หยางเฟิงเยว่ เธอหลงรักหวังอี้ป๋อ ศิษย์พี่ร่วมสำนักของเธออย่างสุดหัวใจ ถูกผลักดันสู่ขอบเหวของความสิ้นหวังเมื่อเขาไม่ยอมรับรักของเธอ เธอถูกทรยศทั้งจากคนที่เธอรักและเธอเคารพยิ่ง เธอจึงเลือกใช้มนตร์ดำเพื่อสังเวยตนเองต่อสวรรค์และนรก เพื่อจบชีวิตของเธอและเพื่อสาปแช่งสตรีที่เป็นที่รักของทุกคน ก่อนที่เธอจะสิ้นสติและจิตวิญญาณสลายไป พร้อมกับเส้นสายสัมพันธ์ของเธอกับหวังอี้ป๋อที่ผูกไว้ด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตาก็ขาดสะบั้น
แฟนตาซี,จีน,ย้อนยุค,ผจญภัย,รัก,ย้อนยุค,เทพเซียน,ผจญภัย,เกิดใหม่ ,จีนโบราณ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เวลาได้ล่วงเลยไป เสี่ยวเยว่เริ่มฝึกฝนวิทยายุทธภายใต้การแนะนำของลี่เว่ยถานและซาซือตาน พวกเขาสอนเธอเกี่ยวกับพลังวิญญาณ การต่อสู้ และการป้องกันตัว ในขณะที่หลานวั่งจีคอยเฝ้ามองและให้กำลังใจเธอจากระยะไกล
วันหนึ่ง เสี่ยวเยว่ถามพวกเหล่าบาปทั้งเจ็ดด้วยสายตาสงสัย “เหตุใดข้าต้องเรียนสิ่งเหล่านี้? พวกเรามีชีวิตที่สงบสุขดีอยู่แล้วนี่”
ลี่เว่ยถานมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงความสงบสุขเท่านั้น ยังมีความโหดร้ายและอันตรายที่เราไม่สามารถมองข้ามได้ การฝึกฝนจะช่วยให้พระองค์สามารถปกป้องตนเองและผู้ที่พระองค์รักได้”
เสี่ยวเยว่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “เช่นนั้นข้าจะตั้งใจฝึกฝนเอาไว้ปกป้องท่านพี่และพวกท่าน!” แม้จะยังมีความสงสัยอยู่ แต่เธอก็ยอมรับการฝึกฝนและตั้งใจเรียนรู้ทุกสิ่งที่พวกเขาสอน
คำพูดของเสี่ยวเยว่ทำให้เหล่าเทพมารต่างก็ระบายยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู พวกเขาได้แต่หวังว่าองค์หญิงของพวกเขาจะมีรอยยิ้มเฉกเช่นนี้ไปตลอดกาล ใครที่พรากรอยยิ้มนี้ไป พวกเขาจะฆ่ามันให้หมด
“เช่นนั้นพวกเรามาฝึกกันต่อเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ลี่เว่ยถานเอ่ย
“อืม” เสี่ยวเยว่ยกกระบี่ไม้ของตัวเองขึ้นเตรียมจะฝึกต่อ แต่แล้วเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านร่างของเธอไป ร่างของเธอก็ค่อย ๆ ดิ่งลงพื้นพร้อมกับสติที่ดับไป
“องค์หญิง!” ลี่เว่ยถานรีบเข้าไปประคองตัวองค์หญิงของเขาทันที
ซาซือตานหลับตาลงปล่อยสัมผัสพลังของเขาออกไป “มีผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณขึ้นมาที่เขา เจ้าพาองค์หญิงไปพักซะ ข้าจะไปแจ้งฝ่าบาท”
“อืม” ลี่เว่ยถานพยักหน้าก่อนจะอุ้เสี่ยวเยว่จากไป
"ข้าจะไปดูพวกเขาเสียหน่อย" หม่าเมินเอ่ยขึ้น
"ข้าไปด้วย" ลูชีฟาเอ่ย
ท่ามกลางความเงียบสงบของภูเขาตี้อวู้ ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณมากมายได้ตั้งค่ายพักแรมบริเวณเชิงเขา พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสำรวจและค้นหาความลับของที่นี่
“ได้ยินว่าบนเขานี้มีสิ่งล้ำค่าที่สามารถทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นได้” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นในกลุ่มนักฝึกฝนจิตวิญญาณ
“ใช่” อีกคนหนึ่งตอบ “ข้าก็ได้ยินเช่นนั้น ว่ากันว่ามีผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่สามารถเข้าถึงระดับเทพเจ้าได้เพราะที่นี่”
