุคเดริคขึ้นมาบีบนวด
"แอลรีสเองตอนนี้ก็เริ่มกลับมาทานอาหารได้แล้วครับ ถึงจะไม่มากเท่าปกติแต่ก็ถือว่าเยอะเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้"
"ดอกไม้ที่ดัชเชสเอวาปลูกไว้ก่อนจากไปก็กลับมาอยู่ในสภาพดีและกลิ่นของมันก็หอมมากเมื่อเดินผ่านสวนส่วนกลาง...ถึงต้นไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีและผลัดใบ แต่ถ้าท่านดยุกออกไปจะพบว่ามันสวยมากหลังจากผ่านพ้นช่วงพายุฝนไปแล้ว..."
"ท่านจะได้เห็นรุ้งกินน้ำที่มักปรากฏในทิศตะวันออกของปราสาทและกลิ่นของผลไม้ที่เราปลูกกันในสวนเช่นกันถ้าไปที่นั่น"
"...อา ใช่ ผมได้ยินมาว่าท่าชอบออกกำลังกายทุกเช้าและฟันดาบทุกครั้งหลังจากตื่นนอน คิดว่าซ่อมแซมลานฝึกระหว่างรอท่านตื่นขึ้นมาดีไหมครับ? แบบนั้นท่านจะได้–"
สามารถใช้งานได้ทันทีหลังจากตื่นขึ้นมา...แคลเรตไม่ได้พูดประโยชน์นั้นออกไป เมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอออกแรงบีบทือของดยุกมากเกินไป
เขาก้มลงไปที่มือของตนขณะที่คลายมือออก ทว่าสิ่งแรกที่เข้ามาสู่สายตากลับเป็นเส้นริบบิ้นสีแดงสดที่อยู่บนข้อมือขาว มันยังคงถูกผูกอยู่อย่างนั้น และตอกย้ำถึงความจริงบางสิ่งที่แคลเรตเข้าใจดี
'ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่?'
ติ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนของระบบที่ต่างออกไปดังก้องอยู่ในหัวเขาพร้อมหน้าต่างระบบสีฟ้าสดใสที่ล้อมรอบไปด้วยเถาวัลย์ดอกไม้และกระดาษหลากสีที่ปะทะเข้าหน้าเข้าอย่างจงใจ
[ ได้รับรางวัลจากเควสระดับง่าย : มาให้กำลังใจแอลรีสให้กลับมาเป็นปกติกันเถอะ!
แอลรีส เด็กน้อยที่น่าสงสารและไร้เดียงสาของเรากำลังทุกข์ทรมานจากบรรยากาศกดดันจากบ้านแสนรักของเขา อา เด็กน้อยที่น่าสงสารของเราสมควรได้รับประสบการณ์เลวร้ายเช่นนี้งั้นหรือ? ]
[ ได้รับ 'ปากกาลูกลื่นรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น' ]
'ฮ่ะ!'
แคลเรตหัวเราะหยันอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนโดนความเฮงซวยตอกใส่หน้าเข้าอย่างจังจนไม่รู้จะรู้สึกยังไง
เขามองปากกาลูกลื่นในมือที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา รูปลักษณ์ของมันหรูหราดูมีราคาแต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ โดยปกติ ของรางวัลที่มักเจอได้ในเกมมักเป็นอาวุธ สกิล หรืออะไรก็ตามที่ช่วยให้เขามีชีวิตรอดจากสถานการณ์ปัจจุบันหรือในอนาคตอันใกล้
ทว่า...อะไรคือปากกาลูกลื่น?
เขาหมุนควงมันไปมา สำรวจทุกส่วนของมันเผื่อว่าจะมีอะไรที่ดูเป็นรุ่นลิมิเต็ดแต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจอยู่ดี เขาเอื้อมมือไปกดดูรายละเอียดเกี่ยวกับปากกาลูกลื่นนั้น
ติ๊ง!
