หลันหนิงอันเป็นอาสากู้ภัยตายด้วยโรคระบาด ก่อนตายได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง เนื้อหาน้ำเน่ายิ่ง ตรรกะตัวละครสุดแสนจะรับไม่ได้ ตัวเขาสาปแช่งพระเอกโง่เง่ากับนางเอกเจ้าน้ำตาแทบทุกเวลาหลังมื้ออาหาร แล้วเป็นไงล่ะทีนี้ ตอนนี้ดันกลายเป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องนั้นไปเสียแล้ว ไม่วายโดนจิ้งจอกเจ้าสำราญผู้นั้นทำตัวเกาะแกะวุ่นวาย จากกู้ภัยธรรมดากลายร่างเป็นหมอเถื่อนประจำจวนเสนาบดีกรมอาญาไปในบัดดล

[มี E-Book] ท่านหมอ คุณชายป่วยอีกแล้วขอรับ - บทนำ ตัวประกอบตกอับ โดย APS_0119 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ย้อนยุค,จีน,สวมร่าง,ทะลุมิติ,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

[มี E-Book] ท่านหมอ คุณชายป่วยอีกแล้วขอรับ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ย้อนยุค,จีน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สวมร่าง,ทะลุมิติ,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

หลันหนิงอันเป็นอาสากู้ภัยตายด้วยโรคระบาด ก่อนตายได้อ่านนิยายเรื่องหนึ่ง เนื้อหาน้ำเน่ายิ่ง ตรรกะตัวละครสุดแสนจะรับไม่ได้ ตัวเขาสาปแช่งพระเอกโง่เง่ากับนางเอกเจ้าน้ำตาแทบทุกเวลาหลังมื้ออาหาร แล้วเป็นไงล่ะทีนี้ ตอนนี้ดันกลายเป็นตัวประกอบในนิยายเรื่องนั้นไปเสียแล้ว ไม่วายโดนจิ้งจอกเจ้าสำราญผู้นั้นทำตัวเกาะแกะวุ่นวาย จากกู้ภัยธรรมดากลายร่างเป็นหมอเถื่อนประจำจวนเสนาบดีกรมอาญาไปในบัดดล

ผู้แต่ง

APS_0119

เรื่องย่อ

สารบัญ

[มี E-Book] ท่านหมอ คุณชายป่วยอีกแล้วขอรับ-บทนำ ตัวประกอบตกอับ,[มี E-Book] ท่านหมอ คุณชายป่วยอีกแล้วขอรับ-บทที่ 1 ข้อเสนอแด่นักโทษ

เนื้อหา

บทนำ ตัวประกอบตกอับ

ความเงียบเกาะกินไปทั่วทุกหนทุกแห่งของท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าสวามิภักดิ์ต่อราชันผู้ปกครองใต้หล้า โหรหลวงแก่ชราถือกระดานด้วยมือสั่นเทา ยามดวงพระเนตรคมดุจกระบี่ตวัดมองมา ร่างแก่ชราสะดุ้งโหยงอารามตกใจสั่นกลัวหัวใจแทบหยุดนิ่ง

“เจ้าจะกล่าวได้หรือยัง หรือต้องให้ข้าสั่งทหารเฆี่ยนตีเจ้าก่อน”

สุรเสียงทรงอำนาจเปล่งออกมาจากที่สูง ไฉนเลยผู้น้อยจะหลีกเลี่ยงได้

โหรหลวงชรากลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก กาลก่อนทูลพระองค์ว่าโอรสมีบุญญาธิการสูงส่งก็โดนฮ่องเต้ทรราชผู้นี้ฆ่าทิ้งโดยทันทีไม่สนว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนหรือไม่ แต่จะให้เขากล่าวเท็จต่อหน้าโอรสมังกร เขาก็มิกล้า คำสั่งเดียวเล็ดลอดหลุดจากปากนั่นหมายถึงเงื้อดาบที่ฟาดฟันบั่นคอคน

