บทจะตายก็ตายง่ายๆ บทจะเกิดใหม่ก็วาร์ปมาเกิดกันเสียเฉยๆ แต่ไหนๆ ก็ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งทีครั้งนี้ต้องเป็นคนรวยให้ได้เลยเจ้าค่ะ
จีน,ย้อนยุค,ครอบครัว,รัก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล๊อตหาเรื่อง,เกิดใหม่ ,นิยายรักจีนโบราณ,พี่เฉินผัวแห่งชาติ,อ้ายเย่วผู้ร่ำรวย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ไลลาใช้เวลานอนเหม่อไปเกือบครึ่งวันหลังจากที่ได้รับความทรงจำทั้งหมดของสวีอ้ายเย่วเข้ามาในหัวซึ่งมันทำให้เธอได้รับรู้และเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของครอบครัวเล็กๆ นี้มากขึ้นแต่ยิ่งรับรู้แล้วก็ยิ่งสงสารและอยากจะหาทางช่วยให้ทุกคนได้มีความเป็นอยู่ที่ดีให้ดีกว่านี้ได้มากที่สุดเท่าที่สองมือของเธอจะสามารถทำได้
โดยแต่เดิมครอบครัวของสวีอ้ายเย่วนั้นมีฐานะที่เรียกได้ว่าพอมีพอกินแม้จะเพิ่งแต่งงานกันมาได้ไม่กี่ปีเพราะคนเป็นสามีนั้นทั้งขยันและเป็นคนที่มีความสามารถโดยในเวลาปกติแล้วนั้นสวีเฉินจะทำอาชีพนายพรานเข้าป่าไปล่าสัตว์ทั้งตามคำสั่งจากร้านค้าและเข้าไปหาเองและเป็นช่างไม้ทำงานไม้ต่างๆ ไม่ว่าจะเครื่องเรือนหรืออาวุธที่ใช้ล่าสัตว์แต่เมื่อถึงหน้าทำนาก็จะมาช่วยงานในที่นาของครอบครัวตัวเองเรียกว่าทั้งปีนั้นเขามีงานทำแบบไม่มีวันหยุดเลยสักวันเดียว
แต่การที่ครอบครัวของสวีเฉินต้องมาอยู่ในบ้านดินเล็กๆ แห่งนี้ก็เพราะว่ามีเรื่องผิดใจและไม่ลงรอยกับพี่ชายคนโตที่มีนิสัยเกียจคร้านเพื่อความสบายใจและหลีกเลี่ยงการปะทะคารมให้ต้องอึดใจกันชายหนุ่มจึงขอบิดาแยกบ้านพาครอบครัวออกมาอยู่ยังที่ดินเล็กๆ ที่ซื้อเก็บไว้ด้วยเงินน้ำพักน้ำแรงจากการล่าสัตว์ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่บ้านสวีไม่ได้เก็บเงินที่ลูกชายหาได้เอาไว้กับตัวจนหมดรายได้ส่วนรวมก็คือส่วนรวมรายได้ส่วนไหนที่เป็นส่วนตัวก็ให้ลูกๆ แต่ละคนเก็บเอาไว้เองได้
มีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้สวีฉางพี่ชายคอยหาเรื่องสวีเฉินอยู่ตลอดก็คือเรื่องที่น้องชายได้แต่งซูอ้ายเย่วเป็นภรรยาทั้งๆ ที่ตัวเขาเองเป็นคนที่หมายตานางเอาไว้ก่อนแต่เพราะเรื่องความเกียจคร้านและนิสัยที่ออกไปทางอันธพาลอันเป็นที่เล่าลือทำให้แม้แต่แม่สื่อยังปฏิเสธการไปทาบทามหญิงสาวให้แต่พอมารดาของเขาเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเป็นบุตรชายคนกลางซึ่งก็คือสวีเฉินแม่สื่อกลับยินดีไปเจรจาทาบทามสู่ขอนางให้ภายในเวลาไม่กี่วัน
