ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันผมรู้ว่าเขามักนอนละเมอ จนวันหนึ่งเขาเริ่มละเมอเรียกชื่อคน ที่น่าแปลกคือคนที่เขาละเมอถึงจะเสียชีวิตในไม่กี่วันต่อมา จนกระทั่งเมื่อคืน...เขาละเมอชื่อผม

IN HIS SLEEP - Chapter 2 Secret Smile โดย NIBBLE @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ชาย-ชาย,ไทย,ดราม่า,ตลก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล็อตหาเรื่อง,สืบสวนสอบสวน,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

IN HIS SLEEP

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,ชาย-ชาย,ไทย,ดราม่า,ตลก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล็อตหาเรื่อง,สืบสวนสอบสวน,นิยายวาย

รายละเอียด

IN HIS SLEEP โดย NIBBLE @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันผมรู้ว่าเขามักนอนละเมอ จนวันหนึ่งเขาเริ่มละเมอเรียกชื่อคน ที่น่าแปลกคือคนที่เขาละเมอถึงจะเสียชีวิตในไม่กี่วันต่อมา จนกระทั่งเมื่อคืน...เขาละเมอชื่อผม

ผู้แต่ง

NIBBLE

เรื่องย่อ

สารบัญ

IN HIS SLEEP-Chapter 1 .,IN HIS SLEEP-Chapter 2 Secret Smile,IN HIS SLEEP-Chapter 3 Live In Peace,IN HIS SLEEP-Chapter 4 One took a nap in a cactus pile,IN HIS SLEEP-Chapter 5 Good to see you again

เนื้อหา

Chapter 2 Secret Smile

คุณเคยคิดอยากย้อนเวลากลับไปอดีตบ้างไหม จริง ๆ แล้วเราสามารถย้อนเวลากลับไปกินอาหารของเมื่อหนึ่งถึงสองปีก่อนได้นะ เพียงแค่เดินไปเปิดช่องฟรีซที่บ้านแล้วหยิบของกินสักอย่างที่ถูกแช่ไว้ลึกที่สุด ซึ่งน่าจะถูกแช่ไว้ตั้งแต่ตู้เย็นถูกติดตั้ง แล้วก็เอามันมาแกะใส่ชาม จากนั้นก็เอาไปผ่านกระบวนการที่ทำให้มันมีหน้าตาเหมือนของกินได้ขึ้นมาหน่อยด้วยการเอาเข้าไมโครเวฟ เท่านี้เราก็จะได้ลิ้มรสกับข้าวในอดีตเสมือนได้ย้อนเวลากลับไปเลยแหละ

ผมหยิบของในตู้เย็นออกมาพิจารณาแล้วพลิกดูวันหมดอายุ พบว่าของหลายอย่างในตู้เย็นที่บ้านอายุมากกว่าฉลามซะอีก ฉลามคือลูกชายผมเอง น้องเป็นหมาพันธุ์ปอมเมอเรเนียนสีขาววัยสามเดือนที่ไนล์ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดที่ผ่านมา ที่ตั้งชื่อว่าฉลามก็ไม่มีอะไรมากช่วงนั้นผมกำลังอินหนังเกี่ยวกับฉลามที่เพิ่งดูจบไป แถมมันยังชอบงับขาแต่ไม่ได้งับจริงจังอะไรหรอกก็ตามประสาหมาเด็กคันฟัน แต่ผมคิดน้อยไปหน่อยไม่ได้นึกเผื่อตอนที่เราต้องพามันไปเที่ยวทะเล คิดดูถ้ามันวิ่งไปทั่วแล้วผมต้องเรียกมันกลับมาผมก็ต้องตะโกนว่าฉลามใช่ไหมล่ะ คิดสภาพนักท่องเที่ยวที่กำลังเล่นน้ำอยู่จะวิ่งวุ่นกันขนาดไหน ผมมองมันที่กำลังวิ่งวนรอบ ๆ ขาผม เอาอุ้งเท้าเล็กมาตะกุยขาผมบ้างเหมือนมันกำลังบอกว่าถืออะไรอยู่น่ะเอามาแบ่งกันกินหน่อยสิ

