บทจะตายก็ตายง่ายๆ บทจะเกิดใหม่ก็วาร์ปมาเกิดกันเสียเฉยๆ แต่ไหนๆ ก็ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งทีครั้งนี้ต้องเป็นคนรวยให้ได้เลยเจ้าค่ะ
จีน,ย้อนยุค,ครอบครัว,รัก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล๊อตหาเรื่อง,เกิดใหม่ ,นิยายรักจีนโบราณ,พี่เฉินผัวแห่งชาติ,อ้ายเย่วผู้ร่ำรวย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
สวีอ้ายเย่วเปิดร้านขายขนมมาได้ราวๆ หนึ่งเดือนแล้วและขนมของนางได้รับการตอบรับค่อนข้างดีรวมถึงมีลูกค้าประจำที่ตั้งใจมาซื้อขนมอยู่ทุกวันโดยไม่เบื่อทำให้ต้องมีขนมชนิดใหม่ๆ ทำเพิ่มมาบ้างเพื่อความหลากหลายแต่กระนั้นขนมเปียกปูนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาดจนเรียกได้ว่าเป็นสินค้าขายดีของร้านก็ไม่ผิดนัก
“วันมะรืนข้าจำเป็นต้องเข้าป่าไปล่าสัตว์เพราะที่ร้านขายเนื้ออยากได้เนื้อสัตว์ป่ามาขายบ้างเจ้าอยากจะปิดร้านสักวันหนึ่งดีไหมอ้ายเย่วถือโอกาสพักผ่อนไปด้วยในตัว” สวีเฉินพูดคุยกับภรรยาอย่างจริงจังโดยที่เขาแนะนำให้หยุดร้านสักวันหนึ่งนั้นเนื่องจากเป็นห่วงกลัวว่านางจะทำไม่ไหวไหนจะทั้งขายของและดูแลลูกไปด้วยแม้ซิงอีจะรู้ความหน่อยก็เถอะแต่ด้วยความที่ยังเด็กก็ยังคงปล่อยให้คลาดสายตาไปไม่ได้
“ข้าทำไหวเจ้าค่ะท่านพี่ เรื่องแค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไรเลยอีกทั้งข้ายังขายของแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นเอง” ที่อ้ายเย่วพูดนั้นสามีอย่างสวีเฉินก็คิดว่ามันถูกต้องที่นางขายขนมเพียงไม่กี่ชั่วยามก็เก็บของกลับบ้านได้แต่ในไม่กี่ชั่วยามนั้นมันก็วุ่นวายอยู่พอสมควรชายหนุ่มจึงยังไม่วางใจ
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้อาเฉียนกับอาหงไปขายของเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่ให้ค่าจ้างพวกเขานิดหน่อยก็ได้ถ้าเจ้าไม่อยากให้น้องๆ ไปทำงานโดยไม่ได้อะไรตอบแทน อีกอย่างหนึ่งเป็นตัวเจ้าเองก็พูดอยู่ว่าในอนาคตต้องจ้างคนมาช่วยงานก็ฝึกน้องๆ ข้าไปก่อนก็ได้” เมื่อไม่ไว้ใจใครมากกว่าน้องชายและน้องสาวของตนเองสวีเฉินจึงช่วยภรรยาคิดหาทางออกที่น่าจะดีที่สุดในเวลานี้อย่างเร่งด่วน
“ในอนาคตข้าอยากจ้างอาหงมาเป็นลูกมือทำขนมอยู่แล้วเจ้าค่ะแต่สำหรับอาเฉียนข้ากลัวว่าเขาจะติดงานรับจ้างอีกทั้งข้าก็กลัวว่าตัวเองจะจ่ายค่าจ้างให้เท่ากับที่น้องชายเคยรับไม่ไหวจึงไม่อยากรบกวนเท่าไหร่เจ้าค่ะ” ถึงจะจ้างน้องๆ แต่นางก็ยังเกรงใจพ่อแม่สามีอยู่มากเนื่องจากรู้ตัวดีว่าไม่อาจจ้างในราคาที่สูงเท่ากับแรงงานช่างไม้ที่มีฝีมือให้กับน้องชายของสามีได้
“พวกเขามาทำงานแค่ไม่กี่ชั่วยามเจ้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างเต็มวันหรอกอ้ายเย่วเอาเป็นว่าข้าจะไปถามน้องๆ ให้ตอนนี้เลยถ้าพวกเขาจะมาก็ดีไปแต่ถ้าไม่มาเราก็ค่อยคิดหาทางอื่น”