ครั้นแยกบ้านมาแล้วก็ยังมีเรื่องราววุ่นวายตามมาไม่ขาดเหตุเพราะพี่ชายตัวดีไปตั้งตนเป็นอันธพาลหาเรื่องทำร้ายคนเข้าจนถูกทางการจับตัวได้ถูกจับขังคุกและถูกสั่งปรับเงินค่าชดเชยหลายตำลึงทองเมื่อเห็นน้ำตาของมารดาสวีเฉินจึงจำต้องยกเงินที่สะสมมาเกือบทั้งชีวิตให้เอาไปช่วยพี่ชายและหลังจากนั้นภรรยาก็ประสบอุบัติเหตุและออกไปหาเงินไม่ได้ทำให้บ้านต้องขาดสภาพคล่องทางการเงินไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่โชคยังดีที่ฝั่งบ้านเดิมของสวีอ้ายเย่วนั้นไม่มีปัญหาอะไรแม้บ้านซูจะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองแต่ก็ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้เลยสักครั้งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาปกติหรือช่วงเวลาที่สวีอ้ายเย่วป่วยไข้บ้านเก่าของนางยังคงหมั่นมาไถ่ถามไม่ก็มีพืชผัก เนื้อสัตว์หรือแม้แต่กับข้าวมามอบให้อยู่เสมอโดยในช่วงที่นางประสบอุบัติเหตุตกน้ำแรกๆ มารดายังตั้งใจมารับสวีซิงอีบุตรชายตัวน้อยไปดูแลให้ชั่วคราวเพื่อที่จะให้สวีเฉินนั้นดูแลนางได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องพะว้าพะวัง
“ยังเช้าอยู่เจ้ารีบลุกมาทำไมเล่าอ้ายเย่ว น่าจะนอนต่ออีกสักนิด” ในขณะที่กำลังก่อไฟต้มยาและหุงข้าวมีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นมาทางด้านหลังซึ่งไม่ต้องหันไปมองสวีเฉินก็รู้แล้วว่าเป็นใคร
“ข้านอนมาเยอะแล้วให้ลุกขึ้นมาพักผ่อนบ้างเถอะเจ้าค่ะ ข้าช่วยทำกับข้าวได้แล้วนะถ้าไม่เชื่อจะลองให้ทำเลยท่านชิมตอนนี้ก็ได้” นับว่าไลลาปรับตัวได้ค่อนข้างดีบทสนทนาระหว่างสวีอ้ายเย่วกับสามีในวันนี้จึงดูจะเป็นธรรมชาติมากกว่าทุกครั้ง
“เจ้านี่ก็พูดจาแปลกๆ อะไรคือตื่นมาพักผ่อนแต่ก็เอาเถอะหากมั่นใจว่าทำได้แล้วก็ลองทำดูแต่ต้องหลังจากที่ข้าต้มยาให้เจ้าเสร็จก่อนระหว่างนี้เจ้าลองดูก่อนก็ได้ว่าจะทำอะไรกินกันดี” แม้ภรรยาจะชอบพูดจาอะไรแปลกๆ ออกมาแต่กระนั้นสวีเฉินก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเพราะเข้าใจดีว่านางได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่พิการไปไม่เช่นนั้นเขาอาจจะรับมือไม่ไหวทั้งลูกที่ยังเล็กและภรรยาที่ป่วยครั้นจะไปรบกวนบ้านเดิมทั้งของตัวเองและภรรยาก็เกรงใจจึงต้องพยายามประคองเอาไว้ด้วยตัวเองไปก่อน