ตอนนี้ผมกำลังคัดเลือกของที่ไม่น่าจะกินได้ทิ้งลงถุงขยะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกอาหารสำเร็จรูปนี่ก็แยกออกมาได้ตั้งสองถุงหิ้วแล้ว ทำไมมันถึงเหลือทิ้งเยอะขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าเวลาซื้อของมาแล้วพวกเราก็จะวางมันไว้แถวหน้าสุดในตู้เย็น พอหยิบไปกินก็เอาแถวหน้าออกไปทำให้พวกที่อยู่ข้างในไม่เคยถูกหยิบออกมา รอเวลาหมดอายุแล้วก็โดนทิ้งแบบนี้ล่ะครับ เกิดเป็นอาหารชั้นในสุดของตู้เย็นบ้านมินมันน่าสงสารจริง ๆ

วันนี้เป็นวันหยุดของผมก็เลยได้อยู่บ้านชิว ๆ ถ้าไม่นับว่าต้องซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน ให้ข้าวลูกชาย รดน้ำต้นไม้ สารพัดสิ่งที่เรียกว่างานบ้าน ก็อย่างว่าล่ะครับผู้ชายอยู่กันสามคนก็จะรก ๆ หน่อย ปกติงานบ้านพวกผมก็ช่วยกันทำแต่วันนี้ผมอยู่บ้านคนเดียวเพราะว่าท็อปไปเรียนส่วนไนล์ก็มีนัดคุยกับลูกค้า ผมที่ไม่มีอะไรทำก็เลยต้องหางานให้ตัวเองแก้เบื่อหน่อย

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ทำให้ผมต้องวางมือจากทุกอย่างที่กำลังทำอยู่แล้ววิ่งออกไปด้วยความเร็วแสง ฉลามก็วิ่งตามมางับขาผมด้วยมันคงนึกว่ากำลังโดนหยอก หมาเด็กนี่ดื้อจริง ๆ กลัวว่าผมจะเผลอเหยียบมันเข้าสักวันไม่ก็โดนพันแข้งพันขาจนสะดุดล้ม

"จ่ายเงินแล้วครับ" พนักงานพูดขึ้นทันทีที่เห็นผมกำลังจะเปิดกระเป๋าตังค์

"อ๋อ โอเคครับ ขอบคุณมากครับพี่"

ผมรับถุงอาหารแบรนด์โปรดจากพนักงาน อันนี้ผมไม่ได้สั่งแต่ก็พอจะเดาได้ว่าใคร

"ว่าไง" ผมกดรับแล้วกรอกเสียงใส่ปลายสายทันทีที่หน้าจอแสดงเบอร์เดียวกับที่ผมกำลังจะกดโทรออกพอดี

"ได้ข้าวแล้วใช่มั้ย"

"ค้าบ แต่สั่งเองได้ คุณทำอย่างกับผมทำอะไรไม่เป็นอะคุณไนล์"

"กำลังสั่งของตัวเองพอดี เห็นน่ากินดีเลยสั่งไปให้มินด้วย รู้ว่ายังไม่ได้กินอะไร"

ใช่ ถูกเผง อย่างผมไม่มีปัญญาทำอะไรนอกจากต้มมาม่าหรอก แล้วตอนนี้ในบ้านก็ไม่มีมาม่าเสียด้วยเพราะว่าไนล์มันสั่งไม่ให้ใครซื้อมาไว้บอกว่าไม่มีสารอาหาร ผมขอเถียงสุดใจตรงนี้เลยนะ ทำไมจะไม่มีสารอาหารแค่ใส่ผักใส่เนื้อสัตว์เพิ่มก็ได้แล้ว มันน่ะไม่เข้าใจ แม้จะมีบางครั้งที่ผมขี้เกียจใส่ก็เถอะหรือถ้าขี้เกียจขั้นสุดถึงจะกินดิบแบบกรุบ ๆ ก็ไม่เลว

"ขอบคุณครับ เดี๋ยวบ่าย ๆ มินว่าจะไปบ้านแม่นะ"

"งั้นเดี๋ยวตอนเย็นแวะไปรับ"

"ได้ค้าบ แล้วได้กินข้าวยัง"

"กำลัง"

"กินเยอะ ๆ เดี๋ยวมินไปกินละ เจอกันตอนเย็นนะ"


"มึงอีกละ มาทำไม" พี่เตทักขึ้นทันทีที่เดินออกมาเจอผมที่ยืนเกาะรั้วบ้านยิ้มแป้นให้เขาอยู่ ส่วนฉลามพอเห็นพี่เตมันก็ยืนสองขาสวัสดีอย่างที่ผมสอน ลูกผมมารยาทงามไหมล่ะ

"มาหาพ่อแม่ไงคิดถึง"

"ใครเชิญ" ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เขาก็เปิดรั้วให้ผมทันที จริง ๆ ก็คิดถึงเขาด้วยนั่นแหละ ไม่ได้ยินเสียงพี่เตคอยด่าก็เหงาอยู่เหมือนกัน

