ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันผมรู้ว่าเขามักนอนละเมอ จนวันหนึ่งเขาเริ่มละเมอเรียกชื่อคน ที่น่าแปลกคือคนที่เขาละเมอถึงจะเสียชีวิตในไม่กี่วันต่อมา จนกระทั่งเมื่อคืน...เขาละเมอชื่อผม

IN HIS SLEEP - Chapter 3 Live In Peace โดย NIBBLE @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ลึกลับ,ชาย-ชาย,ไทย,ดราม่า,ตลก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล็อตหาเรื่อง,สืบสวนสอบสวน,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

IN HIS SLEEP

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ลึกลับ,ชาย-ชาย,ไทย,ดราม่า,ตลก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล็อตหาเรื่อง,สืบสวนสอบสวน,นิยายวาย

รายละเอียด

ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันผมรู้ว่าเขามักนอนละเมอ จนวันหนึ่งเขาเริ่มละเมอเรียกชื่อคน ที่น่าแปลกคือคนที่เขาละเมอถึงจะเสียชีวิตในไม่กี่วันต่อมา จนกระทั่งเมื่อคืน...เขาละเมอชื่อผม

ผู้แต่ง

NIBBLE

เรื่องย่อ

สารบัญ

IN HIS SLEEP-Chapter 1 .,IN HIS SLEEP-Chapter 2 Secret Smile,IN HIS SLEEP-Chapter 3 Live In Peace,IN HIS SLEEP-Chapter 4 One took a nap in a cactus pile,IN HIS SLEEP-Chapter 5 Good to see you again

เนื้อหา

Chapter 3 Live In Peace

เสียงร้องไห้ระงมของคนในงานที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก โดยเฉพาะครอบครัวที่ต้องสูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวไปแบบไม่มีวันหวนกลับ

ผู้คนมากหน้าหลายตาในชุดสีขาวและดำมีทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จักแวะมาทักทายพวกเราที่เพิ่งมาถึง ผมกับไนล์เข้าไปจุดธูปเคารพศพก่อนเป็นอันดับแรก ผมมองภาพใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเด็กสาวในกรอบรูปสี่เหลี่ยมสีทอง ดูจากจำนวนคนในงานเธอน่าจะเป็นที่รักของใครหลายคน 

ในความทรงจำของพวกเขาเวลาของเธอมันได้หยุดไว้เพียงเท่านี้ นี่คงเป็นภาพสุดท้าย พวกเขาจะจดจำรอยยิ้มของเธอแบบนี้ตลอดไป

"ไม่เป็นไรนะ" ผมบีบมือให้กำลังใจไนล์หลังจากที่เห็นมันดูซึม ๆ ตั้งแต่เราเข้ามาที่นี่ ความรู้สึกที่ต้องสูญเสียคนใกล้ตัวมันคงใจหายน่าดู

"ไนล์เดี๋ยวมึงไปนั่งกับพวกกูตรงนั้น อ้าวมินก็มาด้วยหรอ"

ปอเดินมาชวนไนล์ไปนั่งที่เก้าอี้แถวกลางที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมงานจากบริษัทแล้วหันมาทักทายผมที่ยืนหลบอยู่ข้างหลัง

"มาเป็นเพื่อนไนล์น่ะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอมึงเลยสบายดีนะ"

"สบาย ช่วงนี้กูมีไปหาลูกค้าหลายที่เลยไม่ค่อยได้แวะไปเล่นด้วย แล้วนี่จุดธูปกันเรียบร้อยยังวะ"

"เรียบร้อยแล้ว" ไนล์ตอบแล้วจับมือผมให้เดินตามไปนั่งตรงที่ปอบอก

ระหว่างที่รอพระสวดผมก็มองดูอะไรไปเรื่อยปล่อยให้ไนล์มันคุยกับคนรู้จัก ส่วนอีกข้างของผมก็เป็นไอ้ปอ มันกลัวผมจะเกร็งเลยมานั่งคุยเป็นเพื่อน

"คนนั้นแม่เขาหรอวะ"

ผมถามปอเมื่อเห็นหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด เธอกำลังร่ำไห้ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ไหนจะขอบตาที่บวมช้ำนั่นอีกดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วน

