คู่หมั้นที่ท่านพ่อจับคู่ให้ เป็นเพียงชายชั่วที่หวังแค่ร่างกายและยศศักดิ์ประดับบารมี หากแต่ชายที่ข้ารักสุดหัวใจ ไยท่านพ่อถึงต้องกีดกันความรักของข้าด้วย เพียงเพราะเขาเป็นแค่ทาส มิคู่ควรกับข้าเช่นนั้นฤา?
ชาย-ชาย,ย้อนยุค,ไทย,BL,พีเรียดไทย,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บ่วงเจ้าคำหอม (พีเรียด,BL)คู่หมั้นที่ท่านพ่อจับคู่ให้ เป็นเพียงชายชั่วที่หวังแค่ร่างกายและยศศักดิ์ประดับบารมี หากแต่ชายที่ข้ารักสุดหัวใจ ไยท่านพ่อถึงต้องกีดกันความรักของข้าด้วย เพียงเพราะเขาเป็นแค่ทาส มิคู่ควรกับข้าเช่นนั้นฤา?
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
.
.
.
หากเป็นอย่างที่พระยาคมศักดิ์กล่าวไว้จริง แล้วมีเหตุผลอะไรที่ทำให้พวกมันหวนคืนกลับมาอีกครั้ง พระยาทรงยศได้แต่คิดอยู่ในใจ หากกลุ่มโจรสมิงตาพรานหวนกลับคืนมาจริง ชาวเมืองต้องกลับมาใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ความปลอดภัยในเมืองก็แทบจะเป็นศูนย์ แล้วแบบนี้จะให้พระยาทรงยศผู้เป็นเจ้าเมือง และเป็นที่พึ่งพาของเหล่าชาวเมือง ต้องทนอยู่เฉย ๆ รอฟังข่าวคราวการเสียชีวิตของชาวเมืองในแต่ละวันได้อย่างไรกัน
“พวกเจ้าตกใจอะไรกัน จากข่าวคราวที่ได้ยินกันมา ปกติแล้วนอกจากพวกมันจะดักปล้น ขโมยของ พวกมันก็มิลืมที่จะลงมือสังหารผู้คนอยู่แล้วนี่ พวกเจ้าก็ได้ยินมามิใช่รึไง”
แน่นอนว่าเรื่องราวความโหดเหี้ยมของกลุ่มสมิงตาพราน เป็นที่เลื่องลือมาตั้งแต่สมัยที่พระยาคมศักดิ์เองยังเยาว์วัย แม้ว่าในเมืองที่พระยาคมศักดิ์อยู่จนกระทั่งเขาได้ขึ้นเป็นเจ้าเมือง จะไม่มีข่าวคราวของกลุ่มสมิงตาพรานเข้ามาวุ่นวาย แต่ชื่อเสียงด้านลบที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศของพวกมันนั้น ก็ทำให้พระยาคมศักดิ์รู้จักโจรป่ากลุ่มนี้อยู่ดี
“เป็นอย่างที่เจ้าว่า พวกมันช่างโหดเหี้ยมเกินบรรยาย แม้ในยามนี้ข้าจะมิใช่เจ้าเมือง หากแต่ข้าก็กังวลเสียจริง กังวลว่ามันจะเข้ามาในเขตเมืองของข้าเช่นกัน”
ขุนขจรศักดิ์หลังจากที่เป็นผู้ฟังอยู่นาน ก็ไม่วายออกความเห็นเช่นกัน
“เมืองของเจ้ายังอยู่ห่างไกลจากเมืองของข้านัก หากจะเดินทางไปยังเมืองของเจ้า พวกมันยังต้องข้ามน้ำข้ามทะเลอีกไกล พวกมันคงมิเดินทางข้ามเมืองได้รวดเร็วเช่นนั้นหรอก” พระยาคมศักดิ์เอ่ยแทรก
“ข้าก็หวังให้มันเป็นเช่นนั้น หากพวกมันข้ามเข้ามาในเขตเมืองข้าเมื่อไร ข้านี่แหละจะเป็นคนสังหารพวกมันด้วยน้ำมือของข้าเอง”