"เอาหมามาขี้ใส่บ้านกูอีกละมึงนี่"

"อย่าใส่ร้าย ฉลามมันไม่เคยทำแบบนั้น" ผมแอบเห็นพี่เตกรอกตาเป็นเลขแปดก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านไป

"ฉลามเคยอึไม่เป็นที่ด้วยหรอ ไม่เคยเนาะลูก" ผมอุ้มเจ้าตัวขนนุ่มฟูขึ้นมาแล้วพูดกับมันด้วยเสียงที่แปดร้อย มันก็มองผมตาแป๋วเหมือนเข้าใจก่อนจะดิ้นให้ผมปล่อยมันลงไปวิ่งเล่นที่สนามหญ้า

"ไหนว่าไม่ขี้ไง" พี่เตยืนพิงประตูมอง

"ก็ไม่ได้ขี้ แค่ฉี่" ครั้นจะแก้ตัวว่าลูกผมเป็นคนดีแต่ฉลามมันเล่นยกขาฉี่ใส่กระถางดอกไม้ของแม่แบบคาตาขนาดนี้ พ่อแก้ตัวให้ไม่ทันนะลูก

"ลองขี้ดูสิกูจะจับโกนขนให้เหลือแต่หนังเลย"

"มานี่มาฉลาม" ผมเรียกมันให้วิ่งตามเข้ามาในบ้าน หลังจากทำธุระเสร็จมันก็เอาขาโกยอากาศเหมือนคิดว่าตรงนั้นมีดินเพื่อจะกลบสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้แล้วรีบวิ่งตามมาติด ๆ ก็ยังยืนยันคำเดิมลูกผมมีมารยาทจะตาย

"กินอะไรมายังลูก"

"กินแล้วครับแม่" ผมยกมือไหว้แม่ที่เดินถือเหยือกน้ำส้มมาจากในครัว

"ไหนมากอดหน่อยซิ" แม่วางเหยือกนั้นลงบนโต๊ะที่มีขนมอยู่ก่อนหน้าแล้วสองสามอย่าง จากนั้นท่านก็อ้าแขนเดินเข้ามาหาผม

ผมโผเข้ากอดแม่ด้วยความคิดถึงแล้วก็หอมแก้มแม่ซ้ายทีขวาที ทั้งที่ความจริงผมก็เพิ่งมาบ้านแม่เมื่อสองสามวันก่อนเองแหละ ฉลามเห็นผมกอดแม่มันก็อยากจะมีส่วนร่วมด้วย มันยืนสองขาแล้วกระโดดหยอง ๆ ไปมาใกล้ ๆ ผม

"อุ๊ย เจ้าตัวเล็กมาด้วยหรอเนี่ย" แม่ผละออกจากผมแล้วหันไปสนใจฉลามแทน ทั้งกอดทั้งลูบหัวมัน เห็นไหมลูกผมน่ะน่ารักจะตายไป ใคร ๆ ก็เอ็นดู เว้นอยู่คนเดียว ผมมองไปทางพี่เตที่นั่งไขว่ห้างเอามือกอดอกแล้วปรายตามองลูกผมอย่างไม่สบอารมณ์

"พี่เต ห้ามมองฉลามแบบนั้นนะเดี๋ยวมันกลัว มันรู้นะว่าใครเป็นมิตรไม่เป็นมิตรอะ"

"กูก็ไม่อยากนับญาติกับมันเหมือนที่ไม่อยากนับญาติกับมึงนั่นแหละ"

"เต แม่บอกไม่ให้พูดแบบนั้นกับน้อง"

"ไม่เอาครับแม่ พี่เตก็พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ" ผมยิ้มให้แม่ ผมโดนเขาพูดใส่แบบนี้จนชิน แล้วผมก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่เตด้วยรู้ว่าเขาไม่ได้ว่าจริงจังนักหรอก ตั้งแต่เด็กจนโตเขาก็เป็นแบบนี้กับผมแบบเสมอต้นเสมอปลายที่ทำเป็นไม่สนใจที่จริงก็แอบเป็นห่วง แม่ไลน์มาบอกตลอดแหละเวลาเขาบ่นคิดถึงผมน่ะ แต่ถ้าให้เขามาพูดดี ๆ กับผมตอนนี้ก็ไม่เอาอะคงแปลกน่าดูเหมือนกัน

ความจริงผมไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อกับแม่ ไม่ใช่น้องแท้ ๆ ของพี่เต พ่อกับแม่อุปการะผมมาจากบ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่ผมอายุประมาณห้าขวบ ตอนนั้นผมรู้ความแล้วและก็คิดด้วยว่ามันคงเป็นเรื่องยากหากผมจะรักพวกเขา เขาไม่ใช่พ่อแม่แท้ ๆ ของผมสักหน่อย ไหนจะลูกของเขาอีกล่ะ จะมารักผมเท่ารักลูกตัวเองได้ยังไง แต่พ่อกับแม่ก็มอบความรักให้ผมอย่างเต็มที่ไม่ต่างจากลูกแท้ ๆ อย่างพี่เต ผมก็เลยเริ่มไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ภายในเวลาไม่นานผมก็รักพวกเขาได้อย่างหมดหัวใจ

ถึงผมจะจำเรื่องราวตอนเด็กไม่ได้ทั้งหมดแต่ผมยังจำเหตุการณ์วันแรกที่เจอกับครอบครัวของเราได้ดี วันนั้นเป็นวันเกิดพี่เตตอนนั้นเขาน่าจะอายุสิบขวบได้ พ่อกับแม่ก็เลยพาพี่เตมาบริจาคหนังสือกับขนมที่บ้านเด็กกำพร้าที่ผมอยู่ วันนั้นผมกำลังเศร้าสุด ๆ ไม่มีกะจิตกะใจจะไปสนุกกับงานที่เขาจัดทั้งนั้น สาเหตุมาจากเพื่อนคนเดียวของผมในบ้านเด็กกำพร้าเพิ่งจะโดนอุปการะไป ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเอามาก ๆ เลยไปนั่งหลบมุมกอดเข่าร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียว

ผมเคยถามแม่ทิพย์คนที่ดูแลผมตอนอยู่ที่นั่นว่าผมมาอยู่บ้านเด็กกำพร้านี่ได้ยังไง พ่อแม่ผมเป็นใครแต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ รู้แค่ว่าผมโดนเอามาทิ้งไว้หน้ารั้วตั้งแต่แบเบาะโชคดีที่ไม่โดนยุงสูบเลือดไปหมดก่อน ผมมักจะโดนรังแกจากเด็กที่โตที่อยู่มาก่อนผม อาจเพราะผมตัวเล็กโดนเขาแกล้งก็ร้องไห้พวกเขาก็ยิ่งสนุกเพราะแบบนี้ผมก็เลยอยู่แต่กับแม่ทิพย์ไม่ยอมไปเล่นกับเด็กคนอื่น

จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็ได้เจอกับบลู จำได้แค่ว่าเขาก้าวเข้ามาที่นี่ด้วยเนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำ แววตาเขาดูเศร้าหมอง บลูชอบแยกตัวไปอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร เขาดูแย่กว่าผมเสียอีก ผมก็เลยเข้าไปทำความรู้จักกับเขาแล้วเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน อยู่กับเขาแล้วเด็กคนอื่นไม่กล้ามารังแกผม ในความทรงจำผมบลูเป็นเด็กตัวเล็กกว่าไอ้พวกที่ชอบรังแกผมตั้งเยอะแต่พวกนั้นก็ไม่กล้ามาทำอะไร

ผมเพิ่งเริ่มจะมีความสุขกับการมีเพื่อนจริง ๆ สักคนในชีวิต แต่ความสุขนั้นก็หายไปเหมือนใครมาสับสวิตซ์ไฟ เพื่อนของผมคนนั้นโดนอุปการะไปซะแล้ว ความโดดเดียวก็เข้ามาทักทายผมอีกครั้ง ผมไม่โกรธหรอกนะที่บลูไป ถ้าเลือกได้ก็ไม่มีเด็กคนไหนเลือกให้ตัวเองถูกทอดทิ้งอยู่ที่นี่หรอกใครก็อยากมีบ้านมีครอบครัวของตัวเองกันทั้งนั้น การอยู่บ้านเด็กกำพร้าถึงจะมีของกินของใช้ไม่ขาด มีคนแวะเวียนมาบริจาคอยู่เสมอ แต่พวกเราขาดความรัก

"มานั่งทำอะไรตรงนี้ ไม่ไปกินขนมกับเพื่อนหรอ"

ผมเงยหน้าขึ้นมองเด็กผู้ชายที่ดูโตกว่าผมเยอะ จำได้ว่าเขาเป็นเจ้าของวันเกิดที่เอาขนมกับหนังสือมาให้พวกเราวันนี้แหละ ผมส่ายหน้าแล้วปาดน้ำตาลวก ๆ

