เกิดใหม่ทั้งทีไม่ได้พรเลยสักอย่าง พระเจ้าขี้งกเอ๊ย แถมยังเงยหน้าตื่นขึ้นมาในซอยเปลี่ยวด้วยร่างผอมแห้งเพราะไดเอทเกินขนาด ยังดีที่ร่างเธอมีเงิน งั้นเก็บแมวตรงหน้าไปเลี้ยงเป็นเพื่อนเลยแล้วกัน!
แฟนตาซี,รัก,slow life,น่ารัก,fluff,feel good,slice of life,โรแมนติก,นิยายชายหญิง,พระเอกคลั่งรัก,แมว,ยุคดวงดาว,สตรีมเมอร์,เกิดใหม่ ,ต่างโลก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ในห้องพักของแขกรับเชิญสุดหรู มีเอสเทอร์และลูกทีมทั้งสี่นั่งมองจอใหญ่ที่ฉายเหตุการณ์บนเวทีอยู่ นอกจากนั้นยังมีผู้จัดการของวิลเลียมอย่างเคฟนั่งอยู่ด้วย เฮเซลผลักหัวสีไข่ไก่นั้นออกจากไหล่ตัวเองพร้อมเบะปากอย่างรังเกียจ
"อย่ามาทำตัวอ้อนตีนดิเคฟ ทำไมไม่ไปอยู่ห้องตัวเอง"
ชายหนุ่มร่างพอๆ กับผู้พูดแม้จะถูกผลักหัวก็ยังยิ้มแฉ่ง กอดแขนอีกฝ่ายแน่นราวกับลูกแพนด้าที่ชอบเกาะขาผู้ดูแล ไม่สะทกสะท้านที่โดนไล่แม้แต่น้อย
"เฮเซลเพื่อนรักก อย่าใจร้ายสิ ฉันอยู่คนเดียวมันเหงาง่า"
เสียงสองเสียงสามที่อีกคนพูดทำให้ประสาทของเฮเซลตึงเปรี๊ยะ เขากำหมัดแน่นก่อนจะเขกลงไปกลางกบาลของเคฟอย่างไม่เบาแรง
"ก็บอกให้เรียกเอช!"
"โอ๊ยๆๆ เฮเซลอ่า เจ็บนะ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นบอกให้เรียกได้เองแท้ๆ"
"ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ไม่ให้แล้ว!"
"ใจร้าย~"
ทั้งสองเถียงกันไม่หยุด จนเอสเทอร์กำมือทั้งสองข้างมะเหงกลงไปที่ทั้งสองคนพร้อมกันอย่างรำคาญ ไอ้สองตัวนี้มันสนิทกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่จนป่านนี้ที่อายุปาไปสามสิบปีแล้ว พ้นวัยเบบี้แล้วแต่ก็ยังตีกันเป็นเด็กไม่หยุด
"พอกันทั้งคู่นั่นแหล่ะ จะตีกันก็ไปตีห้องนู้นนู่น"
ทั้งสองลูบหัวตัวเองป้อยๆ ก่อนจะส่งสายตาให้กันเป็นสัญญาณว่าสงบศึกชั่วคราว แล้วหันมาสนใจพี่โตสุดของพวกเขาแทน
"ว่าแต่พี่โอเคแล้วจริงๆ เหรอ ไม่ใช่ว่าไม่ยอมบอกอีกแล้วหรอกนะ"
สายตาห้าคู่ตรงมาที่ชายหนุ่มผมทองคำเป็นตาเดียว เขายักไหล่เบาๆ
"ก็อย่างที่เห็น แข็งแรงทุกประการ ไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่เหนื่อยด้วย หรือจะให้มะเหงกอีกรอบให้แน่ใจ?"
