น้องสาวเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ใจมันไม่รักดีเอาเสียเลย

รักละไมเพื่อนพี่ชาย - 5 ตอนที่ ๕ โดย ที่รักของพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,รักโรแมนติด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รักละไมเพื่อนพี่ชาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติด

รายละเอียด

รักละไมเพื่อนพี่ชาย โดย ที่รักของพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

น้องสาวเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ใจมันไม่รักดีเอาเสียเลย

ผู้แต่ง

ที่รักของพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

รักละไมเพื่อนพี่ชาย-บทนำ บทนำ,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-1 ตอนที่ ๑,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-2 ตอนที่ ๒,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-3 ตอนที่ ๓,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-4 ตอนที่ ๔,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-5 ตอนที่ ๕,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-6 ตอนที่ ๖,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-7 ตอนที่ ๗,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-8 ตอนที่ ๘,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-9 ตอนที่ ๙,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-10 ตอนที่ ๑๐,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-11 ตอนที่ ๑๑,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-12 ตอนที่ ๑๒,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-ตอนพิเศษ ตอนพิเศษ

เนื้อหา

5 ตอนที่ ๕

ตอนที่ ๕





“อ้าว! พี่โพธิ์จะเลี้ยวไปไหน”

“ไปรับคน มีคนจะไปเที่ยวบ้านเราด้วย”

“ใครเหรอคะ”

“ถึงแล้วเดี๋ยวก็รู้เอง” พฤทธิ์ทำเสียงหน่ายๆ

“ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในด้วยล่ะ”

เมื่อพี่ชายไม่อ้าปากพูดอะไรอีก หญิงสาวจึงเลิกเซ้าซี้และมองสองข้างทางที่ไม่คุ้นตาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้ามาในซอยและหยุดลงหน้าบ้านไม้กึ่งปูนหลังหนึ่ง ใครบางคนที่เปิดประตูรั้วออกมาทำให้พาณินีหันไปมองพี่ชายตาโต

“พี่ภู่จะไปเที่ยวบ้านเราเหรอ”

“ก็ชวนมันไว้นานแล้วน่ะสิ ก่อนเธอจะมาบอกว่าชอบมันอีก ปีก่อนก็ชวนแต่มันไม่ว่าง พอปีนี้มันมาบอกว่าอยากไปด้วย แล้วจะให้ปฏิเสธว่าไง”

“ดีแล้วค่ะที่ไม่ปฏิเสธ” พาณินียิ้มร่าพลางมองดูภุมเรศเปิดประตูขึ้นมานั่งยังเบาะหลัง

“ปีนี้พี่ขอไปด้วยคนนะ”

“ด้วยความยินดีค่ะ เดี๋ยวแพร์พาพี่ภู่เที่ยวเอง”

“แค่ก แค่ก!”

“พี่โพธิ์เป็นอะไร ไม่สบายเหรอคะ”

“มั้ง ตอนนี้อากาศก็เย็นมากด้วยนี่ พี่ก็ไอเป็นประจำ”

คนเป็นน้องสาวเหล่พี่ชาย แต่ก็จริงอย่างที่พฤทธิ์พูด อากาศเปลี่ยน หนาวๆ เย็นๆ ทีไร พี่ชายของเธอก็ชอบไออยู่ตลอด คงไม่ได้อยากจะขัดจังหวะอะไรหรอกใช่ไหม

“ให้กูเป็นคนขับแทนก็ได้นะ”

“เดี๋ยวขับไปสักครึ่งทางค่อยเปลี่ยนแล้วกัน”

ดังนั้นในปีนี้ พาณินีจึงได้ฉลองวันปีใหม่กับภุมเรศเป็นครั้งแรก และหวังว่าจะมีความทรงจำดีๆ ด้วยกันที่สวนส้มซึ่งเธอตั้งใจว่าจะพาเขาไปเที่ยว

*****

ภุมเรศมองดูบ้านหลังไม่ใหญ่นักที่สร้างห่างจากถนนในหมู่บ้านเข้ามาพอสมควร ส่วนด้านหน้านั้นเป็นสวนที่ปลูกผักเอาไว้หลายชนิดและมีรั้วตาข่ายเหล็กล้อมรอบพื้นที่ทั้งหมดเพื่อบอกเขตแดนมากกว่าจะทำไว้เพื่อกันขโมย