[ ปากกาลูกลื่นรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น : ปากกาที่ถูกผลิตออกมาในจำนวนจำกัด จากโรงงานที่ถูกปิดตัวลงอย่างกะทันหันเนื่องจากเกิดโรคระบายครั้งใหญ่ในอดีตอันแสนไกล
อย่าคาดหวังอะไรกับมันเลย มันก็แค่เป็นของที่ไม่ผลิตแล้วก็เท่านั้น ถึงได้เป็นรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่นยังไงล่ะ ]
'ใครมันเขียนคำอธิบายฟะ'
แคลเรตยัดปากกาที่ดูไร้ประโยชน์ใส่กระเป๋าเสื้อ อย่างน้อย ๆ ก็ยังดีกว่าปากกาขนนกเฮงซวยที่เขาต้องมาหัดเขียนมันใหม่เมื่อหลายวันก่อน หลังจากได้ลองเขียนจดหมายด้วยปากกาขนนกไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ได้กับความจริงที่ว่ามันคือเครื่องเขียนที่เฮงซวยที่สุดเท่าที่เคยใช้มา และเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะไม่กลับไปใช้มันอีกเป็นครั้งที่สอง
คุณคงไม่อยากรู้หรอก ว่าโต๊ะในห้องหนังสือของเขาที่ต้องเปลี่ยนใหม่ทันทีหลังใช้มันมีสภาพเป็นยังไง
เฮ้อ~
เขาพ่นลมหายใจ วางมือของดยุกเดริคลงขณะดึงผ้าห่มขึ้นมาให้อีกฝ่าย เขาตบลงบนผ้าห่มผืนนั้นเบา
"อย่าตายนะครับ เรนเดลกับแอลรีสยังเด็กเกินกว่าจะแบกรับภาระไหว"
หากดยุกเดริคตาย สิ่งที่พวกเด็ก ๆ ต้องแบกรับไม่ใช่แค่ตำแหน่งดยุกที่มีศัตรูมากมาย แต่ยังมีสภาวะทางการเงินและบุคลากรภายในที่เหลือน้อยเต็มทีหลังการลอบสังหารที่ผ่านมา
สิ่งที่พวกเขาต้องแบกรับเพราะความหน้ามืดตามัวในความรักของดยุกเดริคนั้นมีมากกว่าที่ใครหลายคนคิด
แคลเรตเดินออกจากห้องทันทีที่กล่าวจบโดยไม่ลืมปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย เขาถามผู้ช่วยชาร์ลที่ยืนรออยู่ด้านนอก
"เรื่องอาการป่วยของท่านดยุกราบรื่นดีใช่มั้ย"
"ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วครับ"
แคลเรตพยักหน้า สิ่งหนึ่งที่ควรระวังคือการปกปิดอาการป่วยของดยุกเอาไว้ให้มิด เพราะช่วงที่ผู้นำตระกูลอยู่ในระหว่างความเป็นและความตายมักเป็นรอยต่อระหว่างการล่มสลายของตระกูลเช่นกัน
ทันทีที่ขุนนางคนอื่นรับรู้ถึงมัน พวกเขาจะพุ่งตรงเข้ามาราวกับขีปนาวุธที่มีชีวิต โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายตรงข้ามที่พร้อมจะทุบฐานของตระกูลให้พังตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อลดจำนวนคู่แข่งทางการเมือง
'แต่เดิมแครอลก็เข้าขั้นวิกฤตอยู่แล้ว ขืนมีเรื่องอาการป่วยของดยุกแพร่ออกไปได้เป็นเรื่องแน่'
แคลเรตหันไปหาไรรีย์ที่ยังคงอยู่ใกล้
"ไรรีย์ดูแลท่านดยุกไว้ ส่วนอัลมอนด์...ไปกับฉันดีกว่า"
ขืนทิ้งไว้นี่นาน ๆ หมอนี่ได้เครียดจนเผลอฆ่าคนตายแน่ อย่างน้อยก็ควรพาไปเปิดหูเปิดตารับบรรยากาศดีๆ ถึงเขาจะต้องหาวิธีรักษาให้ดยุกเดริคกลับมาแข็งแรงไว ๆ แต่ก็ต้องจัดการงานที่ทิ้งให้เด็ก ๆ ทำมันด้วยตัวเองไม่ได้เสียก่อน
'อย่างน้อยก็ต้องเตรียมเผื่อไว้สำหรับผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด'
...
