พอฉันมีใจ อยากเป็นแฟนนายจริงๆ นายกลับบอกว่ามันไม่เวิร์ก แต่พอฉันถอยออกมา นายกลับบอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน หึ! กราบเท้าฉันสิ แล้วฉันจะคิดเรื่องของนายดูอีกที
รัก,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ไทย,อื่นๆ,พระเอกโบ้,พระเอกหล่อ,พระเอกเลว,redsun,yaygoh,เนปจูน,แฮค,หล่อรวย,อร่อย,ฟินแซบ,ออริ,นางแบบ,โมเดลลิ่ง,งาน N,พริตตี้,ช่างเครื่อง,อกหัก,ชาย-หญิง,ความรัก,แฟน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
แฟนจ้างก็มีหัวใจพอฉันมีใจ อยากเป็นแฟนนายจริงๆ นายกลับบอกว่ามันไม่เวิร์ก แต่พอฉันถอยออกมา นายกลับบอกว่าอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีฉัน หึ! กราบเท้าฉันสิ แล้วฉันจะคิดเรื่องของนายดูอีกที
รื่องเริ่มต้นที่ งานปาร์ตี้หนึ่ง เนปจูนเผลอนอนกับแขกระหว่างรับงาน พอตื่นมาก็นึกได้ว่าตัวเองเสียเปรียบเพราะไม่ได้เซ็นสัญญารับงาน(เอนหลัง) แค่เอนเตอร์เทรนอย่างเดียว
จึงไปทวงส่วนต่างจากแขก(แฮค) ประจวบกับแฮคถูกแม่คลุมถุงชนพอดี จึงจับเนปจูนมาเป็นแฟนจ้างแลกกับค่าตัว
ความโอนเก่ง โอนไว ของแฮคทำให้เนปจูนปฏิเสธไม่ออก
แุถมความใกล้ชิดก็ค่อยๆ ทำให้หัวใจสาวหวั่นไหว เผลอมีใจให้แฮค ทั้งที่แฮคมันชอบหาย ไลน์ไม่ตอบ มาเจอเฉพาะตอนอยาก
แต่ก็โดนแฮคปฏิเสธ บอกว่าคบกันมันไม่เวิร์ก เนปจูนก็เลยหนีไปหาหนุ่มคนใหม่แบบเจ็บๆ
แต่ไอ้โบ้ดันมานึกได้ทีหลังว่าชีวิตนี้ขาดเนปจูนแล้วเหมือนจะตายให้ได้ งานง้อก็มา เล่นใหญ่ถึงขั้นตกบันไดหนีไฟ 😌
มาดูกันว่า ผัวที่ดีคือผัวใหม่ หรือ จะกินของเก่า
บทนำ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รับงานเอนเตอร์เทน แต่กลับเป็นครั้งแรกที่ถูกโมเดลลิ่งยื่นเอกสารให้เซ็นก่อนเริ่มงานไม่กี่ชั่วโมง หลังอ่านดูแล้ว สรุปสั้นๆ คือ เป็นเอกสารยินยอมว่าจะไม่เอาเรื่องหรือเรียกร้องอะไรในกรณีมีเซ็กส์กับลูกค้า... คนที่ยอมเซ็นเอกสารจะได้รับค่าจ้างเพิ่มเป็นสองเท่า
มันก็น่าสนใจนะ ถึงการมีเซ็กส์ในงานเอนเตอร์เทนจะไม่ใช่เรื่องใหม่ มองตากันแล้วคลิกก็จัดตรงนั้นหรือตรงไหนก็ได้แล้วแต่ความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย
...ทว่าฉันไม่เซ็น
ไม่ใช่ว่าไม่ยอมรับเงื่อนไข เพียงแต่ฉันไม่คิดจะมีอะไรกับลูกค้าอยู่แล้ว เอนเตอร์เทนอย่างเดียวก็พอ ถึงจะได้เงินน้อยกว่าแบบ Full Package ก็ยังสบายใจกว่า ไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงขายตัว ใช้เรือนร่างหากิน ถึงที่ทำๆ อยู่นี่ก็อาศัยรูปร่างหน้าตาหาเงินแต่ฉันก็มีจุดยืนของตัวเองอยู่เหมือนกัน เลิกตราหน้าสักทีว่าผู้หญิงที่ทำงานสายนี้จะยอมแลกศักดิ์ศรีเพื่อเงินทุกคน
