เมื่อหญิงสาวที่มีพลังมองเห็นโลกมืดเหนือธรรมชาติ มาเจอกับทายาทมหาเศรษฐีร้อยล้านที่ตามหาความจริงเกี่ยวกับอดีตบางอย่างของตน เส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกมืดเกิดเบลอเสียจนแทบแยกไม่ออกอีกต่อไป
พารานอมอล,ลึกลับ,อาชญากรรม,รัก,ผจญภัย,ผจญภัย,ดราม่า,ชาย-หญิง,ลึกลับ,สยองขวัญ,หลอน,วิญญาณ,พระเจ้า,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หวานขับรถเรื่อยๆ การเดินทางกลับเกาะกำพันบ้านเกิดทำให้รู้สึกเครียดอยู่บ้าง แต่การตัดสินใจเผชิญกับความเป็นจริงให้ความรู้สึกเป็นอิสระอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอยอมรับ.. ว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลเรื่องงานสำคัญแบบนี้ คงไม่มีวันที่เธอจะตัดสินใจกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วยตัวเองเป็นแน่
หวานแตะกรอบแว่นตาก่อนเหลือบไปมองชายร่างสูงข้างๆ ที่ตอนนี้นั่งมองไปข้างหน้าเงียบๆ อะไรแย่กว่ากันนะ.. ระหว่างการต้องเห็นภาพแม่ตัวเองผูกคอตายอย่างที่เธอต้องประสบ กับการไม่รู้เลยว่าแม่ของตัวเองตายเพราะอะไรอย่างเขา?
เธอเข้าใจความเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปอย่างกะทันหันของแม่ อย่างที่เขาคงรู้สึกเมื่อสิบแปดปีก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่หวานไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อคิดถึงอดีตอันแสนเจ็บปวด เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เธอรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวคนเดียวในโลกบิดเบี้ยวแสนโหดร้ายใบนี้
"เราแวะพักที่ปั๊มน้ำมันกันดีไหมครับ?" การันต์ถามเบาๆ พลางชี้ไปที่ปั๊มขนาดใหญ่สว่างไสวข้างหน้า
"ได้ค่ะ" หวานตอบ 'ดีเหมือนกัน จะได้ยืดแข้งยืดขาเสียหน่อย' เธอคิดในใจ
หวานเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมัน เติมน้ำมันเต็มถัง จากนั้นขับเลยไปจอดหน้าร้านสะดวกซื้อในบริเวณเดียวกัน พื้นที่ตรงนี้สว่าง มีผู้คนเดินไปมาพลุกพล่าน มีห้องน้ำไว้บริการใกล้ๆ กัน แถมมีร้านอาหารหลากหลายชนิดให้เลือกซื้อ
"อยากได้อะไรไหมคะ ฉันจะไปซื้อให้" หวานหันไปถามเจ้านาย
"แค่น้ำเปล่าขวดนึงก็พอครับ" เขาตอบ
หวานพยักหน้ารับ หันไปหยิบกระเป๋าสตางค์จากเบาะหลังแล้วเดินลงจากรถไป การันต์มองตามร่างระหงษ์ ก่อนเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถไปยืดแข้งยืดขา
ขณะเลือกซื้อของ หวานสังเกตเห็นสาวๆ หลายคนแอบมองเจ้านายชั่วคราวของเธอและพากันกระซิบกระซาบไม่หยุด บางคนก็มองเลยมาที่หวานด้วยแววตาอิจฉานิดๆ ซึ่งเธอแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวว่าถูกพูดถึง
ถึงอีกฝ่ายจะสั่งแค่น้ำเปล่าแต่หวานซื้อของหลายอย่างตามใจ ทั้งแซนวิช มันฝรั่ง พาย กาแฟกระป๋อง และของกินจุกจิกอื่นๆ และไม่ลืมที่จะขอใบเสร็จเอาไว้เบิกคืน ตอนนี้เวลาบ่ายสี่โมงแล้ว พวกเธอยังต้องขับรถต่ออีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
คุณการันต์นั่งรออยู่เธออยู่ที่เก้าอี้ม้าหินใกล้รถของพวกเขา
"หิวมั้ยคะ เราไปหาอะไรทานกันดีกว่า" หวานเสนอ "เคยทานอาหารไทยมาก่อนหรือเปล่าคะ?"