เขาถามติดตลกขณะยกมือที่กำไว้หลวมๆ ขึ้นมา แต่น้องๆ ทั้งหมดก็รีบส่ายหัวกันเป็นพัลวัน เพราะแรงของกัปตันทีมตอนสภาพเต็มร้อยน่ะไม่ใช่เล่นๆ เลย ไม่อย่างนั้นครองตำแหน่งนักกีฬาอีสปอร์ตสายFPSอันดับหนึ่งได้ยังไงกันถ้าไม่แข็งแรง ถึงจะมีพลังวิญญาณที่ติดตัวมาในระดับสูงแต่ถ้าไม่เคยฝึกฝนการใช้และฝึกฝนร่างกายเลยล่ะก็ ก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้ดั่งใจเหมือนที่เอสเทอร์ทำได้เลยแม้แต่น้อย
"เป็นเพราะเธอคนนั้นเหรอพี่"
เฮเซลถามด้วยความสงสัย ถึงมันจะมีเรื่องมหัศจรรย์มากมายในจักรวาลนี้แต่เรื่องนี้มันไม่น่าเชื่อสุดๆ ไปเลยไม่ใช่รึไง
"ก็ใช่น่ะสิ"
เขาตอบอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย เมื่อคิดถึงหญิงสาวที่ตนสบตาก่อนหน้านี้ที่นั่งอยู่ข้างมารดาของตน ส่วนเคฟที่ไม่รู้เรื่องก็ถามขึ้นมาอย่างงงวย
"มีอะไรกันเหรอ"
"นายตกข่าวแล้วเคฟ พี่เอสน่ะเจอคู่โชคะตาที่หญิงเฒ่านั่นทำนายแล้ว ที่ทำให้พี่เอสหายป่วยอ่ะ"
เฮเซลดีดหน้าผากใส่คนที่ทำหน้าตาเหรอหราก่อนที่จะอธิบายสั้นๆ เคฟหันหน้าไปมองเอสเทอร์เพื่อยืนยันสิ่งที่เพื่อนสนิทของตนพูด และเอสเทอร์พยักหน้าตอบกลับมา ทำให้เขาอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
"ใครเหรอพี่!"
"บอกไปนายก็ไม่รู้จักหรอก"
เฮเซลช๊อตฟีลคนที่กำลังตื่นเต้นได้อย่างง่ายดาย เคฟได้แต่หงอยลงเพราะอดรู้ว่าใครกันที่เป็นคนคนนั้นของเอสเทอร์ แต่แล้วไม่ถึงอึดใจเสียงจากจอก็ดังขึ้นว่าผู้โชคดีคนที่ห้าที่ได้ขึ้นไปเล่นเกมบนเวทีคือเชอร์เบล ชายหนุ่มผมสีทองคำเงยหน้าขึ้นไปมองทันทีก่อนที่จะชี้ตรงไปที่หญิงสาวที่ปรากฏอยู่จอ
"คนนั้นไง"
เคฟเอี้ยวตัวหันมองตามก่อนจะดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม
"คนนี้เหรอ!?"
"ทำไม?"
เอสเทอร์ถามเสียงเข้ม เคฟสะดุ้งก่อนจะรีบอธิบายก่อนที่ชายหนุ่มจะโมโหขึ้นมา
"ผมรู้จักเธอน่ะ ไม่สิ บังเอิญรู้จัก คือพี่วิลเลียมบังเอิญช่วยพาเธอเอาแมวจรไปโรงพยาบาลสัตว์ก่อนหน้านี้น่ะ"
เอสเทอร์มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา ก่อนจะถอนสายตากลับมาที่จอโฮโลแกรม จับจ้องหญิงสาวที่ถูกพิธีกรสัมภาษณ์อยู่
"ก็แล้วไป"
เมื่อมาถึงคำถามว่าเป็นแฟนคลับใครเอสเทอร์ก็นึกว่าจะได้ยินว่าเธอเป็นแฟนคลับของวิลเลียมเสียอีก ทว่าคำตอบที่คาดไม่ถึงทำให้เขาสนใจยิ่งขึ้น เมื่อได้ยินเหตุผลว่าป่วยก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะในช่องหม่าวเมี๊ยวที่ตนติดตามมาตั้งแต่เริ่มก็ไม่เคยได้ยินว่าเธอป่วยตอนไหนเลยสักนิด