ผมรู้ว่ามันยากที่จะก้าวข้ามความรู้สึกนี้ สักวันกาลเวลาจะค่อย ๆ บรรเทาให้มันจางลงไป แต่ความรักที่พวกเขาเคยมีให้กันมันจะไม่จางลงแพรวจะยังมีพื้นที่อยู่ในความทรงจำของคนที่รักเธอตลอดไป

"ใช่มึง สงสารแกเนอะ น้องแพรวนี่เป็นลูกคนเดียวด้วย"

ระหว่างทางตอนขับรถมาไนล์เล่าให้ฟังว่าน้องแพรวเป็นน้องปีสี่เรียนที่เดียวกับมัน มาฝึกงานที่บริษัทก็ได้ไนล์คอยแนะนำคอยดูแลเรื่องงาน แพรวเป็นเด็กอัธยาศัยดี ตั้งใจทำงาน อนาคตน้องต้องไปได้ไกลแน่ ๆ ถ้าอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่พรากชีวิตเธอไปเสียก่อน

"ทำไมน้องขับรถชนวะ เจอคู่กรณีมั้ย"

"ไม่มี น้องเขาขับไปชนต้นไม้ข้างทางน่าจะเมา"

"แถวนั้นมีกล้องรึเปล่า"

"ไม่มีหรอกตรงนั้นมันทางไม่ค่อยมีคนผ่าน อยู่นอก ๆ ด้วย"

แปลกจัง

จากที่ไนล์เล่าน้องแพรวไม่น่าจะใช่คนชอบดื่มชอบสังสรรค์ ตอนเย็นก่อนที่น้องจะไปเกิดอุบัติเหตุยังคุยกับไนล์อยู่เลยว่าใกล้วันเกิดแม่อยากจะไปเลือกของขวัญให้แม่ ทั้งที่ตั้งใจไปเลือกหาของขวัญแท้ ๆ ทำไมถึงไปเมาแบบนั้นได้

"ตำรวจสรุปแค่ว่าเมาแล้วขับรถชนแค่นั้นหรอวะ"

"เออดิ มึงเป็นไรปะเนี่ย"

"กูแค่สงสัยไง คือพฤติกรรมน้องที่กูพอรู้มากับเหตุการณ์ที่มันเกิดดูขัด ๆ กัน"

"คือญาติเค้าก็ไม่ได้ติดใจอะไรนะเว้ย แปลกหรอวะคนเมาขับรถชน ดีที่ตรงนั้นไม่มีรถเยอะไม่งั้นต้องมีอีกหลายคนที่เจ็บเพิ่มจากเคสน้อง"

ก็จริงอย่างที่ไอ้ปอว่า

"สีหน้ามึงไม่ค่อยดีนะเนี่ย"

เอาตรง ๆ ผมยังหลอนกับเรื่องเมื่อคืนไม่หาย ยังไม่ได้เล่าให้ไนล์ฟังด้วยว่าเมื่อคืนมันละเมอ เจอเหตุการณ์แบบนี้ผมเองก็ไปไม่เป็น

"กูโอเค ว่าแต่มึงเหอะเป็นไงช่วงนี้ ไหนอัปเดตชีวิตหน่อย" ผมเปลี่ยนเรื่องชวนมันคุยเรื่องอื่น

"ก็ดี แต่ไม่ค่อยมีเวลาเที่ยวว่ะทำแต่งาน เดี๋ยวสักพักแฟนมึงก็แบบกูนี่แหละมั้ง ลูกค้าเยอะขนาดนั้น"

คนที่ถูกพูดถึงยังไม่รู้ตัว มันยังคงคุยอะไรกับเหล่าเพื่อนร่วมงานอยู่

"มึงก็ไม่หาลูกค้าวีไอพีล่ะ เทรดแต่ละทีหนัก ๆ กัน รอกินค่าคอมเลย" ผมเสนอวิธีการของไนล์ให้ไอ้ปอซึ่งมันก็คงจะรู้อยู่แล้ว