ชายหนุ่มยิ้มอบอุ่น "ต้มจืดเต้าหู้, ไข่เจียวหมูสับ, กะเพราไก่ไข่ดาว.. แม่ผมทำให้ทานบ่อยเลย"
"จริงสินะคะ ฉันลืมไปเลยว่าคุณก็เป็นคนไทยคนนึง" หวานยิ้มอายๆ "งั้นเราไปกิน "ข้าวแกง" กันดีกว่า"
"ข้าวแกงเหรอครับ?" การันต์เอียงคอมองเธองงๆ เพราะไม่เคยได้ยินคำว่า "ข้าวแกง" มาก่อน
"ค่ะ.. 'ข้าวแกง'" หวานยิ้ม จากนั้นเดินนำหน้าการันต์ไปในทิศทางของร้านอาหาร ร่างสูงเดินตามอย่างว่าง่าย
--------
การันต์จ้องจานข้าวของตัวเองตาโต อาหารสี่อย่างที่หวานเลือก โปะเป็นกองเท่าภูเขาอยู่บนข้าวอีกทีในจาน ส่วนตัวเธอเองมีอาหารอยู่แค่สองอย่าง
"โอ้โห" การันต์หลุดปากออกมาได้แค่คำเดียว ตายังเบิกโตด้วยความแปลกใจ
หวานแอบขำเล็กๆ "นี่ละค่ะ 'ข้าวแกง' ทานให้อร่อยนะคะ"
การันต์เห็นหวานแอบขำเลยหัวเราะออกมา "นี่คุณตั้งใจอำผมใช่มั้ยเนี่ย?" เขาถามอย่างอารมณ์ดี ฟันขาวสมบูรณ์แบบเรียงตัวสวย ดวงตาคมปิดแทบสนิทตอนหัวเราะทำเอาเธอใจเธอเต้นแรง ความพยายามที่จะทำให้เขาคลายความตึงเครียดลงบ้างได้ผลดีเกินคาด
"เปล่านะคะ" เธอหัวเราะทั้งที่ใจยังเต้นรัว "ฉันแค่เห็นว่าเรายังต้องเดินทางกันอีกไกล ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้องนะคะ"
ทั้งสองหัวเราะไปด้วยกัน
---------
เกือบหกโมงเย็นแล้วและพวกเขาอยู่บนท้องถนนอีกครั้ง การันต์สังเกตเห็นหวานซังยิ่งดูเคร่งขรึมมากขึ้นทุกทีตามเวลาที่ผ่านไป พวกเขายังอยู่บนถนนสายหลักก็จริง แต่ตอนนี้ออกมาพ้นตัวเมืองแล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยหญ้ารกแห้งและมีบ้านผู้คนบ้างเพียงประปรายเท่านั้น เขามองดูหวานซังขับรถเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
การันต์นึกขึ้นถึงสิ่งที่หวานซังพูดขึ้นมาได้..
"สายตาฉันไม่ค่อยดีตอนขับรถกลางคืน ถ้าเกิดอาการประหม่าบ้าง ก็ไม่ต้องตกใจไปนะคะ"
"หวานซัง มืดแล้ว เปลี่ยนให้ผมขับรถเถอะ"
หญิงสาวหันมามองหน้าเขาสีหน้าเกรงใจ "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยังไหว ขอขับต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนกันก็ได้ค่ะ"
"เปลี่ยนให้ผมขับเถอะ ผมนั่งเฉยๆ มาหลายชั่วโมง เบื่ออยู่เหมือนกัน" เขายิ้มอ่อนโยน "แต่ขออย่างเดียว.."
