รัก,รักโรแมนติด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ตอนที่ ๖
แม้ในตอนเช้าของวันสุดท้ายของปี พฤทธิ์จะไข้ลดลงแล้ว แต่ก็ไม่เหมาะจะออกไปเที่ยวกับน้องสาวและเพื่อนสนิท ดังนั้นเขาจึงต้องนอนอยู่บ้านต่อไป
“ฝากดูแลน้องกูด้วยล่ะ”
“รู้แล้วน่า ถึงไม่ฝากกูก็ดูแลอย่างดี” อยู่ๆ ภุมเรศก็รู้สึกฉุนขึ้นมานิดๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ
“โอเคๆ เชื่อๆ ว่ามึงคงดูแลอย่างดี ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม” น้ำเสียงของพฤทธิ์ติดประชดอยู่นิดๆ
“มึงนี่ไม่เลิกระแวงกูสักทีวะ”
“ผู้ชายมันก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นแหละ” พฤทธิ์หรี่ตามองเพื่อน
“ไม่ไว้ใจกู ก็ไว้ใจน้องมึงสิ เขาไม่ได้คิดอะไรกับกูสักหน่อย”
พฤทธิ์มองเพื่อนตาปริบๆ น้องสาวของเขานี่แหละไว้ใจไม่ได้สุดๆ แล้วนี่อะไร พาณินีชอบออกนอกหน้าขนาดนี้ภุมเรศยังไม่รู้ตัวอีก เหลือเชื่อ!
“นอนๆ เย็นนี้จะได้ลุกมากินหมูกระทะได้” ภุมเรศเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะออกมาจากห้องส่วนตัวของเพื่อนสนิทและพบว่าพาณินีในชุดเดรสสีขาวกระโปรงบาน แขนระบาย เธอแต่งตัวเสร็จก่อนเขาเสียอีก
“น้องแพร์ โทษทีที่ให้รอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แพร์เพิ่งออกมานั่งรอได้แป๊บเดียวเอง” หญิงสาวยิ้มกว้าง รอยยิ้มพิมพ์ใจพาให้เขายิ้มตามไปด้วย “งั้นเราไปกันเลยนะคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มเดินตามพาณินีไปยังรถของพฤทธิ์
เนื่องจากสวนส้มที่จะไปนั้นอนุญาตให้พาสัตว์เลี้ยงไปเดินเที่ยวด้วยได้ พาณินีตั้งใจจะพาเจ้ามอคค่าไปเที่ยวด้วยกัน ก่อนหน้านี้หญิงสาวจึงอาบน้ำและผูกมันไว้ตรงหน้าบ้าน ไม่ยอมให้ไปคลุกฝุ่นเล่นเพราะต้องขึ้นรถ
หลังจากพาสุนัขตัวโปรดของผู้เป็นพ่อขึ้นไปนั่งยังเบาะหลังเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวก็ขึ้นมานั่งข้างคนขับรถ เพื่อคอยบอกทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยว
ขับรถไม่ถึงชั่วโมง ทั้งสองและอีกหนึ่งตัวก็ถึงสวนส้มซึ่งเปิดให้คนเข้ามาท่องเที่ยวเก็บส้มและเต็มไปด้วยจุดถ่ายรูปเช็กอินเก๋ๆ
แต่แม้จะหน้าหนาวแล้ว ทว่าอากาศกลับแค่เย็นสบายๆ ภุมเรศจึงได้ยินเสียงบ่นจากคนที่มาด้วยกันว่าประเทศนี้เหลือแค่ฤดูเดียวแล้วจริงๆ
หญิงสาวเดินเข้าไปขอตะกร้าจากจุดต้อนรับ เพื่อใช้เก็บผลส้มได้ด้วยตนเองและจะนำมาคิดราคาเมื่อกลับออกมาจากสวน
“เดี๋ยวพี่ถือให้” เขาอาสาถือของที่ต่อไปน่าจะหนักแทนเธอ แล้วส่งสายจูงของเจ้าตัวที่กำลังตื่นเต้นอย่างเต็มที่ให้กับหญิงสาว
