บทจะตายก็ตายง่ายๆ บทจะเกิดใหม่ก็วาร์ปมาเกิดกันเสียเฉยๆ แต่ไหนๆ ก็ได้โอกาสมาเกิดใหม่ทั้งทีครั้งนี้ต้องเป็นคนรวยให้ได้เลยเจ้าค่ะ
จีน,ย้อนยุค,ครอบครัว,รัก,พล็อตหาเรื่องครั้งที่1,พล๊อตหาเรื่อง,เกิดใหม่ ,นิยายรักจีนโบราณ,พี่เฉินผัวแห่งชาติ,อ้ายเย่วผู้ร่ำรวย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ในวันหนึ่งที่ขนมขายหมดในเวลาไม่ถึงชั่วยามด้วยเหตุเพราะมีเถ้าแก่ร้านผ้าผู้หนึ่งมาเหมาขนมทั้งหมดเพื่อไปใช้เลี้ยงแขกในพิธีปักปิ่นของหลานสาวทำให้สามคนพ่อแม่ลูกบ้านรองสวีมีโอกาสจะได้กลับบ้านเร็วแต่เมื่อกลับมาทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วสวีอ้ายเย่วกลับคิดว่าตัวเองว่างมากเกินไปจึงหันไปปรึกษากับสามีเรื่องการเสาะหาหาวัตถุดิบใหม่ๆ มาทำขนม
“ถ้าพี่สะใภ้อยากเข้าป่าข้าก็จะไปช่วยด้วยเจ้าค่ะพาซิงอีไปฝากท่านแม่เอาไว้ก่อนก็ได้ไปกันหลายคนย่อมขนของกลับมาได้มากนะเจ้าคะ” สวีไฉ่หงที่ตอนนี้มารับจ้างทำขนมและเรียนวิธีการทำขนมต่างๆ กับพี่สะใภ้อย่างเต็มตัวเอ่ยปากเสนอความเห็น
“ไปด้วยกันก็ได้แต่เจ้าอย่าออกห่างจากพี่รองและพี่สะใภ้ไปไกลนักนะ เอาล่ะข้าต้องเตรียมข้าวของของซิงอีก่อนตื่นมาเด็กคนนี้ชอบดื่มน้ำใบเตยนักต้องเอาติดไปด้วยทุกที่”
“เจ้าไปเตรียมของให้ลูกเดี๋ยวข้าจะไปส่งเขาที่บ้านท่านแม่เองระหว่างนั้นพวกเจ้าก็เตรียมตัวรอกัน” สวีเฉินเป็นคนอาสาไปส่งบุตรชายที่เพิ่งจะนอนกลางวันไปได้ไม่นานส่วนทางนี้ก็ให้น้องสาวและภรรยาจัดเตรียมข้าวของรอเอาไว้ให้พร้อม
ในยามที่จะเข้าป่าสิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดเลยก็คือตะกร้าสะพายหลังสำหรับใส่ ของกระบอกน้ำหรืออาหารในยามที่ต้องเดินทางทั้งวันนอกจากนั้นก็เป็นอาวุธหากต้องการจะล่าสัตว์ มีดที่จับถนัดมือ เชือกและยาห้ามเลือดเอาไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นสวีเฉินเคยบอกกับภรรยาอยู่ตลอดและนางก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าต้องเตรียมอะไรไปบ้าง
แต่เมื่อตอนกลับมาจากบ้านเก่ายังมีบิดาสวีไฉและน้องชายสวีเฉียนเดินตามมาด้วยคณะเดินทางเข้าป่าจึงมีกันหลายชีวิตซึ่งนั่นก็หมายความว่าพวกเขาน่าจะได้ของป่ากลับมาจำนวนมาก
“อาเฉินบอกว่าลูกสะใภ้จะไปหาของป่ามาทำขนมข้าจึงอยากตามไปช่วยเจ้าด้วยแล้วก็ตั้งใจว่าจะไปเห็ดหาไก่ป่ากลับมาให้แม่ของเจ้าด้วยเหมือนกัน” พ่อไฉกล่าวกับลูกสะใภ้ที่ขยันทำมาหากินแต่ที่มากไปกว่านั้นนางยังใจกว้างช่วยสอนให้บุตรสาวคนเล็กของเขาให้รู้จักค้าขายและมีความรู้ความสามารถในการทำขนมแปลกตาแต่ทว่ารสชาติดีของนางด้วย
“ขอบคุณท่านพ่อและน้องๆ เจ้าค่ะ”
