เพราะต้องใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ เขาเลยต้องมาเป็น "เมีย" ของชายบ้าอำนาจ ผู้แสนเย่อหยิ่งที่สุดในโลก!!
ชาย-ชาย,ไทย,รัก,ผู้ใหญ่,ตลก,NC,18+,เด็กช่าง,คลั่งรัก,สัญญาทาส,ประธานบริษัท,บอส,นิยายวาย,ไออุ่นในเดือนหนาว,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไออุ่นในเดือนหนาว [WINTER]เพราะต้องใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ เขาเลยต้องมาเป็น "เมีย" ของชายบ้าอำนาจ ผู้แสนเย่อหยิ่งที่สุดในโลก!!
เรื่องย่อ
ตระกูล ธนันวรัชญ์ ต้องแต่งงานกับตระกูล พีรเดชา…
นั่นคือคำสัญญาที่สองตระกูลมีให้กัน แต่หลานชายคนโตอย่าง "วิน" มีหรือจะยอมเขาจึงวางแผนจ้างสาวสวยอย่าง "ไอน้ำ" มาเป็น เมียปลอมๆ เพื่อหนีจากการโดนจับคลุมถุงชน
หลังจากที่เธอตกลงรับเงินค่าจ้าง วินก็ตั้งใจพาเธอไปเปิดตัวกับคนในตระกูล
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามแผน เมื่อผู้หญิงที่ควรมาตามนัดกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มปากร้ายที่ชื่อ "ไออุ่น" ไปซะได้
นี่มันหมายความว่าไง!!
แม้จะโกรธที่โดนหลอกลวง แต่วินก็ไม่มีทางเลือก เขาทำได้เพียงกัดฟันโอบไหล่ผู้ชายคนนั้น แล้วแนะนำกับคนในตระกูลไปว่า…
“นี่ไออุ่น…คนรักของผมเองครับ"
"จะทำอะไร"
"จูบไง"
"จูบละหมื่น"
ติ้ง
"เชี้ย...โอนมาจริงดิ...นี่เดี๋ยวก่อน! ผมพูดเล่น...เฮ้ยไอ้คุณวิน!! บอกว่าพูดเล่นไง!"
"แต่ฉันไม่เล่น ฉันถนัดเอาจริงมากกว่า"
"เอาบ้าเอาบอกอะไรล่ะ ปล่อยนะเว้ย!...แล้วคุณมาถอดกางเกงผมทำไมเนี่ย ไหนบอกว่าแค่จูบไง ไอ้ขี้โกง!!"
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายฟิวกู๊ด ว่าด้วยเรื่องของคุณชายผู้แสนเยือกเย็นราวหิมะในฤดูหนาว ที่ถูกไออุ่นจากเจ้าเด็กปากร้ายหลอมละลาย จนตัวเหลว ติดเด็กงอมแงม ราวกับคนโดนของ ถึงขั้นได้ฉายา "เสี่ยเลี้ยงของเจ้าหนูไออุ่น!!"
รอช้าอยู่ใย...ไปอ่านโล้ดดดด
.
.
.
[โปรดทำความเข้าใจก่อนอ่าน]
Boy's love story 18+
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการของผู้แต่ง ไม่เกี่ยวข้องกับชื่อ บุคคล หน่วยงาน สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ ทั้งสิ้น และพฤติกรรมต่าง ๆ ในเรื่อง ผู้แต่งไม่ได้มีเจตนาชี้นำแต่ประการใด โปรดอ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น
**เนื้อหาบางส่วนมีการบรรยายฉากร่วมเพศ (NC)
มีการใช้ภาษาไม่สุภาพ ใช้ภาษาปากเพื่ออรรถรสในการอ่าน
เรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้อ่านที่เป็นเยาวชนควรได้รับคำแนะนำ**
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน และแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสม
.
.
.
