น้องสาวเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ใจมันไม่รักดีเอาเสียเลย
รัก,รักโรแมนติด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รักละไมเพื่อนพี่ชายตอนที่ ๑
ภุมเรศมีโอกาสเรียนกับพฤทธิ์ถึงแค่จบชั้นมัธยมต้นเท่านั้นเอง เพื่อนของเขาก็ต้องย้ายโรงเรียนตามบิดาซึ่งเป็นข้าราชการกลับบ้านเกิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขายังติดต่อกันอยู่เสมอ
แม้ความสัมพันธ์แบบคุยกันผ่านข้อความทำให้ห่างเหินกันไปบ้าง ผนวกกับต่างฝ่ายต่างมีสังคมใหม่ของตัวเอง ทว่าเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งหลังเรียนจบ เพราะอีกฝ่ายกลับมาหางานทำอยู่ที่นี่ ทั้งสองจึงกลับมาเป็นเพื่อนซี้กอดคอกันดูบอลในนัดสำคัญๆ อยู่เสมอ
ส่วนน้องสาวของพฤทธิ์ตามมาอยู่กับพี่ชาย เนื่องจากมาเรียนต่อที่นี่ตั้งแต่เมื่อปีก่อน เด็กอนุบาลในความทรงจำของเขาเมื่อวันนั้น กลายมาเป็นเด็กปีสองในวันนี้แล้ว
เขาจอดรถยังพื้นที่ที่อนุญาตให้คนภายนอกจอดได้ หญิงสาวก็เดินตรงมายังรถของเขาและเปิดประตูขึ้นมานั่งข้างกัน
“ขอบคุณนะคะพี่ภู่ที่มารับ” พาณินียิ้มกว้างพลางปลดกระเป๋าสะพายลงจากไหล่แล้ววางไว้บนตัก
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงวันนี้ก็ต้องแวะไปดูบอลกับไอ้โพธิ์ที่คอนโดของน้องแพร์อยู่แล้ว”
“วันนี้กินอะไรแกล้มกับเบียร์ดีคะ” หญิงสาวซึ่งรับหน้าที่ทำกับแกล้มให้พวกเขากินเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงใจดี แต่ก็เด็ดขาดด้วย “เลือกนะคะ จะได้ทำถูก”
“หัวหอมทอดกับปลาหมึกนึ่งครับ” ภุมเรศไม่รู้ว่าพฤทธิ์เลี้ยงน้องมายังไงถึงได้ทำกับข้าวอร่อยมาก ในขณะที่คนอย่างเขาซึ่งทำอาชีพฟู้ดสไตลิสต์ เก่งแค่การออกแบบและตกแต่งอาหารให้ออกมาถ่ายรูปหรือถ่ายวิดีโอแล้วดูสวยงามน่ากินเป็นที่สุด มันเป็นเหมือนงานศิลปะบนจานอาหาร
หญิงสาวทำท่านึกอยู่นิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “หัวหอมใหญ่มีอยู่ในตู้เย็นนะคะ แต่ไม่มีปลาหมึกค่ะ งั้นพี่ภู่พาแพร์แวะซื้อปลาหมึกที่ตลาดสดหน่อยนะคะ จะได้จ่ายตลาดไปเลยด้วย”
“ได้ครับ” เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขับพาเธอไปยังจุดหมายที่จ้องการ
ภุมเรศเดินตามหญิงสาวไปเงียบๆ พลางยืนรอเธอเลือกซื้อวัตถุดิบสำหรับทำกับข้าวและยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในการถือของที่พาณินีซื้อ
