เมื่อหญิงสาวที่มีพลังมองเห็นโลกมืดเหนือธรรมชาติ มาเจอกับทายาทมหาเศรษฐีร้อยล้านที่ตามหาความจริงเกี่ยวกับอดีตบางอย่างของตน เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกมืดเกิดเบลอเสียจนแทบแยกไม่ออกอีกต่อไป
พารานอมอล,ลึกลับ,อาชญากรรม,รัก,ผจญภัย,ผจญภัย,ดราม่า,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สยองขวัญ,หลอน,วิญญาณ,พระเจ้า,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"สิ่งที่กัดกินความคิดของเราควบคุมชีวิตของเรา" ------
ปีพ.ศ. 2564/ กรุงเทพมหานคร
“หวาน เมื่อไหร่แกจะออกมาเยี่ยมเพื่อนฝูงบ้างวะ” เสียงโอ๊ตแว่วมาตามสาย “หลายเดือนแล้วนะเว้ย จะเก็บตัวประกวดนางงามรึไง”
หวานยิ้มมุมปาก เดินไปเปิดม่านหน้าต่างตรงหน้าเพื่อรับแสงแดดยามบ่าย คอนโดเรียบๆ ของเธอตั้งอยู่ใจกลางเมือง เต็มไปด้วยเสียงรถราและผู้คนในละแวกใกล้เคียง แต่นั่นไม่รบกวนหวานมากนัก ที่จริง หวานจงใจเลือกชั้นที่ไม่สูงมากเกินไปด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลบางอย่าง การได้ยินเสียงคนเดินพลุกพล่านและเสียงรถผ่านไปมาทำให้หวานสบายใจกว่าการอยู่บนชั้นสูงๆ ปราศจากเสียงรบกวนอย่างที่หลายคนอาจชอบใจ
ชมวิวนอกหน้าต่างจนพอใจแล้ว หวานกระดกกระป๋องเบียร์เข้าปากเป็นครั้งสุดท้าย โยนกระป๋องเปล่าทิ้งลงถังขยะข้างโต๊ะทำงานซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง มันเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียวในห้องรับแขกเล็กๆ นี้ หวานเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ มือกดเปิดสปีกเกอร์แล้ววางมือถือไว้ข้างๆ
“ไม่ว่างเลย งานท่วมหัว” เธอตอบแบบขอไปที สายตาจ้องหน้าจอ มือเริ่มพิมพ์รัวๆ บนคีย์บอร์ด แสงไฟสลัวจากจอคอมพิวเตอร์สะท้อนใบหน้าสะสวยไร้เครื่องสำอาง “โปรเจคนี้สำคัญ งานใหญ่อยู่ ทำเสร็จคือสบายไปสามสี่เดือนเลย”
“เออๆ คำตอบยอดฮิต พูดเหมือนเดิมทุกรอบ สรุปเมื่อไหร่ว่าง เรากลับไปเยี่ยมบ้านกัน” โอ๊ตเซ้าซี้ต่อ
มือหวานหยุดกึกกลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเฉยเมยอย่างฉับพลัน หวานเหลือบมองมือถือข้างคีย์บอร์ด เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงาน สองมือยกขึ้นเสยผมหน้ายาวๆ ที่ปรกตา ภาพของแม่หวานปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง
ในเช้าตรู่ของวันเกิดครบเจ็ดขวบของหวาน แม่สวมชุดเดรสลายดอกไม้สีฟ้าเล็กๆ สวยสะดุดตายืนวุ่นอยู่ในครัว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแม่กำลังอบเค้กวันเกิดให้หวานอยู่ หวานยืนอยู่ที่กรอบประตูห้องครัว
“อื้ม.. หอมจัง” หวานพูดอย่างตื่นเต้น แม่หันมามองหวาน ยิ้มกว้างประดับใบหน้า หวานรักรอยยิ้มของแม่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะดวงตาของแม่ที่ดูเหมือนจะยิ้มไปพร้อมกันด้วย ทำให้ทั้งใบหน้าของแม่สว่างไสว
“สุขสันต์วันเกิดนะจ๊ะลูกสาวแม่” แม่กล่าวพร้อมลูบหัวหวานเบาๆ “ไปอาบน้ำอาบท่าเสียก่อน ค่อยลงมากินเค้กนะ”
หวานแหงนขึ้นมองหน้าแม่ ฉีกยิ้มกว้าง หันหลังจะกลับขึ้นชั้นบนเพื่ออาบน้ำตามที่แม่บอก
“หวาน..” หวานชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับไปทางต้นเสียง “เป็นเด็กดีนะลูก อย่าดื้อกับย่าภา อย่าทำย่าเสียใจ” หวานเอียงคอฟังที่แม่พูด ฉงนสงสัยกับสิ่งที่ได้ยิน แม่ยังคงยิ้มกว้างอย่างเคย เพียงแต่ตอนนี้ดวงตาของแม่ไม่ได้ยิ้มไปด้วยเหมือนเมื่อสองสามนาทีก่อน มันกลับดูเศร้าหมองในแบบที่หวานอธิบายไม่ถูก หวานอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ตัดสินใจหยุดไว้แค่นั้น
‘ไม่มีอะไรมั้ง’ หวานปัดความรู้สึกแปลกๆ ออกไปจากใจ พยักหน้ารับคำ ก่อนวิ่งขึ้นชั้นบน หากเพียงวินาทีนั้นหวานหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง เธอจะได้เห็นว่าตอนนี้ รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของแม่หายไป มันถูกแทนที่ด้วยน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างขณะมองตามหลังลูกสาว
หวานยกมือขึ้นทาบอกก่อนกำมือเป็นหมัดแน่น รู้สึกเจ็บลึกที่หน้าอกเหมือนถูกมีดบาด นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นรอยยิ้มของแม่..
