รัก,วัยว้าวุ่น,ไทย,อื่นๆ,ผู้ใหญ่,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล็อตหาเรื่อง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
มินทร์จ้องหน้าผมเหมือนอยากจะเข้ามาทึ้งหัวให้หายเจ็บใจ บอกตามตรงว่าสายตาคู่นั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไรได้เลยนอกจากรำคาญ พอติดกระดุมเข้าที่เสร็จผมก็คว้าเอาโทรศัพท์แล้วเดินผ่านหน้าเธอออกมา
เมื่อกี้เห็นเธอบอกว่าลุงชัชเรียกตัวผมให้ไปหา ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรแต่ก็คงไม่พ้นเรื่องงานภายในบริษัทอยู่ดี
หลังจากที่คุณน้ามินตรากับคุณอาชานัตน์เสีย ลุงชัชที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายแท้ ๆ ก็ได้เข้าไปรับช่วงบริหารงานต่อ รอให้มินทร์มีอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ตามที่พินัยกรรมระบุถึงจะให้เธอมารับตำแหน่งผู้บริหารที่บริษัทตัวเองต่อได้
เนื่องจากบริษัทแห่งนี้เติบโตไวอย่างก้าวกระโดดเพียงแค่ไม่กี่ปีก็มีสาขาขยายออกไปถึงต่างประเทศได้ ทำให้ลุงชัชไม่สามารถจัดการบริหารด้วยตัวคนเดียวได้ทั้งหมด
ลุงชัชคงเล็งเห็นว่าผมชอบและมีความสามารถทางด้านสายงานนี้จึงสอนให้ผมเรียนรู้งานตั้งแต่ที่ผมยังเรียนอยู่มหาลัยฯ หลังจากที่เรียนจบก็ดึงผมเข้ามาทำงานที่นี่ต่อทันที
ที่จริงตระกูลของมินทร์เป็นตระกูลที่ใหญ่มาก อาชานัตน์มีพี่น้องร่วมสายเลือดถึงหกคน แต่กลับไม่มีใครที่มาดูดำดูดีมินทร์กับบริษัทเลย เพราะว่าในช่วงปีแรกที่อาชานัตน์เสียก็มีข่าวแพร่สะพัดออกไปทำให้ผลประกอบการลดฮวบลง ลูกค้าเริ่มทยอยกันยกเลิกสัญญา แถมผู้ถือหุ้นหลายรายต่างก็พากันขายหุ้นบริษัททิ้ง ตอนนั้นบริษัทกำลังร่อแร่ใกล้ล้มละลายเต็มทนจึงทำให้มีแต่คนหันหลังให้และไม่มีใครอยากเสี่ยงยื่นมือเข้ามาช่วย
จะมีก็แต่พี่ชายที่แสนดีอย่างลุงชัชที่เข้ามาประคับประคองบริษัทที่ใกล้ล่มจมเอาไว้จนปัจจุบันบริษัทกลับมาเฉิดฉายในแวดวงธุรกิจส่งออกอีกครั้งจนมีกำไรในแต่ละไตรมาสมากกว่าสิบล้าน
ซึ่งผมเองก็ยังคิดไม่ตกว่าถ้าให้เด็กที่ไม่มีความรู้อะไรเลยแถมยังไม่ตั้งใจเรียนรู้งานอย่างมินทร์มาสานต่อ มันจะไม่พังลงจนกู่ไม่กลับจริง ๆ ใช่มั้ย
“เห็นมินทร์บอกว่าลุงชัชเรียกหาผม” ชายวัยกลางคนกำลังยืนเอามือไพล่หลังเงยหน้ามองรูปของคนสองคนที่ได้จากโลกนี้ไปได้เกือบยี่สิบปีแล้ว
“ตอนนี้บริษัทกำลังไปได้ดีเลยล่ะ โดยเฉพาะสาขาที่เปิดใหม่ในต่างประเทศแต่ปัญหาก็มีเข้ามาไม่น้อยเลย”
“ครับ ผมพึ่งทราบจากการประชุมครั้งล่าสุด”
“ฉันก็เลยคิดว่าจะต้องไปดูแลที่นั่นด้วยตัวเองสักหน่อย ส่วนที่นี่ก็ฝากให้นายดูแลจนกว่ามินทร์จะได้ขึ้นรับตำแหน่งทีนะ”
ประโยคที่ได้ฟังทำให้หัวคิ้วผมขมวดจนแทบชนกัน
“หมายถึงจะให้ผมบริหารที่นี่เหรอครับ”
“ใช่” ชายร่างท้วมที่ดูมีภูมิฐานพยักหน้า “ดูแลทั้งบริษัทแล้วก็มินทร์ นายก็รู้ว่าหลานสาวเป็นยังไงถ้าขืนปล่อยให้บริหารเองคนเดียวฉันกลัวว่าบริษัทที่นัตน์สร้างมาจะจมหายลงไปในทะเลจนกู่ไม่กลับ”
“แต่..” ผมเป็นแค่คนนอก ไม่ได้มีสายเลือดอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้เลย การที่อยู่ ๆ ก็ได้ขึ้นแท่นไปเป็นผู้บริหารคงถูกใครหลายคนครหา
“ฉันไว้ใจใครไม่ได้แล้วจริง ๆ นอกจากนาย ถือซะว่าทำเพื่อนัตน์กับมินตราอีกสักครั้งนะปักษ์” ลุงชัชเดินมาตบบ่าผมเบา ๆ ส่งความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อผมผ่านมือข้างนั้น