“เจ้าค่ะ ข้าจะตั้งใจทำท่านพี่รอกินของอร่อยได้เลย” สวีอ้ายเย่วรีบเข้าไปสำรวจในโอ่งใบใหญ่ที่สามีมักจะใส่ของสดเตรียมไว้ทำอาหารอยู่เสมอก่อนเป็นอันดับแรกแต่ก็ไปพบอะไรนอกเสียจากความว่างเปล่าแต่พอนึกได้ว่าเขาไม่ได้ไปตลาดเพื่อซื้อเนื้อสัตว์หรือว่าเข้าป่าไปล่าสัตว์เลยก็เข้าใจได้สงสัยมื้อนี้คงต้องกินผักกันไปก่อนเพราะบ้านของนางปลูกผักไว้เยอะมีให้กินกันเหลือเฟือ
“มีปลาอยู่ที่โอ่งน้ำข้างบ้านข้าเพิ่งจัดการเสร็จเมื่อครู่เจ้าไปดูสิ” เมื่อเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของอีกคนจึงทนเก็บความลับเอาไว้ไม่ไหวต้องรีบเฉลยก่อนที่ภรรยาจะเสียกำลังใจในการทำอาหารมื้อแรกหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ
“เจ้าค่ะข้าจะรีบไปดูเดียวนี้เลย”
“อ้ายเย่วค่อยๆ เดินอย่าวิ่งไม่เช่นนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าทำกับข้าวแล้วนะ” เห็นนางก้าวข้าทำท่าจะออกวิ่งสวีเฉินจึงรีบร้องดักเอาไว้ก่อนเพราะถ้าขืนนางวิ่งแล้วหกล้มไปน่าจะเป็นเรื่องใหญ่อาการเก่ายังไม่ดีจะหาแผลใหม่ใส่ตัวมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
“เจ้าค่ะท่านพี่ข้าไม่วิ่งแล้ว จะค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ” สวีอ้ายเย่วเองก็ชะงักขาของตัวเองเอาไว้ได้ทันจากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปดูปลาที่โอ่งข้างบ้านนางพบกับปลาตัวใหญ่ที่ถูกขอดเกล็ดควักไส้ล้างน้ำทำความสะอาดแถมยังหั่นเป็นท่อนๆ พร้อมทำอาหารเอาไว้แล้วเรียบร้อยแล้ว
ปลาตัวใหญ่เท่าแขนถึงสามตัวนางสังเกตเอาจากหัวปลาแต่ถึงจะไม่รู้ว่ามันเป็นปลาอะไรแต่นางก็คิดว่ามันน่าจะต้องอร่อยเห็นแบบนี้แล้วในหัวก็มีเมนูปลาผุดมามากมายแต่ก็คงต้องตัดใจเลือกมาแค่สองเมนูแต่จะทำเยอะสักนิดเพื่อนำไปฝากบ้านเดิมของทั้งสามีและบ้านเดิมของตัวเองด้วย
เนื้อปลาช่วงท้องและหัวนั้นอ้ายเย่วตั้งใจจะนำมานึ่งใส่ขิงและต้นหอมและบ๊วยดองเพราะก่อนหน้านี้นางเคยสำรวจภายในครัวแล้วก็พบโหลบ๊วยดองเล็กๆ อยู่ซึ่งปริมาณก็มากพอที่จะแบ่งได้สามบ้าน ส่วนเนื้อๆ ช่วงหางนั้นนางจะนำมาเคล้าเกลือทอดกระเทียมให้บุตรชายและก็เพิ่มผัดผักกาดขาวอีกสักจานแค่นี้ก็น่าจะพอกิน
“ข้าจะทำปลานึ่งขิงเยอะสักหน่อยให้ท่านพี่ช่วยเอาไปฝากบ้านเดิมของท่านกับข้าด้วยได้ไหมเจ้าคะ” กลับมาเข้าครัวได้ก็ต้องรีบถามสามีเสียก่อนเผื่อว่าเขาตั้งใจนำปลาไปทำอย่างอื่น