"เอาไปสิ" เขายื่นคัพเค้กให้ผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

"ไม่เอาครับ"

"ไม่เอาคัพเค้กแล้วจะเอาอะไร เรื่องมาก" เหมือนเขาเริ่มจะอารมณ์เสีย ผมที่กำลังเบะเตรียมจะร้องอยู่แล้วเลยร้องไห้เป็นเขื่อนแตก

"เอ้า ไอ้เด็กนี่" ผมดึงเขามากอดแน่นไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงกล้าทำแบบนั้นกับคนไม่รู้จัก แต่มันหลายอารมณ์เกินเด็กห้าขวบจะรับไหวจริง ๆ ต้องการแค่กอดใครสักคนเท่านั้นเอง

"มีอะไรกันเต" ผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งเดินมาทางผม เขาคงเป็นพ่อกับแม่ของพี่คนนี้

"ก็เด็กคนนี้สิครับพ่อ เตเห็นเขานั่งตรงนี้คนเดียวเลยเอาขนมมาให้ จู่ ๆ ก็ร้องไห้แล้วก็มากอด"

"หนูเป็นอะไรลูก" น้ำเสียงใจดีของผู้หญิงคนนี้เอ่ยถามผมแววตาเธอดูเป็นห่วง

"คิดถึงพ่อกับแม่" ทั้ง ๆ ที่ผมไม่เคยเจอ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใคร แต่ในชีวิตเด็กกำพร้าคนหนึ่งมันเป็นสิ่งที่โหยหามาตลอด

หลังจากที่พวกเขาปลอบผมเสร็จพวกผู้ใหญ่ก็หายเข้าไปคุยอะไรกันไม่รู้กับแม่ทิพย์ ส่วนผมก็นั่งมองเพื่อน ๆ เล่นกัน คืนนั้นแม่ทิพย์ก็มาบอกกับผมว่าอีกสามวันจะมีคนมารับผมไป ก็คือผมมีคนอุปการะแล้ว ผมกำลังจะมีบ้านมีครอบครัวอย่างที่ฝันมาตลอด

แล้ววันที่ผมจะต้องออกจากบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ก็มาถึง ครอบครัวของพี่เตรับผมเป็นลูกบุญธรรม ถึงจะดีใจมาก ๆ แต่ก็แอบใจหาย ความทรงจำดี ๆ ที่ผมมีกับที่นี่ก็คงจะเป็นแม่ทิพย์คนเดียวเท่านั้น ผมซาบซึ้งที่เธอดูแลมาตลอดแล้วถ้าผมโตขึ้นเมื่อไรสักวันจะกลับมามาเยี่ยมแน่นอน ผมโบกมือลาเธอแล้วขึ้นรถไปกับพ่อแม่ ในรถมีพี่เตนั่งอยู่ ผมนึกว่าเขาจะไม่มาเสียอีก ผมยิ้มให้แต่เขาก็ส่งใบหน้าเรียบเฉยนั่นกลับมา แรก ๆ ผมก็มีน้อยใจนะรู้สึกว่าเขาไม่ชอบผมเลย แต่อยู่ไปเรื่อย ๆ ผมก็รู้ว่าเขาเป็นพวกปากร้ายใจดีแล้วเขาก็รักผมนั่นแหละ

พอคิดไปถึงเรื่องเก่า ๆ ก็งงตัวเองที่หน้ามึนไปกอดพี่เตวันนั้น ใครจะคิดว่าจะได้กลายมาเป็นสมาชิกในบ้านเขาในวันนี้ ตลกดีเหมือนกัน

"ขอกอดหน่อย" ผมนั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ เขา แล้วเข้าไปกอดพี่แน่นเหมือนงูเหลือมรัดลูกไก่โดยไม่รอคำอนุญาต

"ออกไปกูรำคาญ" โธ่ ถ้ารำคาญจริงจะอยู่นิ่งให้กอดทำไมล่ะ

"คิดถึงอ่ะพูดเป็นมั้ย" ผมแกล้งงอนเขากลับ

"กูไม่เคยคิดถึงมึง"

"รักมินมั้ย"

"รักบ้านมึงสิ ออกไปไอ้เด็กเหี้ย"

"โอ๊ย" เขาไม่ง้อผมหนำซ้ำยังผลักหัวผมออกแทน

"เอ๊ะ เตนี่ยังไง แม่บอกว่าอย่าเล่นกับน้องแรง" แม่ดึงผมเข้าไปซุกแล้วลูบหัว จริง ๆ ก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น พี่เตดันหัวผมเบากว่าที่แม่คิดเยอะแต่ผมแอคติ้งเกินไปหน่อย