แววตาและน้ำเสียงขบขันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หากพวกสมิงตาพรานกล้าที่จะลงมือในเมืองที่เขาอาศัยอยู่จริง ๆ อดีตแม่ทัพศึกที่ชื่นชอบการต่อสู้อย่างขุนขจรศักดิ์ ก็พร้อมที่จะต่อสู้ได้ทุกเมื่อเช่นกัน
“แต่ข้าว่าการกลับมาของพวกมันครั้งนี้มันแปลก” พระยาทรงยศเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“อะไรที่เจ้าว่าแปลก” พระยาคมศักดิ์เอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทางคิดหนักของสหายร่วมงาน
“ผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าล้วนเป็นนักโทษคนคุกเสียส่วนใหญ่ มิใช่เหล่าชนชั้นสูงหรือแม้กระทั่งเศรษฐี และที่สำคัญมิมีการสลักสัญลักษณ์อย่างที่เคยทำทิ้งไว้นี่สิ” พระยาทรงยศกล่าวเสริม
“คนพวกนั้นเคยเป็นโจรป่าที่ทางการจับตัวได้ใช่ฤๅไม่” พระยาไตรเทพที่ดูเหมือนจะคิดอะไรออกเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นมา
“ใช่ เป็นอย่างที่เจ้าว่า”
“หากเป็นอย่างที่ท่านไตรเทพกล่าวมา ข้าว่านี่อาจเป็นความแค้นส่วนตัวระหว่างพวกสมิงตาพรานกับนักโทษพวกนี้ก็เป็นได้”
หนึ่งในเจ้าเมืองที่ร่วมประชุมเอ่ยแทรกขึ้นมาเช่นกัน ความสงสัยของทุกคนในยามนี้ สามารถตีความไปได้หลายทาง
“ฤๅพวกที่ปล้นเหมืองเจ้า มันจะมิใช่กลุ่มสมิงตาพราน แต่เป็นกลุ่มโจรอื่นที่ต้องการเลียนแบบไอ้พวกสมิงตาพราน” ขุนขจรศักดิ์เองก็ออกความเห็นเช่นกัน
“แล้วพวกมันจะเลียนแบบพวกนั้นเพื่ออะไรกัน ทางการเองก็ประกาศกร้าวไปทั่วสารทิศที่จะจับตัวพวกมัน จะเลียนแบบให้เสียเวลาถูกจับไปเพื่ออะไรกัน”
พระยาคมศักดิ์ค่อย ๆ วิเคราะห์ถึงสาเหตุ หากเป็นการเลียนแบบจริง ก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นมีเหตุผลอะไรที่จะต้องเลียนแบบ แต่ไม่ว่าจะใครกันแน่ พระยาคมศักดิ์ก็ยืนยันที่จะเชื่อว่า กลุ่มคนที่ดักปล้นเหมืองและเข่นฆ่าผู้คนในเมืองพระยาทรงยศ ต้องเป็นพวกสมิงตาพรานไม่ผิดแน่
“ข้าเองก็มิอาจรู้ได้ หลายสิบปีที่พวกมันหายตัวไป แต่จู่ ๆ ก็กลับมาปรากฏตัวเช่นนี้ นั่นยิ่งทำให้ข้ารู้สึกกังวลใจยิ่งนัก”
“ข้ารู้ว่าเจ้ากังวล พวกข้าเองก็กังวลใจมิแพ้เจ้า หากพวกมันกลับมาจริง ทางการก็คงมิปล่อยพวกมันไว้ หากจะให้หวังพึ่งทางการอย่างเดียวก็คงมิได้”
ว่าจบพระยาคมศักดิ์ก็ยกน้ำชาข้างกายขึ้นมาดื่มแก้กระหาย
“ใช่…ถูกอย่างที่ไอ้ศักดิ์มันว่า พวกเราเองก็ต้องระวังตัวมากขึ้น ตื่นตัวตลอดเวลาเช่นกัน เจอหน้าพวกมันเมื่อใด ก็สังหารให้สิ้นซากเสีย”
