อยากคุยตรงไหนก็ว่ามา ระเบียง โซฟา หรือว่าหน้ากระจก
รัก,วัยว้าวุ่น,ไทย,อื่นๆ,ผู้ใหญ่,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล็อตหาเรื่อง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ปกปักษ์ชญามินทร์อยากคุยตรงไหนก็ว่ามา ระเบียง โซฟา หรือว่าหน้ากระจก
มินทร์ ชญามินทร์
22y
รักอิสระ มีเสน่ห์ ดื้อรั้น
ลูกสาวเพียงคนเดียวของบ้าน 'ปริญาภัสร์สกุล'
คุณหนูไม่ได้เรื่อง ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เน้นทำให้ 'เขา' ปวดหัวเล่นวันละแปดร้อยรอบ
"ให้มันหมาแค่สมญานามก็พอ ปากไม่ต้อง"
⛓️
อารัมภบท
ในตอนนั้น ชญามินทร์ เป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้เดียงสา เธออายุได้เพียงแค่สิบขวบแต่โชคชะตากลับนำพาให้เธอมาพบพานกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
การสูญเสียที่ไม่อาจหวนคืนให้ทั้งสองชีวิตกลับมาพบเธอได้อีก ต่อให้จะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเธอก็จะไม่มีวันได้สิ่งนั้นกลับคืนมา
“เข้าไปกราบศพคุณพ่อกับคุณแม่สิลูก” หญิงสาววัยกลางคนเข้าไปลูบหลังแล้วบอกเธอเสียงสั่นแข่งกับเสียงสะอื้นของตัวเอง
เด็กสาวที่เอาแต่ยืนกอดตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลหันหน้ามองรำพา ผู้เป็นแม่นมที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่แรกเกิดด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ตามแขนและขาเล็ก ๆ ถูกพันรอบด้วยผ้าพันแผลสีขาว เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยบาดแผลขีดข่วน หันกลับมาเบื้องหน้าที่เป็นโลงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางขนาบคู่กัน ถัดมาก็เป็นรูปพ่อกับแม่ที่กำลังส่งยิ้มถูกวางตั้งอยู่ไม่ไกล
แม้ยังจะยังอ่อนต่อโลกและห่างไกลกับคำว่าวุฒิภาวะ แต่ชญามินทร์ก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังเจอกับสถานการณ์แบบไหน รู้แม้กระทั่งว่าหากลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวันก็จะไม่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่อีกต่อไปแล้ว
รำพาพาเธอเดินมากราบไหว้หน้าโลงศพ นี่เป็นคืนที่สามของงานสีดำ แขกที่มาร่วมไว้อาลัยล้วนเป็นคนระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล หรือแม้กระทั่งนายตำรวจยศใหญ่
รอบตัวของชญามินทร์ล้วนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเสียงร่ำไห้ที่ดังระงมจากสาวใช้ในบ้านและคนสวนที่ทำงานกับพ่อและแม่ของเธอมาตั้งแต่สมัยที่เธอยังไม่ลืมตาดูโลก มีเพียงแต่เธอที่ใบหน้ายังคงเหือดแห้งไม่มีแม้แต่น้ำตาหยดเดียวที่หลั่งออกมาจากดวงตาใสซื่อคู่นั้น เธอปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยคำพูดคำจากับใครสักคนแม้กระทั่งรำพาที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของเธอ
เหล่าวงศาคณาญาติที่มาร่วมพิธีต่างมองเธอด้วยสายตาแปลกประหลาด ทุกคนต่างสงสัยว่าทำไมลูกสาวเพียงคนเดียวอย่างเธอถึงไม่ร้องไห้ออกมาเลยสักแอะทั้งที่คนที่นอนอยู่ในโลงนั่นคือพ่อกับแม่ของเธอแท้ ๆ
‘มันเอ๋อรึเปล่าถึงได้ไม่รู้ตัวว่าพ่อแม่ตัวเองตายไปแล้ว’
‘หรือมันไม่รู้สึกอะไรเลยที่พ่อแม่มันตาย’
‘อายุแค่สิบขวบแต่กลับใช้สายตาหยิ่ง ๆ มองผู้ใหญ่ ฉันล่ะไม่อยากจะนับญาติกับมันเลยจริง ๆ’
‘ใครจะเอาไปเลี้ยงก็เอาไปเถอะนะ ฉันคนหนึ่งแหละที่ไม่เอาต่อให้เป็นหลานแท้ ๆ ก็เถอะ เอามาก็เป็นภาระเปล่า ๆ’
‘เด็กอะไรเลือดเย็นได้ถึงขนาดนี้ ฉันเกลียดมัน’
คำพูดทำนองนั้นชญามินทร์รับรู้และได้ยินมันทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่มีงานสีดำ สายตาที่มองเธอเหมือนเป็นตัว
ประหลาดกับคำพูดโหดร้ายเกินกว่าที่เด็กอายุเพียงสิบขวบจะรับมันไหวพวกนั้นไม่ได้มาจากใครที่ไหนไกล แต่ล้วนเป็นคำพูดของญาติที่ร่วมสายเลือดกันทั้งนั้น
เพราะคนพวกนั้นอิจฉาครอบครัวของชญามินทร์ที่รวยเกินหน้าเกินตาคนในตระกูล ทำให้ญาติทุกคนพลอยตั้งแง่และอคติกับเธอไปด้วย
มีเพียงรำพาที่เป็นแม่นมกับลุงชัชที่เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อเท่านั้นที่รักและเป็นห่วงเธอจริง ๆ
ชญามินทร์อยู่ในใบหน้าที่เรียบเฉยบวกกับแววตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกแบบนั้นจนกระทั่งถึงวันเผา เธอยืนมองดูกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากปล่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หัวใจก็พลันกระตุกวูบราวกับตกลงมาจากตึกชั้นที่สิบ
...พ่อกับแม่จะไปแล้วเหรอคะ จะทิ้งหนูไปทั้ง ๆ ที่รอบตัวหนูมีแต่คนใจร้ายแบบนั้นจริง ๆ เหรอคะ...
ชีวิตของชญามินทร์เปลี่ยนไปหลังจากนั้น เธอกลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ความสดใสในแววตาของเด็กวัยเพียงสิบขวบหายวับไปในชั่วพริบตา
รำพาทำได้เพียงคอยเฝ้ามองดูเด็กน้อยที่เธอรักและหวงแหนดุจลูกในไส้อยู่ห่าง ๆ อดนึกสงสารจนร้องไห้ออกมาไม่ได้เมื่อเห็นชญามินทร์เอาแต่นั่งมองรูปของพ่อกับแม่ที่แขวนอยู่ข้างผนัง
บ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์ในเทพนิยายเงียบเหงาเป็นเป่าสาก ทั้งที่เมื่อก่อนมันเคยสดใสและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของชญามินทร์ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าบ้านหลังสีจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
รำพาได้แต่เฝ้าสงสัยว่ามันจะมีวันนั้นอีกรึเปล่า...