ชั่งใจแล้วมิเห็นทางไหนดีสักทาง โหรหลวงสูดหายใจเข้าพลางตั้งสติ “ทูลฝ่าบาท องค์ชายสามจะกล่าวว่ามีบุญญาธิการก็นับว่าไม่เกินจริง เพียงแต่...หากพระองค์ทรงประหารองค์ชาย องค์ชายจักนำกาลกิณีทั่วทุกหนแห่งมาสู่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าแน่ใจหรือว่าที่กล่าวมานั้นถูกต้อง”

“กระหม่อมทูลตามความจริงทุกประการพ่ะย่ะค่ะ” โหรหลวงยอมรับหนักแน่นแม้รู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่กล่าวออกไปนั้นเป็นความจริงหรือความเท็จ ถึงอย่างไรตัวอักษรบนกระดานก็มีเพียงเขาที่ตีความออก

ดวงพระเนตรคมกล้ายังคงมองตรงมายังร่างแก่ชราไม่ลดละ เพียงปรายตามององครักษ์ประจำกายคนอื่น ๆ ก็เข้าใจความหมายแล้ว คำว่าทรราชย่อมใช้กล่าวกับจักรพรรดิเช่นนี้เสมอ...

ถือตนเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นหัวประชาชนคนข้างหลัง

หากพระองค์ไม่พอใจสิ่งใดก็แค่กำจัดทิ้งไม่ให้รำคาญสายตาอีก โอรสธิดาหลายสิบคนที่ถูกทายทักว่ามีบุญญาธิการสูงส่งมักถูกทรราชผู้นี้เข่นฆ่าเพื่อตัดปัญหาการแย่งชิงบัลลังก์ตั้งแต่ยังเล็ก โอรสที่มีชีวิตอยู่ล้วนต้องทำตามคำสั่งมิอาจปฏิเสธ ผ้าสีขาวถูกย้อมด้วยสีดำจนมืดสนิท เชื้อพระวงศ์ที่มีอยู่จึงมีนิสัยน่าเอือมระอาไร้ทางแก้ไข

องครักษ์ประจำพระองค์เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวโหรหลวงแล้ว ชายชรารู้ดีแก่ใจว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง คำที่เขากล่าวมิบิดพลิ้ว หากแต่ขัดใจฮ่องเต้ทรราชจนมีโทสะ แค่เด็กคนเดียวอยากจะสังหารก็ทำมิได้ แล้วใครเล่าจะเป็นที่ระบายได้ดีกว่าโหรหลวงชราผู้ถวายข้อมูลตรงนี้เล่า

โหรหลวงหลับตายอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างง่ายดาย ถึงอย่างไรชีวิตตนก็เหลืออีกไม่มากหากสามารถนำไปต่อดวงชะตาให้เด็กผู้หนึ่งที่เปรียบเสมือนผ้าขาวสะอาดได้อีกหลายสิบปีนับว่านั่นเป็นเรื่องน่ายินดีแล้ว

เป็นเช่นนี้ดีแล้ว

ขอเพียงโอรสองค์นี้เติบใหญ่หลุดจากเงาของทรราชผู้นี้ก็นับว่าชีวิตโหรหลวงชราผู้นี้ไม่เสียเปล่าแล้ว

นั่นเป็นเพียงบทนำแรกของหนังสือนิยายสยบรักองค์ราชัน ซึ่งกล่าวถึงชีวิตอันแสนรันทดขององค์ชายสามเยว่เทียนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งโต ทุกการเจริญเติบโตของพระองค์ล้วนมีอุปสรรค ของกินมักขาดแคลน ที่หลับนอนล้วนไม่ได้รับการดูแล ด้วยสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตร่างกายขององค์ชายสามจึงแคระแกร็นกว่าเด็กในวัยเดียวกันนัก ทว่าเพราะรัศมีของความเป็นพระเอกอาการแคระแกร็นนั้นจึงมีระยะเวลาไม่นาน

