น้องสาวเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ใจมันไม่รักดีเอาเสียเลย
รัก,รักโรแมนติด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
รักละไมเพื่อนพี่ชายตอนที่ ๒
บ้านของภุมเรศนั้นเคยเป็นบ้านไม้เก่าสองชั้น แต่ปัจจุบันหลังพี่สาวแต่งงานจึงรีโนเวทใหม่ให้เป็นบ้านไม้กึ่งปูน โดยยกชั้นบนทั้งหมดให้เขาครอบครอง
ชายหนุ่มซึ่งกลับมาแต่เช้ามืดนั้นเจอเข้ากับพี่เขยอย่างธีรเดชที่เพิ่งตื่นนอนพอดี อีกฝ่ายจึงเอ่ยปากทักทายเขาเล็กน้อยด้วยการถามถึงสิ่งที่เขาอยากกิน
“เช้านี้กินอะไรดี”
“สเต๊กเนื้อวากิว ขอสุกแบบมีเดียมแรร์ ฉ่ำๆ ละมุนๆ”
ธีรเดชนิ่งไปเล็กน้อยเพราะสมองยังทำงานไม่เต็มที่ “เอาหมูทอดกระเทียมแทนนะ”
ภุมเรศหัวเราะพลางเอ่ยไล่หลังพี่เขยที่เดินงัวเงียไปทางห้องครัว “อะไรก็ได้ครับพี่”
ตั้งแต่มารดาของพวกเขาเสียไป ภุมเรศกับภุมรินก็เหลือเพียงสองคนพี่น้อง ส่วนบิดานั้นเลือนหายไปจากความทรงจำ เพราะหลังจากหย่ากับคนเป็นแม่ตอนเขายังไม่รู้ความ ก็ไม่เคยติดต่อกลับมาอีกเลย โดยที่มารดายืนยันว่าไม่ได้กีดกันแต่อย่างใด แต่เขาไม่มาเอง
ชีวิตที่เคยกินแต่รสมือของแม่มาตลอด ต้องเปลี่ยนเป็นแกงถุงจากตลาด จนชำนาญการแกะยางทั้งพี่ทั้งน้องไปโดยปริยาย
แต่เขาเคยลองพยายามทำอาหารกินเองแล้ว ทว่าสภาพภุมรินกินไปทำหน้ากล้ำกลืนฝืนทนโดยไม่รู้ตัวและไม่บ่นสักคำทำให้เขายอมแพ้ เขาอาจจะเก่งการทำให้อาหารดูน่ากิน แต่ลืมหยิบพรสวรรค์ในการรังสรรค์เมนูต่างๆ ให้รสอร่อยมาด้วย จึงบอกกับพี่สาวไปว่าขี้เกียจทำแล้ว เรามากินแกงถุงกันดีกว่า
แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตติดแกงถุงก็เปลี่ยนไป เพราะพี่เขยซึ่งเป็นคนชอบทำอาหารก้าวเข้ามาในชีวิตของพี่สาวกับเขา ทั้งคู่จึงได้กินกับข้าวอร่อยๆ ทุกวัน
อร่อยพอๆ กับที่พาณินีทำให้กินเลยทีเดียว
ชายหนุ่มซึ่งกำลังเปิดประตูเข้าห้องนอนของตัวเอง เพื่อนอนต่ออีกสักหน่อย แล้วค่อยไปทำงานตอนสิบโมงนั้น ชะงักงันเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะต้องนึกถึงน้องสาวของเพื่อนขึ้นมาทำไม
แต่หลังจากใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราลอยเข้ามาในหัว แววตาจ้องจับผิดภายใต้แว่นของเพื่อนสนิทก็ลอยตามเข้ามาด้วย เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้กลับมาเจอกับพาณินี เจ้าตัวก็เอ่ยปากไว้แล้วว่า “ห้ามจีบน้องกู”
เขาก็ตอบไปทันทีว่า “ไม่จีบหรอก น้องมึงกูรู้ว่ามึงหวง กูเข้าใจ”
ถ้าเขามีน้องสาวน่ารักแบบนั้นเขาก็ต้องหวงมากแน่ๆ เหมือนกัน คงไม่อยากให้ใครมาพรากไปจากอก ในสายตาคนที่เลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดี ผู้ชายคนไหนก็คงไม่เหมาะสมกับเธออย่างแน่นอน
