น้องสาวเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ใจมันไม่รักดีเอาเสียเลย

รักละไมเพื่อนพี่ชาย - 7 ตอนที่ ๗ โดย ที่รักของพระจันทร์ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,รักโรแมนติด,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

รักละไมเพื่อนพี่ชาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติด

รายละเอียด

น้องสาวเพื่อนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ใจมันไม่รักดีเอาเสียเลย

ผู้แต่ง

ที่รักของพระจันทร์

เรื่องย่อ

สารบัญ

รักละไมเพื่อนพี่ชาย-บทนำ บทนำ,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-1 ตอนที่ ๑,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-2 ตอนที่ ๒,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-3 ตอนที่ ๓,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-4 ตอนที่ ๔,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-5 ตอนที่ ๕,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-6 ตอนที่ ๖,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-7 ตอนที่ ๗,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-8 ตอนที่ ๘,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-9 ตอนที่ ๙,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-10 ตอนที่ ๑๐,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-11 ตอนที่ ๑๑,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-12 ตอนที่ ๑๒,รักละไมเพื่อนพี่ชาย-ตอนพิเศษ ตอนพิเศษ

เนื้อหา

7 ตอนที่ ๗

ตอนที่ ๗





หลังวันปีใหม่ซึ่งพาณินีคิดว่าเป็นวันปีใหม่ที่ดีที่สุดสำหรับเธอปีหนึ่ง เธอก็ยังจะได้เจอกับภุมเรศอีกในวันเด็ก จึงมีความสุขมากๆ เลยทีเดียวและรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

“สอบได้คะแนนเต็มแกยังดูไม่ดีใจขนาดนี้เลยนะ” มิลินอดแซวเพื่อนไม่ได้ เพราะตั้งแต่กลับจากวันหยุดปีใหม่ก็ดูมีความสุขและอารมณ์ดีเกินหน้าเกินตาเพื่อนคนอื่นมาก

“อ๋อ ก็ส้มหวานมาก”

“โอ๊ย! รู้แล้วแหละ แหมกล้าลงภาพคู่กับพี่เขาในไอจีด้วย คืบหน้านะยะ”

“คืบหน้าแค่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าพี่เขาอยู่กับเราแล้วดูมีความสุขดีนะ”

“จ้าๆ เห็นอยู่ว่ายิ้มหน้าบานทั้งคู่”

ทั้งสองแยกย้ายกันกลับบ้านและเมื่อพาณินีกลับถึงคอนโด ภุมเรศก็โทรมาหาพอดี เธอจึงรีบกดรับสาย

“น้องแพร์ พอดีมีแม่ค้ารถผลไม้อาสาจะเลี้ยงผลไม้เด็กๆ น่ะ พี่ผึ้งเลยมาขอให้พวกเราเปลี่ยน พี่เลยนึกถึงสเต๊กของเพื่อนขึ้นมาเพราะเด็กๆ น่าจะไม่ค่อยได้เคยกินกันแน่ๆ”

“โอ้โห เด็กๆ ต้องตื่นเต้นแน่ๆ เลยค่ะ”

“เพื่อนพี่จะเป็นคนไปทำให้เองเลยด้วย อุปกรณ์สำหรับออกร้านก็มีพร้อมอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกเราไปเป็นลูกมือเพื่อนพี่กัน”

“ได้ค่ะ”

แต่หลังจากวางสายไป พาณินีก็นิ่งไปครู่หนึ่ง เพราะเพื่อนที่ภุมเรศว่าเป็นผู้หญิงเจ้าของร้านสเต๊กที่ชายหนุ่มเคยพาเธอไปกิน ดูเหมือนว่าจะสนิทกันมากๆ เลยทีเดียว

หญิงสาวพยายามไม่คิดมาก ถ้าพวกเขาชอบกันก็คงเป็นแฟนกันไปแล้ว แต่เมื่อวันก่อนเพื่อนในกลุ่มเดียวกันคนหนึ่งก็เพิ่งตัดสินใจคบกับเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่ประถม เพราะเพิ่งรู้ใจตัวเองว่าชอบกัน หรือละครที่เพิ่งดูพระเอกนางเอกก็เป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา พวกเขาอาจจะยังไม่รู้ใจตัวเองหรือเปล่า

เสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นอีกรอบทำให้สติสตางค์ซึ่งเริ่มกระเจิงถูกเรียกกลับมา พาณินีรีบกดรับสายจากพี่ชาย

“วันนี้พี่กลับดึก อยู่ทำโอทียาวๆ ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อพี่นะ”

“ค่ะ”

“เป็นไรน่ะ เสียงเหมือนไม่มีวิญญาณ”

“ไม่ได้เป็นอะไร แค่เรียนเหนื่อย”

“จริงหรือเปล่าเนี่ย”

“จริงค่ะ” พาณินีทำเสียงให้ร่าเริงมากขึ้น

“โอเคๆ งั้นแค่นี้นะ”

เมื่อพี่ชายไม่อยู่ด้วย แถมยังไม่มีอารมณ์ทำอะไรกิน พอหิวพาณินีจึงเอาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาต้มกินโดยใส่กุ้ง หมูและผักเพิ่มไปนิดหน่อย

นั่งกินไปพลางนึกไปพลางว่าวันนี้ภุมเรศจะกินอะไรอยู่ พอกดเข้าไปไถอินสตาแกรมเล่นๆ ก็พบว่าภุมเรศอัปภาพรูปถ่ายกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในอินสตาแกรมส่วนตัวที่แยกออกมาจากอินสตาแกรมที่ไว้ใช้อัปผลงาน

พวกเพื่อนๆ น่าจะนัดกันเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ แต่ที่เห็นแล้วสะเทือนใจคือมีเพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของร้านสเต๊กอยู่ด้วยน่ะสิ ถึงจะไปสวนส้มด้วยกันหวานแหววแค่ไหน เธอก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ในอินสตาแกรมของภุมเรศแบบนี้บ้างเลย

*****

ภุมเรศแนะนำให้เธอได้รู้จักกับพรลภัสอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หญิงสาวอายุสามสิบเท่ากับชายหนุ่ม ทว่าดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงอยู่มาก ถ้าบอกว่าเพิ่งเรียนจบพาณินีก็เชื่อ แถมยังดูเป็นผู้หญิงคล่องแคล่วร่าเริง ตลอดการทำงานด้วยกันเธอจึงมักได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสดใสตลอดเวลา

“เด็กๆ กินผักด้วยนะ” ในขณะที่พรลภัสทำหน้าที่ทอดสเต๊ก ภุมเรศก็คอยหั่นชิ้นที่สุกแล้วให้กับเด็กๆ เลยแล้วใส่ลงยังกล่องกระดาษขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือผู้ใหญ่ตัวโตๆ ส่วนเธอมีหน้าที่ใส่ผักสลัดกับเฟรนซ์ฟรายส์และตบท้ายด้วยช้อนส้อมอันเล็ก ก่อนส่งให้กับเด็กๆ ที่กำลังมองมาด้วยความตื่นเต้นและไร้เดียงสา

ภุมรินซึ่งรับหน้าที่รับรองผู้ปกครองที่นำของมาเลี้ยงเด็กๆ เดินนำขวดน้ำเย็นๆ มาเสิร์ฟให้กับทุกร้านพลางพูดคุยขอบคุณทุกคนไปด้วย

“น่ากินมาก เห็นแล้วอยากกินอีก เดี๋ยววันหลังพี่พาคุณสามีไปอุดหนุนอีก” พี่สาวของภุมเรศดูเหมือนจะรู้จักกับพรลภัสมาก่อนแล้วจึงคุยกันอย่างสนิทสนม

“ขอบคุณที่มาอุดหนุนนะคะ พี่ผึ้งน่ารักที่สุด” พรลภัสยิ้มกว้าง

“ขอบคุณน้องแพร์ด้วยนะจ๊ะที่สละเวลามาช่วยกัน” ภุมรินยิ้มด้วยความเอ็นดู “เหนื่อยหรือเปล่าจ๊ะ ร้านนี้เด็กๆ ชอบกันน่าดู เห็นหยิบของกันมือเป็นระวิงเลย”