“เอาสิตอนแรกข้าตั้งใจจะนำปลาสดไปให้พวกเขานั่นแหละแต่ทำเป็นอาหารแล้วก็น่าจะดีกว่า ยาต้มเสร็จแล้วนะยารักษาเลือดคั่งเจ้าดื่มหมดหม้อนี้ท่านหมอก็บอกให้หยุดได้แล้วอดทนอีกสามวันเท่านั้นเองนะ ทำกับข้าวไปก่อนอยากได้ผักอะไรหรือเปล่าข้าจะไปเก็บให้” ได้ยินภรรยาบอกว่าจะทำปลานึ่งขิงเช่นนี้แล้วก็มีขิงอย่างหนึ่งที่ต้องไปขุดสวีเฉินจึงถามถึงผักอื่นๆ ด้วยจะได้เก็บมาให้ทีเดียว
“ข้าอยากได้ต้นหอมกับผักกาดขาวหัวใหญ่ๆ ด้วยเจ้าค่ะ” ระหว่างที่บอกเขานางก็เริ่มต้นทำกับข้าวด้วยการตั้งน้ำสำหรับนึ่งปลาในกระทะใบใหญ่ก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็หาภาชนะขนาดใหญ่ที่พอจะใส่ปลานึ่งได้พอดีและระหว่างที่รอขิงก็จัดการปรุงน้ำปรุงรสราดปลาเสียก่อนแม้เครื่องปรุงจะมีเพียงเกลือ น้ำตาลและบ๊วยดองแต่รับรองว่ามันจะต้องออกมาอร่อยเพราะปลาที่ใช้ในการปรุงอาหารนั้นทั้งสดและใหม่ที่สวีเฉินน่าจะเพิ่งไปจับมาขังไว้เมื่อเย็นวานนี้นี่เอง
การทำอาหารใช้เวลาไม่นานเมื่อซิงอีตัวน้อยตื่นสวีอ้ายเย่วก็จัดเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตเสร็จเรียบร้อยพอดีนางจึงไปรับไม้ต่อจากสามีเพื่อดูแลลูกเพราะสวีเฉินต้องออกไปส่งอาหารให้บ้านเดิมทั้งเขาและนางเพื่อให้ทันมื้อเช้าก่อนที่จะถึงเวลาทำงานของสองครอบครัวและหลังจากนั้นเมื่อเขากลับมาถึงบ้านถึงจะได้เวลารับประทานอาหารเช้าด้วยกันของครอบครัวสวีบ้านรอง
“ซิงอีเด็กดีเจ้าหิวหรือไม่” ระหว่างที่ช่วยเด็กชายล้างหน้าแปรงฟันสวีอ้ายเย่วก็พูดคุยกับเด็กน้อยไปด้วยเพื่อให้ความคุ้นเคยและเป็นการฝึกพัฒนาการให้เด็กชายไปในตัวแม้ชีวิตก่อนตอนเป็นไลลาจะไม่เคยมีลูกแต่ก็ใช่ว่าไม่เคยมีความรู้เรื่องการเลี้ยงเด็ก
“หิวแย้วขอยับท่างแม่” เด็กน้อยอายุเพียงสองขวบกว่ามีร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ตอบกลับมารดาหลังจากที่บ้วนน้ำออกจากปากเรียบร้อยแล้ว
“รอท่านพ่อกลับมาก่อนนะวันนี้ท่านพ่อนำกำลังนำกับข้าวไปส่งบ้านท่านย่าและท่านยายแม่ทำของอร่อยเอาไว้เยอะเราจึงต้องแบ่งปันคนในครอบครัวได้กินด้วย” ถ้าเป็นตอนที่ไลลาฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ เธอคงไม่กล้าที่จะเรียกตัวเองว่าแม่ได้อย่างเต็มปากเช่นนี้แต่นี่ดีว่าได้รับความทรงจำของสวีอ้ายเย่วคนเดิมมาพร้อมอุปนิสัยบางอย่างบวกกับความคิดที่ว่าจะต้องอยู่ใช้ชีวิตในชื่อของสวีอ้ายเย่วไปอีกนานจึงพยายามปรับตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อีกทั้งลูกและสามีก็ไม่เคยทำอะไรให้เป็นกังวลทุกอย่างที่สวีอ้ายเย่วคนใหม่แสดงออกมาจึงเป็นไปตามธรรมชาติไม่มีผู้ใดระแคะระคายถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นถึงบางครั้งนางจะทำให้คนอื่นประหลาดใจด้วยคำพูดแปลกๆ อยู่บ้างแต่สุดท้ายแล้วคนเหล่านั้นก็เข้าใจว่าเพราะสวีอ้ายเย่วเคยประสบอุบัติเหตุพลัดตกแม่น้ำหัวฟาดอาการดังกล่าวน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ได้ติดใจสงสัย
“ซิงอีจะรอท่างพ่อ” เด็กน้อยยิ้มหวานพลางตอบท่านแม่ของตัวเองอย่างไม่ลังเลเลยสักนิดแม้พุงน้อยๆ จะร้องหิวนิดหน่อยแต่สวีซิงอีรอได้ถ้าจะได้กินของอร่อยพร้อมหน้าพร้อมตา
“ถ้าอย่างนั้นแม่จะพาเจ้าไปรดน้ำผักของเราก่อนดีไหมเช้าๆ แบบนี้พวกผักต่างๆ ก็ต้องการให้ดูแลเช่นกัน” เมื่อเจ้าก้อนแป้งน้อยพยักหน้าตอบสวีอ้ายเย่วจึงจูงมือเล็กๆ ของลูกชายให้เดินมาด้วยกันที่หน้าบ้านก่อนที่นางจะคว้าถังน้ำด้วยมือข้างที่ว่างเพื่อไปตักน้ำขึ้นมาจากบ่อ
นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่สวีเฉินเห็นความสำคัญของบ่อน้ำจึงจัดการขุดมันขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างบ้านดินเนื่องจากบ้านของนางกับแม่น้ำนั้นอยู่ห่างกันพอสมควรการต้องเดินไปกลับเพื่อหาบน้ำเอามากินเอามาใช้น่าจะเป็นงานหนักจนเกินไปและมันเสียเวลามากในเมื่องานการในบ้านมีให้ทำมากมาย
“ซิงอีพ่อกลับมาแล้วลูก อ้ายเย่วนี่เจ้ายกถังน้ำหนักๆ อีกแล้วเหรอข้าบอกเจ้าว่าอย่างไรเหตุใดจึงดื้อนัก” เดินเข้ารั้วบ้านมาได้ก็เห็นลูกชายกับภรรยาช่วยกันรดน้ำแปลงผักเล็กๆ อยู่หน้าบ้านสวีเฉินจึงรีบปรี่เข้ามาหาด้วยความเป็นห่วงแถมยังเผลอตัวบ่นให้ภรรยาไปเสียอีก
“ท่างแม่ดื้อ” สวีซิงอีชอบใจนักที่ท่านพ่อว่าท่านแม่ว่าดื้อจึงพูดล้อออกมาตามประสาเด็ก
“ท่านพี่ข้าไม่ได้ดื้อเลยสักนิดน้ำแค่หนึ่งถังไม่นับว่าหนักอะไรที่สำคัญข้าไม่ได้ตักน้ำแล้วยกขึ้นมาทั้งถังข้าใช้น้ำเต้าตักน้ำรดผักอีกทีนะเจ้าคะ ข้าหายดีแล้วและข้าก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ขอท่านพี่อย่าได้เป็นกังวล” สวีอ้ายเย่วเข้าใจดีว่าสวีเฉินไม่ได้ตั้งใจที่จะดุด่าแต่ที่เขาพูดออกมานั้นเพราะความเป็นห่วงในตัวภรรยาก็เท่านั้นเอง