นิยายเรื่องไออุ่นในเดือนหนาว
© สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ.2558
ห้ามคัดลอก ดัดแปลง นำไปเผยแพร่ หรือนำไปใช้ในงานอื่น ไม่ว่าจะเป็นภาพปก ภาพประกอบ และเนื้อหานิยายของเรื่องนี้ ก่อนได้รับอนุญาตจากนักเขียนโดยเด็ดขาด
ติดต่อนักเขียน
Facebook Fanpage : แยมขนมปัง
Twitter (X) : @AngelsKiss1234
Instagram : yamkhanompang
เล่นแท็ก #ไออุ่นในเดือนหนาว
ตอนที่ 4
โดย แยมขนมปัง
ที่นี่คือที่ไหน…
คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวไออุ่น ร่างสูงหันซ้ายมองขวา สิ่งที่เขาพบเจอมีเพียงความมืดมิดที่รายล้อมอยู่รอบทิศทาง ทำก้อนเนื้อในอกซ้ายเริ่มสั่นระรัวด้วยความตื่นกลัว
ขณะที่กำลังสับสนมึนงง จู่ๆ ก็มีแสงปริศนาโผล่มาท่ามกลางความมืด แม้มันจะเป็นเพียงแสงดวงน้อย แต่ไออุ่นก็เห็นมันได้อย่างชัดเจน สองเท้าของเขาก้าวเข้าไปหาแสงนั้นทันทีอย่างไม่คิด ทว่ายิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ แสงไฟดวงน้อยกลับยิ่งหนีห่างออกไปเท่านั้น
ด้วยกลัวว่าตัวเองจะถูกความมืดกลืนกิน ขาเรียวจึงเร่งฝีเท้าเปลี่ยนจากการก้าวเดินเป็นวิ่งไล่ตามแสงไปสุดชีวิต โดยที่ไม่รู้ว่าภายใต้แสงนั้น จะมีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ไออุ่นวิ่งตามดวงแสงอยู่นาน จนร่างกายเริ่มอ่อนล้า ถึงอย่างนั้นก็ยังฝืนทนไล่ตามในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
แต่แล้ววินาทีที่ไออุ่นใกล้จะหมดแรง ดวงแสงกลับหยุดนิ่งฉับพลัน จากนั้นมันก็แผ่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากแสงดวงน้อย กลายเป็นความสว่างเจิดจ้าจนดวงตาของมนุษย์ไม่อาจทนไหว ไออุ่นหลับตาลงแน่น ยกแขนขึ้นมาบดบังแสง แล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ ถูกความสว่างเข้าปกคลุม
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…
หืม?
ในจังหวะนั้นเอง จู่ๆ ไออุ่นก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ คล้ายมีบางอย่างกำลังจับจ้องมาที่ตนเอง พาขนอ่อนตามร่างกายให้ลุกชันทั้งตัว ความตื่นกลัวเกิดขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ เหมือนสัญชาตญาณตั้งใจร้องเตือนบอกให้รู้ว่าสิ่งที่มองเขาอยู่…
ทั้งน่ากลัวและอันตรายมาก
ทว่าเด็กหนุ่มกล้าหาญอย่างไออุ่นกลับไม่หวั่นเกรง เขากลั้นใจกัดฟันลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะฝืนตัวหันไปตามความรู้สึกที่รับรู้ได้ถึงสายตาคู่นั้น เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ามันจะน่ากลัวสักแค่ไหนเชียว
กึก
“…..”
โอเค น่ากลัว…น่ากลัวฉิบหายเลยไอ้เหี้ย!!!
วินาทีที่ได้สบตากับสิ่งมีชีวิตตรงหน้า ร่างกายของไออุ่นก็สั่นระริกโดยอัตโนมัติ หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อรู้ว่าเจ้าของสายตาคู่นั้นคือ…งูยักษ์!!
งูจริงๆ งูตัวเป็นๆ เลย!!!
ขนาดของมันสูงใหญ่มากจนไม่อาจประมาณได้ ผิวหนังดำเงายิ่งกว่ากระเบื้องเคลือบ ลวดลายสีทองอร่ามขดไปมาบนเนื้อผิวอย่างวิจิตรงดงาม เขี้ยวทั้งสองข้างคมกริบพร้อมจะฉีกกัดทุกสิ่งอย่าง และที่สำคัญ ดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองมาไม่ละสายตาบ่งบอกให้รู้ว่ามันคือนักล่า และดูเหมือนตอนนี้เขาจะกลายเป็นเหยื่อของมันไปเสียแล้ว
อึก…
ไออุ่นกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ใจอยากจะวิ่งหนีสุดชีวิต แต่ร่างกายกลับทรยศไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนคล้ายถูกสิ่งนั้นสะกดเอาไว้ รู้ตัวอีกที เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายก็ถูกอสรพิษยักษ์เกี่ยวรัดตัวเอาไว้แน่น อย่างที่ไม่อาจดิ้นหนีได้
“ปล่อยนะเว้ย!! ปล่อยกู เฮ้ย มึงจะทำอะไรวะ ไอ้งูบ้า!”
ดวงตาสีนิลเบิกกว้างด้วยความตกใจ เมื่อเจ้างูยักษ์ใช้ลิ้นสีแดงสดปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขาออกจนหมดเหลือเพียงกายเปลือยเปล่า ก่อนจะตวัดปลายลิ้นสองแฉกไปตามเนื้อผิวเนียนทั่วทั้งเรือนกาย แม้มันจะน่าขยะแขยงมาก แต่กลับสร้างความวาบหวามให้มนุษย์ตัวน้อยอย่างไม่อาจทนทานได้ และแล้วเขาก็กำลังจะถูกมันเขมือบกลืนกินเข้าไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ
ไม่นะ…
จะจบแบบนี้ไม่ได้สิ อย่ากิน อย่ากินนะ! ม่ายยยยยยยย!!