หวานซังเหลือบมองเขาสีหน้าแปลกใจ "อะไรเหรอคะ?"
"ผมขออย่างเดียวว่าอย่าหลับ" การันต์พูด "อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน"
หวานซังยิ้ม ทำให้ใบหน้าสะสวยสว่างไสวขึ้นมาฉับพลัน การันต์อดยิ้มตามไม่ได้ "ผมพูดจริงนะ จะให้จ้างก็ยอม ผมไม่ชอบขับรถตอนกลางคืนคนเดียว ผมกลัวผี" เขาพูดหน้าตาจริงจัง
เธอหาจังหวะเหมาะ ชะลอรถแล้วจอดเทียบข้างทาง..
การันต์เข้าประจำที่นั่งคนขับ เขาโล่งอกที่หวานซังดูผ่อนคลายลงบ้าง
"คุณบอกว่าเกาะกำพันเป็นบ้านเกิด แสดงว่าคุณกลับไปเยี่ยมที่นั่นบ่อยสินะครับ" เขาชวนคุย
หวานถอนใจ "ที่จริง ฉันไม่ได้กลับไปที่นั่นมาเป็นสิบปีแล้วล่ะค่ะ"
"อ้าว ทำไมละครับ หรือว่าครอบครัวของคุณย้ายไปอยู่กรุงเทพกันหมด?" เขาถามด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่หวานซังดูเศร้าๆ ยังไงชอบกล..
"ฉันไม่รู้ว่าควรบอกคุณเรื่องนี้ดีหรือเปล่า.." หวานซังพูดน้ำเสียงจริงจังตามองตรงไปข้างหน้า "แต่คิดเสียว่าฉันเล่านิทานให้ฟังก็แล้วกันนะคะ" หวานพูดเสียงเรียบ "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นที่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลความเจริญแห่งหนึ่งที่เรียกว่าเกาะกำพัน..."
การันต์ไม่ซักไซ้ แต่รอฟังอยู่เงียบๆ
"มีเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบคนหนึ่ง บังเอิญไปพบแม่ของเธอผูกคอตายในห้องนอน" เธอพูดหลังเงียบไปพักใหญ่ ตายังคงมองไปข้างหน้า
การันต์หันไปมองหวานใจหายวาบ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เขา "เอ่อ.. ถ้าไม่สะดวก ไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้นะครับ"
หวานก้มลงมองมือตัวเองบนตัก "ไหนๆ.. คุณก็เล่าเรื่องแม่ของคุณให้ฉันฟังแล้ว ฉันเองก็ควรเล่าเรื่องของฉันให้คุณฟังบ้าง.."
".. เด็กน้อยคนนั้น.. ตั้งแต่อายุห้าขวบ เธอเริ่มมองเห็นบางอย่างรอบตัวที่คนอื่นมองไม่เห็น พูดง่ายๆ ก็คือ.. เธอเห็นคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ" หวานซังหันมามองเขาด้วยสายตาที่เขาเองก็อ่านไม่ออก
"คะ-- คุณหมายความว่ายังไงน่ะหวานซัง" การันต์ถามเสียงแผ่ว ไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยิน
นั่นเป็นตอนที่หวานซังเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตให้เขาฟัง ทั้งเรื่องที่เธอมองเห็นป้าที่ตายไปแล้ว เรื่องที่พ่อเริ่มทำตัวห่างเหิน กินเหล้าเมากลับบ้านดึกดื่น และวิธีที่แม่ของเธอเลือกที่จะคร่าชีวิตตัวเอง
"เด็กเจ็ดขวบคนนั้นคือฉันเอง และเรื่องทั้งหมดนั่น.." หวานหันมาทางเขา สองมือชี้ตาทั้งสองข้างพลางยิ้มเศร้า "ก็เกิดขึ้นเพราะไอ้ดวงตาเจ้ากรรมคู่นี้แท้ๆ"