กึก
แคลเรตวางหินเวทมนตร์ลงบนเคาน์เตอร์เก่าๆ หนึ่งชิ้น แสงสีรุ้งสะท้อนแสงอาทิตย์สดใส สถานที่แรกที่เขาตั้งใจมาในครั้งนี้คือร้านขายของสารพัดประโยชน์ของแม่มดมาริเนด
"ว้าว นี่มันหินเวทมนตร์นิ ครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง"
แม่มดมาริเนดหยิบแว่นส่องหินเวทมนตร์ด้วยความตื่นเต้น แคลเรตรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่แม่มดมาริเนดรู้เกี่ยวกับมัน แต่นั่นไม่สำคัญหรอกถ้านั่นจะหมายความว่าทุกอย่างจะง่ายขึ้น
"ผมอยากให้คุณช่วยสร้างอุปกรณ์สื่อสารให้สักสามอัน พอจะทำได้ไหมครับ?"
"อุปกรณ์สื่อสาร?"
แคลเรตยิ้มขณะหยิบเอกสารหนึ่งชุดออกมาให้เธอ มันเป็นวิธีสร้างอุปกรณ์สื่อสารที่เขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการคัดลอกและแปลมันเป็นภาษาเอลล์ที่ใช้ในปัจจุบันอีกที แน่นอนว่ามันคือหนึ่งในเหตุผลที่โต๊ะทำงานของเขาต้องถูกเปลี่ยนใหม่ และหลังจากเปลี่ยนมัน เขาถึงตระหนักได้ว่าการส่งจดหมายเป็นสิ่งที่ยากเกินไป...มันจะดีกว่าถ้าเขาสามารถติดต่อกับเรนเดลได้ทันทีด้วยบางสิ่งที่คล้ายกับโทรศัพท์เครื่องหนึ่ง
ถึงตอนแรกเขาตั้งใจจะเอามันไปขายให้กับทางหอคอยเพื่อเก็บเงินไปตั้งตัวก็เถอะ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถไปไหนได้เพราะดยุกเดริค
'อา ช่วยรีบๆ ฟื้นทีเถอะครับท่านดยุก'
แม่มดมาริเนดรับมันไปอ่านคร่าวๆ ก่อนจะเอ่ย
"เธอเอาของสำคัญแบบนี้มาให้ฉันจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ"
"ไม่เป็นไรครับ เพราะนอกจากคุณผมก็ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลนี้ให้ใครรู้"
ทันทีที่มีการเผยแพร่ความรู้นี้ออกไปในสาธารณชน คนแรกที่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยก็คือเธอ...นั่นเป็นสิ่งที่เขากำลังหมายถึง
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เจ้าของหรือผู้คิดค้นวิธีดังกล่าว แต่เขาต้องการปกปิดตัวตนของเขาไม่ให้ใครรู้ เพราะหากพูดถึงความสำคัญของภาษาโบราณ นั่นจะไม่เท่ากับว่าเขาต้องพบเจอผู้คนและถูกดึงตัวไปเพื่อนั่งแปลหนังสือจำนวนมากของพวกเขาหรอกเหรอ? ไม่ เขาไม่มีทางยอมกลับไปทำงานหลังขดหลังแข็งอีกเป็นอันขาด
เขาแค่ต้องการรวย ใช้เงินฟุ่มเฟือยและไม่ต้องทำงานหาเงินก็เท่านั้น
เขาจะไม่ยอมให้ใครมาตัดเส้นทางของเขาเด็ดขาด หลังจากคุยกับแม่มดมาริเนดอยู่พักใหญ่ๆ แคลเรตจึงเดินไปยังอาคารใกล้ ๆ ที่คุ้นเคยแถวนั้นอีกครั้ง
กึก!
อัลมอนด์วางถุงเงินลงบนโต๊ะทำงานตรงหน้า แมดด็อกซ์มีดวงตาสั่นเทามองมันสลับกับแคลเรตเหมือนครั้งแรกที่เคยเจอ แคลเรตชอบการแสดงออกที่ชวนขบขันของแมดด็อกซ์ เขายื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ให้อีกฝ่าย แมดด็อกซ์มีท่าทีรังเกียจมันอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ฉันแค่มาซื้อข้อมูล"
แมดด็อกซ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายลงทันที ทำเอาแคลเรตเองที่ต้องสงสัย
'อะไร? งานจ้างของฉันมันไม่ดีตรงไหน?'