สุนัขพันทางตัวใหญ่ลายด่างขาวดำวิ่งหน้าตั้งมาล้อมหน้าล้อมหลังรถของพฤทธิ์ทันทีที่จอดลงตรงหน้าบ้าน สองพี่น้องยืนยันว่าหมาของพวกเขาไม่ดุและไม่เคยกัดใคร ชายหนุ่มจึงลงมายืนข้างนอกรถด้วยความสบายใจและช่วยกันขนของที่สองพี่น้องซื้อมาฝากบิดาของพวกเขาเข้าบ้าน

“มอคค่าพ่อไปไหนฮึ” พฤทธิ์ย่อตัวลงถามพลางใช้มือขยำขยี้หน้าสุนัขตัวโปรดของผู้เป็นพ่อที่กำลังทำสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ

“คงอยู่ในสวนหลังบ้านนั่นแหละค่ะ” พื้นที่สวนหลังบ้านของพวกเขานั้นมีพื้นที่ราวๆ หนึ่งไร่ เป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าของคนเป็นพ่อ ซึ่งเก็บไว้ปลูกผลหมากรากไม้ไว้กินเองแทนที่จะให้คนมาเช่าเหมือนที่ดินผืนอื่นที่อยู่ไกลจากตัวบ้าน

หลังจากพาณินีใช้กุญแจไขแม่กุญแจอันโตซึ่งล็อกประตูหน้าบ้านออก ทั้งหมดจึงเดินเข้ามาด้านใน แล้วพฤทธิ์จึงพาเพื่อนสนิทไปเก็บกระเป๋าที่ห้องนอนของตัวเอง

“แค่ก! แค่ก!”

“มึงดูอาการไม่ค่อยดีแล้วนะ” ภุมเรศเอ่ยทัก เมื่อเพื่อนเริ่มไอถี่ขึ้น

“อือ รู้สึกปวดหัวว่ะ” พฤทธิ์ล้มตัวลองนอนบนเตียงแล้วหันกลับไปมองเพื่อนของตัวเอง “น้องแพร์คงอยากออกไปซื้อของมาจัดปีใหม่ แต่น้องแพร์ยังขับรถไม่แข็ง ฝากมึงพาไปหน่อยแล้วกัน”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพาไปเอง”

ดวงตาของพฤทธิ์ปรือปรอยลง ทำไมทุกอย่างมันถึงเข้าทางน้องสาวของเขาไปหมดแบบนี้ก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เขาปวดหัวจัด งั้นก็ช่างมันก่อนเถอะ เพราะยังไงตอนนี้ก็ดูเหมือนเพื่อนเขาจะไม่ได้คิดอะไรกับพาณินีเลย

เมื่อภุมเรศเดินออกมาจากห้องของเพื่อน ก็ได้เจอกับชายสูงวัยรูปร่างสูงโปร่งที่หลังยังคงเหยียดตรง และปล่อยผมของตัวเองเป็นสีขาวตามธรรมชาติ

“ป๊า พี่ภู่ค่ะ เพื่อนพี่โพธิ์ พี่โพธิ์เขาชวนมาเที่ยวบ้านเรา”

“สวัสดีครับ” ภุมเรศยกมือขึ้นไหว้คนสูงวัยกว่าด้วยความนอบน้อม

“ได้กินข้าวกินปลากันก่อนมาหรือยัง” พิพัฒน์เอ่ยถาม เพราะรู้ว่าพวกลูกๆ คงออกเดินทางกลับกันแต่เช้าและกว่าจะถึงที่นี่ก็เป็นช่วงสายมากแล้ว เพราะต้องใช้เวลาในการขับรถถึงสามชั่วโมง

“ยังเลยค่ะ”

“มาๆ งั้นมากินกันก่อน แล้วนี่พี่ชายหนูไปไหนซะล่ะ” คนเป็นพ่อหันไปถามลูกสาว

“เหมือนจะไม่สบายครับก็เลยนอนพักไปแล้ว” ภุมเรศเอ่ยแทน

“ว่าแล้วเชียว เพราะเห็นไอมาตลอดทางเลยค่ะ งั้นเดี๋ยวกินข้าวอิ่มแล้ว แพร์ออกไปซื้อยาให้พี่โพธิ์นะป๊า”