“แพร์ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยค่ะ” พาณินีตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ว่าแต่จำพี่ได้หรือเปล่า แต่ก่อนก็เคยเจอกันอยู่บ้างนะ” ภุมรินจำได้ว่าเคยแวะขยำแก้มของเด็กหญิงพาณินีในวันที่ภุมเรศไปรับเด็กหญิงแทนเพื่อนกับเขาอยู่เหมือนกัน เพราะแก้มยุ้ยน่ารักมาก

“จำไม่ได้เลยค่ะ” พาณินีตอบไปตามความจริงพลางหัวเราะ “ขนาดพี่ภู่ตอนแรกก็จำไม่ได้เหมือนกันค่ะ”

“แต่พี่จำได้ แก้มยุ้ยมาก พี่ยังแวะไปจับอยู่เลย จับทีเสียลูกชิ้นไม้หนึ่ง”

“อ๋อ! เหมือนจะพอจำได้แล้วนะคะ”

“จำได้เพราะลูกชิ้นเหรอ พูดไปก็คิดถึงลูกชิ้นหน้าโรงเรียน ไม่รู้ว่าตอนนี้ลุงแกจะยังขายอยู่หรือเปล่า” ภุมรินหัวเราะเสียงดัง “เดี๋ยวพี่ขอตัวไปดูร้านอื่นก่อนนะ”

พาณินีส่งยิ้มให้กับครูสาวที่ขยับไปทักทายผู้ปกครองคนอื่นๆ ก่อนก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

“เลือกร้านที่อยากไปได้หรือยัง” ภุมเรศหันมาถาม เพราะเขาสัญญาแล้วว่าจะพาเธอไปเลี้ยงหลังจากเลิกงานตรงนี้

“ยังเลยค่ะ ถ้าแพร์คิดไม่ออกก็แล้วแต่พี่ภู่ได้ไหม”

“ได้ครับ” ชายหนุ่มยิ้มบาง

เมื่อเด็กๆ เริ่มมามุงร้านนี้เยอะอีกครั้ง พาณินีก็ไม่ได้เอ่ยปากคุยอะไรกับภุมเรศมากนัก เพราะต้องคอยบอกให้เด็กๆ ระวังร้อนกับกำชับให้กินผักด้วย

และแม้ว่าของกินส่วนใหญ่จะแจกกันจนหมดแล้ว แต่กิจกรรมของเด็กๆ ก็ยังดำเนินกันต่อไป เพราะยังมีเหลือการจับฉลากของขวัญเป็นอย่างสุดท้าย

“ขอบคุณมากนะภัส ช่วยออกทั้งแรงออกทั้งเงินด้วย” ภุมเรศพูดคุยกับพรลภัสในระหว่างเก็บของ

“วันนี้สนุกมาก ปีหน้าถ้าเด็กๆ อยากกินสเต๊กอีกเราก็พร้อมนะ”

“ถ้าภัสสะดวก เราก็อยากชวนมาทุกปีเลยนั่นแหละ”

พาณินีไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆ ก็เศร้าใจขึ้นมา สำหรับภุมเรศเธอไม่ได้พิเศษไปกว่าใครเลยจริงๆ ด้วย ถ้าเธอมาไม่ได้เขาก็คงชวนคนอื่น ใครก็ได้ที่สะดวก

เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว พรลภัสจึงรีบกลับไปช่วยงานที่ร้าน แต่เธอก็ได้ยินภุมเรศบอกก่อนลาว่าจะแวะไปอุดหนุนที่ร้านบ่อยๆ แล้วก็จะช่วยลงโพสต์โปรโมตร้านให้ด้วย

“น้องแพร์คิดออกหรือยังครับว่าอยากไปร้านไหนดี” ในที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่กันตามลำพังในรถเสียที

“แพร์...แพร์อยากกลับไปพักผ่อนค่ะ” พาณินีไม่แน่ใจเลยว่าถ้าต้องนั่งมองหน้าภุมเรศไปอีกพักใหญ่จะเผลอน้ำตาซึมหรือเปล่า

ชายหนุ่มมองเธอด้วยความแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นห่วงใย เพราะสีหน้าซึมๆ ของหญิงสาว “น้องแพร์ไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“จริงๆ แพร์คงจะเหนื่อยนิดหน่อยค่ะ เลยอยากจะนอนพัก”