ถึงจะน่ารักแค่ไหน แต่เวลาอยู่ใกล้เขาก็เข้มงวดกับหัวใจของตัวเองอยู่เสมอ นั่นน้องสาวของเพื่อน ก็เหมือนกับน้องสาวของเขานั่นแหละ
ภุมเรศหัวถึงหมอนอีกรอบก็หลับไปทันที และการหลับก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เขาหยุดคิดถึงพาณินีได้เสียที
*****
เมื่อตื่นนอนและทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว พี่สาวกับพี่เขยก็ออกไปทำงานกันหมดแล้วทั้งคู่ ชายหนุ่มเปิดตู้กับข้าวก็พบว่ามีหมูทอดกระเทียมเป็นหนึ่งในเมนูของเช้านี้อยู่จริงๆ
ภุมเรศใช้เวลาไม่มากนักในการทำให้ตัวเองอิ่มท้อง ก่อนจะเดินทางไปยังสติโอเล็กๆ ของตัวเองกับเพื่อน ซึ่งใช้เป็นที่ทำงานและพบปะลูกค้า บางวันก็ทำงานอยู่ที่นี่ แต่บางโปรเจคก็ต้องเดินทางไปทำงานนอกสถานที่
ตอนนี้ทั้งสตูดิโอมีอยู่ด้วยกันสี่คน เขา เพื่อนที่เป็นช่างภาพ และผู้ช่วยของเขาคนหนึ่ง ของเพื่อนคนหนึ่ง
“หวัดดีครับพี่ภู่” เด็กหนุ่มที่ยังหน้าตาอ่อนใสวัยไม่เกินยี่สิบห้าปี ยกมือขึ้นสวัสดีเขาทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในสตูดิโอ
วันนี้ภุมเรศมีแค่คุยตกลงเรื่องการบรีฟงานกับลูกค้าที่จะมาหาเขาถึงสตูดิโอและอีกฝ่ายก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็นเพื่อนสนิทซึ่งกำลังจะเปิดร้านอาหาร จึงอยากได้ภาพสำหรับทำใบเมนู สำหรับการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียล รวมถึงวิดีโอสั้นๆ เพื่อลงแพลตฟอร์มที่ฮิตลงคลิปวิดีโอมากกว่าภาพนิ่ง
“ไง หายดีแล้วหรือยัง” ผู้เป็นทั้งนายจ้างและเพื่อนร่วมงานเอ่ยถามผู้ช่วยของตัวเองที่เพิ่งหายป่วยจากไข้หวัดใหญ่ด้วยความเป็นห่วง “ถ้ายัง วันนี้จะพักอีกวันก็ได้นี่”
“หายดีแล้วครับพี่” ธนัชธรยิ้มกว้าง แม้สีหน้าจะยังดูซีดๆ แต่ท่าทางร่าเริงเหมือนปกติ เมื่อเห็นภุมเรศพยักหน้าเบาๆ แล้ว เจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตาตอบข้อความจากลูกค้าที่ติดต่อสอบถามจ้างงานทั้งทางอีเมลและทางเพจของสตูดิโอแมงภู่ต่อ
ภุมเรศนั่งลงยังโต๊ะทำงานอยู่ชั่วครู่ หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนและใส่รองเท้าผ้าใบพร้อมลุยไปทุกที่ก็โผล่มาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ดีจ้ะภู่”
พรลภัสเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เรียนสาขาเดียวกัน ได้มาสนิทกันเพราะเพื่อนของเขากับเพื่อนของเธอคบกัน ทั้งสองจึงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันและสนิทสนมไปโดยปริยาย
ทว่าแม้เพื่อนของพวกเขาจะเลิกรากันไปจนต่างฝ่ายต่างแต่งงานไปเรียบร้อยแล้ว เขากับเธอก็ยังคบหาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเรื่อยมา
ชายหนุ่มลุกออกจากโต๊ะทำงานมาต้อนรับเพื่อน “นั่งก่อนภัส”
ส่วนธนัชธรก็รีบไปเตรียมน้ำและของว่างมาเสิร์ฟลูกค้าตามหน้าที่ แล้วกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ปล่อยให้ภุมเรศคุยเรื่องการบรีฟงานกับลูกค้าตามลำพัง
ภุมเรศได้รับข้อมูลเบื้องต้นมาแล้วว่าหญิงสาวต้องการทำร้านสเต๊ก เน้นพรีเซนต์ร้านด้วยเนื้อวัวนำเข้าเกรดคุณภาพ
“ไม่เจอกันนานเลยเนอะ” พรลภัสยิ้มสดใส เจ้าตัวไปผจญโลกกว้างที่ต่างประเทศและทำงานเป็นผู้ช่วยเชฟในร้านสเต๊กอยู่ถึงสามปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์และเงินก้อนมาเพื่อทำร้านตามความฝันของตัวเอง
"ก็เธอเล่นไม่กลับมาไทยเลยนี่”
“แหม ค่าเครื่องบินมันแพง เรางกเลยไม่อยากจ่าย ให้พ่อบินไปเยี่ยมแทนก็พอ” พรลภัสหัวเราะคิกคัก
“งก”
“นี่ไง จะได้เก็บเงินมาจ้างภู่”
“ขอบใจนะที่คิดถึงกัน รับรองว่าจะทำงานให้คุ้มกับทุกบาททุกสตางค์ที่เธอจ่ายแน่นอน” ภุมเรศยิ้มละไม “ไหนเราขอดูคอนเซ็ปต์ของร้านแบบละเอียดๆ หน่อย เธอทำให้ร้านเป็นแนวไหน”
“ร้านจะเป็นแบบเดินเข้าแล้วเหมือนหลุดไปอยู่ในยุคผู้ชายขี่ม้า เลี้ยงวัว เป็นคาวบอย” พรลภัสเล่ารายละเอียดของร้านด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน “ภาพที่ใช้โปรโมตก็อยากให้สื่อถึงหรือมีพร็อพเกี่ยวกับยุคนี้แหละ ดูดุดัน เน้นกินแล้วอิ่มท้อง”
“โอเค” ชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางจดสิ่งที่เพื่อนบรีฟลงไอแพดในมือ
“แล้วก็ยังไงวันเปิดร้านภู่ก็ต้องไปนะ”
“อืม แน่นอนสิ”
ภุมเรศพยักหน้าด้วยความยินดี ชั่วขณะหนึ่งในใจกลับนึกถึงพาณินีขึ้นมา ดูเหมือนหญิงสาวก็ชอบกินสเต๊กใช่ไหมนะ เพราะครั้งหนึ่งเธอก็เคยทำให้เขากับพฤทธิ์กินอยู่ แม้เนื้อที่ใช้อาจจะไม่ใช่เนื้อคุณภาพดีเลิศนัก แต่ก็อร่อยจนอยากกินอีก
*****
“บอกพี่โพธิ์ไปแล้ว พี่เขาอนุมัติ ไม่ได้ห้าม แต่ก็จะไม่ช่วย” พาณินียิ้มกว้างอย่างมีความสุข “หมี่ช่วยเราคิดหน่อยว่าจะเริ่มจีบยังไงดี”
วันนี้พวกเธอไม่มีเรียนบ่าย พาณินีกับเพื่อนสนิทจึงพากันแวะคาเฟ่ของหวานเปิดใหม่ใกล้มหาวิทยาลัย และตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวจะพากันไปเดินตลาดขายของมือสอง เพื่อซื้อของใช้ถูกและดี มาใช้ตามประสานักศึกษาที่มีงบจำกัด
“นี่ก็ยังไม่เคยมีแฟน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจีบยังไง ปกติมีแต่คนมาจีบ”
“หมั่นไส้คนสวย” พาณินีเบะปากใส่เพื่อนเบาๆ