เสียงกระซิบและการพูดคุยเกี่ยวกับความลึกลับของภูเขาตี้อวู้ดังก้องไปทั่ว ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณหลายคนเริ่มตั้งใจมุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขา แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่ากำลังเข้าใกล้อาณาเขตที่ปกครองโดยจักรพรรดิเทพมารมังกรดำ
ณ จุดสูงสุดของภูเขา ที่ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่เคยได้เห็น ร่างของบุรุษหนุ่มในชุดคลุมดำปรากฏตัวอยู่ เขาจ้องมองลงมายังกลุ่มคนที่กำลังขึ้นมา
“ดูเหมือนว่าข่าวลือจะดึงดูดพวกผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณเข้ามามากมาย” เขาพูดกับตนเอง “แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าเดินเข้าไปมันคือเส้นทางอันตราย”
ร่างในชุดคลุมดำยิ้มอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหายตัวไปในพริบตา เหลือเพียงสายลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านยอดเขา
ในห้องนอนของหยางเฟิงเยว่ หญิงสาวเริ่มรู้สึกตัวหลังจากที่หลับไปนาน เธอลืมตาขึ้นมองเห็นหลานวั่งจีนั่งอยู่ข้างเตียง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นเพคะ?” เธอเอ่ยเสียงเบา
“เจ้าแค่เหนื่อยเกินไป” หลานวั่งจีตอบด้วยรอยยิ้ม “พักผ่อนเถอะเสี่ยวเยว่ พี่จะดูแลเจ้าเอง”
เสี่ยวเยว่พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง เสียงหายใจของเธอกลับมาเป็นปกติ หลานวั่งจีเฝ้ามองเธอด้วยความรักและห่วงใย
กลับมาที่ทางด้านผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่ขึ้นภูเขาตี้อวู้มา
“การปล่อยพลังจิตวิญญาณออกค้นหาเช่นนี้มีแต่จะส่งผลเสียต่อองค์หญิง” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงามืด เป็นเสียงของชายหนุ่มที่เคยอยู่ใต้ผ้าคลุมดำในหมู่บ้าน และคนคนนั้นก็คือเพ่ยเฟยเกอ
“เราต้องกำจัดพวกมัน” หม่าเมิน เทพมารแห่งความโลภเอ่ยขึ้น มารที่บรรลุเป็นเทพแล้วจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของมนุษย์ ยกเว้นเสียแต่ว่าพวกมนุษย์จะเข้ามารนหาที่ตายในพื้นที่ของเทพเสียก่อน
ทั้งสองมองลงมายังกลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่เริ่มปีนขึ้นมา พวกเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
“เตรียมตัวให้พร้อม” หม่าเมินกล่าว “อยากได้ของสำคัญก็ต้องเอาชีวิตมาแลก”
ยามเช้าของวันถัดมา เสี่ยวเยว่ตื่นขึ้นมาในห้องนอนของเธอ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เธอมองไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะพบว่าหลานวั่งจีนั่งอยู่ข้างเตียงเธอ
“ท่านพี่” เธอเรียกเสียงเบา “ข้าอยากรู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ ๆ ข้าถึงรู้สึกง่วงไปเสียดื้อ ๆ”
หลานวั่งจีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “มีพวกมนุษย์ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณพยายามใช้มนต์สะกดกับเจ้า พี่น่าจะดูแลเจ้าให้ดีกว่านี้”
“ข้าสบายดี” หยางเฟิงเยว่ยิ้มเบา ๆ “ข้าไม่เป็นอะไร ท่านพี่ไม่ต้องห่วง”
หลานวั่งจีมองเธอด้วยความรักและห่วงใย “พี่จะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเจ้าอีก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือใครอะไรก็ตาม”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า “ข้าเชื่อท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านพี่จะปกป้องข้า”