“ไอ้เชี่ยอุ่น!!”
เฮือกกกก
เจ้าของชื่อลุกพรวดดีดตัวขึ้นจากที่นอน ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ ดวงตาของเขาเบิกโพลง ลมหายใจติดขัดด้วยความตื่นกลัวที่ยังคงติดอยู่ในความรู้สึก
เมื่อได้สติไออุ่นก็หันมองไปรอบๆ พอรู้ว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องของโชน เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ท่วมสองข้างขมับ
แค่ฝันไปสินะ…
แต่ถึงจะรู้ว่าเป็นเพียงความฝัน หัวใจของเขากลับยังเต้นแรงอยู่เลย สิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้สัมผัส มันเหมือนจริงมากจนสามารถจดจำได้ทุกรายละเอียด
ไออุ่นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงฝันประหลาดพิสดารเช่นนั้น แม้ตัวเองจะใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบมาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยมีความฝันที่ทรหดและน่ากลัวมากแบบนี้มาก่อน
เอ๊ะ หรือจะเป็นเพราะหนังเรื่องนั้น?
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ชลธีชวนดูหนังเรื่องอนาคอนดา นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาฝันถึงงูยักษ์ก็เป็นได้
“เป็นอะไรของมึงวะ กูเห็นมึงดิ้นไปดิ้นมา ตะโกนว่าไม่ๆๆ อยู่ได้ กูปลุกก็ไม่ยอมตื่น นึกว่าผีเข้า”
“ผมฝันร้ายน่ะเฮีย ฝันโคตรน่ากลัวเลย”
“มึงฝันว่าอะไรวะ”
“ก็ฝันว่า…” ปากที่กำลังจะพูดเงียบลงทันที เมื่อคิดได้ว่าหากเขาเล่าความฝันที่โดนงูลวนลามก่อนถูกจับกินให้โชนฟัง ตัวเองคงกลายเป็นคนโรคจิตในสายตาเจ้านาย มีแต่จะโดนล้อเลียนเสียเปล่า
“มึงเงียบทำไมเนี่ย ตกลงมึงฝันว่าไง”
“ก็ฝันเรื่องทั่วไปนี่แหละเฮีย…ว่าแต่ทำไมผมถึงมานอนบ้านเฮียได้ล่ะ” คนพูดตั้งใจเปลี่ยนประเด็น
“นี่มึงจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลยเหรอ”
“เมื่อคืนเฮียพาผมกับไอ้ชลไปเลี้ยงเหล้าไง”
“แล้วมึงจำได้หรือเปล่าว่าตัวมึงเมาเหมือนหมาแค่ไหน”
“ผมเนี่ยนะเมาเหมือนหมา?” ปลายนิ้วเรียวชี้หน้าตัวเอง ถามออกไปด้วยความเหลือเชื่อ
“เออ มึงตอนเมาวุ่นวายฉิบหาย เป็นภาระกูสุดๆ”
ไออุ่นเกาหัวแกรกๆ พยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็จำไม่ได้ “เมื่อคืนผมคงไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหมเฮีย”
“อย่าให้กูพูด มึงเกือบได้กินตีนใครที่ไหนก็ไม่รู้”
“ทำไมงั้นล่ะ ตอนผมเมามีคนมาหาเรื่องผมเหรอ”
“มึงนั่นแหละไปหาเรื่องคนอื่น”
“บ้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ คนนิสัยดีอย่างผมเนี่ยนะ จะไปหาเรื่องใครก่อน เฮียอำผมปะเนี่ย”
“กูจะอำมึงเพื่อ…เมื่อคืนพอเห็นมึงกับไอ้ชลเมามากแล้ว กูเลยจะพามึงสองคนกลับ แต่ไอ้ชลแม่งไม่รู้หายหัวไปไหน กูเลยต้องเอามึงไปทิ้งไว้ในรถ แล้วเข้าไปหาไอ้ชลในผับ แต่ตอนกูออกมาอีกที กูก็เห็นมึงยืนทะเลาะอยู่กับใครก็ไม่รู้ อีกฝ่ายดูโกรธมาก เหมือนจะฆ่ามึงเลย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอเฮีย” ระหว่างที่ฟังโชนเล่า ไออุ่นก็พยายามใช้สมองน้อยๆ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไปด้วย คิดอยู่นานสองนาน ตอนแรกเหมือนจะนึกไม่ออก แต่ผ่านไปสักพัก กลับมีภาพบางอย่างฉายเข้ามาในหัว มันเป็นภาพเบลอๆ ไม่ค่อยชัดเจน
เมื่อคืนเขาเมา แล้วบังเอิญเจอรถไอ้แว่นที่เคยมีเรื่องด้วย จึงตั้งใจแก้แค้นด้วยการฉี่ใส่รถหรู จากนั้นเจ้าของรถก็ออกมาเจอ ทะเลาะกัน จนสุดท้าย…
“ว่ากูเป็นหนูท่อดีนัก เป็นงายย…โดนหนูท่อกัด~ ทีนี้มึงก็ติดเชื้อสกปรกจากกูแล้ว ว้ายๆ ไอ้หนูสกปรกกก~ ฮ่าๆๆๆ”
กึก…
ไม่นะ…ไม่จริง…
ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ในหัว มันก็เป็นอีกแค่ฝันร้ายเท่านั้น
มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง!!!