คนเป็นแม่ครัวใช้เวลาในการจ่ายตลาดไม่มากนักก็ซื้อของที่ต้องการได้เกือบครบ เพราะดูเหมือนคิดสิ่งที่จะซื้อไว้ในใจแล้วและรู้จักแต่ละร้านซึ่งมีของที่ต้องการขายเป็นอย่างดี จึงเดินตรงไปต่ออีกร้านทันทีที่ซื้อของจากร้านหนึ่งเสร็จเรียบร้อย
แต่เมื่อถึงร้านขายอาหารทะเลเธอก็หันมาพูดกับเขา “พี่ภู่เลือกตัวที่อยากกินเองได้เลยค่ะ แพร์รู้ว่าพี่ภู่เลือกเก่งกว่า ปลาหมึกนึ่งจะได้อร่อยขึ้น เอาสักสองโลค่ะ แพร์จะเก็บไว้ทำกับข้าวอย่างอื่นนอกจากนึ่งด้วย”
“ได้ครับ” ถึงเรื่องการทำอาหารจะไม่ใช่งานถนัด แต่เรื่องวัตถุดิบต่างๆ เป็นสิ่งที่เขาศึกษาจนชำนาญและอยู่กับมันแทบจะตลอดเวลา
ชายหนุ่มเลือกปลาหมึกสดใส่ตะกร้าของร้านค้าและกะน้ำหนักของมันได้อย่างพอดิบพอดี ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายเงินแทนพาณินี
เมื่อได้ของครบแล้วทั้งสองจึงเดินกลับไปยังรถของชายหนุ่ม พลางพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย “แพร์ดูละครที่พี่ภู่ได้ไปออกแบบหน้าตาของอาหารที่นางเอกทำแล้วนะคะ ดูตอนกลางคืนแล้วหิวมากเลยค่ะ”
งานเมื่อปีก่อนซึ่งเป็นโอกาสดีๆ ที่เขาได้รับนั้นเพิ่งจะได้ออนแอร์ปีนี้ แต่ก็คุ้มสมการรอคอย เพราะละครกระแสดี ผู้ติดตามและลูกค้าก็ติดต่อจ้างงานเข้ามาที่สตูดิโอของเขามากขึ้นเป็นเท่าตัว
“แต่กินจริงๆ ไม่ได้สักจานนะครับ” ภุมเรศหัวเราะ “เพราะบางอย่างก็ต้องใช้ของที่กินไม่ได้มาช่วยให้มันดูน่ากินเฉยๆ”
“น่าเสียดายสิคะนั่น นางเอกทำอาหารแทบทุกตอนเลย” เนื่องจากนางเอกละครเป็นเชฟที่ลงแข่งรายการเรียลลิตี้เกี่ยวกับอาหาร ดังนั้นจึงแทบจะถ่ายเมนูอาหารไม่ซ้ำกันเลยสักฉาก
ทั้งสองคุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งถึงคอนโดของพฤทธิ์และช่วยกันถือของขึ้นไปที่ห้องพักของสองพี่น้อง ส่วนชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องติดงานด่วนที่บริษัทจึงยังมาไม่ถึง
“ให้พี่ช่วยไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อหญิงสาวเริ่มหยิบเอาผ้ากันเปื้อนมาสวม
“ขอบคุณค่ะ” พาณินีหันไปยิ้มให้กับชายหนุ่มตัวโตที่พาตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องครัวเล็กๆ ซึ่งกั้นพื้นที่ไว้เป็นสัดส่วนเพื่อไม่ให้กลิ่นอาหารรบกวนส่วนอื่นๆ ภายในห้อง
และเพราะภายในห้องครัวนี้พื้นที่ไม่กว้างมากนัก ทั้งสองจึงต้องทำงานร่วมกันอย่างระมัดระวัง ถ้าเผลอคงชนกันแน่ๆ
ภุมเรศกับพาณินีก้มหน้าก้มตาทำกับข้าวด้วยกันพักใหญ่ ในที่สุดพฤทธิ์ก็กลับมาถึงคอนโดเสียที คนเป็นพี่ชายตรงเข้ามาดูทั้งสองว่ากำลังช่วยกันทำอะไรอยู่