พิพัฒน์พยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนจะเดินนำไปยังห้องครัวเปิดโล่งที่อยู่หลังบ้าน กับข้าวที่ผู้เป็นพ่อทำไว้รอลูกๆ ถูกยกออกมาจากตู้กับข้าว เมื่อชายหนุ่มได้ชิมแล้วก็รู้ทันทีว่ารสมือในการทำกับข้าวของพาณินีนั้นเหมือนใคร

เมื่อกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ภุมเรศจึงพาพาณินีไปยังร้านขายยาในหมู่บ้าน เพื่อซื้อยาแก้ไข้มาให้คนป่วยกิน โดยใช้รถจักรยานยนต์ของบ้านหญิงสาวขี่พาไป

“บ้านหลังนั้นหมาดุค่ะ พี่ภู่อย่าขี่หนีนะคะ เดี๋ยวชนพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านที่ชอบลงมาวิ่งเล่นบนถนน”

โฮ่ง! โฮ่ง!

พอสิ้นคำเตือน สุนัขสองสามตัวก็ออกมาวิ่งไล่และช่วยกันเห่าเสียงขรม

“ทำไมเขาไม่ทำรั้วบ้านแล้วให้มันอยู่แต่ในรั้วล่ะ คนอื่นเดือดร้อนนะ น่ากลัว” ภุมเรศบ่น แต่ก็เข้าใจว่าแถวนี้คงไม่นิยมทำรั้วบ้านกันสักเท่าไร เพราะเท่าที่เห็นบ้านที่มีรั้วแทบจะนับหลังได้เลย

“พูดยากค่ะ ถ้าเจ้าของหมาคิดไม่ได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง”

ร้านขายยาอยู่ห่างจากบ้านที่หมาดุชอบวิ่งไล่รถไม่ไกลนัก หญิงสาวหายเข้าไปในร้านขายยาครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกับถุงยาในมือ

“มีทางอื่นอีกไหมที่ไม่ต้องเจอหมาพวกนั้น”

“ก็มีนะคะ แต่ซอกแซกหน่อย”

“ถ้ามีก็ใช้ทางนั้นดีกว่า”

ได้นั่งซ้อนท้ายภุมเรศก็เพลินดี ดังนั้นหญิงสาวจึงพร้อมจะพาชายหนุ่มซอกแซกไปตามทางในหมู่บ้านที่แถบนี้ค่อนข้างอยู่กันอย่างแออัดคับแน่นกว่าโซนแถบบ้านของเธอ

*****

พิพัฒน์เดินเข้าไปหาลูกชายในห้องและเรียกเสียงเบา พฤทธิ์จึงลืมตาขึ้นมามองอีกฝ่ายในขณะที่ฝ่ามือเย็นๆ ประทับลงมาบนหน้าผาก

“เป็นไงไอ้ลูกชาย”

“ปวดหัวนิดหน่อยครับ แต่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก”

“ถ้าไม่เป็นอะไรมากก็ดี ป๊ามีเรื่องจะถาม ไอ้หนุ่มที่พามาเพื่อนลูกจริงๆ หรือไม่กล้าบอกป๊าว่าเป็นแฟนน้องแพร์”

“เพื่อนผมครับ ไม่ใช่แฟนน้องแพร์ แค่ก! แค่ก!”

“อ้าวเหรอ! ทำไมดูสนิทกันแท้ล่ะ”

“ก็มันไปดูบอลกับผมที่ห้องบ่อยๆ ก็เลยสนิทกัน”

“แล้วไว้ใจได้ใช่ไหม คืนนี้ป๊าไม่อยู่บ้านนะ จะไปงานศพเพื่อนแล้วค้างคืนหนึ่ง”

“ป๊าไม่ต้องห่วง มันไว้ใจได้ ถ้าไว้ใจไม่ได้ผมไม่คบหรอก” พฤทธิ์เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อให้คนเป็นพ่อวางใจ ส่วนในใจคือเขาไม่ไว้ใจน้องสาวมากกว่าอีก