"ผม..เสียใจด้วยนะ ที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับคุณ.." เขาพูดเบาๆ
หวานส่ายหน้า "ไม่ต้องเชื่อก็ได้นะคะ ถือเสียว่าฟังนิทานแก้เบื่อก็แล้วกัน"
การันต์หันมองเธอ เขาพอมองคนออกอยู่บ้างและหวานดูไม่เหมือนคนที่จะโกหกเพื่อหาผลประโยชน์ เขาไม่รู้ว่าจะเชื่อเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังดีหรือเปล่า แต่คิดว่าเธอคงมีเหตุผลของเธอที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นบทสนทนา "คุณนี่เก่งนะ รู้ได้ยังไงว่าผมชอบฟังนิทาน" เขาพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
หวานเลิกคิ้วมองเขาด้วยความแปลกใจ
--------
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว หวานกำลังแอบภาวนาในใจขอให้ไม่ต้องเจออะไรน่ากลัวคืนนี้อยู่พอดี ตอนเธอรู้สึกหนาวเยือกขนลุกไปทั้งตัวจนเริ่มมองเห็นหมอกจากลมหายใจตัวเองยาวเป็นสาย
ที่ด้านนอกใกล้ตัวรถ มีผู้หญิงวัยประมาณสามสิบต้นๆ ผมสั้นแค่คอย้อมสีแดงเข้มตามสมัยนิยมหน้าตาสะสวยเดินอยู่ริมถนน เธอสวมชุดเดรสสีม่วงลายดอกไม้ขาวกำลังเดินช้าๆ สวนทางกับรถของพวกเขาที่จอดติดไฟแดงอยู่ ดูท่าทีคล้ายตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้จุดหมายปลายทาง หวานนั่งตัวแข็งมองตรงไปข้างหน้าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พอร่างนั้นเดินสวนรถของพวกเขาไปในที่สุด เธอค่อยๆ ชำเลืองมองกระจกข้าง ภาพที่เห็นทำเอาเธอขนลุกซู่.. ท้ายทอยของเธอผู้นั้นเปิดกว้างเหวอะหวะเผยให้เห็นชิ้นสมองข้างใน
"หวานซัง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว?" เสียงการันต์ปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ ไฟแดงเปลี่ยนเป็นเหลืองและเขียวตามลำดับก่อนเขาค่อยๆ ออกรถ ยังคงหันมองหวานเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง
"ขะ-- ขับระวังนะคะ.. น่าจะมีอุบัติเหตุข้างหน้า" หวานพูดใบหน้ายังซีดเผือด
ก่อนการันต์จะได้พูดอะไร พวกเขาเห็นด่านกั้นตำรวจอยู่กลางถนนพร้อมไฟแดง-น้ำเงินกระพริบเป็นจังหวะอยู่ข้างหน้าไม่ไกล "คุณรู้ได้ยังไง?" เขาถามงงๆ
"ชุดเดรสสีม่วงลายดอกไม้ขาว ผมสั้นย้อมสีแดง.." หวานพูดเสียงสั่น มือแตะจี้ไม้กางเขนที่คอ
"ว่าไงนะครับ?" เขาถามงงๆ
"ภะ-- ภาคต่อจากนิทานที่เล่าเมื่อกี้ค่ะ.." หวานพูดเสียงสั่น "เด็กคนนั้นมองเห็นวิญญาณผู้หญิงผมสีแดงสวมชุดเดรสสีม่วงลายดอกไม้สีขาว"
การันต์มองหวานนิ่งนานพยายามทำความเข้าใจ พอไปถึงด่านกั้น เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูสองนายกำลังเคลื่อนศพไปทางรถตู้ที่จอดอยู่ไม่ไกล
พวกเขาใช้ผ้าขาวคลุมร่างไร้ชีวิตเอาไว้ แต่การันต์ยังไม่วายมองเห็นปอยผมสีแดงเข้มและชายกระโปรงสีม่วงลายดอกไม้สีขาวปลิวไสวตามแรงลม
-- จบตอน --