มิลินหัวเราะเสียงใส “แต่แกแน่ใจนะว่าเขาไม่มีแฟนจริงๆ”
“ไม่มี พี่โพธิ์รับรองได้”
“แล้วคนที่เขาชอบล่ะ ไม่มีใช่ไหม”
“ก็...ไม่น่าจะมีนะ” พาณินีจำได้ดีว่า ตอนได้กลับมาเจอกันอีกครั้งนั้น ภุมเรศเอ่ยถามว่าจำเขาได้ไหม เธอได้แต่ส่ายหัว แล้วเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟังว่า สาเหตุที่เลิกกับแฟนตอน ม.ต้น เพราะเธอนี่แหละเป็นคนบอกว่าแฟนของเขาคบกับครูอนุบาลโรงเรียนที่ตัวเองเรียนอยู่ ความก็เลยแตก แต่เขาก็บอกว่าถึงเธอไม่บอก สักวันเขาก็ต้องรู้อยู่ดี แค่รู้เร็วไปหน่อย
“ถ้ามีก็คงเป็นแฟนกันไปแล้ว เพราะพี่ภู่ไม่ได้คบกับใครอีกเลยตั้งแต่เลิกกับแฟนตอน ม.ต้น”
“โอ้โห สงสัยรอแกอยู่แน่ๆ เลยว่ะแพร์” มิลินหัวเราะคิกคัก
พาณินียื่นมือไปตีแขนเพื่อน แต่ก็หัวเราะไปด้วยกัน เธอเคยหลอกถามพี่ชายเรื่องที่ภุมเรศไม่มีแฟนอีกเลยมาจากพี่ชายแล้ว เห็นว่าจริงๆ ไม่ใช่เพราะฝังใจอะไรกับแฟนคนแรกหรอก แต่คงเป็นเพราะยังไม่เจอคนที่ใช่และคนที่ชอบจริงๆ เสียมากกว่า แถมโสดก็สบายตัวดีจึงยังไม่มีแฟนมาจนถึงอายุสามสิบแบบนี้
“แต่อายุเพิ่งสามสิบ หน้าที่การงานดี มีชื่อเสียงในสายงานที่ทำ แถมหล่อ เราว่าผู้หญิงคนอื่นก็อาจจะกำลังคิดไม่ซื่อกับพี่เขาเหมือนแกนะ อยู่ที่ว่าตอนนี้ใครดีใครได้”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่เท่าที่รู้ สตูดิโอที่พี่ภู่ทำงานไม่มีผู้หญิงนะ มีแต่ผู้ชายทั้งแก๊ง”
“แล้วดาราคนนั้นล่ะ ตอนที่ต้องไปทำงานที่กองถ่ายละคร แอบมีเขาเมาท์เบาๆ ว่าสนิทกันสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอ”
“แต่คุณดาราเขาก็พูดชัดเจนว่าแค่เพื่อนร่วมงาน สมัยนี้แล้วดาราไม่ค่อยปิดข่าวหรอกว่าคบใครน่ะ” พาณินีเชื่อมั่นอย่างนั้น
“ก็เขามีคู่จิ้นคนดัง จะให้มาเปิดตัวหักคอคนจิ้นก็ไม่ดีมั้ง”
“แกนี่สรุปจะเชียร์เราหรือแช่งฮึ”
“กำลังจะสุมไฟให้แกต่างหาก ก็แอบชอบๆ พี่เขามาเป็นปีแล้วนี่ วางใจเกินไปเดี๋ยวอดนะ”
“จ้า นี่ไงกำลังจะรีบแล้ว” พานิณีมองบิงซูที่พวกเธอช่วยกันกินจนหมดแล้วก็เอ่ยปาก “ไปตลาดมือสองกันดีกว่า”
เมื่อมิลินพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองจึงลุกเดินออกจากร้าน เพื่อนั่งรถวินมอเตอร์ไซค์ตรงไปยังตลาดของมือสอง
แม้จะบอกว่าเป็นตลาดมือสอง แต่ของมือหนึ่งที่มีตำหนิเล็กๆ น้อยๆ ก็มีให้เลือกซื้อในราคาย่อมเยาอยู่มากพอๆ กับของมือสอง
พาณินีกับมิลินเดินผ่านร้านค้าไปเรื่อยๆ เพราะยังไม่มีของถูกใจหรือสะดุดตาพวกเธอทั้งคู่ ทว่ากลับมีบางอย่างมาสะดุดตาของหญิงสาวแทนตอนเดินผ่านร้านขายจานเซรามิก ที่มีขายทั้งของไทยและของนำเข้าจากหลากหลายประเทศ
