บทจะตายก็ตายง่ายๆ บทจะเกิดใหม่ก็วาร์ปมาเกิดกันเสียเฉยๆ แต่ไหนๆ ก็ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งทีครั้งนี้ต้องเป็นคนรวยให้ได้เลยเจ้าค่ะ
จีน,ย้อนยุค,ครอบครัว,รัก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล๊อตหาเรื่อง,เกิดใหม่ ,นิยายรักจีนโบราณ,พี่เฉินผัวแห่งชาติ,อ้ายเย่วผู้ร่ำรวย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“อ้ายเย่วเจ้าจะไม่ฝากซิงอีไว้กับแม่จริงหรือจะเข้าตำบลทั้งทีเจ้าจะพาลูกไปด้วยทำไมเด็กเล็กดูแลลำบาก” ก่อนวันเดินทางเข้าอำเภอหนึ่งวันมารดาของสวีอ้ายเย่วมาหาถึงที่บ้านเพื่อนำฟักทองที่เก็บเกี่ยวได้จากสวน แม่ไก่ไข่ ลูกเจี๊ยบและไข่ไก่จำนวนหนึ่งนั่งเกวียนรับจ้างเอามาฝากลูกสาวจึงได้ทราบว่าวันพรุ่งนี้นางจะติดตามสามีเข้าไปในตำบลเพื่อขาวกับดักสัตว์และหาลู่ทางในทำการค้าขายด้วยกัน
“ข้าอยากพาซิงอีออกไปเปิดหูเปิดตาเจ้าค่ะท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงถึงเขาจะยังเด็กแต่ก็ใช่ว่าจะเกเรหรือไม่รู้ความเวลาห้ามไม่ให้ทำอะไรเขาก็ฟังข้าทุกครั้ง” ที่นางกล่าวออกไปทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องจริงเพราะถึงแม้สวีซิงอีจะยังเป็นเด็กไม่รู้ประสาแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเด็กที่ไม่รู้จักฟังคำสั่งสอนของผู้ใหญ่
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเจ้าแต่ถ้าเปลี่ยนใจแวะเอาหลานไปฝากแม่ได้ตลอดนะอ้ายเย่วแล้วเจ้าจะรอขึ้นเกวียนจากหมูบ้านของแม่ก็ได้รอบแรกจะออกเดินทางในยามอิ๋น” ครอบครัวเดิมของสวีอ้ายเย่วนั้นอยู่หมู่บ้านข้างๆ ที่ติดๆ กันทำให้สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ ถ้าเดินเท้าตัวเปล่าก็ใช้เวลาไม่ถึงสองเค่อเลยด้วยซ้ำแต่ถ้ามีสัมภาระด้วยก็อาจจะต้องใช้เวลามากกว่านั้นสักเล็กน้อยและด้วยความที่หมู่บ้านทั้งสองห่างไกลจากตำบลมาพอสมควรดังนั้นการเดินทางจึงต้องมีเกวียนรับจ้างที่ชาวบ้านทั่วไปสามารถใช้บริการได้โดยเกวียนจะออกเดินทางเป็นเวลาหากใครมาไม่ทันก็ต้องรอเดินทางในรอบถัดไป
“ขอบคุณท่านแม่มากนะเจ้าคะ” นางเข้าใจว่ามารดาเป็นห่วงแต่ก็อยากจะลองจัดการชีวิตครอบครัวด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งเนื่องจากนางมีแผนการในอนาคตเอาไว้แล้วว่าต่อจากนี้ไปไม่อาจอยู่บ้านเฉยๆ ให้สามีเลี้ยงได้อย่างเดียวได้อีกแล้วเพราะมันจะไม่พอกินในเมื่อลูกชายของนางก็เติบโตขึ้นทุกวัน