ไนล์มันดูแลลูกค้าใหญ่ ๆ อยู่สองสามคนไม่ต้องไปหาลูกค้าเพิ่มลำพังแค่ลูกค้ามันเทรดหุ้นแต่ละทีไนล์ก็ได้ค่าคอมแบบไม่ต้องทำงานไปหลายเดือนได้เลย หลายคนอาจจะมองว่างานมันสบายแต่ผมรู้ดีว่ากว่าจะมีลูกค้าไว้วางใจมันพยายามหนักขนาดไหน งานสายนี้จะต้องเพิ่มความรู้ให้ตัวเองตลอดเวลา ต้องวิเคราะห์เก่งแล้วก็อ่านขาดไม่งั้นลูกค้าหนีหมด

"เออ กูก็ว่าจะหาสักคน"

ปอเป็นเพื่อนแก๊งเดียวกับไนล์สมัยเรียนผมเลยได้มาสนิทกับมันด้วย พอเรียนจบพวกมันก็ทำงานที่เดียวกัน มันแวะมาหาผมกับไนล์ที่บ้านบ่อย ๆ จนแทบจะเป็นเจ้าของบ้านอีกคน มีแค่ช่วงนี้ที่งานมันยุ่ง ๆ เลยไม่ได้เจอกันพักใหญ่ แต่ก็เจอบ่อยกว่าเพื่อนผมล่ะนะ พวกนั้นตั้งแต่เรียนจบก็แยกไปคนละทิศละทางหมดละ นาน ๆ ทีจะส่งข้อความหากันสักครั้ง เจอกันตามดิสคอร์ด

ผมรับรู้ถึงฝ่ามือที่มาวางบนขาอีกข้าง ผมหันไปมองหน้าไนล์ก็ส่งยิ้มมาให้ คงกลัวว่าจะทำตัวไม่ถูกกับงานที่ไม่มีคนรู้จักแบบนี้ แต่ผมไม่เป็นไรแค่มีมันมีไอ้ปอก็พอแล้ว

"รำคาญพวกมึงจริง ๆ" ปอตั้งใจพูดไปให้ดังถึงคนที่ใช้ตักผมเป็นที่รองมือ

"รำคาญก็ไปหาแฟนสักคนนะมึงน่ะ รออะไร" ไนล์สวนกลับเพื่อนมันทันที

"โทษนะ พอดีกูไม่รีบ"

ผมอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนรักทั้งสอง มองพวกมันสลับไปมา เถียงกันเก่งขนาดนี้มันมาสนิทกันได้ไง

หลังจากฟังพระสวดจนจบพวกผมก็ไปไหว้ลาผู้ใหญ่ในงาน ไนล์มันก็เข้าไปให้กำลังใจแม่น้องแพรว ส่วนปอมันก็จะอยู่ต่อช่วยงานอีกแป๊บนึง เห็นว่าจะกลับพร้อมรุ่นพี่มัน



หลังจากที่ออกมาจากงานศพผมก็รู้สึกว่าชีวิตคนเรามันก็เท่านี้ เห็นหน้ากันอยู่ดี ๆ ใครจะคิดว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่มีเขาอยู่ในชีวิตแล้วก็ได้

"เงียบจังวันนี้ ไม่สบายตรงไหนรึเปล่า" ไนล์ถามขึ้นขณะที่เรากำลังกลับบ้าน ตามันมองทางแต่ยังอุตส่าห์เอามือมาแตะข้างแก้มผมเพื่อเช็คอุณหภูมิ

"เปล่า มินแค่สงสารครอบครัวน้องเขา"

"นั่นสิ ขนาดเราเป็นแค่คนรู้จักยังรู้สึกใจหายขนาดนี้ ครอบครัวเขาคงใจสลายมาก ๆ "

"มินกลัว"

"กลัวอะไรคะ"

"ความไม่แน่นอนของชีวิต ดูดิน้องเขายังเด็กอยู่เลย"

"สักวันมันก็ต้องเป็นแบบนั้น ไม่มีใครเลี่ยงได้หรอก ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราตอนไหน ฉะนั้นมินอย่าคิดมากกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง เข้าใจมั้ยคะ" ผมพยักหน้าอย่างว่าง่าย