"พิธีกรควรหยุดจู้จี้ได้แล้วไหม ถามเยอะจัง ไม่เห็นรึไงว่าเธออึดอัด"
เคฟบ่นกระปอดกระแปด ทำให้เอสเทอร์มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่หรี่ลง
"ทำไม นายรู้เหรอว่าเธอป่วยเป็นอะไร"
เคฟหลบตาในทันที ตอบด้วยเสียงสูงกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว
"ไม่รู้ครับ ไม่รู้ แค่เป็นห่วงเฉยๆๆ"
"โกหก"
ทุกคนในห้องส่งสายตากดดัน คนในโชคชะตาของเอสเทอร์ป่วยเป็นอะไรเหตุใดจึงไม่มีคนรู้เลย แต่เคฟกลับรู้อยู่คนเดียวซะงั้น
"อย่ามองแบบนั้นดิทุกคน ก็มันเป็นอะไรที่ผมไม่ควรพูดไหม"
ชายหนุ่มผมสีไข่ไก่ก้มหน้าพูดเสียงอุบอิบ ทันใดนั้นชายหนุ่มผมสีเฮเซลนัทก็พุ่งตัวเข้าไปบู้บี้หน้าของอีกฝ่ายจนใบหน้านั้นยับยู่และประท้วงด้วยเสียงอู้อี้ไปหมด
"นายคิดว่าพวกเรารักษาความลับไม่ได้รึไง ก็แค่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนนั้นของพี่เอสเฉยๆ เอง"
เคฟยกมือยอมแพ้เฮเซลถึงได้ยอมปล่อยมือออกจากหน้าในที่สุด เคฟพูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิดและเสียงเบาราวกับกระซิบ
"รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะพี่"
"เออ ฉันไม่เล่าต่ออยู่แล้ว"
"คือว่า เธอความจำเสื่อมอ่ะพี่ แต่สาเหตุผมไม่รู้ ไม่กล้าถามเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหล่ะ เธอน่าจะแค่มาเปิดหูเปิดตาจริงๆ"
ทุกคนในห้องเกิดอาการเดดแอร์ขึ้นมาชั่วขณะ เอสเทอร์รู้สึกสงสารและเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนหน้านี้ที่ตามสืบก็รู้มาว่าพ่อแม่ของเธอตายหมดแล้วจากเหตุการณ์ยานบินตก มาตอนนี้ก็ความจำเสื่อมอีก ช่างน่าปกป้องและทะนุถนอมไว้กลางฝ่ามือ
แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็เปล่งประกายยิ่งกว่าใครที่ตนเคยรู้จัก แม้จะเกิดเรื่องมากมายก็ยังคงใจดีมีเมตตาอย่างการรับแมวจรมาเลี้ยง มองโลกในแง่ดี อ่อนโยน และสดใส เขาเห็นเธอที่เลือกปืนขนาดใหญ่มาสงสัยในตอนแรก เพราะแค่ปืนพกขนาดเล็กก็ยังโดนถีบจนมือกระตุก แต่เมื่อมองดีๆ เห็นเธอเล็งเผื่อการดีดก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจและเก่งมากจริงๆ
แต่เมื่อเห็นวิลเลียมที่เดินไปส่งเธอจนสุดทางลงเวทีทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำกับคนอื่นก็หงุดหงิดขึ้นมา เหตุใดวิลเลียมที่ไม่สนใจจะเอาใจแฟนคลับเท่าดาราคนอื่นๆ มาก่อนหน้านี้จึงดูแลเธอเป็นพิเศษกัน เป็นเพราะรู้ว่าเธอป่วยเป็นอะไรก็ไม่น่าใช่ เพราะความจำเสื่อมก็ไม่ได้เกี่ยวกับการลงบันไดสักหน่อย
'หรือว่าที่เคฟบอกว่าเคยบังเอิญเจอแล้วเจ้าวิลมันจะเกิดชอบเธอขึ้นมา'