ขุนขจรศักดิ์เอ่ย พร้อมยกแขนสองข้างขึ้นมาตั้งการ์ดแสดงท่าทางตามอารมณ์ หวังจะสร้างสถานการณ์ไม่ให้เคร่งเครียดจนเกินไป แต่ดูเหมือนยิ่งเขาพยายามสร้างสถานการณ์ให้คลายกังวลมากเพียงใด พระยาทรงยศก็ดูจะยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิมเสียอีก
“ใครมันจะไปเก่งต่อสู้เท่าเจ้าเล่า…ขุนขจรศักดิ์”
“โธ่…ท่านทรงยศ ดูทำหน้าเศร้าเข้า ข้าก็แค่พูดออกไปเช่นนั้น เพราะมิอยากให้เจ้าเครียดนักหรอกหนา คนติดตามเจ้าก็มีนับร้อยนับสิบชีวิต หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริง ๆ เจ้าพวกนั้นก็ปกป้องเจ้าได้อยู่แล้ว”
ขุนขจรศักดิ์พยายามทำให้พระยาทรงยศ อารมณ์ดีขึ้น แม้จะใช้เวลานานหน่อย แต่ก็ยังดีที่เขาสามารถทำให้พระยาทรงยศคลายกังวลลงได้
“เฮ้อ...เพราะท่าทางขบขันของเจ้าหรอกหนา ที่ทำให้ข้าคลายกังวลไปได้ชั่วขณะ”
แม้ในใจจะรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางและคำพูดหนักแน่นของขุนขจรศักดิ์ ผู้เป็นสหายรัก ก็ทำให้พระยาทรงยศลดความกังวลไปชั่วขณะหนึ่ง
“ฮ่าฮ่า…ก็ยังดี ที่ข้าทำให้เจ้าคลายกังวลไปได้บ้าง”
“เจ้านี่จริง ๆ เลย เวลาเคร่งเครียดเช่นนี้ยังชวนขบขันได้อีก” พระยาทรงยศได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ ให้กับสหายของเขา
.
.
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในยามนี้เริ่มคลายกังวลลง มีแต่เสียงหัวเราะขบขันและท่าทางความสุขสมไปเสียแล้ว ทางพระยาไตรเทพที่รู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับบรรยากาศเช่นนี้เสียเท่าไร ยิ่งพระยาทรงยศและขุนขจรพากันหัวเราะชอบใจกัน แทนที่ควรจะจริงจังกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ มันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก จึงเอ่ยแทรกขึ้นมาพาสร้างให้บรรยากาศสบาย ๆ กลับกลายมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
“แต่ข้าว่า ดีมิดีพวกมันอาจจะกำลังหมายตาสิ่งใดนอกเหนือจากแร่ทอง และชีวิตของนักโทษพวกนั้นก็ได้หนา”
“เจ้าหมายถึงสิ่งใดกัน”
พระยาทรงยศจากที่กำลังคลายความกังวล กลับต้องหันมาสงสัยกับคำพูดของพระยาไตรเทพอีกครั้ง
“พวกมันอาจจะหมายตาบางสิ่งบางอย่างจากเรือนของเจ้าก็เป็นได้ เจ้ายศ…เหมืองนั่นก็เป็นของเจ้านี่ หากเริ่มต้นจากเหมือง ดีมิดีเรือนของเจ้าอาจจะเป็นเป้าหมายต่อไป”
ท่าทางและน้ำเสียงจริงจังของพระยาไตรเทพที่เอ่ยออกมานั้น พาให้พระยาทรงยศอดคิดตามไม่ได้ และหากในอนาคตข้างมันเกิดเป็นอย่างที่สหายร่วมงานเขากล่าวจริง เขาผู้เป็นถึงเจ้าเมืองควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดี
“ไอ้เทพ เอ็งก็อย่าเอ่ยเช่นนั้น ให้เจ้ายศมันกลัวนักสิวะ” พระยาคมศักดิ์เอ่ยห้ามสหายของตน
“ข้าเอ่ยเช่นนั้นก็เป็นแค่การคาดเดา เจ้าจะได้ระวังตัวมากขึ้น หากพวกมันบุกเรือนเจ้าขึ้นจริง ๆ เจ้าจะได้รับมือพวกมันได้”
แม้ท่าทางและน้ำเสียงที่พระยาไตรเทพเอ่ยออกมาจะดูเรียบเฉย แต่ในความรู้สึกจริง ๆ เขากลับเป็นห่วงพระยาทรงยศไม่แพ้ผู้ใดเลย เรียกได้ว่าเป็นห่วงอีกฝ่ายมาตลอดตั้งแต่ได้รู้จักกันมา เพียงแค่เขาไม่สามารถแสดงออกว่าเป็นห่วงอีกฝ่ายอย่างโจ่งแจ้งได้ เขาจึงเลือกที่จะไม่แสดงออกทางท่าทางมากนัก และหากพระยาทรงยศเอ่ยปากร้องขอเขา ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไรใหญ่โตมากเพียงใด พระยาไตรเทพผู้นี้ก็พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือแน่นอนอยู่แล้ว
“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับไอ้เทพ เจ้าเองก็ต้องระวังตัวเอาไว้ดีที่สุด”
พระยาคมศักดิ์เอ่ยแทรกอีกครั้ง ในบรรดาผู้ร่วมประชุมงาน ทุกคนต่างก็เป็นห่วงพระยาทรงยศไม่แพ้กัน
“นี่พวกเจ้า นอกจากจะมิช่วยปลอบใจเจ้ายศของข้าแล้ว ยังจะใส่สีตีไข่ให้มันกลัวอีกรึไง ข้าอุตส่าห์ทำให้มันคลายกังวลไปได้แล้วเชียว เสียเรื่องหมด”
ขุนขจรศักดิ์ไม่อาจทนฟังและไม่อาจทนเห็นท่าทางคิดมากของพระยาทรงยศได้ จึงพยายามห้ามปรามไม่ให้ทุกฝ่ายพูดจาไปไกลกว่านี้
“พวกข้ามิใช่คนนิสัยอย่างเจ้า ที่จะปลอบใจเก่งหรือมีอารมณ์ขันเท่าเจ้านี่” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมงานเอ่ยแทรกอีกครั้ง
“ก็ใช่สิ พวกเจ้ามันมิมีอารมณ์ขันกันเสียเลย” ขุนขจรศักดิ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมเล็กน้อย
“ว่าก็ว่าเถอะ เจ้าเองก็มิเคยปลอบใจพวกข้าเช่นกันนี่” หนึ่งในผู้ร่วมประชุมงานเอ่ยขึ้น
“ข้าก็ปลอบนะ แต่พวกเจ้าเมินข้าเองนี่” ขุนขจรศักดิ์ตอบกลับ
“แหม…ขุนขจรศักดิ์ เจ้าเลือกปลอบใจพวกข้าด้วยคำด่านี่นะ ต่างกับเจ้ายศโดยสิ้นเชิง”
“นี่เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” ขุนขจรศักดิ์เอ่ยถามด้วยท่าทางมึนงง
“กับพวกข้าเลือกที่จะด่า กับเจ้ายศปลอบทั้งคำพูด ปลอบทั้งการกระทำ ไหนจะความใส่ใจนั่นอีก น่าอิจฉาสิ้นดี”
“ฮ่าฮ่า…ไอ้ขจรนะไอ้ขจร จนอายุป่านนี้แล้วยังมิเลิกชอบอีกรึไง”