"มันสำออยอ่ะแม่ เจ็บอะไรตอแหลจริง" พี่เตชี้หน้าคาดโทษผมแต่โดนแม่ส่งสายตาพิฆาตกลับไปก่อน

"พ่อไปไหนครับเนี่ย" ผมถามขึ้นเพราะตั้งแต่เข้ามาในบ้านก็ยังไม่เห็นคุณพ่อนักลงทุนของผมเลย ปกติแกจะนั่งดูกราฟหุ้นของแกทั้งวัน

"รายนั้นก็ออกไปกินกาแฟกับเพื่อนเขานั่นแหละลูก"

พ่อผมเป็นนักลงทุนแกก็มักจะนัดกับเพื่อน ๆ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องเศรษฐกิจหรือเรื่องการเงินอะไรของแกที่ร้านกาแฟบรรยากาศดีที่ไหนสักที่แถวนี้แหละ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพ่อผมแกถึงได้ชอบไนล์แถมยังคุยกันถูกคอนักหนา มันมาบ้านผมทีไรพ่อก็ชวนมันคุยยาว ๆ ไนล์มันทำงานเป็นมาร์ก็เลยจะให้คำปรึกษากับพ่อได้ดี นี่ขนาดผมรายล้อมไปด้วยพวกใช้เงินเป็นแต่ผมกลับไม่ได้ซึมซับวินัยทางการเงินจากพวกเขามาเลย ทุกวันนี้ผมยึดคติของผมเท่านั้น ชอบก็จัดประหยัดทำไม โดยเฉพาะพร็อพของลูกผม ทั้งเสื้อ ทั้งของน่ารัก ๆ ที่ผมเห็นแล้วอดใจซื้อมาใส่ให้ไม่ได้ ลูกผมก็น่าจะชอบนะ


"เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันมั้ยลูก"

"ไนล์มันจะมารับอ่ะแม่"

"ก็ชวนแฟนเรากินด้วย เดี๋ยวเอาขนมที่แม่ทำไปฝากน้องท็อปด้วย"

แม่ผมทำขนมขายครับเป็นพวกเบเกอรี่ แกไม่ชอบอยู่ว่าง ๆ ตอนแรกกะทำขายแก้เบื่อไปมากลายเป็นว่ามันไปได้ดีจนต้องสร้างครัวเพิ่มสำหรับทำขนมโดยเฉพาะ แล้วก็มีพี่เตเป็นคนทำโลโก้แล้วก็ดูพวกช่องทางออนไลน์ให้ ถึงแม่ผมจะทำอาหารเก่งแต่ผมกลับไม่ได้มีสกิลนั้นติดตัวมาเลยสักนิดเลยทำได้แค่ช่วยแม่ติดสติ๊กเกอร์บนกล่อง

"โอเคครับเดี๋ยวมินโทรบอกไนล์"


"สวัสดีครับแม่" ไนล์เดินเข้ามาในครัวพร้อมกับถุงผลไม้สองสามอย่าง

"ซื้ออะไรมาอีกแล้ว ที่เราซื้อมาให้คราวนั้นยังไม่หมดเลยนะ" แม่ผมพูดขึ้นทันที่ที่เห็นถุงเยอะแยะในมือมัน

"เดี๋ยวก็หมดครับแม่" ไนล์พูดแล้วหันมามองทางผม จะสื่ออะไร จะบอกว่ามีตัวกินเยอะอยู่ตรงนี้หรอ

"แล้วนี่มาทำอะไรตรงนี้ ช่วยแม่หรอ ทำเป็นหรอเราอ่ะ" ไนล์ถาม

"ชิมไง" ถึงผมจะทำอาหารไม่เก่งแต่ชิมเก่งมาก นี่แหละความสามารถของผม

"ไม่ต้อง ๆ ออกไปรอข้างนอกกันดีกว่าเดี๋ยวแม่ทำเอง"

ผมออกมานั่งรอที่โต๊ะหลังจากโดนเนรเทศออกจากครัว ส่วนพี่เตก็เห็นเดินออกไปคุยโทรศัพท์เมื่อกี้ น่าจะคุยกับลูกค้า เขาทำงานฟรีแลนซ์เป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์แต่ละเดือนพี่ผมจะยุ่งมากเพราะลูกค้าเยอะ แต่บางเดือนเกิดอินดี้ขึ้นมาไม่รับงานก็มี ส่วนไนล์ก็โดนพ่อผมลากไปโน่นแล้ว เหลือแค่ผมที่นั่งจ๋องอยู่คนเดียว