ฉันส่งเอกสารสัญญาคืนพี่ที่เป็นโมเดลลิ่งก่อนก้าวขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ด้านหน้าบริษัท พูดว่าบริษัทมันก็แค่ตึกแถวสามชั้นที่เปิดไว้เป็นห้องแต่งตัวเท่านั้นแหละ
“เดี๋ยวจ้ะหนู ทำไมไม่มีลายเซ็นล่ะ” พี่โมเดลลิ่งซึ่งเป็นสาวสองแต่ความสวยไม่เป็นสองรองใครจับข้อมือฉันเอาไว้ก่อนขึ้นรถตู้
“คะ... อ๋อ หนูไม่รับงานนาบ เอนอย่างเดียว”
ฉันตอบอย่างมั่นใจ พี่โมเดลลิ่งเลิกคิ้ว เอียงหน้าเหมือนคิดไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ สีหน้าเริ่มขมวดเป็นปมฉายแววยุ่งยากใจออกมาเรื่อยๆ
“ของแบบนี้พี่ว่าเซ็นไว้เผื่อก็ดีนะ จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง”
“ถ้าหนูเซ็นก็เท่ากับว่าหนูจะปฏิเสธลูกค้าไม่ได้น่ะสิ”
พี่โมเดลลิ่งเงียบไปแป๊บหนึ่ง อ้าปากกำลังจะแย้งก็มีคนอื่นโผล่มาพอดี
“นี่ค่ะพี่ช่อฟ้าของหนูกับเพื่อนๆ” ยัยนั่นยื่นกระดาษสี่ห้าใบออกมาตัดหน้าฉัน คงไม่มีเจตนาจะหักหน้าอะไรหรอก ก็แค่ตำแหน่งยืนมันพอเหมาะพอเจาะเฉยๆ
พี่โมเดลลิ่งหรือ ‘ช่อฟ้า’ ตรวจดูลายเซ็นบนเอกสารทีละแผ่นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้า “โอเค เซ็นครบ ขึ้นไปได้จ้ะ เอ้า... น้องคนนั้นไปไหนแล้ว...”
ทว่าเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นฉันอยู่ตรงนั้นแล้ว แน่นอน ใครจะอยู่รอให้ซักล่ะ ฉันฉวยโอกาสช่วงที่ชุลมุนขึ้นรถพร้อมกับกลุ่มที่เซ็นเอกสารเรียบร้อย ยัยพี่ช่อฟ้าก็ทำเป็นเนี้ยบแค่แรกๆ เท่านั้น พอหลังจากที่ฉันขึ้นรถเสร็จก็มีพริตตี้อีกกลุ่มทยอยกันออกมายื่นเอกสารสัญญาให้ ก็ไม่เห็นว่าเธอจะตรวจอะไรเข้มงวดเหมือนตอนที่ตรวจฉันเลย หรือเพราะฉันมาส่งคนแรก? ชิ... รู้งี้ไม่รีบก็ดี
ผู้หญิงสวยประมาณสิบสองชีวิตนั่งอัดกันอยู่ในรถตู้ วิ่งออกจากหน้าบริษัทโมเดลลิ่งมุ่งตรงสู่ที่หมาย คือโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง รถตู้เข้ามาจอดด้านหลังโรงแรม ส่งคนเสร็จก็กลับไป
ฉันเดินตามกลุ่มมาที่ลิฟต์โดยไม่พูดอะไร ได้ยินพวกเธอซุบซิบกันถึงเรื่องลูกค้าในวันนี้ตั้งแต่ที่อยู่บนรถแล้ว เห็นว่าเป็นแก๊งนักแข่งอะไรสักอย่าง แต่ละคนงานดี แถมยังหล่อแซ่บและรวยมาก... ถ้าเอาใจเก่งๆ ทำให้พวกนั้นติดใจได้อาจจะได้ดิบได้ดีสบายไปทั้งชาติเลยก็ได้ ฉันฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะความคิดไร้สาระนั่นในใจ คิดว่าผู้ชายดีๆ ที่ไหนจะมาเอาพวกหล่อนทำเมียยะ ทำงานแบบนี้แล้วยังจะโลกสวยกันอีก แต่ก็นั่นแหละ ฉันแค่คิดเงียบๆ อยู่คนเดียว ไม่ได้พูดออกไป ไม่งั้นได้กลายเป็นแกะดำของฝูงแน่