อันที่จริงแล้วลำพังสวีเฉินเพียงคนเดียวก็หาเงินเข้าบ้านได้มากอยู่พอสมควรแต่เพราะเขามีพี่ชายที่ไม่เอาไหนคอยเบียดเบียนอยู่ครอบครัวถึงไม่อาจมีฐานะที่ดีไปมากกว่านี้ได้ ในเมื่อชีวิตมีตัวหารเยอะและหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะคำว่าความกตัญญูและคำว่าครอบครัวสิ่งที่สวีอ้ายเย่วพอจะนึกออกคือนางต้องช่วยสามีหาเงินเข้าบ้านเพิ่มอีกหนึ่งทาง
ชีวิตก่อนนั้นตัวนางเองก็เป็นแม่ค้าขายขนมที่นับว่ามีฝีมือและสิ่งที่ติดตัวมาด้วยจากการเรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์มาตลอดยี่สิบเจ็ดปีนั้นเหตุใดจึงจะทิ้งไปให้มันสูญเปล่าสู้นางเอาความรู้ความสามารถที่มีมาประยุกต์ใช้ในชีวิตนี้เพื่อหาเงินเข้าบ้านน่าจะดีกว่า
“พูดแบบนี้แสดงว่าจะไม่เอาหลานไปฝากแม่สินะ เจ้านี่ก็เหลือเกินจริงๆ แต่ก็เอาเถอะแม่ต้องกลับก่อนแล้วยังต้องกลับไปเตรียมข้าวเย็นให้พ่อกับน้องชายเจ้าอีก” ในตอนนี้ที่บ้านซูนั้นมีบิดาและน้องชายซูฮุ่ยหมิงที่เป็นแรงงานสำคัญของบ้านส่วนมารดาจะได้ออกไปทำงานในที่นาก็ในตอนที่ต้องการแรงงานจริงๆ เท่านั้น
“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าเดินไปส่งท่านแม่นะขอรับ” สวีเฉินที่วันนี้ไม่มีงานสำคัญอะไรอีกแล้วรีบเสนอตัวด้วยเป็นห่วงมารดาของภรรยาหากต้องเดินกลับไปที่หมู่บ้านตามลำพัง
“ไม่เป็นไรอาเฉินใกล้แค่นี้ข้าเดินกลับได้สบายมากเจ้ารีบทำเล้าไก่ให้ซิงอีเถิดมิเช่นนั้นลูกเจี๊ยบอาจจะเฉามือหมด” ซูหนิงฮวาพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูหลานชายคนแรกที่เอาแต่นั่งจับลูกเจี๊ยบไม่ยอมวางมือด้วยคิดว่าพวกมันนั้นเป็นของเล่นใหม่ของตนเอง
“ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ระวังตัวด้วยนะขอรับ” สามคนแม่ลูกออกไปส่งท่านยายที่หน้าบ้านหลังจากนั้นก็ถึงคราวที่สวีเฉินจะต้องไปตัดไผ่ที่หลังบ้านมาทำเล้าไก่ง่ายๆ ให้พวกมันได้อยู่อาศัยโดยไก่พวกนี้นั่นบิดาของสวีอ้ายเย่วได้มาเป็นค่าแรงของการทำงานรับจ้างเมื่อมันฟักไข่ออกมาจึงได้ปันมาให้บ้านของลูกสาวจะได้เลี้ยงไก่ไว้กินไข่เพื่อบำรุงร่างกายหลานชายตัวน้อยและตัวนางเอง
เช้าวันใหม่ครอบครัวรองสวีสามคนพ่อแม่ลูกตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อที่จะกินข้าวและเตรียมตัวออกไปขึ้นเกวียนรับจ้างที่ปากทางเข้าหมู่บ้านแต่ก็มีเจ้าก้อนแป้งหนึ่งก้อนที่ดูท่าจะไม่พร้อมกว่าใครแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะสวีอ้ายเย่วเตรียมซาลาเปาใส่ห่อผ้าและกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำเอาใส่ตะกร้าสะพายหลังไปให้ลูกด้วยส่วนสวีเฉินนั้นก็สะพายตะกร้าใบใหญ่ติดหลังไปหนึ่งใบที่ด้านในบรรจุกับดัก ลูกธนูและลูกดอกหน้าไม้เอาไว้เสียเต็มแน่นส่วนที่ไม่สามารถบรรจุลงตะกร้าได้หมดเขาก็ยังเอาผ้ามาห่อไว้แล้วก็ผูกติดตัวไปด้วย