ผมรู้ดีเกี่ยวกับความจริงของโลกข้อนี้ สักวันเราก็ต้องไป ที่จริงมนุษย์อาจไม่ได้กลัวความตายแต่กลัวการจากลา เราทั้งสองคนถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งต้องไปก่อนผมสงสารอีกคนที่ต้องอยู่ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า ผมไม่อยากให้เขาเจ็บปวดและเขาเองก็คงไม่อยากเห็นผมต้องเป็นแบบนั้น

"พรุ่งนี้มีสอนหนิ มินไม่ต้องไปที่วัดกับไนล์หรอก" เขาลูบหัวผมเบา ๆ ด้วยมือข้างเดิมจากนั้นก็ใช้มันมากุมมือผมเอาไว้ ไนล์เป็นคนใส่ใจถึงผมไม่อ้าปากพูดมันก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไง


"กลับมากันแล้วหรอ" ท็อปที่กำลังนั่งหวีขนให้ฉลามอยู่กลางบ้านทักขึ้นเมื่อเห็นพวกผม

"ไม่กลับก็คงไม่เห็นหรอก" ไอ้นี่ก็ตอบดี ๆ ไม่เคยเป็น

"ทักทายไงเฮีย"

ผมรู้สึกเพลียเลยไม่ได้สนใจจะห้ามปรามศึกสายเลือดตอนนี้ ตรงดิ่งไปยังโซฟาแล้วล้มตัวลงนอนทันที ส่วนฉลามที่เห็นผมกลับมามันก็ลุกจากตักท็อปแล้ววิ่งมาหา ผมยื่นมือพาดออกไปให้มันเลีย

"หมดสภาพเชียวพี่มิน เหนื่อยหรอวันนี้"

"ไม่รู้อะ ง่วง ๆ"

ทั้งที่วันนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายสอนเด็กแค่ตอนเช้า พอเกือบเย็นไนล์มันก็มารับไปงานศพ ตอนเช้ามันก็ไปช่วยงานมาบ้างแล้ว ดูคนที่น่าจะเหนื่อยกว่าผมมันยังมีแรงเปิดศึกกับน้องอยู่เลย

"ไปอาบน้ำนอนดี ๆ มั้ยคะ"

"หนัก ออกไปเลยย" ไนล์มันมาแกล้งนั่งทับตัวผม ตัวก็ไม่ได้เบาอย่างฉลามอย่ามาเลียนแบบลูกผมเชียว

ไนล์ลุกออกไปแล้วดึงแขนผมสองข้างขึ้นมาให้ผมอยู่ในท่านั่ง

"พักสายตาแป๊บ ไนล์ไปอาบก่อนเลย" ผมยังหาข้อต่อรองให้ความขี้เกียจของตัวเองอยู่

"โอเค ห้ามหลับนะ" ผมพยักหน้ารับแล้วมองมันเดินไปหยิบนู่นหยิบนี่ก่อนจะขึ้นไปข้างบน


พอเหลือแค่ผมกับท็อปสองคนก็เลยตัดสินใจถามเรื่องเมื่อคืนว่ามันดูแปลกหรือเปล่า

"พี่มินยังไม่บอกเฮียหรอเรื่องละเมอ"

"ยัง เห็นมันเครียด ๆ ไม่อยากเอาเรื่องไร้สาระไปพูดอีกอย่างมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้"

"เป็นไปได้นะ คนเราคงฝันถึงอะไรที่ไปเจอในชีวิตประจำวันนั่นแหละ ชื่อคนอะไรพวกนี้ด้วย คงเป็นเรื่องบังเอิญที่พูดขึ้นมาพอดี พี่อย่าคิดมากนะ"


อย่าคิดมาก อย่าคิดมาก

เหมือนผมสะกดจิตตัวเองเลยว่าอย่าคิดมาก ๆ แต่ทำไมรู้สึกว่าตัวเองคิดมากกว่าเดิมวะเนี่ย วันนี้เลยไม่ค่อยมีสมาธิเดินสะดุดอะไรไม่รู้ไปเตะเข้าขับขอบปูนที่นั่งข้าง ๆ สระ เลือดออกนิดหน่อย ไม่ได้เยอะแต่ก็พอแสบ ๆ เวลาลงน้ำ ผมก็เลยนั่งขอบสระแล้วให้เด็ก ๆ มาว่ายใกล้ ๆ ผมเอา