“ทำอะไรกัน” พฤทธิ์หรี่ตามองน้องสาวกับเพื่อนสนิทผ่านเลนส์ใสของกรอบแวนกลมๆ ด้วยสายตาคลางแคลงใจ
“ซักผ้ามั้ง” ภุมเรศหันไปตอบเพื่อยสนิทด้วยท่าทางยียวน
คนถูกเพื่อนกวนใส่ยกมือขึ้นดันแว่นสายตาของตัวเองเบาๆ แล้วเอ่ยถามกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นงานเป็นการเกินเหตุ “แล้วมึงมาซักผ้าในครัวทำไม”
“พี่โพธิ์ พี่ภู่เขาเข้ามาช่วยทำกับข้าว ถ้ายัดเข้ามาอีกคนแล้วไม่กลัวอึดอัดก็เข้ามาช่วยกันเลยค่ะ” สุดท้ายแล้วก็โดนน้องสาวดุ ภุมเรศจึงแอบขำเพื่อน
“อย่าให้รู้นะว่าแอบทำอะไรไม่ดีกัน”
“ยังอีก” คนเป็นน้องสาวหยิบหอมหัวใหญ่ขึ้นมาแล้วทำท่าจะปาใส่พี่ชาย
“เธอเห็นพี่เป็นแวมไพร์เหรอถึงต้องกลัวหอมหัวใหญ่”
ภุมเรศทำหน้างงทันที “กระเทียมหรือเปล่าวะมึง”
พาณินีส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนใคร “พี่โพธิ์ รีบไปนอนพักสักหน่อยก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวไม่มีแรงดูบอลจนจบเกมนะ”
พฤทธิ์ซึ่งช่วงนี้งานตัดต่อเยอะจนล้นมือ ดึกๆ ดื่นๆ ก็ยังต้องมานั่งแก้งานให้ลูกค้า สภาพจึงดูเหมือนซอมบี้เข้าไปทุกวัน ทว่าบอลที่เขาชื่นชอบก็อยากดู
ดังนั้นจึงยอมไปนอนแต่โดยดี เพราะอีกหนึ่งชั่วโมงต้องลุกขึ้นมาติดตามทีมที่เขาเชียร์ แถมคืนนี้ยังเป็นนัดชี้ชะตาด้วยว่าจะเก็บแต้มสำคัญได้หรือเปล่า ยังไงก็พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด
“ดีนะคะที่บริษัทอยู่ไม่ไกล เวลาแบบนี้เลยซ้อนพี่วินไปกลับเอา ถ้าขับรถเองเป็นห่วงแย่เลย” หญิงสาวบ่นพี่ชายอุบอิบ
“มีน้องสาวคอยเป็นห่วงนี่ก็ดีเหมือนกันนะ พี่มีแต่พี่สาวที่พร้อมจะก้านคอน้องชายตลอดเวลา”
คนฟังหัวเราะพรืด เคยได้ยินมาบ้างว่าพี่สาวของภุมเรศเป็นอดีตนักฟุตบอลหญิงของโรงเรียน ปัจจุบันทำงานเป็นครูสอนพละ มีกีฬาชกมวยเป็นงานอดิเรก จึงพอจะนึกภาพชายหนุ่มถูกพี่สาวก้านคอออกอยู่
*****
พาณินีปลีกตัวจากพี่ชายและภุมเรศ เมื่อการแข่งขันฟุตบอลกำลังจะเริ่ม เพราะเธอไม่ถนัดทางนี้จริงๆ ดูยังไงก็สัมผัสถึงความสนุกของกีฬาชนิดนี้ไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยากนั่งดูพร้อมกับภุมเรศแล้วอินไปกับเขาด้วย จะได้ใช้เวลาด้วยกันมากกว่านี้
หญิงสาวเปิดดูอินสตาแกรมของภุมเรศซึ่งแยกไว้สองแอคเคาท์ สำหรับลงโปรโมตงานและส่วนตัว ซึ่งวันนี้ชายหนุ่มยังคงอัปภาพอาหารที่ถูกจัดตกแต่งบนจานและวางในฉาก ช่วยส่งให้อาหารดูมีความน่าสนใจเหมือนทุกวันในแอคเคาท์สำหรับงาน