พิพัฒน์พยักหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงห่วงใย “น้องแพร์ออกไปซื้อยาให้แล้ว เดี๋ยวกินยาเสร็จก็นอนพักเยอะๆ” แล้วออกไปจากห้องนอนของลูกชาย

หลังบิดาปล่อยเขาไว้เพียงลำพังพักใหญ่ น้องสาวก็เคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเปิดเข้ามา พร้อมกับยาและของกิน

“กินข้าวต้มสักหน่อยแล้วค่อยกินยานะคะ” พาณินีส่งชามข้าวต้มให้ก่อนจะวางยา กล่องแผ่นเจลลดไข้และขวดน้ำไว้บนหัวเตียง

“รู้หรือยังคืนนี้ป๊าไม่อยู่”

“รู้ค่ะ แล้วทำไมเหรอ” หญิงสาวเลิกคิ้ว

“อย่าพาไอ้ภู่ทำอะไรพิเรนทร์ๆ ล่ะ”

หมับ! หญิงสาวหยิกเข้าที่เอวของพี่ชาย พฤทธิ์ได้แต่ส่งเสียงร้องเพราะเจ็บ แต่ปกป้องตัวเองไม่ได้เพราะถือชาวข้าวต้มอยู่

“พิเรนทร์อะไรล่ะ คืนนี้แพร์กับพี่ภู่จะช่วยกันตกแต่งบ้านต้อนรับวันสิ้นปีค่ะ” พาณินีค้อนพี่ชาย

“โอกาสดีจังเลยนะ”

“ไม่ต้องพูดแล้วค่ะ กินข้าวกินยาแล้วนอนไปเลย จะได้หายเร็วๆ”

พฤทธิ์หัวเราะเบาๆ ในลำคอพลางมองน้องสาวเดินออกจากห้องนอนของตัวเองไป

ส่วนทางหญิงสาวซึ่งตอนนี้กลายเป็นคนที่ต้องต้อนรับดูแลภุมเรศเพียงลำพังได้แต่บ่นพึมพำว่าพี่ชายของเธอคิดอะไรก็ไม่รู้ สงสัยเพ้อเพราะพิษไข้ อย่างเธอจะไปชวนชายหนุ่มทำอะไรพิเรนทร์ๆ ได้ยังไง แล้วไอ้เรื่องพิเรนทร์ที่พฤทธิ์ว่ามันคืออะไรกันล่ะ

เธอเดินออกไปหาพฤทธิ์ซึ่งนั่งเล่นกับสุนัขของผู้เป็นพ่อที่หน้าบ้าน พอเขาโยนลูกเทนนิสลูกโปรดของมันออกไป มันก็รีบวิ่งไปเก็บมาให้เขาแล้วทำหน้าประจบประแจงขอให้โยนให้อีกที ภุมเรศจึงตามใจมันครั้งแล้วครั้งเล่า

“มันเข้ากับคนง่ายเหมือนที่บอกเลยใช่ไหมคะ ถ้าโจรบุกเข้าบ้านก็คงคาบลูกบอลชวนเขามาเล่นด้วยแน่ๆ” พาณินีเอ่ยกับภุมเรศที่กำลังเล่นกับสุนัขอย่างสนุกสนาน

“อย่างน้อยก็ช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ไง” ภุมเรศหัวเราะ

“น่าจะถ่วงเวลาได้นานเป็นชั่วโมงแน่ๆ ค่ะ”

“มันกี่ขวบแล้วครับ”

“ขวบเดียวค่ะ ป๊าหิ้วกลับมาวันที่ต้องทำงานวันสุดท้ายก่อนเกษียณพอดีค่ะ เดินหลงอยู่แถวๆ หน้าที่ว่าการอำเภอ” หญิงสาวเล่าไปพลางมองสุนัขตัวโปรดของพ่อวิ่งกลับมาอ้อนภุมเรศ “ตอนแรกจะยกให้คนอื่นเพราะตอนนั้นอ้วนจ้ำม่ำน่าฟัดสุดๆ ใครเห็นก็อยากได้ค่ะ แต่ป๊าห่วงว่าเขาจะเลี้ยงไม่ดีก็เลยเลี้ยงเอาไว้เอง รั้วนี่ก็ไม่ได้กันโจรกันขโมยอะไรหรอกค่ะ ล้อมไว้ไม่ให้มอคค่าออกไปซนข้างนอกแล้วหลงหาย ไม่ก็ถูกรถชนมากกว่าค่ะ ถึงแถวนี้รถจะวิ่งไม่เร็ว แต่ก็เคยมีน้องหมาโดนชนจนพิการ”