"น้ำเข้าอีกรึเปล่า เปลี่ยนพลาสเตอร์อีกมั้ย"

พี่เกรซครูสอนว่ายน้ำอีกคนเดินมาถามผม เธอเก็บของเรียบร้อยเตรียมจะกลับบ้านแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นเด็ก ๆ ก็กลับไปหมด เหลือแค่เจ้าเติร์ดคนเดียวที่แม่น้องบอกว่าธุระที่แวะไปทำยังไม่เสร็จ เลยอาจจะมารับน้องช้า ผมก็เลยอยู่เป็นเพื่อนก่อนจนกว่าแม่น้องจะมารับ

"ไม่เป็นไรพี่เกรซเลือดไม่ไหลแล้ว"

"คืนนี้ระบมแน่เรา เตะแรงเลยดิ"

"นิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกพี่"

"งั้นพี่กลับนะ บายครับน้องเติร์ด" เติร์ดโบกมือบ๊ายบายพี่เกรซ ตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับเติร์ดแล้วก็พี่ ๆ เจ้าหน้าที่ที่คอยทำความสะอาดสระอยู่ด้านใน ไม่ใช่แค่เติร์ดหรอกผมเองก็รอผู้ปกครองมารับ


"ทำไมผู้ใหญ่ไม่ชอบอ่านหนังสือแต่อยากให้เด็กเรียนหนังสือกัน หัวจะระเบิด" จู่ ๆ เด็กน้อยก็บ่นขึ้นมา ผมมองสมุดการบ้านเล่มเล็กที่เจ้าตัวเอามาทำฆ่าเวลา ก็จริงเด็กหกขวบต้องขยันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย

"ครูมินหิวข้าวหรอ"

"เปล่าครับ ทำไมหรอ"

"ก็ครูทำหน้าบูดเหมือนตอนหิวข้าวเปี๊ยบ"

"ใครหิวข้าวแล้วหน้าบูดกันล่ะ เติร์ดรึเปล่า" ผมบีบแก้มเขาเบา ๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยว

"ไม่หิวข้าวเพราะมีช็อคโกแลตเต็มกระเป๋า ครูเอามั้ยครับ" เด็กน้อยเขย่ากระเป๋าให้ได้ยินเสียงของที่อยู่ในนั้น

"ไม่เป็นไรเรากินเถอะ"

"แต่ผมอยากเล่นอันนั้น ครูเคยดูการ์ตูนดอร่ามั้ย"

"ครูไม่ค่อยได้ดูการ์ตูนครับ"

"แย่จัง ไม่เป็นไรเดี๋ยวครูพูดตามที่ผมบอกนะครับ เดี๋ยวผมเริ่มก่อนนะ"

"สวัสดี ฉันชื่อเติร์ด" ผมเกือบจะขำที่เจ้าเติร์ดดัดเสียงเหมือนกำลังพากย์การ์ตูนจริง ๆ

"เธอชื่ออะไรหรอ"

"แล้วครูต้องพูดว่าไง"

"ครูต้องบอกว่าฉันชื่อมิน"

"โอเค ๆ ฉันชื่อมิน" ผมเล่นตามเขา ไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรทำละ

"ชื่ออะไรนะ"

"ชื่อมินครับ"

"อ๋อ แล้วอายุเท่าไหร่หล่ะ"

"ยี่สิบห้า"

"ว้าว โตแล้วนี่" ดีไม่พูดว่าว้าว แก่แล้วนี่

"คุณช่วยเปิดกระเป๋าเป้ให้ผมหน่อยสิ ผมจะได้เอาช็อกโกแล็ตมาแบ่งคุณกิน"

"ได้ครับคุณเติร์ด"

"ไม่ใช่สักหน่อย ครูต้องบอกว่าเปิดยังไงหรอ"

"เปิดยังไงหรอ"

"คุณต้องพูดว่าเเบ็คแพค"

"เเบ็คแพค"

"ดังขึ้นอีก"