พอแม่ทำกับข้าวเสร็จหมดผมก็ไปช่วยยกมาตั้งบนโต๊ะ กับข้าววันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของโปรดผมทั้งนั้นเลย จากนั้นพวกเราก็มากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา คิดถึงท็อปเหมือนกันแฮะ ตอนแรกผมกลัวว่าน้องกลับบ้านไปแล้วจะไม่มีอะไรกินแต่ไนล์บอกว่าวันนี้ท็อปไปกินเลี้ยงกับเพื่อนผมเลยหมดห่วงหน่อย หลังจากกินกันเสร็จไนล์มันก็อาสาไปล้างจานให้ ผมก็เลยได้นั่งคุยกับพ่อกับแม่รอมัน ส่วนฉลามก็กำลังกินอาหารเม็ดที่พ่อซื้อเอาไว้ติดบ้านเผื่อวันไหนผมพามาจะได้มีของให้กิน ว่าไม่ได้นะลูกผมก็หลานรักพ่อ

"ขับรถดี ๆ ลูกถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกแม่ด้วย"

"ครับผม สวัสดีครับแม่" ผมกับไนล์ไหว้ลาแม่


ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าดีที่ถนนเส้นจากบ้านแม่มาบ้านผมรถไม่ติดพวกเราก็เลยถึงบ้านไม่ดึกมาก พอผมปล่อยฉลามลงจากรถมันก็วิ่งไปนั่งรอหน้าประตูบ้านรอให้ผมเปิดให้

"ท็อปจะกลับกี่โมงอะ ได้เอากุญแจบ้านไปมั้ย" พวกผมจะมีกุญแจบ้านกับกุญแจรั้วไว้คนละชุดเผื่อว่ากลับไม่พร้อมกันจะได้เข้าบ้านได้

"คงเอาไปแหละมั้ง" ผมพยักหน้า ตอนนี้ง่วงมากอยากอาบน้ำนอนแล้ว

"หืม" ผมงงเมื่อจู่ ๆ ไนล์มันก็จับข้อมือผมไว้

"ไปอาบน้ำหรอ"

"ใช่ดิ ทำไม"

"อาบด้วย" ผมไม่ชอบตอนมันทำหน้าอ้อนเป็นลูกหมาแบบนี้เลย มันรู้ว่าผมแพ้อะไร ใช่ผมแพ้หมา!

"อาบเฉย ๆ นะ ห้ามทำอะไรต่อมิอะไร" ผมกับไนล์นิยามคำว่าอะไรต่อมิอะไรเพื่อใช้พูดถึงเรื่องนั้น ผมว่ามันดูน่ารักดี


สุดท้ายพวกเราก็ทำอะไรต่อมิอะไร ผมสัญญาเลยนะว่าจะไม่พาตัวเองไปอยู่จุดที่อันตรายแบบนั้นอีกแล้ว ผมนั่งกอดอกอยู่บนเตียงมองตัวอันตรายที่กำลังเป่าผมพร้อมกับฮัมเพลงด้วยความอารมณ์ดี แทนที่ผมจะได้รีบอาบน้ำรีบมานอนกลายเป็นว่าต้องหนาวอยู่ในห้องน้ำตั้งนานสองนาน

"เป็นไรคะ"

"Don't touch me!"

ผมปัดมืออีกคนที่กำลังจะมาแตะหัวผมออก ก่อนจะนอนคลุมโปง ทำทำไมนะลำบากตัวเองจริง ร้อนก็ร้อน

ได้ยินเสียงไนล์กดรีโมทลดอุณภูมิแอร์เพื่อให้เย็นขึ้น รู้งานหนิ มันคงรู้ว่าผมจะไม่โผล่ออกไปง่าย ๆ

"ฝันดีนะ"

"อื้อ ฝันดี" ผมส่งเสียงอู้อี้จากใต้ผ้าห่ม ไนล์มันก็มากอดก่ายจนในที่สุดผมก็กลิ้งเข้าไปในอ้อมกอดมัน นี่มันคิดว่าผมเป็นหมอนข้างป่าววะ


ผมตื่นมาทันทีเพราะรู้สึกได้ถึงความสั่นจากโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างหมอน ผมเป็นคนตื่นง่ายแค่โทรศัพท์สั่นก็สามารถทำให้ผมตื่นได้