พอองค์ชายสามอายุย่างเข้าสิบห้าชันษาก็เจอเข้ากับนางกำนัลผู้หนึ่งเข้า นางเป็นคนของตงหลิวหยางซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมอาญาคอยดูแลเอาใจใส่องค์ชายสามทั้งหาเครื่องแต่งกายให้เหมาะสม ทั้งดูแลเรื่องอาหารการกิน การปัดกวาดเช็ดถูที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การหาช่องทางให้คนของตงหลิวหยางได้เข้ามาสั่งสอนให้ความรู้แก่องค์ชายสามเยว่เทียนด้วย

พอทั้งคู่ได้ใช้เวลาด้วยกันบ่อยครั้งจากคำว่าหน้าที่ก็ค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นความรัก ทั้งนี้ความรักระหว่างบุคคลสองชนชั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบาก หนึ่งองค์ชาย หนึ่งนางกำนัลมีหรือจะครองรักกันได้โดยไม่มีอุปสรรคขวากหนาม หากไม่ต่อสู้ในวังวนของวังหลวงหญิงคนรักคงเป็นได้เพียงนางอุ่นเตียงเท่านั้น ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เยว่เทียนต้องการ

เขาต้องการจับมือกับหญิงคนรักเพียงคนเดียวตราบชีวิตจะดับสูญ

และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการทำสงครามภายในวังหลวงระหว่างองค์ชายสามเยว่เทียนและบรรดาองค์ชาย องค์หญิงคนอื่น ๆ รวมไปถึงการต่อสู้กับทรราชที่ขึ้นชื่อว่าบิดาของตนเองจนกระทั่งสามารถโค่นล้มทรราชคนนั้นลงได้ และได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ถัดมาครองรักกับคนรักอย่างหวานชื่นแล้วเรื่องราวก็จบลงอย่างแฮปปี้

ส่วนเขาที่กำลังบรรยายฉากชีวิตขององค์ชายสามเยว่เทียนนั้นเป็นใครนะหรือ? ...คงต้องตอบว่าเป็นนักอ่านคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาแล้วมีโอกาสได้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้งในโลกนิยายแห่งนี้ในนามของตัวประกอบฉากผู้ชั่วร้าย

หลันลู่เสียน หรือนามเดิมในโลกที่แล้วคือหลันหนิงอัน เป็นเพียงอาสากู้ภัยธรรมดา ๆ ที่ตายลงด้วยโรคโควิด 19 และก่อนตายเขาก็ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ตามสเต็ปการดำเนินเรื่องของนิยายเกิดใหม่ทั้งหมด ลืมตาขึ้นมาอีกทีวิญญาณก็เข้ามาอยู่ในร่างของตัวประกอบสักคนในเมืองหลวงที่กว้างใหญ่นี้แล้ว

แถมตัวประกอบคนนี้ดันดวงซวยชื่อเดียวกับคนร้ายขายยาพิษให้คนร้ายในวังหลวงเสียด้วย จะหนีออกจากเมืองก็ต้องผ่านเหล่าทหารหน้าประตูเมืองเสียก่อน แต่ก็อยู่ในเมืองได้ยากลำบากเพราะมีใบประกาศจับชื่อของเขาเต็มไปหมด

นับว่ายังพอมีโชคอยู่บ้างที่หลันลู่เสียนผู้นี้ชอบใช้ชีวิตปลีกวิเวกไม่สุงสิงกับผู้คน ยามออกไปข้างนอกล้วนปิดบังหน้าตาด้วยหมวกสานใบใหญ่ห้อยด้วยผ้าผืนบางเฉกเช่นสตรีจึงมิมีใครรู้ถึงใบหน้าของหลันลู่เสียนได้โดยง่าย นอกเสียจากอาจารย์ที่ตายไปแล้วก็ไม่มีใครรู้จักใบหน้าของหลันลู่เสียนอีก

“นับว่าสวรรค์ช่างมีเมตตา เหอ ๆ” การพูดเฉกเช่นบทละครในนิยายช่างไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลยจริง ๆ พูดไปแล้วก็กระดากปาก แต่จะให้พูดสำเนียงปัจจุบันเหมือนยุคสมัยที่เขาจากมาก็ไม่เข้าท่าเสียเท่าไร มีแต่ต้องฝืนพูดเช่นนี้ต่อไป พูดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ชินปากไปเอง