พระยาคมศักดิ์เอ่ยแซว เขารับรู้ถึงเรื่องราวความรักที่เป็นความลับในอดีตมาตลอดหลายปี เรื่องที่ขุนขจรศักดิ์มีใจให้พระยาทรงยศ มาตั้งแต่สมัยที่พวกเขาทุกคนยังมิได้ขึ้นเป็นเจ้าเมือง แต่เนื่องด้วยสมัยนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมีผู้สืบทอด จึงมิอาจมีคู่ครองที่มีเพศสภาพเช่นเดียวกันได้เหมือนอย่างสมัยปัจจุบันนี้
ขุนขจรศักดิ์จึงมิสามารถสารภาพกับอีกฝ่ายได้ เขาทำได้เพียงเก็บงำความลับนั้นเอาไว้ และคอยให้การช่วยเหลือดูแลพระยาทรงยศให้สถานะสหายกันมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าในยามนี้ทั้งขุนขจรศักดิ์และพระยาทรงยศต่างก็มีอายุเข้าเลขห้ากันแล้ว พวกเขาทั้งคู่ก็ยังมิมีคู่ครอง มิมีผู้สืบทอดวงสกุล แต่ขุนขจรศักดิ์ก็มิอาจเอ่ยปากขออีกฝ่ายมาร่วมสถานะคนรักได้
เนื่องจากเขาเล็งเห็นว่ามันคงจะไม่เหมาะสม เมื่อคนหนึ่งเป็นถึงเจ้าเมืองมีหน้าที่รับผิดชอบมากมาย ในขณะที่เขาเป็นเพียงแค่ขุนนางก็เท่านั้นเอง
เพราะเหตุนี้ขุนขจรศักดิ์ถึงได้ไม่คิดอะไรมาก และยังคอยเป็นห่วงพระยาทรงยศในฐานะสหายก็เท่านั้นเอง หากในอนาคตข้างหน้าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะรักกันได้ ก็ขอให้มันเป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน
“เจ้าเงียบปากไปเลยน่า” ขุนขจรศักดิ์เอ่ยห้ามด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
“อะไรของพวกเจ้า เสียงดังไปทั้งเรือนแล้วนี่”
เนื่องด้วยเสียงที่ดังไปทั่วทั้งห้องโถงของขุนขจรศักดิ์ และดังขนาดที่ทำให้พระยาทรงยศที่กำลังสนทนากับพระยาไตรเทพอยู่ จำต้องหันมาติเตือน
“มะ…มิมีอะไร”
“เฮ้อ…ทรงยศเจ้าเองก็อย่าไปสนใจพวกนี้นักเลย เจ้าลองเก็บไปคิดตาม แต่อย่าได้กังวลเกินเหตุ หากเกิดเหตุอะไรกับเจ้าขึ้นมาจริง ๆ พวกข้าให้สัญญาจะรีบไปช่วยเจ้าทันที”
พระยาไตรเทพเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาและน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเป็นห่วงอีกฝ่ายด้วยใจจริง
และใช่ ในอดีตไม่ได้มีเพียงขุนขจรศักดิ์เท่านั้น ที่มีใจให้พระยาทรงยศ หากแต่พระยาไตรเทพเองก็มีใจให้พระยาทรงยศไม่แพ้กัน เพียงแต่เขานั้นจำต้องมีคู่ครองและครอบครัวสืบทอดวงศ์ตระกูล จึงไม่อาจหันมารักพระยาทรงยศได้เช่นกัน
“ขอบใจเจ้าและทุกคนมาก ข้ารู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เอาเรื่องนี้มาปรึกษาพวกเจ้า แม้ข้าจะมิรู้ว่าสุดท้ายแล้วพวกมันต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ข้าจะหาหนทางรับมือกับเรื่องนี้ต่อไปให้ได้เช่นกัน”