“ตั้งใจว่าจะเก็บให้เต็มตะกร้าไปเลยค่ะ จะเอาไปฝากเพื่อนแพร์ด้วย”
“พี่เองก็ว่าจะซื้อกลับไปฝากพี่ผึ้งเขาเหมือนกัน”
“งั้นเดี๋ยวช่วยกันเก็บนะคะ”
ภุมเรศออกเดินตามหญิงสาวซึ่งเดินนำไปก่อน เพราะเจ้ามอคค่าดันกลายเป็นคนลากให้คนจูงต้องเดินเร็วขึ้น พักหนึ่งถึงเริ่มสงบ เขาจึงเดินขึ้นมาเคียงพาณินี
“คิดถูกหรือเปล่าเนี่ยที่พามาด้วย จะวิ่งอย่างเดียวเลย” ถึงจะบ่น แต่พาณินีก็หัวเราะไป
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มละไม ก่อนจะมองไปยังต้นส้มรอบตัวที่ตอนนี้มีผลส้มสีสันสดใสอวดโฉมเต็มต้น รอให้เลือกเด็ดมากมายละลานตา
เขาเอื้อมมือไปดึงส้มมาลูกหนึ่งแล้วใส่ตะกร้า หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงดึงสายจูงให้เจ้าสุนัขผู้แสนกระตือรือร้นหยุดรอสักครู่ แล้วช่วยภุมเรศเลือกส้มสดๆ จากต้น แต่พวกเขาก็เลือกแค่ไม่กี่ลูกก่อนเพราะยังอยากเดินเล่นเรื่อยๆ ถ้าส้มเต็มตะกร้าเร็วเกินไปจะต้องถือให้หนักเสียเปล่าๆ
“พี่ถ่ายรูปให้เอาไหม” ภุมเรศเอ่ยปากเมื่อบริเวณที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ค่อนข้างโล่ง ไม่ค่อยมีคนเดินมาทางนี้สักเท่าไร
“เอาค่ะ” เธอดึงกระเป๋าสะพายออกจากไหล่ เพื่อจะค้นหาโทรศัพท์
“ใช้ของพี่ถ่ายก็ได้ เดี๋ยวส่งให้”
หญิงสาวมองโทรศัพท์ยี่ห้อดังรุ่นล่าสุดในมือของชายหนุ่มตาเป็นประกาย “ถ้าเป็นรุ่นนี้ ถ่ายยังไงเขาก็ว่าสวยนี่คะ”
ภุมเรศหัวเราะเบาๆ “พี่ก็ถ่ายรูปเก่งอยู่ สมัยเริ่มขายงานใหม่ๆ พี่ก็ถ่ายรูปเองนะ แล้วก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์รุ่นที่แพงขนาดนี้ด้วย”
“เชื่อค่ะ” หญิงสาวหยิบผลส้มขึ้นมาจากตะกร้าแล้วเอามาแนบแก้มของตัวเองก่อนยิ้มกว้าง เพื่อให้เขาถ่ายรูปให้ตัวเอง
ชายหนุ่มช่วยถ่ายรูปให้พาณินีไปหลายสิบรูปและเมื่อเธอชวนให้เขาถ่ายด้วยกัน ภุมเรศก็ขยับเข้าไปใกล้และถ่ายรูปกับหญิงสาวด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
“ด้านโน้นมีคาเฟ่ด้วยค่ะ ขนมส่วนใหญ่ในร้านก็ทำมาจากส้มในไร่ แต่วันนี้คนเหมือนจะค่อนข้างเยอะ ไม่รู้ว่าจะมีที่ว่างให้นั่งหรือเปล่าเนี่ยสิ”
เมื่อทั้งสองเดินไปถึงคาเฟ่ซึ่งทุกอย่างภายในร้านเน้นสีขาวสะอาดตาตัดกับสีส้มสดใส ก็พบว่าคนเยอะเต็มร้านอย่างที่พาณินีพูด แต่ทางสวนคงคาดคะเนไว้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
ดังนั้นจึงมีการปูผ้าสำหรับรองนั่งปิกนิกบนพื้นหญ้ากว้างนอกร้านและปักหมุดไม่ให้ปลิวไปตามลมเอาไว้ด้วย แต่ละที่นั่งก็จะมีหมายเลขปักไว้ สำหรับให้เด็กเสิร์ฟนำของมาส่งให้คนสั่งได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหลังจากทั้งสองสั่งขนมและน้ำที่ต้องการเรียบร้อยแล้วจึงออกมาหาที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่ที่ด้านนอก