“ท่านหมอกล่าวอะไรหรือ ข้าฟังไม่ถนัดนัก”

“ข้ากล่าวว่าสวรรค์ช่างเมตตาท่านจริง ๆ แม้แผลนี้จะดูสาหัสแต่กลับตื้นเขินไม่ทำให้ถึงตาย” เขากล่าวกับคนไข้รายหนึ่งของโรงหมอจินเยว่ มือก็วกอยู่กับการทำความสะอาดบาดแผล ผ้าขาวสะอาดบรรจงเช็ดลงบนอกกว้างของบุรุษซึมซับโลหิตจนแดงฉานแล้วจึงเปลี่ยนเป็นจุ่มน้ำเพื่อล้างออก

“ข้าก็คิดเช่นนั้น สวรรค์ช่างเมตตาข้ามิน้อย”

“บาดแผลนี้ทางที่ดีอย่าโดนน้ำจะได้หายเร็วขึ้น ส่วนยาอันนี้ให้นำไปต้มดื่มจะช่วยบรรเทาปวดได้” หลันลู่เสียนรักษาบาดแผลแล้วจึงส่งเทียบยาให้

หนึ่งเทียบยาห่อใหญ่เท่ากำมือ มันคือดอกเหมยกุ้ยฮวาที่ถูกทำให้แห้งในอุณหภูมิต่ำ หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็คงเรียกว่าดอกกุหลาบ ตามตำราแพทย์แผนจีนที่เขาอ่านมากล่าวเอาไว้ว่ามันมีรสหวานและขมเล็กน้อย เมื่อเข้าสู่เส้นลมปราณตับและม้ามจะช่วยปรับสมดุลเลือด แก้ซึมเศร้าทั้งยังช่วยระงับปวดได้อีกด้วย

“ส่วนเทียบยาอันนี้” เขาส่งเทียบยาอีกอันให้แก่คนไข้ “ใช้โรยลงบนบาดแผลจะทำให้แผลของท่านหายได้เร็วขึ้น เพียงแต่...”

“เพียงแต่อะไรหรือท่านหมอ”

“อาจจะแสบแผลเสียหน่อยแต่รับรองว่าแผลของเจ้าจะหายอย่างรวดเร็วแน่นอน”

“ท่านช่างมีความสามารถจริง ๆ มิทราบว่าขอทราบนามของท่านได้หรือไม่ วันข้างหน้าข้าย่อมตอบแทน” คนไข้มองดูท่านหมออย่างเลื่อมใส ยังหนุ่มยังแน่นแต่กลับมีความรู้ความสามารถเกินกว่าจะเป็นหมอชาวบ้านทั่วไป เขายกมือลูบเคราพินิจพิจารณาท่านหมอตรงหน้าใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ว่าอย่างไรเล่า ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”

“ข้า...แซ่หลัน หลันหนิงอันขอรับ” เลี่ยงไม่ได้ก็บอกชื่อเก่าของตนเองออกไป เหลือบไปเห็นดาบข้างกายอีกฝ่ายทีไรเป็นต้องกลืนน้ำลายด้วยความยากลำบากทุกที

ถึงแม้จะมีชื่อในประกาศจับแต่หลันลู่เสียนก็เป็นหมอที่เก่งกาจผู้หนึ่ง ตัวเขาทำงานอยู่ในโรงหมอเล็ก ๆ ภายในเมือง ส่วนใหญ่ผู้คนที่เข้ามาใช้บริการจะเป็นชาวบ้านทั่วไป แต่ไฉนวันนี้กลับมีทหารเข้ามาใช้บริการโรงหมอแห่งนี้กัน มาทีหนึ่งก็ยกกันมาเป็นโขยง คราแรกเขาตกใจจนเกือบวิ่งหนีแล้วหากไม่ติดว่าหมอใหญ่เจ้าของโรงหมอเรียกเขาเข้าไปรักษาบาดแผลให้แก่ทหารผู้นี้เสียก่อน