“ว่าไงแก” เสียงโอ๊ตดังมาตามสาย ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ หวานสูดหายใจลึก รอให้อาการเจ็บหน้าอกทุเลาลง
“ไอ้หวาน แกฟังอยู่รึเปล่า..”
หวานกดตัดสาย ถอนหายใจยาว ‘นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิด’ เธอถามตัวเอง หวานนึกถึงกลิ่นอายทะเลและฟ้าสีคราม พร้อมปล่อยใจตัวเองรำลึกถึงความทรงจำเก่าๆ ..
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากเหตุการณ์วันที่หวานเห็นผู้หญิงหัวโล้นยืนอยู่หลังย่าภา บรรยากาศในบ้านก็เปลี่ยนไป ตอนนั้นหวานยังเด็กนัก และไม่รู้จะไปหาเหตุผลที่ไหนมาเป็นสาเหตุของความเย็นชาระหว่างพ่อกับแม่ แต่ด้วยสัญชาติญาณ เธอรู้สึกได้ว่าส่วนหนึ่งส่วนนั้นของเธอ.. ความสามารถในการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น เป็นต้นเหตุหลักของความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ย่าภาซึ่งแก่ชราแต่สุขภาพแข็งแรงตามอัตภาพ เป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่คงท่าทีใจดีและอ่อนโยนเฉกเช่นเดิม แต่พ่อกับแม่เริ่มมีปากเสียงกันบ่อยขึ้น หวานจดจำสีหน้าเศร้าสร้อยตลอดเวลาของแม่ได้ดี ส่วนพ่อก็เริ่มออกไปดื่มเหล้าและกลับบ้านดึกแทบทุกคืน
กลางดึกคืนหนึ่ง หวานงัวเงียตื่นมาได้ยินแม่กระซิบ “จะทำตัวแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” หวานเขยิบเข้าใกล้ประตู ระวังไม่ให้เกิดเสียงพร้อมเอาหูแนบ
“ผมแค่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง ไม่ได้หรือไง” เสียงพ่อตอบอ้อแอ้แทบไม่เป็นคำ
“คุณมีคนอื่นใช่รึเปล่า บอกมานะ! ” แม่ของหวานตวาด “กลับบ้านดึกดื่นทุกวัน บางทีกลับเช้า ทำไมไม่เก็บข้าวของไปอยู่กับมันเสียเลยล่ะ! ”
“เปล่านะคุณ คนอื่นที่ไหนกัน” เสียงพ่ออ่อนลงเล็กน้อย “อยู่กันมาจนขนาดนี้แล้ว คุณไม่รู้เหรอว่าผมเป็นคนยังไง”
“ฉันไม่เชื่อ! มันเป็นใคร บอกมาเดี๋ยวนี้นะ” เสียงของแม่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้กลายเป็นเสียงตะโกน “บอกฉันมาว่านังนั่นมันเป็น..”
“ผมกลัว! ” พ่อของหวานพูดแทรกขึ้นมากะทันหัน “ผมกลัว ได้ยินมั๊ย! ” พ่อตะโกน
หวานสะดุ้ง อากาศในห้องนอนร้อนอบอ้าว แต่มือของหวานกลับเย็นเฉียบ รู้สึกหัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก ตลอดเวลาที่ผ่านมา หวานรู้สึกปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่กับพ่อ ‘พ่อกลัวอะไรนะ’ หวานนึกสงสัย ‘พวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายหรือไง’
“คุณหมายความว่ายังไง กลัวอะไร” เสียงแม่เบาลง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความงุนงง
“ตั้งแต่วันที่ลูกเราเห็นพี่เจนพี่สาวผม จิตใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” เสียงพ่อเบาลงจนแทบกระซิบ หวานเอามือทาบอกก่อนกำมือแน่น พยายามหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความหวังว่ามันจะช่วยให้หัวใจเธอเต้นช้าลงได้บ้าง
พ่อพูดต่อ “คนตายแล้วไม่ไปไหน ยังวนเวียนอยู่ใกล้คนเป็น ผม.. ผม..” เสียงพ่อสั่นเครือ “ผมรับไม่ได้จริงๆ หวาดระแวงไปหมด จะกินจะนอน ไม่ว่าจะทำอะไรใจก็คิดถึงแต่เรื่องนี้” พ่อพูดพร้อมเสียงสะอื้น “ผมดื่มเพื่อจะได้ไม่ต้องคิด เมาแล้วก็ลืม แต่พอกลับบ้านมาเห็นหน้าหวาน ความกลัวที่ว่ามันก็กลับมาอีก! ”
หวานยกมือปิดปาก อย่างนี้นี่เองพ่อถึงกลับบ้านหลังจากหวานเข้านอนแล้วทุกคืน หวานหูอื้อไปหมด เสียงพูดคุยกันยังคงดำเนินต่อไป แต่หวานไม่ได้ยินอะไรอีก เธอก้าวออกห่างจากประตูแล้วเดินกลับไปที่เตียง คืนนั้น หวานนอนหลับๆ ตื่นๆ ฝันร้ายตลอดทั้งคืน
หลังจากคืนนั้น หวานไม่คุยกับพ่ออีก คิดเจ็บใจที่พ่อขี้ขลาดตาขาว คนที่ทุกข์ทรมานต้องเห็นสิ่งน่ากลัวที่ไม่มีใครอยากเห็นคือตัวเธอ แต่พ่อกลับหวาดกลัวมากกว่าเธอเสียอีก ยิ่งคิดหวานก็ยิ่งเสื่อมศรัทธาและผิดหวังในตัวพ่อมากขึ้นทุกวัน
-------