ชายหนุ่มร่างสูงนั้นเป็นคนที่เธอคุ้นตาเป็นอย่างดี พาณินีจึงยื่นมือไปดึงแขนเพื่อนที่กำลังเดินต่อและผ่านเขาไปโดยไม่สนใจ
“หมี่พี่ภู่อยู่ในร้านจานเซรามิก”
มิลินหันกลับไปมองภายในร้านจานเซรามิกและตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว “งั้นเราปลีกตัวไปเลยนะ แกจะได้อยู่กับเขาสองคน เอาเป็นว่าเจอกันพรุ่งนี้เลยนะเพื่อน สู้ๆ”
“เฮ้ย! ทิ้งกันงี้เลยเหรอ”
“โอกาสมาแล้วแก คาบพี่เขาไปกินให้ได้”
“ไอ้หมี่พี่เขาไม่ใช่หมาสักหน่อย เอ๊ย! เราไม่ใช่หมาสักหน่อย” พาณินีพูดผิดพูดถูกจนเพื่อนหัวเราะ แล้วมิลินก็หายไปพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของเธอ
ปกติแล้วเธอมักควบคุมตัวเองได้ดียามเจอภุมเรศ แต่หลังจากที่ได้เปิดใจพูดกับพฤทธิ์ว่าเธอชอบเพื่อนสนิทขอเขา เธอก็รู้สึกว่าการควบคุมตัวเองทำได้ยากมากขึ้นทุกที
พาณินีให้กำลังใจตัวเองว่า ไม่มีอะไรต้องกลัว ภุมเรศใจดีกับเธอเสมอ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเท้าก้าวเข้าไปยังร้านที่เขากำลังเลือกดูของอย่างตั้งใจจนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้เธออยู่ใกล้เขาแค่ไหนแล้ว
“พี่ภู่คะ”
ภุมเรศหันกลับมาทางเธอทันที “อ้าว น้องแพร์”
“แพร์หันมาเห็นพี่ภู่ยืนอยู่ในร้านนี้พอดีค่ะ ก็เลยเดินเข้ามาทักค่ะ” เธอมองชามที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย “พี่ภู่มาชอปปิ้งอะไรเหรอคะ”
“ซื้อของสำหรับเป็นพร็อพถ่ายภาพเพิ่มน่ะ ที่นี่ของถูกดีเลยมาบ่อย”
“ปกติแพร์ก็มาเดินบ่อยนะ แต่ไม่เห็นเคยเจอกันเลย”
“พี่เองก็มาบ่อยนะ” ชายหนุ่มยิ้ม
“อืม...แพร์ไม่กวนพี่ภู่แล้วค่ะ” ถึงพาณินีจะอยากอยู่คุยกับภุมเรศต่อ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอะไรมาคุยด้วยอีก แถมยังไม่อยากกวนจนอีกฝ่ายนึกรำคาญ
“วันนี้เลิกเรียนแล้วเหรอครับ”
“เลิกเรียนแล้วค่ะ วันนี้มีเรียนแค่ช่วงเช้า”
“แล้วกลับยังไงครับ”
“นั่งรถเมล์ค่ะ”
“แล้วตอนนี้จะกลับหรือยังครับ”
“ค่ะ จะกลับแล้ว”
“งั้นรออีกนิดได้ไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“จะไม่รบกวนเหรอคะ คอนโดแพร์ไม่ใช่ทางผ่านนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่ไปส่งได้ น้องสาวเพื่อนก็เหมือนน้องสาวพี่นั่นแหละ ไปส่งเองจะได้ไม่เป็นหวง” ภุมเรศหัวเราะเบาๆ เพราะนึกถึงเพื่อน “พี่ก็เหมือนไอ้โพธิ์นั่นแหละ ถ้าไปรับไปส่งเองจะสบายใจกว่า”
คำว่าน้องสาวเพื่อนก็เหมือนน้องสาวพี่ก้องเต็มรูหูของพาณินี สะเทือนไปทั้งโสตประสาทอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่าบอกนะว่าภุมเรศคิดกับเธอแค่น้องสาว!