“ว่าแต่เหตุใดท่านจึงได้แผลนี้มาเล่าขอรับ” หลันลู่เสียนเอ่ยถาม

“แผลนี้ข้าได้มาอย่างมีเกียรติ ก่อนหน้านี้มีโจรป่าหลุดเข้ามาปล้นสะดมสินค้าของชาวบ้านใกล้ชายแดน ระหว่างต่อสู้ก็พลาดท่าบาดเจ็บเข้าแต่ก็ชนะมาได้”

“สมกับเป็นชายชาตินักรบ” หลันลู่เสียนโค้งคำนับให้อีกฝ่ายอย่างเคารพ “เช่นนั้นข้าไม่รั้งถามพวกท่านแล้ว ขอให้บาดแผลของท่านหายไว ๆ”

ตอนนี้ทหารเหล่านั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็จริง แต่ปลอดภัยไว้ก่อนย่อมดีที่สุด หลันลู่เสียนรักษาบาดแผลให้พวกเขาเสร็จก็รีบส่งพวกเขากลับทันทีเพื่อความสบายใจ เมื่อครู่หัวใจเขาเต้นเร็วแรงจนแทบทะลุออกมาจากกลางอกกลัวว่าจะโดนจับได้ว่าเป็นคนร้ายขายยาพิษให้คนในวังหลวง

“ท่านหมอใหญ่ลู่วันนี้ข้าเหนื่อยมากแล้ว ขอกลับก่อนได้หรือไม่ขอรับ” หลันลู่เสียนยกชายเสื้อขึ้นมาเช็ดตามกรอบหน้าอย่างว่องไว เมื่อครู่ตกใจจนใบหน้าซีดเซียวนับว่าการแสดงครั้งนี้เหมือนจริงโดยไม่ต้องแสร้งทำ

เห็นอาการของลูกจ้างคนใหม่ไม่สู้ดีก็ไม่อยากใจร้าย “เจ้าคงตกใจไม่น้อยทีเดียว วันนี้ก็กลับบ้านไปพักผ่อนเถิด วันพรุ่งนี้ค่อยมาทำงานใหม่”

“ขอบคุณท่านหมอใหญ่ลู่ เช่นนั้นข้าขอตัว” เขาคารวะเจ้านายไปทีหนึ่งอย่างนอบน้อมแล้วจึงรีบเก็บข้าวของกลับบ้านที่อยู่ห่างไกลจากในตัวเมือง

ที่อยู่ของหลันลู่เสียนเป็นที่ซ่อนตัวอย่างดีจากสายตาพวกขุนนาง มันตั้งอยู่ในป่าลึกที่มีความสลับซับซ้อนต้องใช้ความเคยชินจึงจะเดินแล้วไม่หลงป่า ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้ไม่นานแต่ความคุ้นเคยของร่างกายไม่เคยทรยศผู้ใดต่อให้ปิดตาเดินเพื่อกลับบ้านก็ยังสามารถทำได้ ทว่าไม่ทำจะเป็นการดีที่สุด

ชีวิตไม่ควรเดินด้วยความประมาท หากพลาดสะดุดกอหญ้าล้มแล้วโดนกิ่งไม้เสียบตายอีกรอบเกรงว่าจะไม่คุ้ม

หลันลู่เสียนเดินไปตามทางที่ถูกตัดจนสั้นเตียนภายในป่าทึบอย่างช่ำชอง ความวังเวงของผืนป่าไม่ใช่ศัตรูของเขาเมื่อเทียบกับชีวิตกู้ภัยที่ต้องไปแบกหามศพอยู่บ่อยครั้ง ทว่าศัตรูที่แท้จริงของเขาคือสัตว์เล็กน่ารำคาญที่ส่งเสียงถี่แหลมอยู่ข้างหูและบินตามมาตั้งแต่ช่วงเนินเขาต่างหาก

ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ายุงก็น่ารำคาญอยู่ร่ำไป

เขาพยายามง้างมือสองข้างตะปบกันเพื่อเข่นฆ่าเจ้ายุงน้อย วันนี้ไม่ใช่ 14 มิถุนายน วันบริจาคโลหิตโลกเสียหน่อย เพราะฉะนั้นอย่าหวังว่าเขาจะทำบุญกับมันด้วยการบริจาคเลือดให้กินฟรี ๆ เลย

“เรียนคุณชายทางทิศใต้ห่างออกไปอีกไม่ไกลพบบ้านหลังหนึ่ง มีวี่แววว่ามีคนอยู่ขอรับ” เสียงไม่เบาไม่ดังมากลอยตามลมเข้าหูของหลันลู่เสียนอย่างเหมาะเจาะ มือที่กำลังไล่ตบแปะกับยุงเป็นต้องหยุดชะงัก ก่อนจะเร้นกายตัวเองไปกับพุ่มไม้เขียวขจีข้างทางอย่างตกใจ

หันไปมองตามต้นเสียงเห็นทหารนับสิบนายกำลังยืนตรวจค้นทั่วทุกบริเวณอย่างแข็งขัน ถัดไปไม่ไกลเห็นคุณชายรูปงามกำลังยืนเอามือไพล่หลังขี้เก๊กสั่งการ

“เจ้าคิดว่าบ้านหลังนี้เป็นของคนร้ายที่เราตามหาอยู่หรือไม่”

“ภายในบ้านเต็มไปด้วยสมุนไพรหลายชนิด เครื่องเรือนน้อยชิ้นบ่งบอกว่าเป็นที่อยู่อาศัยของบุรุษ อีกอย่างหนึ่งข้าน้อยพบสิ่งนี้อยู่ด้วยเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าบ้านหลังนั้นเป็นของหลันลู่เสียนขอรับ”

สิ่งนี้ที่นายทหารพูดถึงคือผ้าเช็ดหน้าปักลายที่อาจารย์ของหลันลู่เสียนเคยทำให้ในระหว่างที่ยังมีชีวิต บนนั้นปักลายนกกระเรียนพร้อมทั้งปักชื่อหลันลู่เสียนอย่างสวยงาม เพราะเป็นของสำคัญเลยเก็บไว้อย่างดี ไม่คาดคิดว่าจะโดนหาเจอได้ง่ายดาย

เขากลืนน้ำลาย สายตาสอดส่องหาทางหนีทีไล่ เกรงว่าบ้านหลังนั้นคงมีทหารคุ้มกันอยู่กลับไม่ได้แล้ว ต้องหนีไปที่อื่นเพื่อซ่อนตัวให้พ้นจากความตาย

ใจที่เต้นระรัวก่อนหน้ายังไม่แรงเท่าตอนนี้ด้วยซ้ำ แค่เห็นสายตาของขุนนางผู้นั้นตวัดมองมาทางนี้เขาก็หดหัวซ่อนตัวอยู่ในกระดองอย่างขลาดกลัวแล้ว แข้งขาอ่อนเปลี้ย หมดสิ้นแรงจะก้าวเดิน

“เจ้าไม่คิดหรือว่าพุ่มไม้มันเล็กเกินกว่าจะซ่อนตัวให้มิดชิด” ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นตรงหลังใบหู คุณชายยกยิ้มเมื่อเห็นท่าทีสะดุ้งตกใจเกินกว่าเหตุของอีกฝ่าย ตัวเขาเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่เดินตบยุงป่าจนกระทั่งหลบหลังพุ่มไม้นี่ แต่หลบอย่างไรชายเสื้อสีขาวเอกลักษณ์ของคนตรงหน้าก็โผล่พ้นออกมาอยู่ดีตัดกับความทึบของป่า

กระต่ายชุดขาวยังตัวสั่นงก “ปล่อยข้าไปเถิด ข้ากลับตัวกลับใจแล้ว”

ความจริงแล้วเรื่องขายยาพิษให้กับคนในวังหลวงเป็นฝีมือของหลันลู่เสียนคนเก่าต่างหากไม่ใช่เขาเสียหน่อย