“โชคดีนะเนี่ยที่ผู้ชายคนนั้นมีสายเข้า กูเลยใช้จังหวะที่มันเผลอ รีบลากมึงออกมา บอกเลยว่าถ้าไม่ได้กูป่านนี้มึงคงได้เจ็บตัวไปแล้ว กราบขอบคุณกูซะ”
“…..”
“ไอ้อุ่น”
“…..”
“ไอ้เชี่ยอุ่น” โชนที่ยืนกอดอกอยู่เป็นต้องขมวดคิ้วงุนงง เมื่อเห็นน้องคนสนิททำสีหน้าประหลาด ราวกับจิตหลุดออกจากร่างไปเสียแล้ว “ไอ้อุ่นทำไมหน้ามึงดูซีดๆ วะ”
พรึ่บ!
คนอายุมากกว่าตั้งใจจะเข้าไปดูอาการเด็กหนุ่ม แต่ไม่ทันไร ร่างสูงก็กระโดดลงจากเตียง รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำอย่างไว ก่อนจะเปิดน้ำกลั้วปากรัวๆ พร้อมทั้งใช้หลังมือถูขยี้ริมฝีปากของตัวเองเต็มแรงจนมันบวมเจ่อ ทำเอาเจ้าบ้านงงเป็นไก่ตาแตก
“เฮ้ยๆ เป็นอะไรของมึงเนี่ย ยังเมาค้างอยู่หรือไงวะ”
ใบหน้าซีดเซียวหันไปมองหน้าคนที่เปรียบเหมือนพี่ชายแท้ๆ ตาละห้อย ก่อนจะโอดครวญออกมา “ผมซวยแล้วเฮีย~”
*****
เส้นผมที่ยุ่งเหยิงถูกสองมือหยาบดึงทึ้งให้ยุ่งกว่าเดิม ไออุ่นรู้ดีว่าสีหน้าตัวเองย่ำแย่แค่ไหน แต่ก็คงไม่แย่เท่าสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้
นี่กูจูบไอ้แว่นจริงๆ เหรอวะ…
ไม่สิ แค่กัดปากไม่ได้จูบสักหน่อย แบบนั้นไม่นับ!
สิ่งที่เกิดขึ้น เขาอยากจะลืมมันให้สิ้นซาก แต่สมองกลับทรยศเอาแต่นึกถึงปากนุ่มนิ่มที่พึ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก
“อ๊ากกกกก!!!”
“ไอ้เชี่ยอุ่น! กูตกใจหมดไอ้ฉิบหาย” โชนที่กำลังถือชามข้าวต้มมาวางลงบนโต๊ะเป็นต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงร้องลั่นของลูกน้องที่แหกปากขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย “เป็นบ้าอะไรของมึงอีกฮะ”
ไออุ่นมองหน้าโชน อยากจะระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างใน แต่ก็ไม่สามารถพูดออกไป เลยทำได้แค่ถอนหายใจยาว ฟุบหน้าลงกับโต๊ะกินข้าวอย่างน่าสังเวช
“หาหมอไหมมึงน่ะ ถ้าจะอาการหนัก…เอาข้าวต้มแดกซะ จะได้หายแฮงก์”
กลิ่นข้าวต้มหอมๆ จากฝีมือเชฟโชนกระชากคอไออุ่นให้กลับมาตั้งตรง รีบจัดการข้าวต้มในชามทันที ความหิวกับความเครียดมันคนละส่วนกัน ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง
ระหว่างนั้นไออุ่นก็สังเกตเห็นว่าเจ้าบ้านที่นั่งกินข้าวต้มอยู่ฝั่งตรงข้าม เอาแต่กดโทรหาใครบางคนหลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าปลายทางจะไม่รับ
“โทรหาใครเหรอเฮีย”
“ก็ไอ้ชลน่ะสิ กูโทรหามันจนสายไหม้แล้วเนี่ย ติดต่อมันไม่ได้เลย”
“เฮียมีธุระอะไรกับมันหรือเปล่า”
“กูแค่อยากรู้ว่ามันหายหัวไปไหน เมื่อคืนกูหามันทั่วทั้งผับก็ไม่เจอ โทรไปยังจะไม่รับอีก”
“เอ้า แล้วเมื่อคืนเฮียไม่ได้พามันกลับมาพร้อมผมเหรอ”
“กลับเหี้ยอะไร เงาหัวมันกูยังไม่เห็นเลย ไม่รู้ไปหม้อสาวอยู่ที่ไหนหรือเปล่า อย่าให้กูเจอนะ กูจะฟาดให้หัวแบะ” ถึงโชนจะพูดจาร้ายๆ แต่ไออุ่นรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเฮียคนนี้เพียงแค่เป็นห่วงน้องคนสนิทที่จู่ๆ ก็หายตัวไปเท่านั้น
“ผมว่ามันน่าจะไปเจอสาวเข้าแหละเฮีย ไอ้นี่เห็นหญิงดีกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
“เออก็จริงของมึง”