“เจ้าส่งลูกมาให้ข้าเถอะเขาตัวหนักมากแล้วตอนนี้เจ้าอุ้มเขานานๆ จะไม่ไหวเอา” เมื่อเห็นภรรยาช้อนตัวบุตรชายขึ้นอุ้มคนเป็นสามีก็ปรี่เข้าไปขอลูกมาอุ้มเองด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“แต่ท่านแบกของหนักมากกว่าข้าเสียอีกเอาเป็นว่าตอนนี้ให้ข้าอุ้มซิงอีไปก่อนนะเจ้าคะแล้วหลังจากที่ขายของเสร็จแล้วค่อยสลับให้ท่านพี่อุ้มบ้าง” ลำพังตะกร้าบนหลังของเขานางก็ไม่รู้ว่าสวีเฉินจะต้องแบกน้ำหนักตั้งเท่าไหร่แค่อุ้มลูกชายคนเดียวเดินไปที่ปากทางหมู่บ้านจากนั้นก็ขึ้นนั่งบนเกวียนไม่นับว่าหนักหนาอะไรสำหรับนาง
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าแต่ถ้าหากอุ้มไม่ไหวหรือรู้สึกไม่ดีต้องรีบบอกข้าเข้าใจหรือไม่” เห็นสายตาที่มุ่งมั่นของภรรยาเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มจะทำอะไรได้นอกจากยอมตามใจจากตรงนี้เดินไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อยังไงแล้วนางก็น่าจะอดทนไหวอยู่
เกวียนเข้าเมืองในวันนี้มีคนค่อนข้างบางตานอกจากสองสามีภรรยาบ้านรองสวีแล้วก็มีแค่เพื่อนบ้านในหมู่บ้านอีกสามคนเท่านั้นเมื่อถึงเวลาท่านลุงกงเสิ่นเจ้าของเกวียนจึงเก็บเงินค่าโดยสารผู้ใหญ่และเด็กอายุห้าขวบปีขึ้นเป็นคนละหนึ่งอีแปะจากนั้นก็ออกเดินทางกันได้เลยโดยระยะทางจากบ้านไปตำบลใช้เวลาเดินเท้าราวๆ ครึ่งชั่วยามแต่ถ้าใช้เกวียนเทียมวัวก็เร็วกว่านั้นนิดหน่อยแต่หากว่าเป็นรถม้าก็จะใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
แม้ตอนที่เกวียนเทียมวัวเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านสองข้างทางจะยังคงมืดสนิทแต่สวีอ้ายเย่วก็ยังสอดส่ายสายตามองซ้ายมองขวาไม่หยุดจนเมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างได้เห็นอะไรมากขึ้นก็ใกล้ที่จะถึงตลาดในตัวตำบลพอดี
“ครั้งนี้ข้ายังทำลูกดอกหน้าไม้และลูกธนูได้ไม่มากเท่าไหร่จึงเอามาขายแค่ตลาดในตำบลก่อนเอาไว้ครั้งหน้าข้าจะพาเจ้าไปดูตลาดในอำเภอ” แม้สวีอ้ายเย่วจะเดินทางมาตลาดในตำบลอยู่บ้านแต่ก็ไม่ได้บ่อยนักสวีเฉินจึงคิดไปว่านางคงน่าจะตื่นเต้นจึงได้แต่มองสำรวจสองข้างทางไม่หยุดทั้งๆ ที่ความจริงนั้นมันเป็นความตื่นเต้นของไลลาที่อยู่ในร่างของสวีอ้ายเย่ว
แม้ว่าวิญญาณของไลลากับเศษเสี้ยววิญญาณของสวีอ้ายเย่วจะเริ่มทำการหลอมรวมกันอย่างช้าๆ แล้วแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หญิงสาวที่มาเกิดใหม่อีกครั้งนั้นรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงหรือความแตกต่างซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าหลังจากฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บดีแล้วนางเอาแต่ค้นหาวิธีการทำมาหากินและปรับตัวในการใช้ชีวิตครอบครัวจนไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