ส่วนแอคเคาท์ส่วนตัว ภุมเรศอัปภาพของตัวเองน้อยมาก ซึ่งพาณินีส่องทุกภาพแล้ว แต่ก็ยังชอบเข้ามาดูซ้ำๆ เมื่อเลื่อนลงไปเรื่อยๆ จะมีภาพหนึ่งที่ถ่ายกับนางเอกละคร ถึงในภาพจะมีนักแสดงคนอื่นอยู่ด้วยก็เถอะ เธอก็ไม่ชอบภาพนี้อยู่ดีเพราะคุณนางเอกยืนเบียดชิดกับชายหนุ่มมากเกินไป
เธอก็อยากให้มีภาพของตัวเองอยู่ในอินสตาแกรมของเขาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะมีวันนั้นหรือเปล่า
พาณินีจำตอนห้าขวบซึ่งเคยรู้จักกับภุมเรศไม่ได้เลย รู้แค่ว่ามีคนอื่นไปรับที่ไม่ใช่พี่ชายอยู่หลายวัน แล้วก็จำได้แค่ภาพขา เพราะหันไปก็เห็นอยู่แค่นั้น
ทว่าการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งทำให้เธอคิดว่ามันเป็นพรหมลิขิต แถมเจ้าตัวก็ยังไม่มีแฟน ถ้าไม่ใช่พรหมลิขิตแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีก
เพ้อเจอ!
อยู่ๆ เสียงในหัวก็เตือนสติของพาณินีขึ้นมา ถึงจะไม่มีแฟน แต่เขาก็ไม่มาสนใจเธอหรอก
เธอได้แต่นอนกลิ้งเล่นไปมาบนเตียงนอนของตัวเองจนกระทั่งเผลอหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะอยากเข้าห้องน้ำจึงเปิดประตูออกมาเบาๆ เนื่องจากรู้ว่าพี่ชายกับเพื่อนสนิทมักจะนอนหลับกันอยู่หน้าทีวีเหมือนทุกที
หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว พาณินีจึงแวะดูสภาพของพี่ชายกับภุมเรศ ชายหนุ่มนอนกอดหมอนอิงหลับสนิทอยู่ที่พื้น ส่วนพี่ชายนอนคู้ตัวอยู่บนโซฟา
เห็นสภาพของทั้งสองแล้วก็นึกเวทนา สภาพนี้ดูไปดื่มไปจนหลับอย่างแน่นอน เธอจึงเข้าไปที่ห้องของพี่ชายแล้วหยิบผ้าห่มออกมาห่มให้คนทั้งคู่ ก่อนจะกลับไปนอนต่อ
ทว่าเมื่อยามเช้ามาถึง พี่ชายก็เคลียร์สภาพเละเทะหน้าทีวีเรียบร้อยก่อนเธอจะตื่นนอน ส่วนภุมเรศก็กลับบ้านของตัวเองไปแล้ว
“วันนี้พี่ไปรับไปส่งได้เหมือนเดิมแล้วนะ งานผ่านหมดแล้ว” พี่ชายของเธอทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ตัดต่อของบริษัทรับทำสื่อโฆษณาแห่งหนึ่ง
พาณินีอมยิ้มเบาๆ เมื่อคิดขึ้นมาว่าพี่ชายมักจะไปรับไปส่งเธอเสมอ มีบ้างที่ฝากให้เพื่อนไปรับหรือนั่งรถเมล์กลับเอง เป็นแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ถ้าเรียนจบมาแล้วทำงานใกล้กัน พี่ชายก็คงยังไปรับไปส่งเธอเหมือนเดิมอย่างแน่นอน
“ความจริง แพร์นั่งรถเมล์ไปกลับเองก็ได้นะคะ”
“ถ้าไปรับส่งได้พี่ไปเองดีกว่า จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง” พฤทธิ์นั่งลงยังโต๊ะกินข้าว และเริ่มลงมือกินมื้อเช้า คนเป็นน้องสาวจึงนั่งลงกินบ้าง