เอสเทอร์คิดอย่างหงุดหงิดใจ นี่คือคู่โชคชะตาของเขาไม่ใช่หรือ ชอบใครไม่ชอบอย่ามาชอบคนนี้สิเว้ย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงออกมาภายนอกมาก เพราะสิ่งที่เขาเดาอาจจะผิดพลาดก็ได้ ซึ่งเอสเทอร์ก็ภาวนาว่าตนจะเดาผิดพลาดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา
เมื่อคิวของวิลเลียมจบลงเขาก็กลับไปที่ห้องพัก แต่เมื่อไม่เจอใครก็เดินไปยังหน้าห้องที่ติดป้ายเอาไว้ว่าเป็นของทีมESG ก่อนจะเคาะประตูสามครั้งอย่างมีมารยาท
"อ้าวพี่ กลับมาแล้วเหรอ"
"อืม ล้างเครื่องสำอางออกให้หน่อย"
เขาตอบผู้จัดการคนเดียวของเขาก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างอย่างคุ้นเคย นัยน์ตาสีอำพันคู่ไพลินสวยสบกับนัยน์ตาสีอความารีนแวบหนึ่ง ความสัมพันธ์ของพวกเขา ก็ต้องเรียกว่าดีพอประมาณ เพราะพ่อแม่ของพวกเขารู้จักกันดีในวงการธุรกิจ นอกจากนี้ยังชอบหนีไปนั่งปรับทุกข์ในที่เดียวกันหลังจากเข้าสายงานที่พ่อแม่ไม่ชอบใจกันทั้งคู่ และโด่งดังมาไล่เลี่ยกัน ด้วยการเป็นที่หนึ่งของสายงานด้วยกันทั้งคู่
"ไง ยังดังเหมือนเดิมนะวิล"
"นายก็ยังยิงปืนเก่งเหมือนเดิม"
ทั้งสองแท็กมือกันเล็กน้อย ต่างคนต่างไม่ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไป
เมื่องานจบเชอร์เบลก็อ้อยอิ่งเล็กน้อยเพราะยังไม่อยากกลับโรงแรม บวกกันสนใจในตัวเกมและเครื่องเล่นเกมอยู่บ้าง จึงเดินเลาะข้างๆ สำรวจงานและบูทต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย จนคนเริ่มบางตาจึงเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้โดนคนเดินดันไปเรื่อยจนลืมสังเกตทางที่เดินมา แล้วแบบนี้ทางไหนคือทางไปทางออกเดิมที่เข้ามาตอนแรกละเนี่ย เชอร์เบลนวดขมับด้วยความเสียใจภายหลังที่นึกไม่ได้ก่อนหน้านี้
"คุณเชอร์เบล"
"หือ อ๊ะ คุณเอสเทอร์"
ระหว่างเพ่งตามองซ้ายขวาและจะตัดสินใจว่าจะไปทางออกหมายเลขอะไรดี ก็ถูกสะกิดเรียกเล็กน้อยจากชายหนุ่มผมทองที่เธอรู้จักนั่นเอง เขาส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ เหมือนดอกทานตะวันแย้มยามแสงอาทิตย์สาดส่อง
"คุณเชอร์เบลกำลังจะไปไหนรึเปล่าครับ เห็นชะเง้อคอมองไปๆ มาๆ"
เชอร์เบลหลุบตาทัดผมที่หูอย่างเขินอายเล็กน้อย โดนคนรู้จักเห็นเธอทำอะไรเปิ่นๆ เข้าจนได้ ถ้าบอกไปแล้วจะโดนหัวเราะใส่ไหมเนี่ยที่จำทางไม่ได้เหมือนเด็กเลย แต่ฮอลมันก็ใหญ่มากจริงๆ นะ แถมป้ายบอกทางออกยังมีแต่ตัวเลข ไม่มีเขียนบอกว่าไปไหนด้วยสิ
"มันดูตลกนิดหน่อย แต่รู้แล้วอย่าหัวเราะนะคะ"
"ครับผม ไม่หัวเราะแน่นอน"