“ข้าจะพาเจ้าไปขายอุปกรณ์ล่าสัตว์ก่อนจากนั้นก็จะไปสั่งหัวลูกดอกและหัวหน้าไม้ที่โรงตีเหล็กเอาไว้จากนั้นเราค่อยไปซื้อของที่ขาดกันถึงเวลานั้นเจ้าตัวยุ่งคงจะตื่นขึ้นมาพอดี” พูดถึงลูกชาววันนี้สวีซิงอีนั้นตื่นสายกว่าปกติมากเหตุก็มาจากเมื่อคืนพอเจ้าก้อนแป้งได้รู้ว่าบิดาจะพาเข้ามาเที่ยวในตำบลก็ตื่นเต้นดีใจซักถามอะไรไปเรื่อยจนไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน
การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะเถ้าแก่ร้านขายเครื่องมือล่าดักสัตว์นั้นรู้ฝีมือของสวีเฉินดีอยู่แล้วและแม้จะมีกับดักและลูกดอกมาขายไม่มากแต่พวกมันก็ยังทำรายได้สูงอยู่พอสมควรซึ่งในตอนนี้เองสวีอ้ายเย่วจึงได้เห็นว่าหัวลูกธนูที่สามีของนางประดิษฐ์ขึ้นนั้นมีทั้งจากที่ทำด้วยเหล็กและที่ทำด้วยไม้เนื้อแข็งนางซึ่งเชื่อว่าหากไม่ได้เอาไปใช้ล่าสัตว์พวกมันยังสามารถนำไปเป็นอุปกรณ์ตกแต่งบ้านได้เลยเพราะแต่ละชิ้นนั้นมองจากไกลๆ ยังเห็นว่าทำขึ้นมาอย่าประณีต
หลังจากเสร็จธุระทั้งเรื่องขายอุปกรณ์ล่าสัตว์และสั่งหัวธนูเพิ่มที่โรงตีเหล็กก็ได้เวลาที่บ้านรองสวีจะได้เดินเลือกซื้อข้าวของตามรายการที่สวีอ้ายเย่วจดมาจากบ้านแถมตอนนี้เจ้าก้อนแป้งของนางก็ตื่นขึ้นมาเต็มตาแล้วแม้ครั้งแรกออกจะตื่นตกใจที่แปลกที่แต่เพียงครู่เดียวก็คุ้นชินเอาแต่มองรอบตัวอย่างตื่นเต้นไม่ต่างจากคนเป็นมารดาเลยสักนิด
“ท่านพี่เราสามารถมาขายของในตลาดได้ไหมเจ้าคะแบบที่ขายของข้างทางไม่ก็ตั้งโต๊ะขายที่หน้าร้านต่างๆ แบบนั้น” จากการสังเกตสวีอ้ายเย่วเห็นว่านอกจากร้านค้าที่ตั้งกันแบบถาวรแล้วยังมีร้านแผงลอยเปิดขายอยู่อีกด้วย
“ถ้ามีที่ว่างเจ้าก็สามารถขายได้ในตลาดนี้มีทั้งพื้นที่ที่เป็นส่วนกลางที่ต้องติดต่อกับผู้ดูแลตลาดก่อนทำการซื้อขายกับอีกส่วนคือพื้นที่หน้าร้านค้านั้นต้องเข้าไปติดต่อแต่ละร้านด้วยตัวเองซึ่งเถ้าแก่แต่ละร้านอาจจะอนุญาตหรือไม่ก็ได้มันเป็นสิทธิ์ของพวกเขา ว่าแต่เจ้าอยากมาขายของที่นี่อย่างงั้นเหรอคิดอยากจะค้าขายอะไรเล่า” อันที่จริงถ้าสวีอ้ายเย่วหายดีแล้วสวีเฉินก็สามารถเข้าป่าไปล่าสัตว์ได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังโดยเขาเชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นภรรยาและลูกจะได้อยู่ดีกินดีมากกว่านี้โดยไม่ต้องมีใครต้องออกมาทำงานหาเงินเพิ่ม อย่างที่นางกำลังคิดหาทางอยู่ในเวลา
“ข้าคิดอยากขายขนมเจ้าค่ะ ข้ามีสูตรของหวานต่างๆ มากมายที่เคยอ่านและเคยเห็นมาจากตำราเมื่อนานมาแล้วแต่ยังคงจำได้ดีหากวันนี้เราซื้อน้ำตาลกลับไปมากหน่อยและหาวัตถุดิบที่ข้าต้องการได้ท่านพี่จะได้ลองชิมแน่นอน” ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่นางเห็นฟักทองที่มารดานำมาให้แล้วคิดถึงขนมสังขยาฟักทองแต่ติดตรงที่นางไม่มีมะพร้าวและน้ำตาลมากพอที่จะทำขนมได้จึงต้องทดเอาไว้ในใจก่อน
“ข้างหน้ามีร้านขายเครื่องปรุงและของแห้งต่างๆ หากว่ามีสิ่งของที่ต้องการก็ซื้อได้เลยวันนี้เรามีเงินมากพอที่จะซื้อได้” อาวุธของสวีเฉินขายได้ราคาค่อนข้างดีเนื่องจากเป็นงานฝีมือและเป็นอาวุธที่มีวิถีแม่นยำดังนั้นการซื้อของฟุ่มเฟือยกลับไปบ้านมากหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอีกทั้งเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ สวีอ้ายเย่วแทบจะไม่เคยเอ่ยปากว่าอยากได้อะไรเลยตั้งแต่แต่งงานกันมา
“จริงหรือเจ้าคะถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปทำขนมให้ท่านกินรวมถึงส่งไปให้บ้านเดิมของท่านกับข้าด้วยให้พวกเขาช่วยติชมว่ามันจะพอขายได้หรือไม่” ระหว่างที่พูดไปในหัวของนางก็คิดว่าที่บ้านยังมีวัตถุดิบอะไรที่พอทำขนมได้อีกบ้างแต่นอกจากฟักทองและถั่วเขียวแล้วนางก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรจึงตั้งใจว่าไปให้ถึงร้านค้าก่อนค่อยว่ากันเพราะงานนี้ถ้าไม่สามารถหามะพร้าวมาได้ทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น
แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างสวีอ้ายเย่วเพราะนอกจากนางจะได้น้ำตาลและเกลือมาทำขนมแล้วที่ร้านค้าแห่งนี้ก็ยังมีมะพร้าวขายในราคาถูกไม่ต่างจากให้เปล่านางจึงเหมาพวกมันมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นลูกที่เปลือกเขียวหรือว่าเปลือกสีน้ำตาลเนื่องจากมันยังพอเก็บไว้ได้อีกนานโดยไม่เน่าเสียอย่างน้อยๆ ก็ตั้งสิบวันเห็นจะได้
“ถ้าหากข้าใช้พวกมันหมดแล้วสามารถมาหาซื้อได้ที่ร้านนี้ใช่ไหมเจ้าคะท่านลุง” คิดจะทำการค้าก็ต้องหาแหล่งวัตถุดิบในระยะยาวดังนั้นสวีอ้ายเย่วจึงต้องไถ่ถามเถ้าแก่ร้านเอาไว้ก่อนเพราะถ้าหากไม่มีวัตถุดิบสำคัญมันจะไม่สามารถทำการค้าอย่างต่อเนื่องได้
“เจ้าลูกนี่มีเยอะที่ตำบลข้างๆ ส่วนมากข้าไม่ได้รับมาขายเยอะนักหรอกเพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรได้แต่ถ้าเจ้าอยากซื้อมันในจำนวนเยอะๆ ข้าจะบอกทางไปบ้านของคนขายให้” เถ้าแก่ร้านค้าใจดีจดที่อยู่ของพ่อค้าขายมะพร้าวให้ด้วยความเต็มใจสวีอ้ายเย่วจึงพับมันแล้วแอบสอดเก็บไว้ในอกเสื้อประหนึ่งว่าเป็นของมีค่า