“เจ้าค่ะท่านพี่” เมื่อสามีช่วยหาทางออกให้นางแล้วสวีอ้ายเย่วก็ยินดีที่จะยอมรับไม่ดื้อดึงปล่อยให้เขาเดินไปที่บ้านของบิดากับเจ้าก้อนแป้งส่วนตัวเองก็มาตระเตรียมวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่จะใช้ทำขนมในวันรุ่งขึ้นโดยนางจะเตรียมเอาไว้เช่นนี้ทุกวันเมื่อตื่นมาจะได้ไม่ยุ่งวุ่นวาย
ในแต่ละวันนั้นสวีอ้ายเย่วกับสวีเฉินจะตื่นมาแต่เช้าเพื่อจะช่วยกันทำขนมกว่าจะขายของเก็บกลับบ้านก็ประมาณกลางยามอู่ของทุกวันเมื่อกลับถึงบ้านก็จะจัดการหุงหาอาหารกลางวันรับประทานกันก่อนเป็นอันดับแรกจากนั้นก็ล้างถ้วยล้างชามรวมถึงล้างอุปกรณ์ทำขนมที่ใช้ไปเมื่อเช้าบางวันก็อาจจะนั่งให้อาหารย่อยกันสักพักก็ส่งสวีซิงอีนอนกลางวันสักหนึ่งตื่นโดยระหว่างนี้นางก็จะทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวันกับเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านและจะกลับมาทำงานอีกครั้งก็ยามเซินคือการจัดเตรียมข้าวของเอาไว้ขายและทำอาหารเย็น
ซึ่งที่ผ่านมาทุกๆ วันก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาแต่อย่างใดซึ่งนั้นอาจจะเป็นเพราะว่ามีสวีเฉินคอยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลานางจึงไม่ได้รับภาระหนักมากมายนักแต่ในวันมะรืนนี้เขาจะไม่อยู่จึงไม่แปลกใจที่สามีจะมีความเป็นกังวลจนต้องหาคนมาช่วยแบ่งเบางานของนางไม่ให้หนักจนเกินไปนัก
จะว่าไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างสวีอ้ายเย่วกับสามีก็ไม่เห็นจะมีเรื่องโรแมนติกกันเลยเท่าที่เห็นเขาดูแลนางเป็นอย่างดีเหมือนพี่ชายดูแลน้องสาวซึ่งนั่นมันก็เป็นผลดีไม่น้อยเพราะทำให้สวีอ้ายเย่วคนใหม่นั้นไม่ต้องรู้สึกกระดากอายมากยามที่ต้องใกล้ชิดกันฉันสามีภรรยาเพราะชีวิตก่อนแม้จะอยู่มาได้ถึงยี่สิบเจ็ดปีแต่เธอก็ไม่เคยจะมีคนรักเลยสักคน
ใช้เวลาไม่นานสวีเฉินก็จูงมือสวีซิงอีกลับมาบ้านมาพร้อมปิ่นโตใส่ชามน้ำแกงปลามาชามใหญ่ทำให้มื้อเย็นนี้สวีอ้ายเย่วทำกับข้าวเพิ่มแค่หนึ่งอย่างเป็นมะเขือเทศผัดไข่ที่กินได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กเล็ก
“น้องชายและน้องสาวของข้ายินดีจะมาช่วยงานเจ้านะอ้ายเย่วพวกเขาไม่ได้เรียกร้องค่าจ้างเพียงแต่อยากมาช่วยเหลือพี่สะใภ้ อาเฉียนบอกว่าบ้านเราไม่ได้มีเรื่องรบกวนอะไรกันบ่อยๆ แถมที่ผ่านมาพี่สะใภ้ก็เอาใจใส่เรื่องอาหารการกินของท่านพ่อท่านแม่ข้าเป็นอย่างดีเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จึงช่วยเหลือกันได้” สวีเฉินพูดออกมาหน้าตาเฉยในขณะที่คนฟังมีอาการขัดเขินหน้าแดงไปถึงหูด้วยความรู้สึกเขินอายโดยเพิ่งจะรู้ตัวเองเหมือนกันว่าหลังจากที่หายป่วยนางเอาใจใส่บ้านสามีเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก
แต่ไม่ใช่ว่าสวีอ้ายเย่วคนเก่าจะเพิกเฉยกับครอบครัวของสามีแต่เพราะว่านางเป็นคนมีนิสัยเฉยๆ ไม่ค่อยพูดค่อยพูดค่อยจาแม้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวของสามีแต่ก็ยังนับว่าเหินห่างอยู่พอสมควรผิดกับสวีอ้ายเย่วคนใหม่นี้ที่เป็นคนช่างพูดช่างจาชอบเข้าหาผู้ใหญ่เพราะเมื่อก่อนก็อยู่กับคุณยายและเพื่อนกลุ่มอาวุโสของท่านตลอดจึงไม่มีปัญหาเรื่องการวางตัวแถมนางยังค่อนข้างที่จะเข้าใจนิสัยผู้อาวุโสเป็นอย่างดีอีกด้วย
สองวันต่อมาสวีอ้ายเย่วยังคงตื่นนอนในเวลาเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือวันนี้สวีเฉินไม่ได้ตื่นมาช่วยนางทำขนมอย่างที่เคยโดยวันนี้เขาช่วยทำอาหารเช้าง่ายๆ จากนั้นก็หันมาเตรียมตรวจสอบความเรียบร้อยของอาวุธต่างๆ และข้าวของสำหรับการเข้าป่าล่าสัตว์
“เนื้อแห้งนี้เอาไปมากหน่อยสิเจ้าคะข้าหมักเกลือแล้วก็รมควันเอาไว้จนแห้งสนิทดีแล้วท่านพี่จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาหุงหาอาหารข้างในป่า” เมื่อเห็นสามีห่อแต่หมั่นโถวเปล่าไปเพียงไม่กี่ลูกนางก็หันไปหยิบเนื้อหมูรมควันที่ทำเตรียมไว้มาส่งให้
“ขอบใจมาก รู้สึกว่าน้องๆ ของข้าจะมาถึงพอดีได้ยินเสียงเรียกที่หน้าประตูข้าจะออกไปดูพวกเขาก่อน” สวีเฉินเป็นคนที่มีประสาทหูค่อนข้างไวแค่มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นจากที่ไกลๆ ชายหนุ่มก็ได้ยินแล้ว
เมื่อสวีเฉียนกับสวีไฉ่หงมาถึงทั้งคู่ก็ลงมือช่วยนางหยิบจับข้าวของต่างๆ ในทันทีโดยทั้งสองคนนั้นค่อนข้างทำงานในครัวได้คล่องแคล่วเพราะแม่ของสามีฝึกฝนลูกๆ ทุกคนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
“ฝากพี่สะใภ้ของพวกเจ้าด้วยนะอาเฉียน อาหงแล้ววันนี้ข้าจะล่าเนื้อกลับมาให้เยอะๆ เจ้าเองก็อย่าทำงานหนักมากถ้าเหนื่อยก็บอกให้น้องๆ ช่วย” ก่อนออกจากบ้านสวีเฉินยังไม่วายเตือนภรรยาด้วยความเป็นห่วงและเดินไปหอมแก้มเจ้าก้อนแป้งที่ยังคงนอนหลับอยู่ภายในห้องนอน
“พี่สะใภ้เก่งมากเลยนะเจ้าคะนี่ท่านทำขนมเหล่านี้ตัวคนเดียวทุกวันได้อย่างไรกัน แล้วสีขนมเหตุใดจึงได้งดงามถึงเพียงนี้ล่ะเจ้าคะ” สวีไฉ่หงตื่นตะลึงเมื่อเห็นพี่สะใภ้ทำขนมต่างๆ อย่างคล่องแคล่วก่อนที่นางกับพี่สามจะมาถึงนางก็กวนขนมเปียกปูนเสร็จไปแล้วตั้งสองกระทะส่วนในตอนนี้นางกำลังเชื่อมมันเทศต่อจากเมื่อคืนและนึ่งขนมหลากสีที่เรียกว่าขนมชั้น
“สีพวกนี้เป็นสีจากธรรมชาติน่ะน้ำเงินและสีม่วงจากดอกอัญชัน สีเขียวจากใบเตยที่ขึ้นอยู่ริมแม่น้ำอันที่จริงในป่าหลังบ้านมีต้นไม้ขึ้นอยู่เยอะแยะหากรู้จักใช้มันก็จะเกิดประโยชน์ไม่น้อยเลยนะ ขนมเปียกปูนน่าจะแข็งตัวดีแล้วพวกเจ้าเอามีดตัดเป็นชิ้นๆ ให้ข้าหน่อยที่พิมพ์มีรอยบากเป็นระยะเอาไว้อยู่พวกเจ้าดูดีๆ เวลาตัดหนึ่งครั้งก็เช็ดมีดหนึ่งทีรอยตัดจะได้คม” งานทำขนมนั้นถ้าสวีอ้ายเย่วทำคนเดียวจะเร็วกว่าแต่สิ่งที่นางต้องการคือแรงงานที่จะหยิบจับสิ่งต่างๆ เท่านั้นเองแต่เอาไว้มีโอกาสได้นั่งสอนสวีไฉ่หงดีๆ แล้วค่อยให้นางหัดทำก็ยังไม่สาย