เมื่อมองเข้าไปยังดวงตาสีฟ้าใสอ่อนแสง เธอก็เชื่ออยู่นะว่าเขาจะไม่หัวเราะ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ชิงหัวเราะตัวเองไปก่อนอยู่ดีนั่นแหล่ะ นึกถึงตอนอยู่ในโลกก่อนที่เข้าเมืองหลวงแล้วเข้าร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมงอันโด่งดังสาขาใหญ่ครั้งแรก บวกด้วยจำนวนคนเยอะมากเธอก็หลงอยู่ในนั้นหาทางออกไม่ได้อยู่เกือบยี่สิบนาที เพื่อนพี่น้องที่ฟังเธอเล่าให้ฟังต่างก็หัวเราะกันทั้งนั้น ก็มันไม่น่าหลงนี่เนอะ
"คือว่าฉันจำทางออกที่ตัวเองเข้ามาตอนแรกไม่ได้น่ะค่ะ จะออกทางอื่นก็กลัวกลับโรงแรมไม่ถูกแหะๆ"
นัยน์ตาดำตรงกลางของเขาคล้ายจะหดเล็กลงแวบหนึ่ง แต่เธอก็คิดว่าคงคิดไปเอง และแปลกใจที่เขาไม่มีท่าทีกลั้นหัวเราะ แต่กลับทำหน้ามุ่งมั่นจริงจังขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ
"ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ พึ่งเคยมาจะหลงก็เป็นปกติครับ เดี๋ยวผมไปส่งเองครับ"
"ขอบคุณนะคะ ไม่งั้นได้งมทางอีกนานแน่ๆ เลย"
หญิงสาวขอบคุณด้วยใจจริง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนดีมากๆ แบบนี้ ทั้งวิลเลียมทั้งเอสเทอร์ เป็นดาราดังที่นิสัยดีจริงๆ หรือคนยุคนี้เขาจะเป็นเหมือนคนในยุคพระศรีอริที่ร่ำลือกันนะ นี่ขนาดตัวเธอเองยังขำกับการหลงทางในนี้เลยนะ เดินตามคนอื่นต้อยๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวอย่างกับลูกเป็ดพึ่งเกิดเลย
ทั้งสองคนคุยสัพเพเหระในขณะที่พากันเดินไปยังทางออกที่สาม เชอร์เบลกำลังจะขอบคุณและบอกลา แต่ชายหนุ่มกลับบอกว่าจะไปส่งด้วยรถของตัวเองซะก่อน ทั้งยังทำหน้าเสียใจตอนที่เธอจะปฏิเสธจนอดใจอ่อนนั่งไปด้วยไม่ได้
"จริงๆ ไม่ต้องขับรถมาส่งก็ได้นะคะ ฉันเดินกลับโรงแรมใกล้ๆ นี้เองไม่หลงแล้วค่ะ"
"ไหนๆ ก็มาที่เดียวกันอยู่แล้วนี่ครับ หรือว่ามีตรงไหนที่คุณไม่ชอบรถของผมรึเปล่า"
"เปล่าๆ รถของคุณดีมากค่ะ ฉันก็แค่เกรงใจเท่านั้นเองค่ะเอสเทอร์"
จะปฏิเสธอะไรก็เหมือนโดนดักทางไปซะหมด ไม่ก็แพ้ใบหน้าอ้อนๆ นั่น จนรู้สึกใจอ่อน ทีตอนเล่นเกมออกจะดุดันไม่เห็นเหมือนตอนนี้เลยสักนิด เธอคิดในใจระหว่างพิงเบาะมองนอกหน้าต่างออกไป เมืองแห่งศิลปะแห่งนี้มีสีสันและตึกก็รูปทรงน่ารักสุดๆ ไปเลย
"ตอนนั้นเหมือนเห็นคุณดูสนใจบูทหมวกเล่นเกมมากๆ เลย ถูกใจเกมนี้เหรอครับ"
เขาถามด้วยเสียงสบายๆ เชอร์เบลจึงตอบไปแบบไม่คิดอะไร
"ชอบนะคะ ตอนลองเล่นก็สนุกดี คิดอยู่ค่ะว่าจะสั่งไปที่บ้านสักอันเผื่อว่างๆ ก็มาเล่น"
"งั้นก็เอาที่อยู่มาเลยครับ"
"คะ?"