“สวยจังเลยค่ะ ดูน่ากินกว่าเดิมพันเท่า” พาณินีมองภาพถ่ายจากของกินที่ภุมเรศทำการจัดวางเพื่อถ่ายรูป
“ชมเว่อร์ไปแล้ว”
“ก็มันจริงนี่คะ” หญิงสาวหัวเราะ “แต่นอกจากจะสวย ที่นี่เขาก็ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติค่ะ โดยเฉพาะกาแฟน้ำส้ม”
พาณินีเอื้อมมือไปหยิบกาแฟน้ำส้มส่งให้กับชายหนุ่ม ส่วนของเธอวันนี้เลือกเป็นน้ำส้มคั้นสดๆ หวานชื่นใจ
“อืม อร่อยจริงอย่างว่า”
“คุกกี้แยมส้มนี่ก็อร่อยมากค่ะ พี่ภู่น่าจะชอบนะคะ ไม่ได้หวานมากเกินไป กำลังพอดีๆ”
เมื่อภุมเรศหยิบคุกกี้ขึ้นมาชิม สำหรับเขามันก็ยังหวานมากอยู่ดี แต่ก็ไม่แย่ กินไปชิ้นสองชิ้นก็รู้สึกว่าอร่อยดีเหมือนกัน
ส่วนเจ้ามอคค่า หญิงสาวหยิบขนมสุนัขที่มีลักษณะเป็นแท่งๆ ให้มันเคี้ยวเล่นเงียบๆ อยู่ไม่ห่างกาย
ภุมเรศเผลอมองพาณินีที่หันไปเล่นกับเจ้ามอคค่าซึ่งตอนนี้ร้องจะกินขนมอีกจนเธอต้องดุ เพราะกินมากเกินไปแล้ว พอเจ้าตัวหันมามองเขาก็ยิ้มให้ แล้วถึงได้เสมองไปทางอื่น ทำเป็นนิ่งกลบเกลื่อนที่ตัวเองแอบมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน
ทั้งสองนั่งกินขนมกันไปเรื่อยๆ จนลูกค้าคนอื่นๆ ของคาเฟ่ที่มาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกลับไปหมดแล้ว ภุมเรศกับพาณินีก็ยังไม่อยากลุกไปไหนเลย แต่จะนั่งอยู่ตลอดไปก็ไม่ได้ ดังนั้นหลังจากเก็บจานกระดาษและแก้วน้ำไปทิ้งยังถังขยะของร้านเรียบร้อยก็เดินกลับมาที่ด้านหน้าของไร่ส้ม เพื่อนำส้มที่เก็บมาชั่งกิโลและคิดเงิน แต่ถ้าอยากได้เพิ่มอีกและไม่อยากเดินเข้าไปเก็บเองแล้ว ตรงจุดต้อนรับก็มีบริการเก็บมาขายให้ ชายหนุ่มจึงซื้อเพิ่มเพื่อนำไปฝากคนอื่นๆ ในสตูดิโอของเขาด้วย
“วันนี้อยู่กับแพร์สนุกไหมคะ เบื่อหรือเปล่า”
“สนุกครับ อยู่กับน้องแพร์พี่ไม่เบื่อเลย”
เธอยิ้มกว้างด้วยสีหน้าสดใส ส่วนภุมเรศได้แต่มองอีกฝ่ายนิ่งเหมือนต้องมนตร์ไปชั่วขณะ พาณินีน่ารักเหมือนวันแรกที่ได้เจอกันอีกครั้ง เป็นน้องสาวที่เพื่อนสนิทหวง สำหรับเขาก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่งของตัวเองเช่นกัน
แต่ปกติคนเราจะไม่ใจเต้นกับน้องสาวของตัวเองใช่ไหม แล้วนี่เป็นน้องสาวแบบใด เขาถึงได้รู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้น หรือเป็นเพราะเดินถือตะกร้าส้ม แต่หนักแค่ไม่กี่กิโลเอง โดยปกติเขาก็ถือได้สบายๆ ไม่ต้องใช้แรงมากมายนัก
“ถ้าปีหน้าอยากมาเที่ยวอีกก็บอกนะคะ”
“ต้องรอปีหน้าเลยเหรอ”
พาณินีนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้างอีกครั้ง “ความจริงไม่ต้องรอปีละครั้งก็ได้ค่ะ อยากมาเมื่อไรบอกแพร์ได้เสมอ ถ้าพี่โพธิ์ไม่พามา แพร์พามาเองได้ค่ะ”
ภุมเรศอยากตีปากตัวเอง นี่เขาพูดอะไรออกไป ทำอย่างกับจะอ่อยน้องสาวที่เพื่อนหวง ถ้าคนเป็นพี่ชายรู้ว่าเขาทำแบบนี้คงมาบีบคอเขาแน่
*****
พิพัฒน์ซึ่งกลับมาแล้วนั้นปล่อยให้ลูกสาวกับเพื่อนของลูกชายจัดการเตรียมของสำหรับกินหมูกระทะกันสองคน เพราะจับไต๋ได้แล้วว่าพาณินีดูจะชอบอกชอบใจภุมเรศ
“ป๊ายอมเหรอ นั่นลูกสาวสุดที่รักนะ” พฤทธิ์ที่อาการดีขึ้นจนออกมาเดินเหินไปทั่วบ้านด้วยท่าทางสบายๆ ได้แล้ว พอเห็นบิดานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านก็เข้ามาคุยด้วย
“บอกป๊ามาสิว่าทำไมแกไม่ห้ามน้องล่ะ”
“ถ้าห้ามโต้งๆ น้องก็เกลียดผมสิ”
คนเป็นพ่อหลุดเสียงหัวเราะออกมาทันที “จะให้น้องมาเกลียดป๊าแทนว่างั้น”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ”
“เขาเป็นเพื่อนสนิทแกไม่ใช่เหรอ ก็ต้องเป็นคนดีระดับหนึ่งเลยไม่ใช่หรือไง ถึงได้คบมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้”
“ก็ดีครับ แต่แบบนั้นถึงไม่อยากให้เป็นคนนี้ คบกันไปวันหนึ่งถ้าพวกเขาทะเลาะกันมันคงกระอักกระอ่วนน่าดู หรือหนักกว่านั้นถ้าน้องแพร์เสียใจเพราะมัน ผมคงมองหน้ามันไม่ติดอีก แล้วหลังจากนั้นความสัมพันธ์คงเลวร้ายน่าดู ผมจะให้อภัยมันยากกว่าคนอื่น”
“ป๊าเข้าใจว่ารักมากทั้งคู่ แล้วก็คงไม่อยากเห็นพวกเขาเจ็บปวดเพราะถูกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำร้ายให้เจ็บช้ำน้ำใจ แต่เราจะเอาความสบายใจของตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้หรอก”
“พี่โพธิ์คะ มาช่วยกันยกโต๊ะหน่อย” เสียงเรียกของพาณินีดังมาจากในบ้าน
“แต่...” พฤทธิ์ถอนหายใจ ก่อนจะรีบพูดเร็วๆ กับผู้เป็นพ่อ “ไอ้ภู่มันความรู้สึกช้า บางทีอาจจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็ได้ครับ น้องแพร์อาจจะท้อแท้ไปก่อน”
คำพูดของลูกชายทำเอาพิพัฒน์ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ แล้วหัวเราะ
ชายหนุ่มหมุนตัวเดินกลับเข้าไปช่วยภุมเรศยกโต๊ะออกมาตั้งหน้าบ้าน เพื่อใช้เป็นที่ตั้งเตาหมูกระทะ ก่อนจะช่วยกันขนของมานั่งกินด้วยกันกับบรรยากาศเย็นๆ ของช่วงปีใหม่ และแสงระยิบระยับจากไฟประดับของบ้านหลายหลัง ทำให้ยามกลางคืนดูมีชีวิตชีวามากกว่าวันอื่น
“ให้แค่วันนี้วันเดียวนะป๊า” พิพัฒน์พยักหน้าอย่างเชื่อฟังลูกสาวในขณะถือแก้วเหล้าที่ลูกชายชงให้เรื่อยๆ ไม่ขาดระยะ
“รู้แล้วครับ ป๊าไม่ดื้อกับลูกสาวหรอก”