อย่างมากที่พวกเขาต้องทำก็แค่ปกป้องแอลรีสที่ไร้การป้องกันตัวให้ปลอดภัยเท่านั้น เขาไม่ได้พาพวกเขาไปให้แอลรีสฆ่าทิ้งสักหน่อย
"แค่ตรวจสอบการเคลื่อนไหวและสิ่งต่าง ๆ ของพวกขุนนางในรายชื่อนี้ให้ฉันก็พอ มาร์ควิสอารันน่าจะมีข้อมูลพวกนี้อยู่แล้ว"
"ครับ ถ้าได้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเมื่อไหร่ทางเราจะแจ้งให้ทราบ"
"ขอบใจ"
แคลเรตออกจากที่นั่นทันทีที่ธุระหมดลง เขาแวะร้านหนังสือระหว่างทางเพื่อซื้อเครื่องเขียน กระดาษเขียนจดหมายและหนังสืออีกสองสามเล่ม
โดยปกติ ในโลกของแฟนตาซี ความจริงในอดีตที่มักถูกลืมเลือนมักถูกซ้อนอยู่ตามวรรณกรรม ตำนาน หรือนิทานพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงเสมอ บางที วิธีรักษาอาการของดยุกอาจจะถูกระบุอยู่ในนี้เช่นกัน
มันก็แค่ความเชื่อ แต่ไม่เห็นเป็นไรถ้าเขาจะใช้มันอ่านเล่นเพื่อฆ่าเวลาแทน
หลังจากกลับมาถึงปราสาทแครอล แคลเรตจึงใช้เวลาตลอดทั้งวันในการค้นหาวิธีรักษาให้ดยุกเดริคแต่ก็ไม่พบมัน เขาใช้เวลาทุกเช้าในการตรวจเช็กอาการของดยุก ติดต่อนักบวชและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษเข้ามารักษา และค้นหาจากหน้าหนังสือในยามวิกาล...แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรคืบหน้า
พลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาพิษกลับเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดในการปรับตัวของดยุกที่อาจตายในระหว่างทางเมื่อพิษถูกกำจัดกะทันหัน
น้ำยาฟื้นฟูและเสริมพลังกายให้แข็งแรงเองก็จะทำให้ภาระตกไปที่ร่างกาย แม้หายได้ก็จะล้มป่วยและเสี่ยงอาการโคม่า
สิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีเพียงแค่...รอ
และหวังว่าดยุกเดริคจะจัดการกับระบบภายในร่างกายได้ด้วยตัวเอง
...
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
พายุลูกหลังเริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ดยุกเดริคยังคงไม่มีสติแต่คนรับใช้ต่างทยอยลาออกกันไปวันแล้ววันเล่า บรรยากาศภายในปราสาทยังคงอึมครึมและน่ากลัวเหมือนทุกครั้งต่างจากต้นไม้ด้านนอกที่ผลัดเปลี่ยนจนเริ่มไม่เห็นสีเขียวที่เคยมี
ปึก!
แคลเรตโยนหนังสือในมือที่เพิ่งอ่านเสร็จบนโต๊ะ ไม่ว่าจะค้นหาจากที่ไหนก็ล้วนแต่ไม่มีข้อมูลที่เขาต้องการ เขายื่นมือออกไปด้านข้างรับหนังสือเล่มใหม่มาอ่านแต่กลับได้มือที่สวมถุงมือของใครบางคน
"..."
แคลเรตมองมือที่อยู่ในมือเขาสลับกับอัลมอนด์ที่ยังคงมีใบหน้าที่ดูเป็นมิตรและไร้เดียงสา
'เล่นบ้าอะไร?'
"...หนังสือ?"
"ครับ?"
อัลมอนด์ยังมีท่าทีไร้เดียงสาเหมือนอย่างเคย ผิดกับแคลเรตที่เริ่มนวดขมับ รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
อัลมอนด์พูดขึ้นอีกครั้ง
"เล่มที่นายน้อยเพิ่งอ่านจบไปเป็นเล่มสุดท้ายที่มีแล้วครับ"
"...งั้นเหรอ"
ดูเหมือนความรู้ด้านสมุนไพรของตระกูลแครอลจะมีน้อยมากกว่าที่เขาคาดเอาไว้มาก ถึงจะพอเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าคงมีข้อมูลไม่มากหลังภูมิปัญญาที่ถดถอยและล้าหลังกว่าในอดีต แต่นี่ก็แทบไม่ต่างจากข้อมูลที่เขาได้รู้มาจากในเกมเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง นี่มันน้อยกว่าสมุนไพรที่เขารู้มาจากในเกมด้วยซ้ำ
'อย่างน้อย ๆ ก็ควรเก็บหนังสือเก่า ๆ เอาไว้ไม่ใช่หรือไง ไอ้พวกตาแก่เอ๊ย!'