"อ้าว พี่นึกว่าเราเอากุญแจไป แป๊บนึงนะเดี๋ยวไปเปิดให้" เป็นท็อปที่โทรเข้าเครื่องผม มองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มเกือบจะเที่ยงคืน ผมไม่ดุอะไรน้องมันหรอกเข้าใจวัยรุ่นดี สมัยเรียนผมหนักกว่านี้

"แพรว" อะไรนะ ผมที่กำลังจะลุกออกจากเตียงต้องชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อใครสักคน

"ชื่อกิ๊กมันป่าววะ" ชื่อคุ้น ๆ แฮะ

ไนล์มันเป็นคนที่นอนละเมอแต่จะไม่ได้เป็นการละเมอแบบลุกเดินหรือว่าลุกขึ้นมาทำอะไร ของไนล์มันจะมาในรูปแบบการบ่นหรือว่าพูดอะไรพึมพำมากกว่า บางทีผมก็จับใจความไม่ได้ว่ามันพูดอะไร เป็นทุกคืนจนผมชินละตอนแรก ๆ ที่มานอนกับมันผมก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน ไม่ต้องนอนกันละมาฟังมันพูดนี่แหละบางครั้งก็ตลกดี แต่ชื่อเมื่อกี้ผมจะจดจำเอาไว้ละกันนะ ตอนเช้าเดี๋ยวเจอกูแน่ไนล์

"ขอโทษที่กวนดึก ๆ นะพี่ หลับกันไปยัง"

"หลับแล้ว"

"ผมปลุกพี่มาเปิดประตูแค่นี้ไม่ต้องทำหน้าจะฆ่ากันแบบนั้นก็ได้มั้ง" ผมไม่ได้หัวร้อนเรื่องต้องมาเปิดประตูเสียหน่อย

"แพรวคือใครอะ"

"ทำไม เฮียมันละเมอชื่อกิ๊กหรอ" ท็อปแซวจนผมเริ่มคิดจริงละว่าคนที่มันพูดถึงนี่จะเป็นกิ๊กหรือเปล่า ร้อยวันพันปีมันไม่เคยละเมอชื่อใครออกมาให้ผมได้ยินเลย

"เอาน่าอย่าคิดมาก ลูกค้ามั้ง ไม่ก็ดูหนังเรื่องไหนมาแล้วถึงพี่มินถามเฮียมันก็จำเรื่องที่ตัวเองละเมอไม่ได้หรอก"

ก็จริงของท็อป งั้นผมไปเขย่าให้มันตื่นแล้วถามเอาคำตอบตอนนี้เลยดีไหมนะ ผมสลัดหัวไล่ความคิดไร้สาระของตัวเองออกไป มันก็แค่ละเมอเป็นตุเป็นตะตามเคยนั่นแหละ ว่าแล้วผมก็กลับเข้าไปนอนกอดมันต่อดีกว่า


"จริงหรอพี่ก้อง แย่เลย โอเค ๆ งั้นวันนี้ไม่ต้องเข้าไปบริษัท โทรบอกไอ้ปอยัง ได้ครับ หวัดดีครับ"

ผมตื่นมาเพราะได้ยินเสียงไนล์คุยโทรศัพท์ หลังจากวางสายมันก็ดูรีบ ๆ ผมลุกขึ้นนั่งแล้วบิดขี้เกียจไล่ความง่วง

"หาอะไร" ผมเห็นไนล์มันเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วไล่หาอะไรของมันไม่รู้

"เสื้อเชิ้ตสีดำ"

"อยู่อีกตู้นึง"

"เป็นอะไร ทำไมดูรีบ ๆ " สีหน้ามันก็ไม่ค่อยดีด้วย

"จำน้องฝึกงานที่ไนล์ดูแลได้ไหม น้องแพรวอะ" อ๋อ นั่นไงว่าละชื่อคุ้น ๆ ละเมอถึงเขาเมื่อคืนเช้ามาก็คิดถึงเลย เดี๋ยวจะโดน

"น้องเขาเสียแล้วอะ ไนล์กำลังจะรีบไปงานศพ"

ผมที่กำลังจะอ้าปากด่ามันเรื่องเมื่อคืนถึงกับต้องเก็บเรื่องพวกนั้นโยนทิ้งไปก่อน รู้สึกตัวชากับสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่ ถึงผมไม่ได้รู้จักน้องเขาเป็นการส่วนตัว แต่ตกใจมากกว่าที่เมื่อคืนผมเพิ่งจะพูดถึงชื่อนี้ เช้านี้กลับได้ยินข่าวร้าย นี่มันไม่บังเอิญไปหน่อยหรอ