“แต่เดี๋ยวยังไงขากลับ ผมจะแวะไปดูที่บ้านมันอีกทีละกัน เผื่อมันอยู่บ้าน”
“ฝากด้วยมึง ยังไงก็โทรบอกกูด้วยล่ะ”
“ครับ”
หลังจากกินข้าวเสร็จ ไออุ่นก็แวะมาบ้านชลธีตามที่บอกโชนไว้ ด้วยเขาเองก็แอบเป็นห่วงเพื่อนอยู่เหมือนกัน
บ้านของชลธีไม่ไกลจากบ้านของไออุ่นนัก อยู่ถัดกันแค่ซอยเดียว หากขับรถมอเตอร์ไซค์ไม่กี่นาทีก็ถึง แต่ปกติแล้วเขาจะชอบเดินมามากกว่า เดี๋ยวนี้น้ำมันขึ้นๆ ลงๆ อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด
ออด
เสียงกริ๊งหน้าบ้านดังขึ้นไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนที่ใบหน้าดูอ่อนเยาว์เกินวัย เดินออกมาเปิดประตูรั้วพร้อมรอยยิ้มใจดีเหมือนอย่างเคย
“สวัสดีครับป้าทิพย์” ไออุ่นยกมือไหว้ทักทายแม่ของเพื่อน
“สวัสดีจ้ะ มาบ้านป้าแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่าอุ่น”
“ผมมาหาไอ้ชลน่ะครับ มันอยู่ไหมครับ”
ท่านทำหน้าฉงน “ชลธียังไม่กลับมาเลยลูก…เมื่อคืนชลธีบอกป้าว่าออกไปเที่ยวกับอุ่นไม่ใช่เหรอ นี่ป้าก็คิดว่านอนค้างบ้านอุ่นซะอีก”
ไออุ่นทำสีหน้าไม่ถูก จึงรีบปั้นน้ำเป็นตัวแก้ต่างแทนเพื่อนไปก่อน เพื่อไม่ให้ป้าทิพย์เป็นห่วง
“อะ…อ๋อ…พอดีเมื่อคืนผมกลับก่อนน่ะครับ สงสัยไอ้ชลจะไปค้างบ้านเฮียโชน”
“ก็คงอย่างนั้นแหละจ้ะ” ท่านพูดรับ
“งั้นผมกลับก่อนแล้วกันครับป้า ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้านะครับ” ไออุ่นกำลังจะหันหลังเดินออกไป แต่ก็ถูกแม่เพื่อนท้วงเรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนอุ่น”
“ครับ?”
“พอดีป้าพึ่งนึ่งขนมตาลเสร็จ จะขอฝากไปให้หนูน้ำหน่อย”
“น้ำชอบขนมตาลฝีมือป้าทิพย์มาก นี่ถ้ารู้ว่าจะได้กินคงดีใจแน่ๆ”
หญิงวัยกลางคนยิ้มรับ ก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้น ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ก็กว้างขวางพอสำหรับสองแม่ลูก
บ้านของชลธีค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ด้วยเพราะมีกลิ่นดอกลีลาวดีอบอวลอยู่ทั่วทิศทาง อีกทั้งยังร่มรื่นมาก มองไปทางไหนก็เจอแต่ต้นไม้ใบหญ้า คล้ายบ้านสวนต่างจังหวัดกลายๆ แบบที่หาดูยากในกรุงเทพฯ ให้ความรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้มา หากไม่บอกคงไม่รู้เลยว่าที่นี่เป็นบ้านกึ่งสำนักหมอดู
“วันนี้ป้าปิดสำนักเหรอครับ” ไออุ่นเอ่ยถาม เมื่อไม่เห็นใครเลย เพราะปกติแล้วเวลาเขามาเที่ยวเล่นที่บ้านเพื่อนสนิท ก็มักจะเห็นผู้คนมาต่อแถวรอคิวให้ป้าทิพย์ดูดวงให้
“ใช่จ้ะ แม่หมอก็ต้องมีวันพักผ่อนบ้าง”
“นั่นสินะครับ”
“เดี๋ยวป้าไปเอาขนมมาให้ อุ่นนั่งรอตรงนี้ก่อนนะลูก”
“ครับ”
ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สักตัวยาวหน้าโทรทัศน์ ผ่านไปไม่ถึงห้านาที ป้าทิพย์ก็เดินออกมาจากครัวพร้อมปิ่นโตใส่ขนมในมือ
“นี่จ้ะ ป้าเอาขนมฟักทองใส่ไปให้ลองชิมด้วยนะ พอดีพึ่งหัดทำ อร่อยไม่อร่อยยังไงก็มารีวิวป้าด้วยล่ะ”
“ระดับป้าทิพย์ก็ต้องอร่อยอยู่แล้วครับ” ไออุ่นรับปิ่นโตมา “ขอบคุณมากนะครับป้า งั้นผมกลับ…”
“ช่วงนี้มีเรื่องให้วุ่นวายใจมากเลยสิ” ป้าทิพย์พูดแทรกขึ้นมา ไม่ทันให้ไออุ่นได้กล่าวลา
“ครับ?”