"เเบ็คแพคคคค" ผมพูดให้ดังขึ้นอีกตามบัญชาเด็กชายเติร์ด

"โอเค แล้วทีนี้ถ้าเธอเห็นหมาป่าให้พูดว่าสไวเปอร์"

"เดี๋ยวนะ ครูจะเห็นหมาป่าได้ยังไงเราไม่ได้อยู่ในสวนสัตว์"

"นั่นไง! สไวเปอร์" ผมตกใจแล้วหันขวับไปข้างหลังตามที่เติร์ดชี้ ไม่เห็นจะมีอะไร รู้ว่าเด็กหลอกก็เต็มใจให้หลอกจริง ๆ เลยผมเนี่ย

"ไหน"

"ข้างหลัง เมื่อกี้มีสไวเปอร์"

"พอแล้วไม่เล่นแล้ว เปิดได้ยังกระเป๋าเนี่ย มาเดี๋ยวครูเปิดให้" ผมเปิดแล้วหยิบช็อกโกแล็ตออกมาให้เขา

"มองอะไรอยู่ ยังแกล้งครูไม่เลิกหรอ" ผมถามขึ้นเมื่อเห็นเขายังมองไปจุดเดิม แต่พอเห็นช็อกโกแล็ตในมือผมเขาก็เลิกสนใจตรงนั้นไป

"มากินกัน ให้ครูสามอันเลย" เขาแบ่งมาให้ผมด้วย

"ครูไม่เอาหรอก เรากินให้หมดเลย"

ไม่นานแม่ของเติร์ดก็มารับ เหลือแค่ผมกับพี่ที่กำลังทำความสะอาดสระ

"ให้ผมช่วยมั้ยพี่" ตอนนี้ทุ่มครึ่งผมมองพี่เค้าซะจนอยากไปช่วยละ จะอยู่เฉย ๆ มันก็เกรงใจ

"ครูไม่กลับบ้านหรอครับ มันมืดแล้วนะ ซอยเข้าโรงเรียนเราก็ไม่มีไฟด้วย เมื่อวานตอนเย็นหม้อแปลงระเบิด"

นั่นสิผมน่าจะเดินกลับเองไปตั้งนานละ บ้านก็ไม่ได้ไกลมากเดินสามสิบนาทีเอง ถ้ารีบเดินก็ยี่สิบนาที ไม่ไกลนะสำหรับผม แต่จะเดินทำไมล่ะครับหน้าปากซอยมีวิน เดี๋ยวผมโทรบอกไนล์ก่อนแล้วกัน

"ไนล์ไม่ต้องมารับนะเดี๋ยวมินเดินไปขึ้นวิน สระว่ายน้ำจะปิดแล้ว"

"เอางั้นหรอ ไนล์รถติดอยู่งั้นกลับดี ๆ ระวังด้วยรู้มั้ย"

"ค้าบคุณพ่อ" เสียงปลายสายขำออกมาที่ผมเรียกเขาแบบนั้น ไนล์จะโดนผมสถาปนาให้เป็นพ่อทันทีถ้าเกิดมาจุกจิกผมมาก ๆ


ผมเดินออกมาหน้าโรงเรียนซึ่งมันจะต้องเดินออกจากซอยเล็ก ๆ นี่เพื่อจะไปออกซอยหลักแล้วไปหารถเข้าหมู่บ้านเอา วันนี้มืดจริงแฮะ ที่เขาบอกว่าหม้อแปลงระเบิดมันก็เลยไปดับทั้งเส้นแบบนี้ ผมใช้ไฟฉายจากมือถือส่องไปตามพื้นข้างหน้ากลัวก็แต่จะไปเผลอเหยียบงูเข้า ผมไม่คิดว่าจะมืดขนาดนี้ รู้งี้นั่งรอไนล์อยู่หน้าโรงเรียนยังดีกว่า จะมีไฟก็ตอนที่รถขับผ่านไปมาบ้าง อย่างน้อยก็มั่นใจว่าในความมืดแบบนี้จะไม่มีรถมาเสยเพราะว่ามันมีทางเท้าให้เดินอยู่ ผมก็เดินตามนั้นความมืดเลยไม่มีผลเท่าไร