“อ้าวสาวๆ มากันแล้วเหรอ”
ทันทีที่ออกจากลิฟต์มา ก็มีเสียงผู้ชายตะโกนทักอย่างเป็นกันเอง พี่วันหนึ่งซึ่งรับหน้าที่เป็นตัวแทนของทุกคนก้าวนำออกไปทักทายผู้ชายรูปร่างท้วม ทรงเสี่ย ทว่าโครงหน้านี่ดูถูกไม่ได้เลย... ทั้งจมูกโด่งเป็นสันมาตั้งแต่หัวคิ้ว ดวงตาเรียวคมดูดุดันแต่ก็พริ้มพรายเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหลือล้น จนน่ากลัวว่าถ้าเผลอจ้องนานๆ จะโดนล่อลวงเข้าจริงๆ
“สวัสดีค่ะเฮีย นี่วันหนึ่งเองค่ะ จำได้หรือเปล่า”
“จำได้สิ น่ารักออกขนาดนี้เฮียจะลืมลงได้ยังไง” ผู้ชายร่างท้วมเหลือบมองพี่วันหนึ่งด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยอย่างเปิดเผย นี่ถ้าเลียได้ก็คงเลียไปทั้งตัวแล้ว
ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ไม่ว่าจะงานไหนๆ ก็ต้องเจอกับคนแบบนี้จนชินแล้ว บางคนมีลูกมีเมียแล้ว แต่พออยู่ในงานเลี้ยงก็หางโผล่ เอาหมดไม่สนห่าเหวอะไรทั้งนั้น
“จริงหรือเปล่าเนี่ย” พี่วันหนึ่งมองช้อนแววตาของคนตรงหน้าพลางยิ้มอ่อนหวาน อ้อนสุดฤทธิ์สุดเดช
“ฮ่าๆ จริงสิครับ ถึงพื้นที่สมองเฮียจะมีไม่เยอะแต่พื้นที่ในหัวใจของเฮียมีเผื่อพวกเราทุกคนอยู่แล้ว”
จะอ้วก...
ทว่า...
“อร๊ายย ปากหวานนะคะเนี่ย”
“คิกๆ เข้าใจพูด”
“น่ารักอะ หุ่นหมีแบบนี้สเปกเลยค่ะ กรี๊ดๆ”
พวกที่มาด้วยกันเขินตัวม้วนเป็นเปลือกหอยทาก บิดเป็นเกลียวเล่นบทสาวน้อยใสซื่อกันหมด
“สเปกเลยเหรอคะ หนูก็สเปกเฮียเหมือนกันนะรู้เปล่า ไปเถอะ เข้าไปข้างในกัน” คนที่เรียกตัวเองว่าเฮียอ้าแขนโอบเอวยัยคนพูดเข้าหา เชยคางขึ้นสั่นเบาๆ ด้วยท่าทางมันเขี้ยว พวกที่เหลือก็รีบรี่เข้าไปขนาบกอดซ้ายขวาของเฮียนั่นจนเต็มฝั่งละสองคน หนีบกระเตงกันเข้างาน
ปาร์ตี้ถูกจัดขึ้นในบาร์ของโรงแรม เป็นบาร์สไตล์โมเดิร์นลัคชูรี่ ตกแต่งอย่างเรียบหรูทันสมัย บรรยากาศไฮคลาสสมกับเป็นงานปาร์ตี้แบบส่วนตัว
เฮียคนนั้นควงพวกผู้หญิงสี่คนไปที่โซฟายาว มีผู้ชายทรงดีที่ต่อให้เห็นรายละเอียดบนหน้าไม่ชัดเจนเพราะแสงไฟค่อนข้างสลัวก็ยังรู้สึกได้ถึงรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาที่ยากจะปฏิเสธ คำว่าหล่อยันเงาไม่เกินจริงเลย
“มาๆ เดี๋ยวเฮียแนะนำให้รู้จักกับน้องชายเฮีย นี่ริกกี้ ฮาน เรซ และก็...”