“ถ้าพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเถอะข้าไม่อยากกลับมาค่ำเกินไปนักเป็นห่วงท่านแม่กับซิงอี” เป็นสวีเฉินที่เดินนำออกไปก่อนตามมาด้วยสวีอ้ายเย่วและน้องๆ ปิดท้ายด้วยสวีไฉที่จะช่วยระวังด้านหลังให้เพราะแม้ป่าแถบนี้จะค่อนข้างปลอดภัยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีสัตว์ร้ายหลงมา
เดินเข้าป่ายังไม่ทันจะได้เหงื่อความโชคดีก็มาเยือนเมื่อสวีไฉและสวีเฉินสองคนพ่อลูกยิงไก่ป่าตัวอวบอ้วนได้ตนละตัวแถมใกล้ๆ กันนั้นยังมีเห็นหูหนูดำขึ้นอยู่ค่อนข้างเยอะทั้งสวีอ้ายเย่วและสวีไฉ่หงจึงช่วยกันเก็บกลับมาปรุงอาหาร
“ท่านพี่ข้าคิดว่าเจอต้นเผือกช่วยขุดให้หน่อยได้ไหมเจ้าคะแต่ท่านต้องระวังด้วยเพราะเผือกมียางที่โดนแล้วจะทำให้คัน” เดินมาอีกไม่ไกลจากจุดที่เจอกับไก่ป่าสวีอ้ายเย่วก็พบกับพืชที่มีใบหน้าตาคุ้นเคยเนื่องด้วยชีวิตก่อนสมัยก่อนคุณยายเรไรยังอยู่นั้นท่านเคยปลูกเผือกเป็นสวนเพื่อเอาไว้ทำขนมขาย
“ข้าจะไปช่วยขุดหัวเผือกตรงนั้นกลับไปปลูกที่บ้านด้วยดีกว่าต่อไปเราจะได้ไม่ต้องมาเก็บที่ในป่าให้ยุ่งยากอีก” ตั้งแต่เริ่มทำขนมขายสวีอ้ายเย่วก็เริ่มสะสมพืชต่างๆ ที่กินได้ไว้ที่สวนหลังบ้านโดยนางตั้งใจจะเก็บเงินเพื่อซื้อที่ดินข้างๆ เพื่อปลูกบ้านใหม่ส่วนที่ดินและบ้านดินนี้ก็จะเอาไว้ปลูกผักและเป็นที่สำหรับเก็บข้าวของซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ กันเลยทีเดียวกว่าจะสะสมเงินได้เป็นก้อนใหญ่พอที่จะสร้างบ้านได้สักหนึ่งหลัง
“เหนื่อยหรือไม่ หน้าเจ้าดูซีดมากเลยนะอ้ายเย่ว” ระหว่างที่นางกำลังเก็บเผือกหัวอวบๆ ใส่ตะกร้าสะพายหลังสวีเฉินที่เป็นคนช่างสังเกตก็เห็นว่าภรรยามีสีหน้าค่อนข้างซีดเซียวจึงเดินมาดูนางด้วยความเป็นห่วง
“ในป่าตรงนี้อาจจะร้อนไปหน่อยแต่ข้ายังสบายดีท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ” อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ออกแรงหนักๆ มานานรวมถึงอากาศบริเวณนี้ก็ค่อนข้างอบอ้าวจึงทำให้สีหน้าของนางไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
“ยังได้ก็ดื่มน้ำสักนิดก่อนข้าจะช่วยเช็ดหน้าเช็ดตาให้” สวีเฉินส่งกระบอกน้ำให้ภรรยาจากนั้นก็นำผ้าเช็ดหน้ามาเทน้ำจากกระบอกอีกใบลงไปบนผ้าเล็กน้อยให้มันพอชื้นๆ เพื่อใช้เช็ดใบหน้าที่ซีดเซียวนั้นเผื่อว่านางจะรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
“ที่ตรงนี้อบอ้าวจริงๆ ใบไม้ไม่กระดิกเลยสักใบพวกเรารีบเดินออกไปก่อนดีกว่า” เป็นพ่อไฉที่เอ่ยชวนทั้งลูกตัวเองและลูกสะใภ้ให้เดินออกไปจากบริเวณที่อบอ้าวจนเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ก็พบกับลำธารเล็กๆ สีหน้าของสวีอ้ายเย่วจึงดูมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย
ในป่าแห่งนี้คล้ายว่าพืชพรรณจะขึ้นผสมปนเปกันไปหมดเพราะนอกจากเผือกที่เพิ่งจะเจอไปแล้วเดินเลียบลำธารเล็กๆ มาสักพักก็เจอกับกล้วยซึ่งไม่ใช่กล้วยป่าเหมือนกับดงกล้วยใกล้บ้านแต่ที่ตรงนี้เป็นกล้วยน้ำว้าที่ไม่มีเมล็ดอีกทั้งยังใช้ทำทั้งอาหารและขนมได้หลากหลาย
“กล้วยชนิดนี้เป็นของดีเลยเจ้าค่ะเพราะว่ามันเป็นกล้วยที่ไม่มีเมล็ดสามารถนำไปทำได้ทั้งอาหารและขนมท่านพี่ช่วย
โค่นต้นกล้วยให้ข้าก่อนสักสามต้นนะเจ้าคะจากนั้นค่อยไปหาขุดหน่อกล้วยเล็กๆ เพื่อเอาไปปลูกที่บ้านกัน”
“พี่สะใภ้จะเอาต้นกล้วยไปทำอะไรหรือเจ้าคะ” ผลกล้วยนั้นสวีไฉ่หงเข้าใจว่ามันกินได้แต่ต้นกล้วยต้นใหญ่ๆ แบบนั้นมันจะเอาไปทำอะไรได้
“พี่สะใภ้จะเอาไปแกงใส่ปลาย่างให้กินกันต้นกล้วยเราไม่ได้กินมันทั้งต้นใหญ่ๆ แต่ที่กินได้มันคือแกนด้านในที่เรียกว่าหยวกกล้วยเอาไว้กลับบ้านข้าจะทำให้เจ้าได้ลองกิน” ใช่จะมีแต่น้องสาวคนเล็กที่ไม่เชื่อแม้แต่พ่อสามียังทำหน้าฉงนในยามที่ลูกสะใภ้บอกว่าจะเอาต้นกล้วยไปแกงกิน
นอกจากหน่อกล้วยและหยวกกล้วยที่ได้กลับบ้านแล้วยังมีกล้วยสวยๆ อีกหลายเครือที่ต้องตัดเอาไว้ก่อนแล้วค่อยกลับมาขนตอนที่จะออกจากป่ากันโดยหลังจากนั้นบ้านสวีก็พากันเก็บเห็ดได้อีกจำนวนหนึ่งส่วนของอื่นๆ ที่ได้เพิ่มมาก็มีไก่ป่าอีกหลายตัว
ทุกคนตัดสินใจแล้วว่าวันนี้จะกลับไปบ้านสวีก่อนเนื่องจากสวีเฉินและสวีอ้ายเย่วยังต้องไปรับลูกชายจึงจะอยู่ร่วมรับประทานอาหารเย็นกันที่นั่นเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก่อไฟทำอาหารที่บ้านอีกซึ่งทางด้านแม่สามีที่รออยู่บ้านก็คิดตรงกันในวันนี้จึงหุงข้าวเพิ่มมากกว่าในยามปกติอีกทั้งเริ่มทำอาหารสำหรับมื้อเย็นไปแล้วเมื่อตอนที่สามีและลูกๆ กลับมาถึง
“ให้ข้าช่วยนะเจ้าคะท่านแม่วันนี้มีของอร่อยกลับมามากมายเชียวเจ้าค่ะ อาหงมาดูทางนี้พี่สะใภ้จะแกงหยวกกล้วยให้เจ้าดู” แม้แม่สามีจะแปลกใจที่ลูกสะใภ้กินต้นกล้วยแต่นางก็ปล่อยให้สวีอ้ายเย่วใช้ครัวและเครื่องปรุงต่างๆ อย่างไม่หวงแล้วก็ต้องยอมรับว่าแกงหยวกกล้วยใส่ปลาย่างของลูกสะใภ้นั้นหน้าตาน่ากินเป็นอย่างมาก
มื้อเย็นของบ้านสวีมีทั้งแกงหยวกกล้วยใส่ปลาย่าง น้ำแกงไก่ ผัดเห็ดใส่ไข่ ผัดผักป่า ซึ่งแน่นอนว่าแกงหยวกกล้วยที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่นั้นต้องได้รับความนิยมเพราะถูกตักหมดชามไปก่อนเป็นอันดับแรก
“ถ้าท่านแม่กับท่านพ่ออยากกินอีกก็บอกข้านะเจ้าคะหลังบ้านมีดงกล้วยป่าเอามาแกงได้เหมือนกันหรือถ้ามีหัวปลีก็ใช้ได้เช่นกันเจ้าค่ะวิธีการทำไม่ต่างกันเลยแต่ต้องลอกกาบดอกออกให้เหลือแต่ส่วนอ่อนๆ ที่สีออกขาวแล้วค่อยนำมาแกง อันที่จริงยังเอาไปทำอาหารอย่างอื่นได้อีกเยอะเอาไว้ข้าค่อยๆ สอนอาหงมานะเจ้าคะ”