ภุมเรศนิ่งคิดเล็กน้อย “ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งที่คอนโด แต่ถ้าเกิดไม่สบายปวดหัวเป็นไข้ก็บอกพี่นะครับ พี่จะได้ซื้อยาไปให้”

“ค่ะ” พาณินีพยักหน้าเบาๆ แล้วนั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปตลอดทางกลับคอนโด และหลังจากบอกลาชายหนุ่มก่อนลงจากรถแล้ว เธอก็ไม่ได้หันกลับไปมองเขาที่กำลังทำสีหน้าเป็นห่วงอีก เพราะใจตอนนี้เอาแต่คิดมาก คิดไปเองว่าที่ผ่านมาภุมเรศมองเธอเป็นแค่น้องสาวจริงๆ ไม่เคยคิดกับเธอเกินเลยไปกว่านี้แม้แต่นิดเดียว

*****

ภุมเรศรู้สึกเป็นห่วงพาณินีเป็นอย่างมาก จึงกลับบ้านมาด้วยความรู้สึกค่อนข้างหม่นหมอง ชายหนุ่มถอดเสื้อโปโลที่สวมอยู่ออกและเหวี่ยงไว้ในตะกร้าข้างประตูห้องนอน ก่อนจะเดินโซเซไปล้มตัวลงนอนบนเตียง

ชายหนุ่มนั้นเคลียร์งานไว้จนโล่ง เพราะคิดว่าช่วงบ่ายคงได้อยู่กับหญิงสาวทั้งบ่าย ตอนนี้เขาจึงว่างเลยตั้งใจว่าจะนอนกลางวัน ทว่าพลิกตัวไปมาเป็นสิบรอบก็ยังไม่หลับ เอาแต่นึกถึงใบหน้าซึมเซาหงอยเหงาของพาณินีไม่เลิก

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วทิ้งข้อความสอบถามอาการของหญิงสาว อย่างน้อยเป็นข้อความสดใสๆ สักข้อความตอบกลับมาจะได้รู้สึกสบายใจขึ้น

ตอนช่วงค่ำๆ พาณินีก็ตอบข้อความกลับมา เขาที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ ซึ่งเป็นเพียงข้อความง่ายๆ ว่า ไม่เป็นอะไรมากและเธอสบายดี แต่เขากลับรู้สึกได้ว่าหญิงสาวยังไม่กลับมาร่าเริงเลย

ภุมเรศได้แต่ปลอบตัวเองว่า เดี๋ยวอีกสองสามวันจะได้เจอกันแล้ว เพราะเขามีนัดไปดูบอลกับพฤทธิ์เหมือนเคย ตอนนั้นอาจจะกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้วก็ได้

ทว่าเวลาเพียงไม่กี่วันกลับผ่านไปอย่างเชื่องช้าและการรอคอยของเขากลับมีความผิดหวังรออยู่ แม้มาที่คอนโดของพฤทธิ์แล้ว ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพาณินี

“วันนี้กินพิซซ่าไปก่อนแล้วกัน น้องแพร์ไม่อยู่”

“อ้าว! น้องแพร์ไปไหน” ภุมเรศนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่ง

“ไปค้างกับเพื่อน”

“เหรอ” ถึงจะผิดหวังแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ “วันนั้นเหมือนจะไม่สบาย แสดงว่าหายดีแล้วใช่ไหม”

“เออ” น้ำเสียงของพฤทธิ์ติดจะไม่พอใจอยู่เล็กๆ “เห็นซึมๆ ไม่รู้เป็นอะไร ถามไปก็บอกว่าเรียนเหนื่อย แต่กูว่าคงไม่ใช่แค่เรื่องเรียนหรอก แต่น้องแพร์ไม่ยอมพูดว่ากลุ้มเรื่องอะไรอยู่”

สิ่งที่ได้ฟังจากปากของคนเป็นพี่ชายยิ่งทำให้ภุมเรศเป็นห่วงพาณินีมากขึ้นกว่าเดิม “แล้วทำไมเขาเป็นอะไร ถึงไม่บอกมึงล่ะ มึงเป็นพี่ชายนะ”