“จำได้ไหม ที่ป้าเคยบอกว่าปีนี้จะเป็นปีที่พลิกชีวิตของอุ่นน่ะ”
“อะ…อ๋อ…จำได้ครับ” ไออุ่นตอบรับไม่เต็มเสียงนัก ด้วยเจ้าตัวไม่ค่อยเชื่อในเรื่องดวงเรื่องโชคชะตาสักเท่าไหร่
“มันใกล้จะเกิดขึ้นแล้วนะ”
“ฮะ? ยังไงเหรอครับ” แม้ไออุ่นจะไม่เชื่อเรื่องดวง แต่พอผู้ใหญ่ที่เคารพเกริ่นนำชักจูงใจ จึงทำให้เขาเกิดความอยากรู้
“สิ่งที่เข้ามา จะส่งผลต่ออุ่นไปตลอดชีวิต ขอแค่อุ่นเปิดใจ อะไรที่คิดว่าไม่ดี มันอาจจะดีก็ได้”
เด็กหนุ่มหัวทันสมัยที่ไม่เชื่อเรื่องดวงชะตานิ่งฟัง แม้เขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ป้าทิพย์พูดเลยก็ตาม
“ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ขอแค่เชื่อมั่นในตัวเองและคนที่รักก็พอ”
ไออุ่นเพียงแค่ยิ้มเจือจางรับคำ หลังจากพูดคุยกันเสร็จ เขาก็ขอตัวกลับ ป้าทิพย์จึงอาสาเดินมาส่งที่ประตูรั้ว
“เอ่อ…ป้าทิพย์ครับ” คราวนี้ไออุ่นเป็นฝ่ายท้วงเรียก
“อยากถามอะไรป้าก็ถามมาเลย” หญิงวัยกลางคนเอ่ยทักราวกับรู้อยู่แล้วว่าเขามีเรื่องค้างคาอยู่ในใจ ทำเอาไออุ่นชะงักไปเล็กน้อย
“คือถ้าฝันเห็นงูนี่…มันหมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ฝันว่าโดนงูรัดเหรอจ๊ะ”
แม่นมาก!!
“ครับ แบบนั้นมันดีหรือไม่ดีเหรอครับป้า”
“โบราณว่าไว้ฝันร้ายจะกลายเป็นดี” ป้าทิพย์พูดเพียงแค่นั้น โดยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม ทิ้งความสงสัยเอาไว้กับเด็กหนุ่ม แต่ไออุ่นก็สบายใจขึ้น ถึงไม่รู้ความหมายของฝันนั้น แต่อย่างน้อยมันก็เป็นฝันที่จะกลายเป็นเรื่องดี
หลังจากให้แม่ของชลธีทำนายฝัน ไออุ่นก็เดินกลับบ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่ถัดไปซอยเดียว ก่อนจะพบว่าประตูถูกใส่แม่กุญแจไว้ วันนี้เป็นวันหยุดของน้ำ ปกติแล้วหากวันไหนไม่มีสอน เธอจะนอนตื่นสาย ไม่น่าออกไปไหนแต่เช้าแบบนี้
ด้วยความเป็นห่วง ไออุ่นจึงตั้งใจจะโทรหา แต่ไม่ทันได้โทรคนที่กำลังนึกถึงก็เปิดประตูรั้วเดินเข้ามาพอดี
“สภาพดูไม่ได้เลยนะอุ่น เมื่อคืนดื่มหนักล่ะสิ”
“อืม เห็นเฮียโชนเล่าว่าอุ่นคลานเป็นหมาเลยแหละ”
“มันใช่เรื่องน่าอวดไหมเนี่ย แล้วแบบนั้นเฮียโชนคงลำบากแย่ น้ำบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าดื่มเยอะ ไม่ฟังกันเลย”
“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอก…แล้วนี่น้ำไปไหนมา วันนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ”
“น้ำออกไปหาเพื่อนน่ะ”
“แต่งหน้าแต่งตัวสวยซะขนาดนี้ แน่ใจนะว่าแค่เพื่อน” ดวงตาเฉี่ยวหรี่เล็กลงยิ่งกว่าปกติบอกให้รู้ว่ากำลังจับผิดคู่สนทนา