อย่างน้อย ถ้าตัวเองไม่ได้ใช้พวกเขาก็ควรเก็บๆ มันไว้ให้คนข้างหลังได้ศึกษาไม่ใช่หรือไง?
"เอ่อ นายน้อยครับ...ช่วยปล่อยมือก่อนได้ไหมครับ"
อัลมอนด์พูดด้วยท่าทีระมัดระวัง แคลเรตถึงได้รู้ว่าเผลอบีบมืออัลมอนด์ไว้แน่น เขารีบปล่อยมือนั้นออก
"โทษที คงจะเจ็บสินะ"
"ไม่เป็นไรครับ อันที่จริงแรงของนายน้อยเบามากจนแทบไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอกครับ"
เสียงของอัลมอนด์ยังคงดูอบอุ่นเหมือนอย่างเคยราวกำลังปลอบโยน ทว่า แคลเรตกลับรู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายด่าทางอ้อมอย่างไรอย่างนั้น เขายกขาขึ้นดื่มอีกครั้งหวังสงบสติอารมณ์ขุ่นเคืองที่กำลังก่อตัว
พอเห็นกองหนังสือที่อ่านแล้วถูกวางเรียงรายอยู่ตรงหน้า เขาก็รีบเก็บรวบรวมมันใส่กระเป๋ามิติมุ่งหน้าตรงไปยังห้องสมุดใหญ่เพื่อคืนหนังสือและหาเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เขาเดินตัดไปยังระเบียงทางเดินที่ไม่ได้ใช้บ่อยนัก เหล่าคนรับใช้ที่ปกติจะเดินเตร็ดเตร่แม้ในยามวิกาลกลับกลายเป็นไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยแม้แต่น้อย
ตึก ตึก ตึก
สองเท้าก้าวเป็นจังหวะท่ามกลางทางเดินที่เงียบสงัด แคลเรตเดินไปตามทางเดินก่อนแสงเทียนจากห้องห้องหนึ่งเล็ดลอดออกมาตามขอบประตูราวกับเคยมีใครแอบแง้มมีทิ้งเอาไว้อย่างจงใจ แคลเรตรีบเดินเลี่ยงออกไปอีกฝั่งของทางเดิน หลีกเลี่ยงมันราวกับเป็นของน่ารังเกียจ ในนวนิยาย ทุก ๆ ห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้อย่างน่าสงสัยในยามวิกาลมักมีบางสิ่งที่ไม่ควรรับรู้อยู่ด้านหลังประตูบานนั้นเสมอ หากที่นี่เป็นโลกที่อยู่ในหมวดสยองขวัญ ด้านหลังประตูนั่นก็มักเป็นบางสิ่งที่น่าขนลุกอยู่ด้านใน แต่ในขณะเดียวกัน หากที่นี่อยู่ในหมวดรักโรแมนติก ก็คงไม่พ้นคู่หนุ่มสามที่กำลังพลอดรักหวานแหววไม่ก็ฉากเรียกน้ำตาของใครสักคน
กึก!