“ส่งไฉ่หงไปทำงานกับเจ้านั้นมีแต่เรื่องดีนี่ขนาดนางยังไม่ปักปิ่นก็เริ่มมีแม่สื่อมาทาบทามหลังจากที่ออกไปทำงานได้ไม่นานอย่างไรแล้วข้าก็คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยสั่งสอนเรื่องเข้าครัวกับนางสักหน่อยนะให้มีวิชาติดตัวไปทางบ้านสามีจะได้ไม่รังเกียจ” ในสมัยที่หญิงชาวบ้านไม่ได้รับการสนับสนุนให้เรียนหนังสือการเรียนวิชางานบ้านงานเรือนหรืองานครัวจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มคุณค่าให้พวกนางได้ในสายตาของบ้านสามีเพราะลูกสะใภ้ที่แต่งเข้าบ้านไปล้วนต้องมีหน้าที่บริหารจัดการสิ่งต่างๆ ในบ้านในเรือนของสามีทั้งสิ้น
“ถ้าจะสอนอาหงให้ดีเจ้าค่ะทุกอย่างที่ข้ารู้จะถ่ายทอดให้นางทั้งหมดถึงบางสิ่งจะดูแปลกประหลาดในสายตาของพวกท่านแต่ขอให้เชื่อเถิดว่าข้าไม่มีทางทำให้เกิดอันตรายใดๆ อย่างแน่นอน หากพูดไปพวกท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดนักหากแต่เมื่อตอนที่ข้านอนป่วยอยู่บนเตียงเมื่อตอนที่ตกน้ำข้าฝันว่าตัวเองไปยืนอยู่ในห้องตำราใหญ่โตจากนั้นข้าก็นั่งอ่านตำราที่มีอยู่ในนั้นทีละเล่มแต่ก็ยังอ่านได้ไม่หมดข้าก็ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
สวีอ้ายเย่วรู้ดีว่าพฤติกรรมของนางและสิ่งที่ทำบางอย่างนั้นมันช่างแปลกประหลาดและน่าสงสัยแต่ในเมื่อไม่สามารถเล่าเรื่องจริงให้ใครฟังได้นางจึงจำเป็นต้องพูดปดเพื่อให้คนรอบตัวได้สบายใจและไม่เกิดความระแวงสงสัยในตัวนางอีก
“อ้ายเย่วไม่มีใครสงสัยอะไรเจ้าหรอกลูกสะใภ้ข้ารอดมาได้ก็นับว่ามีบุญยิ่งนักจากนี้ถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรให้คิดถึงบ้านสวี เอ้ากินต่อเถอะกินข้าวให้เยอะๆ ร่างกายจะได้แข็งแรงมีน้องให้ซิงอีเร็วๆ” สิ่งที่แม่สามีพูดเป็นคำสุดท้ายทำเอาข้าวแทบจะติดคอของสวีอ้ายเย่วแต่ดีที่นางยังมือไวคว้าน้ำชามาจิบได้ทัน
และนับว่าเป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่วันนี้สวีฉางพี่ชายคนโตของบ้านสวีไม่ได้อยู่ที่บ้านเนื่องจากเขาเข้าตำบลไปหาสหายที่เคยศึกษาในสำนักศึกษามาด้วยกันเมื่อนานมาแล้วซึ่งลูกชายบ้านสวีทุกคนได้เคยเข้าเรียนมีความรู้อ่านออกเขียนได้อยู่ในระดับดีแต่ไม่มีใครสนใจหนทางเป็นบัณฑิตเพราะต่างก็ชื่นชอบอาชีพช่างไม้ที่สืบทอดกันมายาวนานและการทำไร่ทำนามากกว่า
ถ้าหากเขาอยู่คงไม่แคล้วต้องมานั่งหน้าตึงพูดจากระทบกระเทียบสวีเฉินเรื่องของสวีอ้ายเย่วที่ไม่ว่ามันจะผ่านมานานมากแค่ไหนคนเป็นพี่ชายก็ยังคงผูกใจเจ็บและคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมอยู่เสมอโดยไม่เคยหันไปมองตัวเองเลยว่าเพราะเหตุใดแม่สื่อทั้งหลายจึงไม่ยินดีที่จะรับหน้าที่ทาบทามสตรีบ้านใดให้ตนเองเลย