“เพื่อนนน”
“แล้วไป”
“อุ่นน่ะชอบห่วงเกินเหตุ”
“ก็น้ำทั้งสวย ทั้งเก่ง ทั้งแสนดี ถ้ามีไอ้พวกเศษสวะมายุ่งกับน้ำจะทำยังไง”
“ใครจะกล้ายุ่ง อุ่นดุอย่างกับร็อตไวเลอร์ขนาดนี้”
“หลอกด่าว่าอุ่นเป็นหมาเหรอฮะ” มือหยาบขยี้หัวหญิงสาวด้วยความหมั่นไส้ ให้เธอได้ยิ้มขำ
“นั่นอะไรน่ะ ใช่ปิ่นโตป้าทิพย์ปะ น้ำจำได้”
“อืม เมื่อกี้อุ่นแวะไปบ้านไอ้ชลมา ป้าทิพย์เลยฝากให้เอาขนมตาลมาให้น้ำ เห็นว่ามีขนมฟักทองด้วยนะ”
“จริงอะ!!” น้ำส่งเสียงดีใจ ก่อนจะรับปิ่นโตจากมือไออุ่นไปกอดไว้แน่น “นี่ของน้ำหมดเลยนะ อุ่นห้ามแย่ง”
“จ้า เชิญกินคนเดียวให้อ้วนไปเลย”
ใบหน้าหวานย่นจมูกใส่ไออุ่น ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี ให้คนเดินตามได้ยิ้มส่ายหน้าอย่างนึกเอ็นดู
*****
วันต่อมา…
หมับ!
“ไอ้เชี่ยชล มึงหายหัวไปไหนมาฮะ” ไออุ่นไม่ปล่อยโอกาสให้เพื่อนเดินหนีรีบเข้าไปคว้าคอชลธี ตั้งแต่เจ้าตัวย่างกายเข้ามาในอู่รถ “เฮียโชนบอกกูว่ามึงหายตัวไปในผับ กูกับเฮียโทรไปมึงก็ไม่รับ”
“กู…กูจะไปไหนได้ล่ะ กูก็กลับบ้านกูน่ะสิ” ชลธีตอบตะกุกตะกัก แต่หารู้ไม่ว่าคำแก้ตัวนั้น ยิ่งสร้างความน่าสงสัยให้เพื่อนสนิทมากขึ้นไปอีก
“แปลกเนอะ เมื่อวานกูไปหามึงที่บ้าน แต่ป้าทิพย์บอกกูว่ามึงยังไม่กลับ”
“…..” ชลธีชะงักงัน มีคำว่าพิรุธตัวโตๆ แปะอยู่บนใบหน้า
“มึงจะบอกกูดีๆ หรือจะให้กูใช้กำลัง!” ไออุ่นไม่พูดเปล่า ใช้แขนรัดคอเพื่อนแน่นเพื่อเค้นถามให้อีกฝ่ายจนมุม แม้ชลธีจะสูงกว่าแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนแรงเยอะอย่างไออุ่น
“โอ๊ยยย ไอ้อุ่นปล่อยกูก่อน! สัดกูหายใจไม่ออก!!”
“กูไม่ปล่อยจนกว่ามึงจะบอกว่ามึงหายหัวไปกกสาวมาใช่ไหม”
“กะ…กูไม่ได้ไปกกใครทั้งนั้นแหละ”
“เหรอ…แล้วนี่รอยอะไร” แม้ร่องรอยสีกุหลาบจะหลบซ่อนอยู่ตรงไหปลาร้าของชลธี แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาคู่เฉียบคมของไออุ่นได้ ซึ่งเจ้าของรอยก็ดูจะตกใจมากเหมือนกันที่โดนทัก
“รอยยุงกัดเว้ย มะ…ไม่ใช่รอยดูด!” คำแก้ตัวราวเด็กอนุบาล ดึงความสนใจจากคนทั้งอู่มากขึ้นกว่าเดิม
“เฮ้ยยพวกมึง ไอ้ชลมันบอกว่าโดนยุงดูดมาว่ะ แต่ดูจากรอยแล้วยุงคงปากใหญ่น่าดู ฮ่าๆ” ไออุ่นตะโกนบอกคนทั้งอู่อย่างต้องการแกล้งเพื่อน ให้ทุกคนพากันส่งเสียงโห่แซวล้อเลียนชลธีกันยกใหญ่
“ไหนดูซิ” หมีกับเนย์ ช่างประจำอู่ที่แก่กว่าสองปีเข้าไปประกบชลธี ก่อนจะช่วยกันถลกเสื้อยืดที่เจ้าตัวสวมใส่ขึ้น “เชี่ยยย มีรอยจริงด้วย แล้วไม่ได้มีแค่รอยเดียวด้วยนะเว้ย ร้อนแรงสัด”
“ไอ้พวกขี้เสือกปล่อยกูเลยนะ!”