ฉันที่เดินผ่านมาทางนี้ได้ยินเสียงคุณเฮียตะโกนพูดกับสาวสวยสี่คนที่หนีบอยู่ในวงแขนทั้งสองข้าง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินอะไรอีก แต่เห็นพวกผู้หญิงแยกตัวออกไปนั่งเอาอกเอาใจสองในสี่คนนั้น ส่วนอีกสองคนยังเกาะหนึบอยู่กับเฮีย แต่ไม่นานก็มีผู้หญิงอีกสองคนเข้าไปเติม นั่งขนาบข้างผู้ชายอีกสองคนที่เหลือ
“ว่าไงคนสวย”
ฉันกำลังมองหาเป้าหมายตามหน้าที่เอนเตอร์เทน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาทัก มองจากบรรยากาศรอบตัวและการแต่งกายที่ไม่หรูหรา แค่เสื้อยืดลายสกรีนตัวอักษร REDSUN กับกางเกงยีนส์ขาดเข่าข้างหนึ่ง ก็รู้ว่าเขาเป็นแค่หนึ่งในตัวประกอบของงาน แต่ฉันไม่รังเกียจสักนิด ส่งยิ้มหวานทักทายอย่างเป็นงาน
“สวัสดีค่ะ... สีผมสวยดีนะคะ”
“อ้อนี่น่ะเหรอ” เขาเอามือข้างที่ไม่ได้ถือกระป๋องเบียร์จับผมตัวเอง
ฉันเหลือบมองเส้นผมสีฟ้าอมเทาที่สะดุดสายตาก่อนอันดับแรก เป็นสีที่เข้ากับใบหน้าผอมเรียวของเขามาก ถึงที่แก้มจะมีรอยเปื้อนคล้ายคราบน้ำมันเครื่องและแต่งตัวมอซอเมื่อเทียบกับคนอื่นที่อยู่ในบาร์แต่กลับดูมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ แถมแววตาซุกซนนั่นยังช่วยให้บรรยากาศรอบตัวเขามีชีวิตชีวา คุยด้วยแล้วไม่รู้สึกอึดอัด
ถึงแม้ลุคของเขาจะเทียบคนบนโซฟาไม่ติดแต่องค์รวมก็ไม่ได้แย่เลย อ๊ะ! แล้วนี่ฉันจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นทำไมนะ
“ทำร้านไหนเหรอ สีเนียนมากเลย”
“อยากรู้เหรอ” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ปลายจมูกคมสันอีกนิดเดียวก็จะชนกับหน้าฉันอยู่แล้ว ฉันเอนตัวออกห่างอัตโนมัติ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายน่ะ ไม่ได้ตื่นกลัว คาดว่าคนอื่นที่อยู่ในสถานการณ์นี้ก็คงทำแบบเดียวกัน
“อะอืม ถามเป็นข้อมูลน่ะ เผื่ออยากเปลี่ยนสีผม” ฉันแกล้งพูด รักษารอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้าอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
“ดื่มก่อนสิ แล้วจะบอก” เขายื่นกระป๋องเบียร์มาให้ ฉันเหลือบมอง แกล้งทำเป็นไม่ไว้ใจ ทั้งที่จริงๆ ก็รู้สึกแบบนั้นแหละ แต่เมื่อรักจะทำงานสุ่มเสี่ยงแบบนี้มันก็ต้องรู้จักมีลูกเล่นเพื่อการเอาตัวรอด
“ไม่ใส่อะไรหรอกน่า ไม่ต้องห่วง ที่นี่ห้ามใช้สารเสพติด”
เขาพูดเมื่อเห็นฉันมีสีหน้าลังเล น้ำเสียงที่อธิบายก็เต็มไปด้วยความล้อเล่นไม่จริงจัง แยกไม่ออกว่าพูดจริงหรือแค่พูดเพื่อหลอกให้ฉันสบายใจ
อืม… แต่โมเดลลิ่งของช่อฟ้าก็มาตรฐานสูงอยู่เหมือนกัน ทั้งลูกค้าและบรรดาสาวๆ ในโมเดลลิ่ง เชื่อไหมว่าก่อนรับงาน เจ๊แกถึงกับขอใบรับรองแพทย์เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการตั้งครรภ์จากทุกคน ซึ่งเป็นใบรับรองปลอมๆ ที่ให้หมอคลินิกเซ็นไม่ได้ด้วยนะ ต้องตรวจจริงเท่านั้น แล้วค่อยเอาใบเสร็จค่าตรวจร่างกายไปขอเงินคืนทีหลังกับโมเดลลิ่ง มันดีตรงนี้แหละ ทุกคนก็เลยให้ความร่วมมือเพราะต่างก็อยากได้ความชัวร์กันทั้งนั้น
ฉันทำงานกับช่อฟ้าสามสี่ครั้งแล้ว ปกติจะรับงานรีวิว พริตตี้บ้าง แต่หลังๆ ไปช่วยฟิตเนสก็จะสิงอยู่ที่ยิมเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่ามีลูกค้าชวนไปต่อบ้างแต่ฉันปฏิเสธก็จบ ส่วนงานเอนเตอร์เทนนอกสถานที่แบบนี้เจ้าอื่นก็เคยรับ รอบแรกเป็นนักกีฬา รอบสองเป็นบอร์ดบริหารของบริษัทหนึ่ง รอบสามเป็นกรุ๊ปทัวร์ต่างชาติ… ซึ่งสองรอบแรกฉันยังใหม่ ก็เกือบจะโดนหิ้วขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน โชคดีที่เอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด รอบที่เป็นชาวต่างชาติสบายหน่อยแค่บริการบนโต๊ะอาหาร กินดื่มเสร็จก็แยกย้ายกันไป ส่วนใครจะแลกเบอร์ติดต่อกันภายหลังอันนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว
รอบที่ทำกับพี่ช่อฟ้า ครั้งหนึ่งเหมือนจะเป็นกองถ่ายหนังสักเรื่องมั้ง พวกผู้กำกับ คนที่ทำงานเบื้องหลัง ดื่มฉลองหลังปิดกอง แล้วก็อยากได้สาวๆ ไปเอนเตอร์เทน อันนี้มีเมคเลิฟกันสดๆ กลางห้องเลย พอคนหนึ่งเริ่ม คนที่เหลือก็ของขึ้นตามๆ กัน ส่วนฉัน… เหอะๆ ยัดอาหารใส่ปากแล้วอมเอาไว้ พอจะจูบก็ทำทีพะอืดพะอมอ้วกต่อหน้าผู้ชายที่เข้ามาคลอเคลีย แค่นั้นก็หมดอารมณ์จะทำกับฉันแล้วล่ะ
แน่นอนว่ารอบนั้นก็มีตรวจร่างกายก่อนรับงานแต่ไม่มีเอกสารยินยอมให้เซ็นเหมือนครั้งนี้ ซึ่งคิดไปมันก็แปลกนะ เพราะมันก็น่าจะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า One Night Stand คงไม่มีใครมานั่งเรียกร้องหลังจากที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันจากงานเอนเตอร์เทนนี่หรอก
“หรือว่าไม่ชอบจะเปลี่ยนเป็นค็อกเทลแทน”
เสียงของคนตรงหน้าฉุดฉันออกจากความคิดในหัว กะพริบตามองอย่างรู้สึกสนใจ
“ก็ดีเหมือนกัน” ฉันพูดพลางหันหน้าไปมองทางบาร์ที่มีบาร์เทนเดอร์หน้าตาดียืนประจำอยู่หนึ่งคน ระหว่างนั้นเขาที่ยังไม่รู้แม้แต่ชื่อก็เข้ามาโอบเอวฉันเพื่อจะไปที่เคาน์เตอร์บาร์ ทว่าเดินได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงตะโกนเรียกดังแทรกขึ้นมา
“เฮ้ยแฮค! มานี่หน่อยสิวะ”
เสียงดังมาจากทางโซฟายาวที่มีเฮียร่างท้วมกับผู้ชายทรงดีนั่งกองกันอยู่ เล่นเอาแปลกใจเลยแฮะ ไม่คิดว่าเขาจะโดนเรียก แล้วทำไมสายตาที่มองมาทางนี้ถึงดูรุนแรงแปลกๆ โดยเฉพาะพวกผู้หญิง จำเป็นต้องจ้องกันตาคมบาดเลือดกันขนาดนั้นด้วยเหรอ หมอนี่ก็แค่เด็กที่มีกลิ่นน้ำมันเครื่องติดตัวธรรมดาๆ ไม่ใช่หรือไง
เขาที่ถูกเรียกว่า “แฮค” เปลี่ยนทิศทาง รั้งเอวฉันไปฝั่งโซฟาแต่ฉันไม่อยากไปนั่งเบียดกับคนอื่น
ทุกครั้งที่พวกผู้ชายจับกลุ่มล้อมวงหันหน้าเข้าหากันล้วนมีแต่เรื่องที่ผู้หญิงอย่างเราๆ ไม่อินตาม จะว่าเข้าไม่ถึงก็ไม่ใช่ เรียกว่าไม่น่าสนใจสำหรับผู้หญิงจะเหมาะกว่า แล้วฉันก็ไม่อยากนั่งฟังเรื่องพรรค์นั้นด้วยสิ
“อ๊ะ อย่าเพิ่ง” ฉันทิ้งน้ำหนักลงที่เท้าเกาะพื้นแน่น ยกมือขึ้นวางทาบไหล่เขาเบาๆ พร้อมกับยิ้มหวานบอกกับแฮค “นายไปก่อน ได้ค็อกเทลแล้วจะตามไป”
“หืม” ท่าทางเขาประหลาดใจน่าดูที่ฉันเห็นค็อกเทลสำคัญกว่า มือหนาคลายออกจากเอวฉันด้วยท่าทางเสียดาย
สัมผัสอบอุ่นที่เอวถูกแทนที่ด้วยความหวิวโหวงราวกับโดนป้ายยา ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกแต่พอถูกปล่อยเป็นอิสระกลับเกิดอารมณ์โหยหาแปลกๆ ฉันรีบผลักอาการหวั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจทิ้งอย่างรวดเร็ว เดินไปยังเคาน์เตอร์บาร์ตามลำพัง
ค็อกเทลแก้วแล้วแก้วเล่าถูกวางลงตรงหน้า ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอก แต่หนุ่มรูปหล่อผมยาวสไตล์จอมมารในหนังจีนกำลังภายในเห็นว่าฉันเป็นคนเดียวในบรรดาสาว N ที่มานั่งเคาน์เตอร์บาร์ ในขณะที่คนอื่นๆ ไปเอาอกเอาใจลูกค้าตามมุมต่างๆ ของร้าน ก็เลยชักชวนให้ชิมเมนูค็อกเทลอย่างกระตือรือร้น เผื่อว่าฉันถูกใจจะได้ชวนเพื่อนมาเที่ยวในภายหลัง เข้าใจว่าเป็นการตลาดฉันก็เลยไม่ขัด แถมยังได้ดื่มฟรี โอกาสดีแบบนี้ใครจะปฏิเสธให้เสียของล่ะ
แรกๆ ก็ตั้งอกตั้งใจชิมอยู่หรอก วิเคราะห์ซะจริงจัง แต่หลังๆ ลิ้นเริ่มชา สายตาพร่าเบลอ พอรู้ตัวว่ากำลังเมาฉันก็ยกมือขึ้นห้ามคุณบาร์เทนเดอร์ ให้สัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว
“พอแล้วค่ะ ดื่ม... ไม่ลงแล้ว” ฉันปัดค็อกเทลที่เพิ่งถูกวางลงตรงหน้ากลั้นลมขมๆ ที่รื้นขึ้นจุกคอลงไป ส่งสายตาขอร้องอีกฝ่ายให้หยุดชงสักที
“ไม่ไหวแล้วเหรอ งั้นก็แก้วสุดท้ายนะครับ” บาร์เทนเดอร์ยัดเยียดแก้วค็อกเทลใส่มือฉันแล้วจับมือฉันยกขึ้นดันเข้ามาใกล้ปาก คะยั้นคะยอให้ดื่ม แรกๆ เขาก็ดูเว้นระยะห่างดีอยู่หรอกแต่ทำไมตอนนี้ถึงได้น่ารำคาญอย่างนี้นะ
“ไม่ค่ะ ไม่ไหวจริงๆ ลิ้นชาแล้ว” ฉันดันหน้าออกห่าง พลางพยายามดึงมือออกจากการจับกุมของบาร์เทนเดอร์ ยื้อยุดกันไปมาจนน้ำค็อกเทลกระฉอก แต่ไม่มีใครใส่ใจ
“นิดหนึ่งน่านะ” เขายังคงตื๊อ
“แต่… อ๊ะ”
ด้วยแรงที่มากกว่า เขาดันแก้วมาจ่อที่ปากฉัน บังคับกลายๆ ให้ดื่ม พอเจอแบบนั้นก็ตกประหม่ากอปรกับสติที่โดนบั่นทอนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ กว่าฉันจะนึกออกว่าต้องทำยังไงค็อกเทลก็ถูกกรอกใส่ปากแล้ว แต่มันกะทันหันและเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ค็อกเทลบางส่วนหกราดลงมาที่คอ เส้นความเย็นไหลลู่เป็นสายเข้าไปในร่องอก
ความรู้สึกเย็นเยียบมาพร้อมอาการเหนียวเหนอะ ฉันดันมือหนาออก เกิดความรู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้าโวยวายได้แต่แสร้งมองเขาด้วยสายตาเหน็ดเหนื่อยใจทั้งที่ความจริงอยากยกเก้าอี้ขึ้นมาทุ่มฟาดใส่หน้าเขาแรงๆ สักที เผื่อจะสะกดคำว่าเกรงใจเป็นขึ้นมาบ้าง
“เล่นอะไรเนี่ย เห็นไหมเลอะหมดเลย” ฉันบ่นด้วยโทนเสียงน่ารักแทนที่จะเป็นการเหวี่ยงวีน เพราะยังไงซะก็ยังอยู่ในเวลางาน สติจะขาดไม่ได้
“เอ้า โทษที มาเดี๋ยวเช็ดให้” เขายืดแขนออกไปดึงทิชชูที่กลางบาร์แล้วกลับมาจะเช็ดรอยเปื้อนให้เหมือนหวังดี แต่ประสงค์ร้าย ฉันมองด้วยสายตาหวาดระแวงแต่ก่อนที่มือข้างนั้นจะเอื้อมมาถึงก็โดนคว้าหมับกลางอากาศ
“….”
ทั้งฉันและคุณบาร์เทนเดอร์รูปหล่อต่างชะงักอึ้งด้วยกันทั้งคู่ พอมองตามข้อมือที่โดนจับไปก็ปะทะสายตาเข้ากับเจ้าของเรือนผมสีฟ้าละมุน แฮคไม่ใช่เหรอ? เขามาได้ยังไง เมื่อกี้ยังเห็นอยู่ที่โซฟาอยู่เลย
“เอาไว้เช็ดเป้ากางเกงมึงเหอะว่ะ”
“ชิ!” บาร์เทนเดอร์ทำเสียงไม่พอใจสลัดข้อมือออกจากการจับกุมของแฮค เบนสายตาเสียดายมาที่ฉัน “อุตส่าห์ชง”
เขาสบถอะไรสักอย่าง ฉันฟังไม่ถนัด แต่จากสีหน้าท่าทางบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ความหมายที่ดีนัก
ทันทีที่บาร์เทนเดอร์หันหลังให้คล้ายคนถอดใจจากอะไรสักอย่าง นิ้วเรียวยาวก็ยื่นมาสางผมข้างใบหูฉันหนึ่งที
“คออ่อนนะเรา”
อุ้งมือหนานาบกับข้างแก้ม ฉันเผลอซบคลอเคลียกับฝ่ามือแฮคเบาๆ กะพริบตามองใบหน้าเรียวผอมของอีกฝ่ายแล้วยิ้มหวาน อยากพูดอะไรตอบโต้เขาบ้างแต่สมองกลับโหลดช้ากว่าปกติ
“ไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวไปพักก่อน”
“ที่ไหน” ฉันถามเสียงยานเอื่อย เปลือกตารู้สึกหน่วง ขมับสองข้างกลับปวดหนึบ อาการแบบนี้น่าจะเมาจริงแล้วล่ะ
ฉันไม่ใช่คนคอแข็งอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้คออ่อนขนาดแก้วสองแก้วจอด... ค็อกเทลที่บาร์เทนเดอร์ยื่นให้ถ้าให้เปรียบเทียบก็น่าจะเท่าๆ กับเหล้าหนึ่งแบน ไม่มึนก็ให้มันรู้ไป
“อยากเข้าห้องน้ำ” ฉันบอกกับคนตรงหน้า ลุกขึ้นยืนโงนเงน เสียหลักไปแวบหนึ่ง
“เดี๋ยวพาไป” เขาจับแขนฉันเอาไว้ อีกมือโอบประคองเอว
“ขอบคุณ” ฉันบอกตามมารยาท ไม่รังเกียจการถึงเนื้อถึงตัวเล็กๆ น้อยๆ นี่ ยอมให้เขาโอบเอวเดินไปทางห้องน้ำ ว่าแต่ห้องน้ำอยู่ทางนี้เหรอ... นึกว่าอยู่ข้างในร้านซะอีก
“เฮ้ยแฮค จะไปแล้วเหรอวะ” เสียงใครสักคนร้องถามก่อนถึงประตูทางออกบาร์ไม่กี่ก้าว
“เออ ไปละ ไว้เจอกัน”
“อย่าหนักนักล่ะ พรุ่งนี้มีงานนะโว้ย”
คนตะโกนกลับมาเหมือนเป็นเรื่องสำคัญแต่น้ำเสียงกลับไม่จริงจัง แฮคไม่พูดอะไรต่อ เขาแค่ยกมือขึ้นโบกทีสองทีตอบอีกฝ่ายที่อยู่ด้านหลัง
ฉันไม่ได้สนใจบทสนทนาพวกนั้นแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองทางต้นเสียง ไม่รู้ว่าใครที่โต้ตอบกับแฮคแต่ดันสัมผัสถึงสายตาอิจฉาของพวกผู้หญิงแทน พวกนั้นใช้สายตาราวกับว่าฉันฉกฉวยอะไรสักอย่างที่ทุกคนต่างอยากได้ไปอย่างงั้นล่ะ
“ไปเถอะ” แรงกระตุกเบาๆ ที่เอวกับเสียงเรียกทุ้มต่ำดึงความสนใจฉันกลับมา ถึงจะรู้สึกติดใจแต่คนข้างๆ ก็ไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้คิดอะไรมาก หลังพ้นประตูออกมาฉันก็ลืมไปหมดแล้ว