“ฮึก” แผ่นหลังของเด็กหญิงที่นั่งคดคู้อยู่บนม้านั่งไม้เก่า ๆ สั่นไหวเพราะแรงสะอื้น ในทุกวันตอนเวลาพลบค่ำเธอมักจะแอบมานั่งร้องไห้คนเดียวในสวนดอกไม้ของแม่
แม้ว่ามันจะมืดและเริ่มรกร้างเพราะขาดคนดูแลมานานแต่เธอก็ไม่เคยคิดกลัว ที่นี่เป็นสถานที่เดียวที่เธอมาแล้วรู้สึกอบอุ่นใจเหมือนมีแม่อยู่ใกล้ ๆ และเป็นสถานที่เดียวที่เธอสามารถมานั่งร้องไห้ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็นหรือมาได้ยิน
เด็กสาวตัวน้อยที่ทำตัวเข้มแข็งตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา บัดนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนน้ำตานองหน้า เธอคิดถึงพ่อกับแม่จับใจ โหยหาอ้อมกอดแสนอบอุ่นที่ไม่อาจหาจากไหนได้อีกทุกค่ำคืน
ทำไมนะ... ทำไมเธอต้องเป็นคนเดียวที่รอด ถ้าการที่รอดชีวิตมาแล้วต้องจมอยู่กับความทรมานแสนสาหัสขนาดนี้สู้เธอหมดลมหายใจไปพร้อม ๆ กับพ่อและแม่ไม่ดีกว่าหรือไง
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮึก.. หนูคิดถึงพ่อกับแม่” เสียงใสปนสะอื้นพูดล่องลอยไปกับอากาศเพื่อหวังให้คนที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้วได้ยิน
ที่ผ่านมาเธอเป็นเด็กที่กลัวผีมาตลอด แต่มาตอนนี้กลับไม่มีความรู้สึกนั้นหลงเหลืออยู่เลย อยากเจอมาก ๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววไม่มีแม้แต่กลิ่นหรือภาพลอยจาง ๆ แม้แต่ฝันเห็นก็ไม่เคย
“เฮือก!” เด็กน้อยตัวสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่อยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ ใครกันจะมาที่นี่ในเวลาพลบค่ำแบบนี้.. ไม่มีหรอก
“แม่เหรอคะ” ชญามินทร์ตะโกนออกไปด้วยความไร้เดียงสา ตอนนั้นปักใจเชื่อไปแล้วจริง ๆ ว่าเป็นพ่อกับแม่ที่มาหา
“พ่อคะ” เธอรีบยันตัวลุกขึ้นแล้ววิ่งไปตามเสียงปริศนา แสงสว่างในใจดับวูบลงเมื่อบุคคลที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่หวังเอาไว้
เป็นเพียงเด็กผู้ชายที่น่าจะอายุมากกว่ากับเธอสี่ถึงห้าปี กำลังเก็บดอกไม้ที่แม่เธอเคยปลูกไว้ใส่ตะกร้า ชญามินทร์รู้จักเด็กผู้ชายคนนี้ดีเพราะเขาอาศัยอยู่ที่เรือนรับรองภายในอาณาเขตบ้านของเธอ
“ไอ้หมา” สรรพนามนี้เธอใช้เรียกเขามาตั้งแต่จำความได้
“ร้องไห้ก็เป็นเหรอยัยคุณหนูเอาแต่ใจ” ในสายตาของปักษา ชญามินทร์เป็นแค่เด็กโชคดีที่ได้พลัดหลงเกิดมาในครอบครัวที่พ่อกับแม่สร้างทุกอย่างไว้ให้แล้ว มีดีก็แค่ฐานะที่เป็นสมบัติของพ่อแม่กับได้รับพันธุกรรมจากแม่ที่สวยและพ่อที่หล่อเลยทำให้เธอพลอยได้รับผลบุญนั้นไปด้วย ส่วนเรื่องนิสัยอย่าให้ต้องพูดถึงเลย
ชญามินทร์ชินกับการเป็นลูกคนเดียวมาตลอด วันหนึ่งพอพ่อกับแม่พาเด็กผู้ชายจากไหนก็ไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้านจึงทำให้เธอกลัวว่าจะถูกแย่งความรัก ปักษาจึงกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอเริ่มมีนิสัยเอาแต่ใจ