เสียงหัวเราะโห่แซวดังสนั่นไปทั่วทั้งอู่ ตามประสาเพื่อนผู้ชาย ไม่ดูสีหน้าคนโดนแกล้งเลยแม้แต่น้อย
“เล่นกันสนุกเลยนะพวกมึง กูจ้างให้มาทำงานเว้ย ไม่ใช่ให้มาอู้” เสียงเจ้าของอู่รถดังมาแต่ไกล ทำเอาวงสนทนาแตกกระเจิง
“โธ่เฮีย นิดๆ หน่อยๆ” ไออุ่นพูดขึ้น
“แล้วนี่คุยอะไรกัน เสียงดังเข้าไปในห้องทำงานกูเลย”
“ก็ไอ้ชลน่ะสิเฮีย มันหายไปกับสาวอย่างที่ผมเดาไว้จริงๆ ด้วย” พอได้ยินที่น้องคนสนิทพูดบอก โชนก็หันไปยิ้มล้อชลธีทันทีไม่ต่างจากคนอื่น
“คืนก่อนทำกูเดินหาวุ่นไปหมด วันหลังถ้ามึงจะไปกับสาวที่ไหน ช่วยบอกกูก่อนได้ไหมฮะ กูจะได้ไม่เสียเวลาตามหา…ว่าแต่สาวที่มึงไปด้วย ใช่สาวผมทองที่ยิ้มให้มึงในผับหรือเปล่าวะ”
“อะ…อื้ม คนนั้นแหละเฮีย” ชลธีตอบรับยิ้มๆ เหมือนจะโอ้อวด แต่แอบปิดซ่อนสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้ จนไม่มีใครจับได้
“กูว่าแล้วไง! มึงนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ สมแล้วกับที่เป็นน้องรักของกู” โชนเข้าไปตบไหล่ชลธีอย่างภาคภูมิใจ
สงครามการแซวเพื่อนจบลงในไม่กี่นาทีต่อมา ทุกคนต่างแยกย้ายไปทำงานของตัวเองต่อ เพราะคำพูดเจ้าของอู่ที่ว่าจะตัดเงินเดือนหากยังเอาแต่อู้งาน วันนี้ช่างทุกคนเลยขยันขันแข็งกันเป็นพิเศษตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเลิกงาน
“ไอ้อุ่น เดี๋ยวมึงแวะบ้านกูก่อนปะ” ชลธีถามขึ้น ขณะกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน
“วันนี้กูรีบว่ะ เมื่อคืนน้ำดูไม่ค่อยสบาย กูไม่อยากให้น้ำอยู่บ้านคนเดียว”
“เออๆ งั้นกูไปก่อนนะ ไว้เจอกันมึง”
ไออุ่นพยักหน้าตอบรับ พอทุกคนกลับไปจนหมด เขาก็รับหน้าที่ล็อกประตูอู่ตามเวรที่ได้จัดกันไว้ ความจริงวันนี้ไออุ่นตั้งใจจะไปรับหญิงสาวที่ทำงานด้วยเห็นว่าเจ้าตัวไม่ค่อยสบาย แต่คนดื้อดึงไม่ยอม บอกจะกลับเองท่าเดียว จนชายหนุ่มอ่อนใจ
กว่าจะแวะซื้อกับข้าวซื้อยาเสร็จไออุ่นก็มาถึงบ้านเกือบทุ่มครึ่งแล้ว ในตอนนั้นเขาเห็นน้ำเดินเข้าบ้านไปพอดี ไออุ่นจึงขับรถมาจอดภายในรั้วแล้วจะเดินตามคนตัวเล็กเข้าไป แต่ในจังหวะที่มือหยาบกำลังจะเอื้อมไปจับลูกบิดประตู ดวงตาสีนิลก็ไปสะดุดเข้ากับกระดาษแผ่นเล็กที่ตกอยู่บนพื้นหน้าประตูเสียก่อน เขาจึงก้มลงไปเก็บขึ้นมาดู กลายเป็นว่ามันคือนามบัตรของใครคนหนึ่ง ที่ไออุ่นเองก็ไม่คุ้นชื่อสักเท่าไหร่
คชา พญาเลิศ
เด็กหนุ่มพลิกนามบัตรในมือไปมา คิดว่าคงเป็นของน้ำทำหล่นไว้ เขาจึงเก็บใส่กระเป๋ากางเกงอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป