บทจะตายก็ตายง่ายๆ บทจะเกิดใหม่ก็วาร์ปมาเกิดกันเสียเฉยๆ แต่ไหนๆ ก็ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งทีครั้งนี้ต้องเป็นคนรวยให้ได้เลยเจ้าค่ะ
จีน,ย้อนยุค,ครอบครัว,รัก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล๊อตหาเรื่อง,เกิดใหม่ ,นิยายรักจีนโบราณ,พี่เฉินผัวแห่งชาติ,อ้ายเย่วผู้ร่ำรวย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หลังจากที่ตื่นมาตั้งแต่กลางยามอิ๋นเพื่อทำขนมหวานต่างๆ ทั้งหมดสามชนิดอันได้แก่ฟักทองเชื่อมและน้ำกะทิรสเค็มสำหรับราดลงบนขนมเพื่อความกลมกล่อม สังขยาฟักทอง ขนมเปียกปูนสองสีมีทั้งสีเขียวจากใบเตยและสีดำจากกาบมะพร้าวเผาที่สวีเฉินได้ชิมและชื่นชอบมากกว่าขนมชนิดอื่นๆ เหตุเพราะมันไม่ได้หวานจนเกินไปนั่นเอง
“ข้าเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” สวีอ้ายเย่วหันมายิ้มให้กับสามีที่อุ้มเจ้าก้อนแป้งเอาไว้แนบอก ที่โต๊ะกินข้าวในเวลานี้มีกล่องใส่ขนมสีแดงสดสวยที่มีรูปร่างคล้ายปิ่นโตขนาดใหญ่แต่ทว่าเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีทั้งหมดสี่ชั้นจำนวนสามอันที่สามารถถือหรือเอาสายคล้องเพื่อใช้สะพายหลังวางอยู่และที่วางอยู่กับพื้นคือโต๊ะพับแบบง่ายๆ ที่มีน้ำหนักเบาแต่ทว่าแข็งแรงที่นางเป็นคนออกแบบให้สามีช่วยทำให้เอาไว้ใช้เป็นโต๊ะสำหรับวางขายของ
สองสามีภรรยาช่วยกันสะพายกล่องใส่ขนมคนละหนึ่งอันส่วนอันที่สามนั้นสวีอ้ายเย่วสะพายไว้ด้านหน้าของตัวเองโดยที่สวีเฉินทำหน้าที่อุ้มลูกกับถือโต๊ะพับไปด้วยโดยตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากขายของเสร็จแล้วในวันนี้จะเอาโต๊ะพับอันนี้ไปฝากเก็บไว้ที่ร้านของอุปกรณ์ดักสัตว์ไม่ก็ร้านขายเครื่องเรือนที่สนิทสนมกันดีกับบิดาหากวันใดที่เขาไม่มาด้วยภรรยาจะได้ไม่ต้องแบกของหนักทั้งหมดตัวคนเดียว
แต่อาจจะเป็นเพราะเตรียมข้าวของนานกว่าจะเดินทางมาถึงตลาดพ่อค้าแม่ค้าต่างก็จับจองพื้นที่ค้าขายส่วนกลางกันจนเต็มไปหมดแล้วเห็นแบบนี้สวีเฉินจึงพาภรรยาเดินตรงไปหาเถ้าแก่เจ้าของร้านขายเครื่องเรือนด้วยความหวังว่าพื้นที่หน้าร้านนั้นจะยังไม่มีใครมาจับจองไปก่อน
“อาเฉินเป็นอย่างไรบ้างข้าไม่ได้เห็นหน้าค่าตาเจ้าเสียนานเลยนะ” เดินมาถึงหน้าร้านเถ้าแก่ร่างท้วมนามว่าอี้เกากั๋วก็ทักทายอย่างอารมณ์ดี
“อ้ายเย่วนี่ท่านลุงเกากั๋วสหายของบิดาข้าเป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องเรือนแห่งนี้ ท่านลุงขอรับนี่ภรรยาข้าสวีอ้ายเย่วส่วนนี้ก็บุตรชายสวีซิงอีขอรับวันนี้ข้าอยากจะขอรบกวนท่านสักหน่อยภรรยาข้าทำขนมมาขายจึงอยากจะเช่าพื้นที่หน้าร้านของท่าน” สวีเฉินไม่ใช่คนอ้อมค้อมหลังจากทักทายผู้อาวุโสและแนะนำลูกเมียให้ทำความรู้จักกันแล้วก็พูดตรงเข้าเรื่องที่ต้องการเลยอย่างไม่มีความลังเล
“ได้สิ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องมาเช่าหรอกลุงให้เจ้าขายได้เลยแต่มาทางฝั่งนี้จะดีกว่าทางนั้นมีการขนของขึ้นลงกันทั้งวันกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุได้” ด้วยทางฝั่งซ้ายของร้านนั้นเป็นทางสำหรับขึ้นลงขนส่งสินค้าอี้เกากั๋วจึงบอกให้ขยับมาทางขวาสักหน่อยทางนั่นโล่งและกว้างพอที่จะวางขายสินค้าได้
“ขอบคุณท่านลุงมากนะเจ้าคะขอเวลาข้าตั้งร้านสักครู่แล้วจะเอาขนมให้ท่านช่วยชิม” สวีอ้ายเย่วคลี่ยิ้มให้ผู้สูงวัยก่อนจะให้สามีช่วยตั้งโต๊ะและเมื่อนางจับลูกน้อยนั่งบนตั่งตัวเล็กที่เตรียมมาเรียบร้อยแล้วจึงจัดการเปิดปิ่นโตใส่ขนมออกมาจัดวางให้สวยงามน่ามอง
ปิ่นโตที่ใช่ต่างถาดใส่ของทำมาจากไม้ไผ่สานลงด้วยรักสีแดงสดตัดกับกระทงใบตองสีเขียวมันวาวที่แค่เปิดกล่องออกมากลิ่นใบเตยอ่อนๆ จากขนมและสีสันที่สะดุดตานั้นก็ช่วยดึงดูดสายตาชาวบ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดียิ่งนักแต่อาจจะเป็นเพราะมันยังเป็นสิ่งแปลกใหม่ชาวบ้านจึงได้แต่ยืนดูไม่มีใครกล้าเข้ามาซื้อหรือว่าเดินเข้ามาซักถาม
“ท่านป้าท่านน้าที่เดินผ่านไปผ่านมาแวะเข้ามาชิมขนมอร่อยๆ ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ขนมที่ข้านำมาในวันนี้มีขนมเปียกปูนสองสี ฟักทองสังขยาและฟักทองเชื่อมขายราคาเดียวเพียงกระทงละห้าอีแปะเท่านั้นเจ้าค่ะ” ระหว่างที่พูดนางก็สบตากับพี่ป้าน้าอาที่ยืนมุงอยู่พร้อมกับจัดขนมต่างๆ ใส่กระทงเป็นตัวอย่างให้ทุกคนเห็นว่าปริมาณขนมที่นางขายนั้นมีมากน้อยเพียงใด
“ขนมของเมียเจ้าแปลกตายิ่งนัก มาๆ ข้าขอประเดิมร้านเจ้าเอาฤกษ์เอาชัย สวีเฉินเอาขนมมาอย่างห้ากระทงจัดมาเลยข้าจะเก็บไว้ให้ภรรยาชิมอย่างละหนึ่งกระทงส่วนที่เหลือแจกจ่ายให้คนงานของข้า” เถ้าแก่อี้เป็นคนใจกว้างทั้งยังรู้จักบิดาของสวีเฉินเป็นอย่างดีจึงมั่นใจว่าครอบครัวสวีคงไม่นำของไม่ดีออกมาขายจึงขอซื้อขนมและยืนกินให้ชาวบ้านได้ดูมันตรงนั้นเสียเลย
“รสดียิ่งนี่เรียกว่าขนมอะไรนะแม่นางสวี” หลังจากลองชิมขนมเปียกปูนเข้าไปทั้งชิ้นความหอมหวานและความมันเค็มจากมะพร้าวขูดที่โรยอยู่ข้างหน้าขนมทำเอาผู้อาวุโสถึงกับจิปากด้วยความถูกอกถูกใจ
“ท่านลุงเรียกข้าว่าอ้ายเย่วก็ได้นะเจ้าคะ ขนมนี้มีชื่อว่าขนมเปียกปูนสีเขียวที่เห็นนั้นข้าทำจากใบไม้หอมชนิดหนึ่งที่เรียกว่าใบเตยส่วนสีดำทำมาจากกาบของลูกมะพร้าวเผาเจ้าค่ะรสชาติจะหวานไม่มากแต่จะมีรสมันจากมะพร้าว” สวีอ้ายเย่วตอบอย่างยินดีเมื่อเห็นแล้วว่ามีคนชอบขนมเปียกปูนของนางเพิ่มมาอีกตั้งหนึ่งคน
“อร่อยจริงๆ ด้วยขอรับเถ้าแก่เนื้อขนมก็นุ่มเหนียวไม่แข็งกระด้าง แม่นางข้าขอซื้อขนมเปียกปูนนี้อีกสองกระทงได้หรือไม่ข้าจะซื้อไปให้ลูกสาวกินบ้าง” หลงจู๊ร้านเครื่องเรือนที่ได้ชิมขนมเปียกปูนก็ถูกใจมากเช่นกันรีบเดินมาจับจองเอาไว้ก่อนเพราะกลัวว่าขนมแสนอร่อยนี้จะหมดลง
“ได้เจ้าค่ะท่านลุงแต่ขนมนี้ท่านต้องหาอะไรมาปิดเอาไว้สักหน่อยนะเจ้าคะเพราะหากหน้าขนมแห้งเกินไปมันจะไม่อร่อย” ขนมเปียกปูนหนึ่งกระทงนั้นมีขนมบรรจุอยู่ถึงสามชิ้นใหญ่ๆ เท่ากับขนมฟักทองเชื่อมที่นางขายกระทงละห้าอีแปะเช่นเดียวกันส่วนขนมสังขยาฟักทองนั้นจะขายหนึ่งชิ้นใหญ่ต่อหนึ่งกระทง
ขนมเปียกปูนดูท่าจะขายดีมากกว่าใครเพื่อนแต่เมื่อคนที่มายืนดูอยู่หน้าร้านได้ลองรับประทานขนมอื่นบ้างๆ ก็เริ่มมีคนเข้ามาซื้อเพิ่มเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ขายดีจนมือไม่ว่างแต่ก็นับว่ากิจการขายขนมวันแรกของสวีอ้ายเย่วนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น
“ขนมอะหย่อยๆ ขอยับ ข้ามีขนมอะหน่อยๆ มาขาย” ระหว่างที่สวีเฉินเข้าไปคุยเรื่องการค้ากับเถ้าแก่อี้ข้างในร้านเครื่องเรือนและสวีอ้ายเย่วกำลังวุ่นอยู่กับการตักขนมใส่กระทงเตรียมไว้ให้ลูกค้าเจ้าก้อนแป้งที่นั่งดูมารดาขายของอยู่นานก็กระโดดลงจากตั้งเตี้ยเดินไปหยุดที่หน้าโต๊ะขายของของมารดาและเริ่มตะโกนเท่าที่แรงของเด็กวัยสองขวบจะทำได้
“ท่างป้าซื้อขะหนมไหม มาชิมก็ได้ซิงอีไม่หวง” นับว่าเป็นประโยคยาวที่สุดแล้วที่ลูกชายของสวีอ้ายเย่วเคยพูดออกมาแต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางที่ไร้เดียงสานั้นจะเรียกลูกค้าให้เข้ามาแวะดูขนมกันมากขึ้น
“พ่อค้าตัวน้อยเจ้ามีขนมอะไรขายบ้าง” ท่านป้าที่ดูท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกับสวีซิงอีพ่อค้าตัวน้อย
“ขะหนมท่างแม่ทำขอยับ มี มี พักตองหวานกับปูน” ด้วยความที่ยังเล็กนักอีกทั้งชื่อขนมก็อาจจะจำยากคำตอบของพ่อค้าตัวน้อยจึงออกจะชวนงงไปเสียหน่อย
“วันนี้มีขนมสามอย่างเจ้าค่ะท่านป้าขายกระทงละห้าอีแปะ ฟักทองเชื่อม ฟักทองสังขยาและขนมเปียกปูนสองสีเลือกได้ว่าจะรับทั้งสองสีเลยหรือว่าจะรับแค่สีเดียวเจ้าค่ะ จะลองชิมขนมดูก่อนก็ได้” สวีอ้ายเย่วแนะนำขนมของตัวเองอีกครั้งพร้อมทั้งส่งถาดใส่กระทงที่มีขนมตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เสียบไม้ไผ่เหลาให้จับถนัดมือให้ลูกค้าใหม่ได้ลองชิม
“ถ้าให้ข้าเดาขนมชนิดนี้คงทำมาจากไข่แต่เหตุใดจึงไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิด ข้าขอฟักทองสังขยานี่สี่กระทงส่วนอย่างอื่นๆ อย่างละสามกระทงนะพ่อค้าน้อย” แม้จะสั่งขนมกับผู้เป็นแม่แต่ก็ยังทอดเสียงอ่อนหวานเพื่อบอกพ่อค้าตัวน้อยทำเอาเจ้าตัวเล็กดีอกดีใจวิ่งกลับไปยืนเกาะชายกระโปรงมารดาในทันที
“ซิงอีเด็กดีไปบอกท่านป้าว่าค่าขนมทั้งหมดห้าสิบอีแปะนะจ๊ะ” สวีอ้ายเย่วรับตะกร้ามาจากสาวใช้ที่ติดตามท่านป้ามาจัดขนมโดยไม่ลืมบอกให้พ่อค้าตัวน้อยของนางไปได้ทำหน้าที่ของตนเองต่อ
ฝั่งภรรยาที่กิจการกำลังดำเนินไปด้วยดีทางฝั่งสามีก็ได้คำสั่งซื้อใหม่เพราะเถ้าแก่อี้ถูกใจกล่องใส่อาหารที่สองสามีภรรยาใช่ใส่ขนมมาขายยิ่งนักแม้มันจะมีหน้าตาเหมือนปิ่นโตที่ใช้กันแต่กลับมีขนาดใหญ่กว่าเหมาะสำหรับใช้ใส่ของเดินทางไกลยิ่งนัก
“สินค้าของท่านลุงข้าจะใช้รักสีดำลงให้นะขอรับหากจะใช้สีแดงเหมือนของอ้ายเย่วคงไม่เหมาะเพราะข้าตั้งใจให้มันสะดุดตาผู้คนจึงเลือกใช้สีแดงอย่างที่เห็นแต่หากจะใช้ในการเดินทางไกลคงต้องเป็นสีดำส่วนสายสะพายจะใช้หนังถักมิใช่ผ้าเช่นที่ข้าใช้อยู่เพื่อความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้มากกว่า” หลังจากวาดแบบใหม่และเจรจาเรื่องวัตถุประสงค์ในการใช้งานของสินค้ากันเรียบร้อยแล้วสวีเฉินจึงสรุปวัตถุดิบที่ต้องการใช้เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน
“เอาดังที่เจ้าว่าลุงไม่ได้รีบอะไรหรอกนะเสร็จเมื่อไหร่ก็ค่อยเอามาส่งข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องช่วยอ้ายเย่วทำขนมมาขาย เจ้าได้ภรรยาที่ขยันขันแข็งยิ่งนักสวีเฉินรู้จักทำมาค้าขายอีกทั้งนางยังมีฝีมือในการทำขนมรอให้ท่านป้าสะใภ้ของเจ้าเห็นได้ขนมที่นางทำก่อนเถอะคงรีบเรียกแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอมาเป็นสะใภ้แน่ๆ” พูดถึงภรรยาก็นึกขำที่ตอนนี้นางวุ่นวายกับการหาสตรีที่เหมาะสมมาเป็นภรรยาบุตรชายคนโตที่มีอายุสมควรแก่การแต่งภรรยาเข้าเรือนแล้ว
“จะว่าไปข้าก็ยังไม่เห็นอี้หยวนเลยนะขอรับวันนี้เขาไม่ได้อยู่ที่ร้านหรอกเหรอ” สวีเฉินกับอี้หยวนเป็นสหายกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่เมื่อโตขึ้นต่างคนต่างก็มีภาระหน้าที่ของตัวเองจึงทำให้ห่างหายกันไปบ้างแต่ไม่ว่าจะพบกันที่ไหนความสัมพันธ์และมิตรภาพของความเป็นเพื่อนก็ยังคงแน่นแฟ้น
“วันนี้อี้หยวนไปรับสินค้าให้ลุงที่อำเภอข้างๆ กันนี่แหละ ลุงก็อายุมากขึ้นทุกวันก็ได้ลูกชายช่วยเป็นแขนขาให้ไม่เช่นนั้นก็คงแย่ ว่าแต่ข้างหน้าร้านคนมุงอะไรเยอะแยะเจ้าไปดูก่อนไป” พลันสายตาของผู้อาวุโสมองเห็นว่าที่หน้าร้านมีชาวบ้านเข้ามามุงดูอยู่จำนวนหนึ่งจึงรีบบอกให้สวีเฉินรีบออกมาดูภรรยากับลูกน้อย
แต่เมื่อทั้งคู่ออกมาที่หน้าร้านเครื่องเรือนกลับไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงเหตุที่คนมามุงดูกันก็เป็นเพราะมีพ่อค้าตัวน้อยออกมาเรียกลูกค้าอยู่หน้าร้านที่แม้จะพูดจายังไม่ชัดถ้อยชัดคำแต่ความตั้งใจและความน่ารักน่าเอ็นดูก็เรียกลูกค้าเข้ามาได้มากพอสมควร
“พ่อค้าตัวน้อยของแม่ไม่ต้องตะโกนดังขนาดนั้นก็ได้ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเจ็บคอและไม่สบายเอานะมานั่งพักสักหน่อยเถอะแม่มีน้ำชาใบเตยที่เจ้าชอบมาให้ด้วย” สวีอ้ายเย่วเรียกบุตรชายตัวน้อยให้เข้ามานั่งหลังจากที่สวีซิงอีออกไปยืนเรียกลูกค้าอยู่นานพอสมควร
“ซิงอีเปงพ่อค้า ต้องขายของนะท่างแม่” ท่าทางดื้อดึงเล็กๆ นั้นแม้จะน่าเอ็นดูแต่นางกลับคิดว่าเจ้าก้อนแป้งกำลังทำอะไรที่เกินกำลังของตัวเองไปสักหน่อย
“ซิงอีเด็กดีฟังท่านแม่ด้วย เราต้องมาขายของทุกวันถ้าเจ้าใช้แรงไปจนหมดแล้ววันต่อไปจะมีใครช่วยท่านแม่เล่า” เป็นสวีเฉินที่มารวบตัวลูกชายตัวน้อยขึ้นอุ้มก่อนจะพาไปนั่งพักและดื่มน้ำชาหอมๆ ที่ภรรยาเตรียมมาจากที่บ้าน