มือหนาของหลานวั่งจีลูบหัวของเสี่ยวเยว่เบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“ท่านพี่” เธอเรียกเสียงเบา “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ข้าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอกได้หรือไม่ อยู่ในห้องมันอุดอู้เกินไป”
หลานวั่งจีมองเธอด้วยความห่วงใย แต่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่ห่างจากพี่มากนัก”
เสี่ยวเยว่พยักหน้าอย่างตื่นเต้น “ข้าสัญญา”
ทั้งสองพากันออกไปเดินเล่นในสวนหย่อมเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับห้องพักของเสี่ยวเยว่ แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านใบไม้ทำให้บรรยากาศสดชื่น สายลมเย็นพัดผ่านไปช้า ๆ
“ท่านพี่” เสี่ยวเยว่เอ่ยเสียงนุ่ม “ทำไมเราถึงต้องระวังพวกมนุษย์มากนักล่ะ โดยเฉพาะกับผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณ ที่ผ่านมาพวกเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรพวกเขาเสียหน่อย หรือว่าพวกมารกับปีศาจระดับล่างไปก่อกวนพวกเขา?”
หลานวั่งจีถอนหายใจ “เจ้าพวกนั้นไม่มีทางลงไปได้หรอก ข้าลงอาคมแน่นหนามาก แต่ที่พวกเราต้องระวังเพราะว่ามนุษย์บางคนเป็นอันตรายต่อเจ้า พี่ยังบอกเหตุผลเจ้าทั้งหมดตอนนี้ไม่ได้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก พี่จะปกป้องเจ้าเอง”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า แต่ในใจของเธอยังคงมีคำถามมากมาย เธอไม่สามารถเข้าใจความเกลียดชังระหว่างเผ่ามารกับเผ่ามนุษย์ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง
ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ความเคลื่อนไหวที่ภูเขาตี้อวู้ก็เริ่มรุนแรงขึ้น ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณมากมายเริ่มเข้ามาใกล้เขตแดนของจักรพรรดิเทพมารมังกรดำ ความท้าทายและความลับที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ในภูเขานี้กำลังรอคอยพวกเขา
ณ ป่าลึกเชิงเขา
กลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณเดินทางไปตามทางที่คดเคี้ยวและเต็มไปด้วยอันตราย เสียงกระซิบของลมและเสียงของสัตว์ป่าเพิ่มความตื่นเต้นให้กับการเดินทางของพวกเขา
“เราเกือบจะถึงจุดหมายแล้ว” ชายคนหนึ่งพูด “ข้าสัมผัสได้ถึงมวลพลังมหาศาลที่อยู่ข้างหน้า”
กลุ่มคนเดินต่อไปด้วยความมุ่งมั่น แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า พลังที่พวกเขาสัมผัสได้นั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคิด
ซาซือตานที่อยู่ในชุดคลุมดำยืนอยู่บนยอดเขา มองลงมายังกลุ่มคนที่กำลังปีนขึ้นมา
“ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณพวกนี้ช่างโลภมากเสียจริง” หม่าเมินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“พาตัวเองมาตายโดยเปล่าประโยชน์” ซาซือตานตอบกลับพร้อมรอยยิ้มที่ลึกลับ
ในขณะที่กลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณยังคงเดินทางผ่านป่าลึกที่เชิงเขาตี้อวู้ พวกเขาไม่ทันสังเกตเห็นการปรากฏตัวของร่างในชุดคลุมดำที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่จากระยะไกล
“พวกเขาใกล้จะถึงแล้ว” หม่าเมินพูดเบา ๆ กับผู้ที่อยู่ข้างๆ “เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”
“ข้าพร้อมเสมอ” อีกคนตอบด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา “เรามาเตรียมรับแขกกันเถอะ”