“พี่ว่าแบบนี้ดีแล้วล่ะ”

“โชคดีที่มันปีนไม่เก่ง เคยเห็นตามคลิป น้องหมาบางตัวก็ปีนกำแพงสูงๆ หนีออกไปเล่นนอกบ้านได้สบายๆ เลยค่ะ”

“หมาแดงขนเกรียนที่ขึ้นไปยืนบนกำแพงบ้านใช่ไหม”

“น่าจะตัวเดียวกันค่ะ”

พาณินีนั่งคุยกับภุมเรศไปเรื่อยเปื่อย มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้างพลางเล่นกับมอคค่าไปด้วยจนกระทั่งถึงช่วงบ่าย ชายหนุ่มก็ขับรถพาหญิงสาวออกไปซื้อของเพื่อตกแต่งบ้านต้อนรับวันปีใหม่และซื้อของสำหรับทำของกินด้วยกันในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันสิ้นปี พ่อของเธอก็จะกลับมาแล้ว ส่วนพฤทธิ์น่าจะอาการดีขึ้นจนสามารถลุกมาร่วมฉลองนับถอยหลังสู่วันปีใหม่ด้วยกันได้

หลังจากออกไปซื้ออุปกรณ์ตกแต่งวันปีใหม่มาเรียบร้อยแล้ว ภุมเรศกับพาณินีก็ช่วยกันตกแต่งบ้านให้ดูมีสีสันสดใสด้วยสายรุ้งหลากสี

“มันจะดูรกรุงรังไปหรือเปล่าเนี่ย” ภุมเรศมองดูอีกทีก็พบว่า ทั้งหน้าต่างและประตูเต็มไปด้วยสายรุ้งตกแต่งที่น่าจะทำให้ตอนเก็บเหนื่อยมากกว่าตอนติด

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “ไม่ได้รกสักหน่อยค่ะ แค่เลอะเทอะนิดหนึ่ง” แต่เห็นพาณินีแฮปปี้แล้วก็สนุก ภุมเรศจึงคิดว่าก็ดีแล้ว

ภุมเรศหันไปมองไฟประดับกองใหญ่ที่หญิงสาวเอาออกมาจากห้องเก็บของ “พวกนี้ติดที่ไหนครับ”

“เดี๋ยวจะติดที่ต้นทับทิมหน้าบ้านค่ะ”

ดังนั้นทั้งสองจึงช่วยกันเอาไฟประดับไปติดยังต้นทับทิมที่ปลูกห่างจากตัวบ้านเล็กน้อย หลังจากต่อไฟและเช็กว่าติดดีทุกดวงแล้วก็ปิดเอาไว้ก่อน มืดเมื่อไรต้นไม้หน้าบ้านของเธอก็จะดูสวมงามกว่าทุกวันอย่างแน่นอน ก่อนจะไปนั่งพักเพราะใช้เรี่ยวแรงกันมาพักใหญ่แล้ว

“เพื่อนป๊ามาแล้ว ป๊าไปก่อนนะน้องแพร์”

พาณินีซึ่งกำลังนั่งดูซีรี่ส์อยู่กับภุมเรศลุกขึ้นเดินไปส่งผู้เป็นพ่อที่หน้าประตูบ้าน ด้วยความรู้สึกสงสารคนที่เพิ่งเสียเพื่อนรักไปอีกคน

“ไม่มีใครอยู่ยั้งยืนยงตลอดไปหรอกลูก” พิพัฒน์เอ่ยขึ้นราวกับอ่านใจลูกสาวออก “น้องแพร์เห็นแล้วใช่ไหม ชีวิตคนเรามันสั้น แถมยังไม่แน่นอนด้วย อยากทำอะไรก็รีบๆ ทำนะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย”

“คะ” หญิงสาวชะงักงัน “ค่ะ” แต่ก็พยักหน้ารับคำสอนของผู้เป็นพ่อ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอีกฝ่ายจะสื่อถึงเรื่องไหนหรืออะไรก็ตามที