หญิงสาวมีหน้าตาเหรอหราขึ้นมาทันที ไม่เข้าใจว่าบทสนทนามาถึงจุดตรงนี้ได้อย่างไร
"ผมจะได้ส่งเครื่องเกมไปให้ได้ไงครับ พอดีได้ฟรีมาจากเป็นพรีเซนเตอร์ แต่ผมมีตัวที่ใช้ประจำอยู่แล้ว"
เมื่อเห็นเธอมีหน้าตาสงสัยเขาก็รีบอธิบาย ดูเหมือนจะตัดคำจนพูดห้วนไปหน่อย
"แต่คุณก็เอาไว้สำรองเผื่ออันประจำเสียไม่ดีกว่าเหรอคะ"
เมื่อเธอพูดจบเขาก็ส่ายหน้าทันที บอกว่าแค่เรียกช่างมาซ่อมแปปเดียวก็หายแล้ว ยังไงเขาชอบใช้อันประจำที่ปรับมาเข้ากับสรีระของตัวเองมากกว่า ดังนั้นอันที่สองที่ได้มาก็ไม่มีประโยชน์กับเขานั่นเอง จนในที่สุดเชอร์เบลก็ทนลูกตื๊อของเขาไม่ได้ ยอมให้ที่อยู่ไปจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เกรงใจจะแย่อยู่ดี เหมือนรับเอาแต่สิ่งดีๆ เข้ามาโดยไม่ได้ตอบแทนสักอย่างเลย
"แต่แบบนี้ฉันก็เกรง…"
"ถึงแล้วครับ"
เขาพูดขัดขึ้นมากลางปล้องแต่กลับยิ้มอย่างซื่อๆ ใส่จนเธอโกรธไม่ลง ก่อนจะชะลอจอดหน้าโรงแรมและปลดล็อคประตูให้เธอลงก่อนจะได้ไม่ต้องเดินไกลจากที่จอดรถ เธอก้าวลงจากรถแต่ยังจับประตูเอาไว้อยู่ แขนอีกข้างเท้าเอวอย่างจริงจังขณะทำหน้ามุ่น
"ฉันพูดจริงๆ นะคะ! คุณให้ฉันเยอะเกินไปแล้ว ต้องให้ฉันตอบแทนสิ่งที่คุณอยากได้บ้างสิ"
ชายหนุ่มส่งยิ้มแบบที่เธอไม่เคยปฏิเสธได้มาให้ ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้เธอเขินที่สุดในรอบปีมาด้วยเสียงสดใส
"ไว้คุณเชอร์เบลมาเล่นเกมกับผมก็ได้ ตอบแทนให้ผมได้เล่นเกมกับคนที่ชอบน่ะดีที่สุดเลยครับ"
ใบหน้าสวยแดงแปร๊ดไปทั่วพวงแก้มใส ผละมือออกจากประตูรถมาจับหน้าด้วยความเขินอาย ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นก็หลุดหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"งั้นไว้เจอกันอีกครั้งในเกมนะครับ คุณเชอร์เบล"
เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะกดปุ่มให้ประตูรถปิดกลับมาจากนั้นก็เหยียบคันเร่งจากไป เชอร์เบลที่ตั้งสติกลับมาก็รีบเดินจ้ำเข้าไปในโรงแรมอย่างเร่งรีบเพราะใกล้ได้เวลาเช็คเอ้าท์แล้ว มือเล็กตบแก้มที่ปล่อยไอร้อนออกมาเล็กน้อยของตัวเองเบาๆ พร้อมกับพึมพำเสียงอุบอิบ
"แกจะไปเขินอะไรนักหนา เขาก็แค่เป็นหนึ่งในแฟนคลับช่องเราเท่านั้นแหล่ะน่า"
____________________________
ไรท์เองที่เคยหลงในร้านสะดวกซื้อ24ชั่วโมงที่ทุกคนรู้จักกันดี ตอนนั้นคือทั้งขำทั้งหงุดหงิด แต่ไปเล่าให้ใครฟังก็ขำก๊ากกันหมดจริงๆ นะ คนบ้าอะไรวะหลงในนั้นตั้งเกือบยี่สิบนาที55555555555555