อีกนิดเดียวก็จะถึงซอยหลักผมเห็นแสงไฟอยู่ไม่ไกลละ ผมรีบสาวเท้าเดิน เหมือนได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ใกล้เข้ามา แสงไฟจากข้างหลังเหมือนค่อย ๆ ส่องมาทางผม รู้สึกว่าเสียงมันใกล้เกินไปละ ผมหันหลังกลับไปดูพบว่าไอ้รถคันนั้นมันขับมาตามทางเท้าที่ผมกำลังเดินด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ได้ไงวะเนี่ยผิดกฎหมายนะเว้ย ไม่ทันที่ผมจะได้หลบรถคันนั้นก็พุ่งมาเฉี่ยวผมเข้าเต็มแรง

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมด รู้ตัวอีกทีผมก็นอนกองอยู่ที่พื้น ความเจ็บแล่นไปทั่วร่างกายโดยเฉพาะไหล่ข้างขวาของผมที่เหมือนจะไปกระแทกอะไรสักอย่าง มันเจ็บจนผมขยับไม่ได้เลย ผมพยายามมองตามรถคันที่ชนผมซึ่งตอนนี้มันบิดหนีไปแล้ว อย่างน้องต้องเก็บเลขทะเบียนมันไปแจ้งตำรวจบ้าง แต่พอเพ่งมองดี ๆ แล้วมันเป็นรถไม่มีทะเบียน บ้าชิบ บ้านเมืองเรานี่มันยังไงนะ ไม่มีป้ายแบบนี้ยังปล่อยให้มาขับอีก

ผมรู้สึกปวดหัวข้างที่ลงไปวัดกับพื้นปูน พอแตะดูพบว่าหัวผมแตก ผมพยายามลุกขึ้นนั่งแต่มันก็ทุลักทุเลมาก ผมสำรวจตัวเองดูตอนนี้ก็คิดว่าคงจะมีแค่หัวแตกแล้วก็ไหล่ผมที่เจ็บมาก ๆ ตามข้อศอกก็เป็นรอยถลอกไปหมด เอาซะไอ้แผลที่ผมเตะปูนวันนี้จิ๊บ ๆ ไปเลย

ผมใช้มือข้างที่ไม่เจ็บหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาไนล์ เอาจริง ๆ ถ้ามันมาเห็นผมสภาพนี้ผมกลัวโดนด่ามากกว่ากลัวเจ็บอีก ตอนนี้ผมรู้สึกหน้ามืดเพราะเลือดบนหัวผมยังไหลไม่หยุด ผมประเมินตัวเองก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงตามเดิม เกิดผมหมดสติขึ้นมาอย่างน้อยก็ไม่ต้องล้มแรงเผลอ ๆ หัวอาจจะแตกอีกข้าง

"ว่าไง ถึงบ้านยัง"

"อยู่ไหนแล้ว" ผมตอบไนล์ด้วยเสียงที่แผ่วตอนนี้โคตรหน้ามืด รู้สึกจะเป็นลมกับเลือดตัวเอง

"ทำไมเสียงเป็นงั้น" ปลายสายดูตกใจเล็กน้อย

"โดนรถเฉี่ยวอ่ะ เกือบจะถึงปากซอยแล้ว" ผมเห็นพวกวินเริ่มจะวิ่งมาทางผม น่าจะได้ยินเสียงชนเมื่อกี้

"เป็นไรมากมั้ย รอตรงนั้นเดี๋ยวจะถึงแล้ว" เสียงไนล์ดูร้อนใจผมไม่อยากให้มันขับรถเร็ว

"ไม่เป็นไรโอเคอยู่"

ผมรู้สึกเหมือนใครปิดไฟ โลกมันหมุมจนเวียนหัว โทรศัพท์หลุดจากมือพร้อมกับตัวผมที่ล้มลงไปนอน ดีที่ประเมินความเสี่ยง การล้มไปนอนขณะที่ยังนั่งเลยไม่ทำให้เจ็บตัวไปมากกว่านี้

"มิน!" ผมได้ยินเสียงไนล์ตะโกนออกมาจากสาย แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไรสติผมก็ดับวูบไป