“จะไปไม่นานใช่มั้ยครับ” อย่างน้อยถ้าต้องให้อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารจริง ๆ ก็ขออยู่เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะผมเองก็มีอีกหลายสิ่งคามืออยู่เหมือนกัน กลัวว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
“อย่างน้อยก็สามปี”
“!!!” สามปี! นั่นมันโคตรนาน
“เอาน่าปักษ์” ลุงชัชพูดพร้อมกับกลั้วเสียงหัวเราะ “ก็ใช่ว่านายจะไม่คุ้นเคยกับตำแหน่งนี้ บางทีการควบม้าทีละสองตัวอาจทำให้นายเก่งขึ้นและอยู่ในวงการนี้ได้ยาวนานกว่าฉันก็ได้นะ”
สายตาคู่คมจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตาของผม แฝงเลศนัยไปกับประโยคที่พูด ลุงชัชรู้จักผมดีกว่าใคร ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
“เอาเป็นว่าผมจะทำให้ดีที่สุดครับ ส่วนเรื่องหลานสาวคุณลุงก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรม”
“ฮ่าๆๆ ก็เพราะแบบนี้ไงฉันถึงได้ชอบนาย” ลุงชัชพ่นเสียงหัวเราะร่วนออกมาด้วยความชอบใจ
“งั้นก็เริ่มงานตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จำคำฉันไว้นะปักษ์..” สีหน้าของคนตรงหน้าเคร่งขรึมไม่หลงเหลือความหยอกล้อหลงเหลือไว้ให้ได้เห็น “อย่าปล่อยให้บริษัทและบ้านหลังนี้ตกไปอยู่ในน้ำมือของคนอื่นเด็ดขาด ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลก็ตาม นายต้องรักษามันไว้จนกว่าฉันจะกลับมา”
ผมเข้าใจว่าลุงชัชกำลังจะสื่อถึงอะไร ดูเหมือนว่ากำลังจะมีเรื่องยุ่งยากตามมาหลังจากนี้สินะ
“คุณลุงคะ” เสียงใส ๆ ดังขึ้นที่หน้าประตู มินทร์เดินเข้ามากอดแขนผู้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ ๆ อย่างออดอ้อน แต่พอหันมามองหน้าผมกลับทำตาแข็งกร้าวแถมยังคว่ำปากลงเหมือนเบื่อที่ต้องเห็นหน้าผมอีกต่างหาก
แล้วใครอยากเห็นหน้าเธอไม่ทราบ
“มินทร์มาพอดีเลยลุงมีเรื่องสำคัญจะบอก”
“จะพามินทร์ไปกินอาหารญี่ปุ่นข้างนอกใช่มั้ยคะ”
วัน ๆ ในหัวยัยนี่จะมีอะไร นอกจากเรื่องผลาญเงิน
“อันนั้นลุงพาไปแน่นอนแต่คงต้องเป็นคราวหลังนะ”
“ก็ได้ค่ะ” เธอตอบรับด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มก่อนจะหุบยิ้มลงในตอนที่หันมาพูดกับผม “ไม่ได้ยินรึไง คนในครอบครัวเขาจะคุยกัน ออกไปสิ”
เพราะปากแบบนี้ไงผมถึงได้เกลียด
“ปักษ์จะอยู่คุยกับเราด้วย เพราะปักษ์คือคนสำคัญของเรื่องนี้”
“ชัด?” ผมเอียงคอถาม ซึ่งมันไปกระตุกต่อมโมโหของคนชอบเอาชนะอย่างมินทร์ได้เป็นอย่างดี
“จิ๊ หมอนี่เนี่ยนะ” มินทร์ชี้นิ้วมาที่ตัวผม ลุงชัชรีบตีมือเธอจนเกิดเสียงดัง ‘แป๊ะ’ “ลุงชัช มินทร์เจ็บนะ”
“ก่อนอื่นนะมินทร์ ลุงอยากให้หนูเลิกใช้คำพูดแบบนั้นกับปักษ์ เพราะถ้าให้ว่ากันตามจริงปักษ์อายุมากกว่าหนูตั้งสี่ปีเชียวนะ”
ผมยิ้มเยาะแล้วพยักหน้าเบา ๆ อย่างเห็นด้วย ทำเอาคนตรงหน้ายิ่งไม่พอใจแล้วถลึงตาใส่
“ลุงอยากให้มินทร์เชื่อฟังปักษ์เหมือนอย่างที่เชื่อฟังลุง ทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องอะไร”
“แล้วทำไมมินทร์ต้องเชื่องฟังเค้าด้วยล่ะคะ”
“ก็เพราะว่าต่อจากนี้ไปปักษ์จะมาเป็นผู้ปกครองของมินทร์แทนลุง”
“ว่าไงนะคะ!”
-------
ถ้ารักถ้าชอบอย่าลืมกดใจ คอมเม้น เป็นกำลังให้ไรท์หย่อยน๊า