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

“เช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปเถอะนะ” หลันลู่เสียนข่มความกลัวลงเงยหน้าขึ้นมาจากกระดองที่มองไม่เห็น ใบหน้าหงิกงอดูออดอ้อนทั้งที่ความจริงกลัวจนเยี่ยวแทบเล็ด เขาชูมือขึ้นมาสามนิ้วในท่าสาบาน “จากนี้ไปข้าจะไม่ทำแล้ว ข้าจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมใช้ชีวิตเป็นชาวบ้านจน ๆ อยู่ในป่าเขาไม่ออกไปสู่โลกภายนอก”

“ข้าต้องทำตามหน้าที่” เขากล่าวอย่างสบาย ๆ ขัดกับใบหน้าแทบร้องไห้ของหมอชาวบ้าน

“อย่าจับข้าเลยนะ” พูดไปแล้วก็หาทางหนีพลาง ๆ ทว่ามองไปด้านไหนก็เจอกับทหารถือดาบยืนเรียงรายอยู่รอบด้าน ข้างเขาก็พญามาร แต่หากวิ่งไปไม่คิดหน้าคิดหลังก็อาจจะโดนลูกน้องพญามารฟันฉับเดียวร่างขาดครึ่งเหมือนหนังสยองขวัญก็เป็นได้

คุณชายฟังแล้วยังนึกแกล้งไม่หนำใจ เขายกมือลูบคางจ้องมองร่างของหลันลู่เสียนไม่วางตา “ความจริงแล้วข้าชื่นชอบคนงามเป็นพิเศษแถมเจ้าก็งามมากด้วย ทว่าคนทำผิดย่อมได้รับโทษ หากเจ้ายอมไปกับข้าแต่โดยดีไม่ขัดขืนให้เสียแรงก็จะไม่เจ็บตัว”

“ทะ...ท่านเป็นโรคจิตหรือ?” หลันลู่เสียนยกมือขึ้นกอดตัวเอง แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่จงใจกลั่นแกล้ง

ว่าแต่ขุนนางกลั่นแกล้งคนร้ายได้ด้วยหรือ?

แน่นอนว่าได้อยู่แล้วล่ะ

คนร้ายอย่างหลันลู่เสียนตอนนี้เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือของขุนนางตรงหน้าเท่านั้น หากเขาขัดขืนไม่ยอมไปอย่างไรเสียคนตรงหน้าก็ต้องใช้กำลังขัดขืนเพื่อเอาคนร้ายตามประกาศจับอย่างหลันลู่เสียนเข้าคุกให้ได้อยู่ดี ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตัวว่าง่ายยอมเดินตามคนตรงหน้า

“ข้ายอมไปกับท่านก็ได้” ชายหนุ่มสีหน้างอง่ำ ยอมยื่นแขนสองข้างให้อีกฝ่ายใส่กุญแจมือ

“ว่าง่ายเช่นนี้ดีทีเดียว” ผู้ผดุงความยุติธรรมส่งสัญญาณมือ ทหารที่คุมเชิงรออยู่ก็เอาเชือกมาพันมือของอาชญากรเสียแน่น จับคนร้ายได้ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในป่าเขาอีกต่อไปแล้ว “นำหลันลู่เสียนไปคุมขังให้ดี ข้าจะเป็นคนสอบสวนเขาด้วยตัวเอง”

หลันลู่เสียนคนงามได้ยินก็สะอึก เพียงชั่วครู่ที่อีกฝ่ายหันมาสบตาด้วยสีหน้าแย้มยิ้มเคลือบยาพิษเขาก็เผลอฉี่ราดไม่อายฟ้าดิน

ด้วยบุญบารมีแห่งจิตวิญญาณวิชาชีพกู้ภัย ได้โปรดช่วยลูกช้างด้วยเถิด!!





ขอฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ในอ้อมอกของทุกคนดด้วยนะคะ

นิยายเรื่องนี้เน้นฟีลกู๊ด ไม่เน้นดราม่า พระเอกแด๊ดแด๋ ชอบหลอกกินเต้าหู้ค่ะ (กุมขมับ)

...

ช่องทางการติดตามข่าวสาร
https://x.com/APS_0119