เธอมองหน้าพี่ชายพลางนึกถึงเรื่องที่ตัวเองคิดมาทั้งคืน คิดจนกระทั่งหลับไปเลยทีเดียว เพราะถ้าไม่ขยับตัวทำอะไรเลย ทุกอย่างก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
“พี่โพธิ์คะ”
พฤทธิ์ชะงัก เสียงเหมือนจะอ้อนๆ แล้วมาพร้อมกับคำเรียก พี่โพธิ์คะ ทำให้ชายหนุ่มซึ่งแก่กว่าน้องสาวถึงสิบปี แถมยังพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเลี้ยงมากับมือ เพราะพอเจ้าตัวเกิดได้ไม่ถึงปีดี มารดาก็เสีย คนเป็นพ่อก็ไม่ถนัดเลี้ยงเด็ก เขานี่แหละเป็นคนป้อนนมและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เจ้าตัวมากับมือจนโตได้ขนาดนี้ จึงรู้ดีว่าถ้าเอ่ยปากแบบนี้ คงต้องอยากได้อะไรสักอย่างมากแน่ๆ
“พี่โพธิ์ก็เหมือนป๊าคนที่สอง ป้อนนม เปลี่ยนมาอ้อมให้มาตั้งแต่แพร์ยังไม่รู้ความ”
“ว่าไง อยากได้อะไร” พฤทธิ์ตัดบทของน้องสาวทันที
“ยังสรรเสริญความดีงามของพี่โพธิ์ยังไม่จบเลยนะคะ” พาณินีหัวเราะเบาๆ
“เงินเดือนจะออกแล้ว ถ้าไม่เกินสามสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนพี่ก็ให้ได้”
คนเป็นน้องสาวส่ายหน้าทันที “ไม่ต้องใช้เงินเลยค่ะ”
“แล้วมันอะไรล่ะ”
“แพร์ชอบพี่ภู่ ขออนุญาตจีบพี่ภู่ได้ไหมเอ่ย” พาณินีจ้องพี่ชายที่นิ่งไป แววตาหลังกรอบแว่นกะพริบเบาๆ
“ไหนพูดใหม่อีกทีสิ น้องแพร์ชอบใครนะ”
“ชอบพี่ภู่ค่ะ คนที่เป็นเพื่อนสนิทพี่โพธิ์ ชื่อจริงว่านายภุมเรศ...”
“พอก่อน” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้ามพูด “ขอประมวลผลแป๊บ”
พฤทธิ์จ้องพาณินีนิ่ง ราวกับไม่เข้าใจว่าน้องสาวผู้น่ารักของตัวเองไปตกหลุมรักเพื่อนสนิทของเขาได้อย่างไร หรือเป็นเพราะช่วงที่ให้ไปรับแทนอยู่หลายครั้ง มันแอบอ่อยน้องเขาวะ แต่หลังจากคิดไปคิดมาอย่างรวดเร็วก็พยักหน้า
“ก็ลองดูสิ แต่เผื่อใจไว้ด้วยนะน้องแพร์ ใช่ว่ามันจะชอบผู้หญิงทุกคนที่มาจีบ แล้วพี่ก็จะไม่ช่วยอวยน้องแพร์ด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แค่พี่โพธิ์ไม่กีดกันก็ดีแล้วค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะไม่อนุญาตเสียอีก”
ชายหนุ่มได้แต่ร้อง เฮอะ! ในใจ ทำไมเขาต้องเล่นบทพี่ชายใจร้ายกับน้องสาว ให้อีกฝ่ายเกลียดตัวเองด้วย
“แล้วน้องแพร์จะจีบมันยังไง จีบผู้ชายเป็นเหรอ”
“ยังไม่รู้สิคะ แต่จะลองดูก่อน ไม่ก็ปรึกษาเพื่อน”
“พี่ขอแค่เอาใจช่วยแล้วกัน” พฤทธิ์ก้มหน้าก้มตากินมื้อเช้าต่อ พลางครุ่นคิดถึงเพื่อนสนิท ดูบอลครั้งต่อไปพวกเขานัดกันที่บ้านของภุมเรศ หลังบอลจบคงต้องนั่งจับเข่าคุยเปิดอกกันหน่อยแล้วว่า เขาไม่อยากได้มันเป็นน้องเขย!