“เฮ้ย! คนเราก็มีเรื่องส่วนตัว ถ้าน้องแพร์ไม่พูดออกมาเอง กูก็ไม่บังคับให้พูดออกมาหรอก” พฤทธิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดมากกว่าเดิม เพราะเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้เพื่อนตัวดีทำอะไรไว้ น้องสาวของเขาถึงได้ซึมมาสองสามวันแล้ว

“ขอโทษที กูไม่ได้ตั้งใจจะว่ามึง แต่กูก็เป็นห่วงน้องแพร์เหมือนกัน”

“กูน่ะไม่ได้ทำอะไรนะ แต่มึงอะไปทำอะไรน้องแพร์หรือเปล่า ซึมตั้งแต่กลับมาจากที่ไปกับมึงนี่”

“กูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” ชายหนุ่มตอบกลับทันที “แต่เขาก็ซึมตั้งแต่ตอนนั้นจริงๆ”

พฤทธิ์กลอกตามองบน อยากจะถามให้แน่ใจเหลือเกินว่าอีกฝ่ายรู้หรือไม่รู้ตัวกันแน่ว่าพาณินีแอบชอบอยู่

“ถ้างั้นวัยนี้มีเรื่องเดียวแหละที่พอกลุ้มใจแล้วก็ไม่ยอมบอกพ่อแม่”

“เรื่องอะไร” ภุมเรศเลิกคิ้ว

“เรื่องคนที่ชอบไง”

ข้อสันนิษฐานของพฤทธิ์นั้นความจริงก็พอจะเข้าเค้าอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ดูเหมือนเขาจะเคยได้ยินพาณินีบ่นกลุ้มเรื่องคนที่ชอบอยู่นี่นา

ดังนั้นแม้ว่าวันนี้คู่เตะของทีมที่เชียร์จะเป็นทีมที่กำลังมาแรงและแข่งกันสนุกมาก แต่ภุมเรศกลับรู้สึกจืดชืดไม่สนุกกับเกมการแข่งขันตรงหน้าเลยแม้แต่น้อยและอาการก็นี้ก็ยังเป็นในวันทำงานอีกด้วย

ชายหนุ่มมีสภาพจิตใจลอยๆ ไม่ค่อยอยากจะทำงานเหมือนอย่างเคยจนเพื่อนออกปากด่า “เป็นห่าอะไรวะไอ้ภู่ จัดภาพแปลกๆ นะมึง” สหัสวัตมองภาพอาหารในกล้องด้วยความไม่ค่อยพอใจ ภาพสวยเพราะเขาถ่ายก็จริง แต่มันขาดเสน่ห์ อย่างกับไม่ใช่งานของภุมเรศ “พักเหอะว่ะ ถ้ามึงไม่มีอารมณ์ทำงานพรุ่งนี้ค่อยทำต่อ”

เนื่องจากเป็นงานที่ลูกค้าส่งมาให้ถ่าย ดังนั้นงานจึงสามารถเลื่อนออกไปก่อนได้ เพราะยังไม่ถึงวันเดทไลน์ที่ต้องส่งงาน

“โทษทีว่ะเพื่อน”

“มึงกลุ้มเรื่องไรวะ” สหัสวัตเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนถอนหายใจจึงเสนอ “งั้นเย็นนี้ไปร้านเหล้าดีปะ ให้น้ำเมาละลายทุกข์”

“ไปก็ได้”

“งั้นเดี๋ยวชวนคนอื่นด้วยแล้วกัน นานๆ ที” สหัสวัตพูดจบก็กดโทรหาเพื่อนสองสามคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน แล้วเอ่ยปากชวนให้เพื่อนหนีเมียมากินเหล่ากันหน่อย

ภุมเรศเอาแต่คิดถึงพาณินี อยากรู้ว่าเธอกำลังชอบใคร ชอบมากแค่ไหน ทำไมถึงต้องกลุ้มเพราะผู้ชายคนนั้นขนาดนี้ด้วย

บางทีน้ำเมาอาจไม่ได้ช่วยอะไรนักหรอก แค่ช่วยให้ไม่จดจ่อกับพาณินีมากไปได้แค่ชั่วขณะเท่านั้นแหละ

แต่ในความเป็นจริง ขนาดเมาหนักก็ยังเห็นหน้าของเธอลอยไปลอยมาอยู่ตรงหน้าเลย....