แคลเรตชะงักฝีเท้าลงเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้กะทันหัน เขากลอกตาหนึ่งครั้ง ถอนเท้าไปด้านหลัง เดินย้อนกลับไปยังหน้าห้องห้องหนึ่งที่มีแสงเล็ดลอดออกมา เขาสอดส่ายสายตาไปทั่วห้อง ด้านในเต็มไปด้านเครื่องนอนราคาแพงที่บ่งบอกว่าเป็นห้องนอนห้องหนึ่ง ทว่ารอบด้านกลับเต็มไปด้วยหนึ่งมากมายวางเรียงรายตามชั้นอย่างเป็นระเบียบ ก่อตัวขึ้นสูงจนติดเพดานห้อง ราวกับเป็นห้องนอนของใครสักคนที่มีงานอดิเรกในการอ่านหนังสือจนน่าขนลุก
ดวงตาสีอเมทิสต์หรี่ลง พยายามโฟกัสแสงด้านในเมื่อเห็นเงารางๆ ด้านในมีใครสักคนกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ รูปลักษณ์เหมือนกับเด็กเนิร์ดที่ดูเนียบตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังนั่งเท้าคางเหม่อมองออกไปยังที่ไหนสักแห่ง ดูงดงามสมเป็นหนึ่งในตัวละครหลักที่ตัวเอกชื่นชมว่ามีแรงดึงดูดมากกว่าใครในรุ่นเดียวกัน
แอลรีส แครอล บุตรชายคนเล็กของตระกูลแครอลที่เขาไม่ได้เห็นมาสักพัก เพราะมัวแต่หาวิธีรักษาดยุกมาตลอดหนึ่งเดือน
'ฉันลืมเด็กขี้เหงาไปซะสนิท'
แอลรีสในเนื้อเรื่องของเกมเป็นเหมือนตัวแทนของผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่งที่เปี่ยมล้วนไปด้วยความอบอุ่น เขามีนิสัยที่เข้าถึงได้ง่ายและเข้ากันได้กับทุกคนโดยไม่มีข้อกังวล แต่เมื่อนึกถึงต้นตอของภาพลักษณ์ที่เจ้าชู้นั้นก็ล้วนเกิดขึ้นจากความเหงาและต้องการความรักจากในอดีต แน่นอนว่าในตอนแรกเจ้าตัวจะถูกตัวละครหลักคนอื่น ๆ เหม็นขี้หน้าเพราะความเจ้าชู้ของเขา แต่ทันทีที่คุณเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับเขาไปในระดับหนึ่ง คุณก็จะได้รับความรักที่ยากจะได้พบในชีวิตจริง
และในขณะเดียวกัน เมื่อคุณกำลังอยู่ในเนื้อเรื่องแยกของการจับตัวละครอื่น แอลรีสจะเป็นเพียงคนเดียวที่ดูแลคุณอย่างดีแม้ความสัมพันธ์นั้นจะจบลงด้วยมิตรภาพของพี่ชายคนหนึ่ง
แหมะ
หยดน้ำสีใสหยดลงจากดวงตาสีมรกตท่ามกลางความมืดมิด มันไหลลงอาบแก้มขาว ๆ ก่อนจะหยดลงบนโต๊ะ มือเล็ก ๆ ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ของแอลรีสปาดมัน หยดน้ำก้อนใหม่ก็ไหลออกมาเหมือนมีใครไปกดสวิตช์เข้า
ใบหน้าของแอลรีสยังคงมีการแสดงออกที่น้อยเหมือนอย่างเคย แต่น้ำตานั้นกลับไหลออกมาไม่หยุด
จิ๊
แคลเรตคลิกลิ้นไม่สบอารมณ์ เขาคิดผิดจริง ๆ ที่เลือกเดินกลับมาเพื่อเห็นอะไรแบบนี้
'ให้ตายสิ'
ดูเหมือนเขาจะประมาทมากเกินไปหลังเควสครั้งก่อนสำเร็จลุล่วง
ถึงที่นี่จะเป็นในเกมแต่แอลรีสก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งนี้ เขายังเด็กและอ่อนไหวเกินกว่าจะคงสภาพจิตใจไว้ได้นาน แคลเรตรีบสาวเท้าออกจากที่นั่น มุ่งหน้าไปตามทางเดินเพื่อไปยังจุดหมายใหม่
...ห้องนอนของดยุก
ปัง!
ประตูห้องนอนของดยุกถูกเปิดออกอย่างแรงราวกับถูกใครบางคนจงใจถีบเข้ามา บุตรชายคนโตเป็นคนเปิดมันด้วยตัวเอง เขาสาวเท้าเข้าไปอย่างมั่นคง มุ่งตรงไปหาผู้ช่วยชาร์ลที่ยังคงอยู่ มือขวาประจำตระกูลดยุกที่ตอนนี้มีหน้าที่รับผิดชอบงานบางส่วนของตระกูล
ผู้ช่วยชาร์ลเลิกคิ้วฉงนใจ
"มีอะไรหรือเปล่าครับนายน้อย"
แคลเรตยื่นมือออกไปด้านหน้า
"เอาตราประจำตระกูลมา"
"ครับ?"