เสียงหัวเราะจากอีกสองหนุ่มที่ก็ดื่มเหมือนกันดังลั่นกว่าปกติ คงเพราะอารมณ์ดีแบบสุดๆ จากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์
“ยี่สิบแล้วนี่ อยากลองก็ลองได้น้า พี่อนุญาต” พฤทธิ์อมยิ้มพลางยกแก้วเหล้าขึ้นมา
“ไม่เอาหรอก” หญิงสาวที่กลัวจะเมาแล้วทำอะไรขายหน้าต่อหน้าภุมเรศส่ายหน้ารัว “น้ำส้มดีกว่าค่ะ” นอกจากซื้อผลส้ม เธอก็ยังซื้อน้ำส้มคั้นสด หวานชื่นใจกลับมาด้วย
“นางเอกจัง”
พาณินีค้อนพี่ชาย “ตัวเองเหอะ ยังไม่หายดีเลย แค่อาการดีขึ้นก็กรอกเหล้าเข้าปากแล้ว เดี๋ยวก็ทรุดหรอก”
“ไม่เป็นไรน่า ถึงจะทรุดก็มีคนขับรถแทนแล้ว”
“ปล่อยมันไปเถอะน้องแพร์ พูดอะไรไปมันก็ไม่ฟังหรอก” ภุมเรศหันมาพูดกับหญิงสาว “จะฟังอีกทีก็ตอนที่ต้องหาหมอ”
เธอหันไปค้อนใส่พี่ชายของตัวเองอีกที ก่อนจะหันกลับมายิ้มกับภุมเรศและคอยดูแลหมูฝั่งของเธอกับเขาที่กำลังสุกได้ที่ แต่เมื่อกินได้เขาก็คีบมาให้เธอก่อนทุกทีจนหญิงสาวไม่แน่ใจว่าเขาได้กินไปกี่ชิ้นแล้ว เพราะส่วนใหญ่เห็นในถ้วยของเขามีแต่ผัก
“พี่ภู่กินหมูบ้างสิคะ” เธอจึงเป็นฝ่ายคีบให้เขาบ้าง โดยลามไปคีบหมูจากฝั่งของพี่ชายตัวเองด้วย
“โอ๊ย! อันนี้พี่จองอยู่นะ”
“พี่โพธิ์กินแต่หมู ผักน่ะกินเข้าไปบ้างสิ”
“ใช่สิ เห็นคนอื่นดีกว่าพี่ตัวเอง”
หญิงสาวหันไปขึงตาใส่พี่ชายที่นั่งอยู่อีกข้าง แล้วคีบผักใส่ถ้วยอีกฝ่ายจนเกือบเต็ม ส่วนคนเป็นพ่อที่นั่งเฝ้าดูสถานการณ์ของลูกสาวเงียบๆ ได้แต่หัวเราะขบขัน
ภุมเรศเองก็ได้แต่หัวเราะเช่นกัน ก่อนจะคีบหมูขึ้นมากินด้วยความรู้สึกอร่อยกว่าเดิม เพราะเป็นหมูที่พาณินีแย่งมาให้เขากิน
เมื่อมีเสียงพลุดังขึ้นใกล้บ้าน พาณินีก็สะดุ้งตัวโยนพลางเอนไปทางชายหนุ่มข้างกายโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ภุมเรศก็มีปฏิกิริยาที่รวดเร็วจึงหันไปโอบอีกฝ่ายเอาไว้อย่างลืมตัว ทว่าเมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็รีบเอามือออก
“ขวัญเอ๋ย ขวัญมา” พิพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม เพราะรู้ว่าลูกสาวไม่ชอบเสียงพลุและมักตกใจจนผวาทุกทีที่ได้ยิน เช่นเดียวกับสุนัขลูกรักที่ตอนนี้โผเข้ามาหาให้กอดเอาไว้
พาณินีตั้งสติได้เร็วขึ้น เพราะมือคู่ใหญ่ของพี่ชายที่ลูบหลังของเธอเบาๆ อีกทั้งเมื่อกี้ก็ได้อ้อมแขนแข็งแรงมาโอบเอาไว้ ไม่ให้เธอกระโดดหนีหายไปไหนเพราะตกใจ
เสียงพลุอันยาวนานค่อยๆ สงบลง และเงียบไปในที่สุด เช่นเดียวกับหัวใจของพาณินีและภุมเรศที่ค่อยๆ เต้นช้าลงจนกลับมาเป็นจังหวะปกติ
เมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยงคืน ทั้งหมดจึงลุกขึ้นเก็บจานชามและแยกย้ายกันเข้านอน โดยมีบางคนผ่านคืนสิ้นปีพร้อมต้อนรับปีใหม่ด้วยความฝันแสนหวาน