เมื่อจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยสวีอ้ายเย่วก็ไปปลุกลูกชายมาล้างหน้าแปรงฟันจากนั้นก็ช่วยเขาแต่งตัวพามากินข้าวเช้าที่สามีทำเตรียมเอาไว้ให้เป็นข้าวสวยกินกับไข่ต้มเค็มหวานที่มีหน้าตาคล้ายไข่พะโล้เนื่องจากช่วงนี้แม่ไก่ขยันออกไข่กันนักแต่ไม่ได้ทำสังขยาเพราะยังหาฟักทองลูกเหมาะๆ มิได้จึงต้องเก็บไข่มาทำอาหารกินกันในครอบครัวแทน
บรรยากาศการขายขนมหน้าร้านเครื่องเรือนตระกูลอี้ทำให้เด็กน้อยอย่างสวีไฉ่หงตื่นตาตื่นใจนักโดยนางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนมายืนต่อแถวรอตั้งแต่พี่สะใภ้นางยังมาไม่ถึงที่ร้านและเท่าที่สังเกตดูลูกค้าทั้งหลายก็น่าจะเป็นลูกค้าประจำเพราะต่างก็ทักทายพูดจากันอย่างคุ้นเคยทั้งแม่ค้าและลูกค้า
“อ้ายเย่ววันนี้ขนมของเจ้างดงามยิ่งนักบอกตรงๆ ว่าเห็นแล้วข้าแทบจะไม่กล้ากิน” ท่านป้าฟ่านซูลี่ผู้เป็นลูกค้าประจำเอ่ยชมขนมชั้นที่มีสีสันสวยหวานแถมแต่ละชั้นที่สลับสีกันนั้นยังเท่ากันพอดีไม่มีชั้นที่หนาหรือว่าบางแตกต่างกันมากจนเกินไป
“ขนมชั้นของข้าใช้สีจากธรรมชาตินะเจ้าคะสีเขียวมาจากใบเตยหอมส่วนสีฟ้านั้นได้มาจากดอกอัญชันแต่ถ้าหยดน้ำมะนาวเข้าไปสักนิดก็จะได้ออกมาเป็นสีม่วงเจ้าค่ะ” นอกจากละเล่าที่มาที่ไปของสีสันสดสวยของขนมให้ลูกค้าฟังแล้วสวีอ้ายเย่วยังมีดอกไม้และดอกไม้ของจริงมาให้ดูอีกด้วย
“เจ้านี่ก็ช่างคิดนักวันนี้ขนมอย่างอื่นข้าขอรับจำนวนเท่าเดิมแต่ขนมชั้นข้าอยากได้สักสิบกระทงจะเอาไปเป็นของฝากให้บ้านว่าที่ลูกสะใภ้เสียหน่อย” หญิงวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเนื่องจากที่บ้านของนางใกล้จะมีงานมงคลกับเขาเสียทีหลังจากที่ทนรอมานาน
“ถ้าเช่นนั้นท่านป้ารอสักครู่นะเจ้าคะข้าจะรีบจัดเตรียมให้ อาเฉียน อาหงเจ้าช่วยขายของให้พี่สะใภ้สักครู่นะข้าจะเตรียมขนมให้ท่านป้าก่อน” ได้ยินว่าจะเอาขนมไปเป็นของฝากสวีอ้ายเย่วก็ไม่รอช้าเลือกดอกอัญชันที่เอาติดมือตกแต่งกระทงขนมชั้นสีฟ้าและม่วงสองสามดอกส่วนขนมชั้นใบเตยนางจัดการม้วนใบเตยใบยาวให้เป็นดอกกุหลาบเล็กๆ ด้วยความชำนาญ
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะท่านป้าข้าหวังว่าผู้รับจะถูกใจขนมนะเจ้าคะ” ปิ่นโตแต่ละชั้นที่นางส่งคืนกลับไปให้ผู้ติดตามของท่านป้าฟ่านซูลี่ล้วนตกแต่งด้วยดอกไม้เล็กน้อยพองามไม่มากไปจนรกหูรกตาทำให้ขนมเหล่านี้ดูมีมูลค่าเพิ่มมากกว่าราคาจริงของพวกมันมากนัก
“งดงามนักอ้ายเย่วขอบใจเจ้าเหลือเกินขนมนี้เป็นหน้าเป็นตาให้ข้าแล้ว เด็กๆ ให้รางวัลนางเป็นพิเศษด้วย อย่าปฏิเสธเจ้าเต็มใจทำให้ข้าย่อมเต็มใจตอบแทน” เหมือนนางจะรู้ว่าสวีอ้ายเย่วกำลังจะอ้าปากปฏิเสธจึงได้พูดดักคอออกมาก่อน
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าคะหากวันหน้าท่านอยากซื้อขนมไปเป็นของฝากของขวัญเพียงแค่บอกล่วงหน้าสักนิดอ้ายเย่วยินดีทำให้สุดความสามารถเลยเจ้าค่ะ”