เธอเกลียดขี้หน้าเขา เกลียดตั้งแต่จำความได้ ซึ่งปักษาเองก็มีความรู้สึกนั้นไม่ต่างจากเธอเลย
“ไม่ได้ร้องสักหน่อย” เธอปฏิเสธทั้งที่หลักฐานยังคงปริ่มอยู่ที่ขอบตา
“ก่อนจะพูดอะไรหัดเช็ดน้ำตาก่อนก็ดีนะ” หมอนี่มันปากคอเราะร้ายตั้งแต่เด็ก คิดว่าโตกว่าแค่ไม่กี่ปีจะทำท่าเหนือกว่ายังไงก็ได้งั้นเหรอ
“ออกไปจากสวนดอกไม้ของแม่ฉันเดี๋ยวนี้นะไอ้เด็กสกปรก” ชญามินทร์ชี้หน้าแล้วตวาดเสียงดังลั่น เป็นแค่เด็กกำพร้าที่พ่อกับแม่รับมาเลี้ยงมีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับสวนดอกไม้ของแม่
“ก่อนจะมาว่าคนอื่นสกปรกได้ดูสภาพตัวเองบ้างรึเปล่า”
“!!” คำพูดของปักษาทำให้ชญามินทร์ถึงกับชะงัก ถึงจะไม่ได้ก้มมองดูสภาพตัวเองอย่างที่เขาบอกแต่เธอก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้ตัวเองมอมแมมมากแค่ไหน เพราะตอนที่วิ่งมาที่สวนเธอร้องไห้จนตาพร่ามัว ไม่ทันระวังจึงสะดุดเข้ากับกิ่งไม้แล้วหกล้มกลิ้งไปกับพื้นดินที่เฉอะแฉะ ตามใบหน้าและลำตัวจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนดิน
“ต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนดูแลสวนนี้เอง ถ้าอยากเข้ามานั่งร้องไห้ก็รอให้ฉันปลูกดอกไม้ชุดใหม่เสร็จก่อน”
“…”
“อีกอย่างเธอจะมาเรียกฉันว่าเป็นเด็กกำพร้าไม่ได้แล้วเพราะตอนนี้เธอเองก็กำพร้าเหมือนกัน เราตอนนี้ถือว่าเท่ากัน”ปักษาทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะถือตะกร้าดอกไม้ออกมาจากสวน
ปักษามาที่สวนดอกไม้นี้ทุกวันนับตั้งแต่ที่คุณน้ามินตรากับคุณอาชานัตน์เสียไป เขาเคารพผู้มีพระคุณทั้งสองคนดุจพ่อกับแม่แท้ ๆ และการสูญเสียในครั้งนี้ก็ราวกับว่าเขาได้สูญเสียคนในครอบครัวไปเป็นครั้งที่สองหลังจากที่พ่อกับแม่แท้ ๆ เสียไป
เขารู้ดีว่าคุณน้ามินตรารักสวนดอกไม้แห่งนี้มากจึงอยากจะมาดูแลต่อเพราะรู้ว่าคงไม่มีใครใส่ใจมาดูแลมันต่อแน่ ๆ แต่สิ่งที่เขากลับต้องพบเจอทุกวันนอกจากดอกไม้ที่ใกล้เฉาตายแล้วนั่นก็คือเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอมักจะมาแอบร้องไห้คนเดียวในเวลาเดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน
เป็นเด็กนิสัยเสียที่ทำท่าหยิ่งผยองทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เขาได้ยินมันทั้งหมดแม้แต่เสียงคร่ำครวญที่เธอพูดกับลมกับฟ้า
แต่น่าแปลกที่ปักษากลับไม่มีความรู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
เขาทำราวกับว่ามันเป็นเสียงนกเสียงกาแล้วทำหน้าที่เก็บดอกไม้ส่วนที่ยังพอใช้ได้ไปใส่แจกัน จนกระทั่งมาวันนี้ที่อยู่ ๆ ยัยเด็กนั่นก็วิ่งมาเจอเขา
เด็กแบบนั้นได้ลิ้มรสการอยู่ตัวคนเดียวซะบ้างก็ดี จะได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นว่าการที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัวไปแล้วยังต้องมาถูกซ้ำเติมอีกมันเจ็บเจียนตายแค่ไหน
--------