หยางเฟิงเยว่ เธอหลงรักหวังอี้ป๋อ ศิษย์พี่ร่วมสำนักของเธออย่างสุดหัวใจ ถูกผลักดันสู่ขอบเหวของความสิ้นหวังเมื่อเขาไม่ยอมรับรักของเธอ เธอถูกทรยศทั้งจากคนที่เธอรักและเธอเคารพยิ่ง เธอจึงเลือกใช้มนตร์ดำเพื่อสังเวยตนเองต่อสวรรค์และนรก เพื่อจบชีวิตของเธอและเพื่อสาปแช่งสตรีที่เป็นที่รักของทุกคน ก่อนที่เธอจะสิ้นสติและจิตวิญญาณสลายไป พร้อมกับเส้นสายสัมพันธ์ของเธอกับหวังอี้ป๋อที่ผูกไว้ด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตาก็ขาดสะบั้น

ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์ - ตอนที่ 5 การดิ้นรนของกลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณ โดย หวังเหวินเยว่ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,จีน,ย้อนยุค,ผจญภัย,รัก,ย้อนยุค,เทพเซียน,ผจญภัย,เกิดใหม่ ,จีนโบราณ,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,จีน,ย้อนยุค,ผจญภัย,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ย้อนยุค,เทพเซียน,ผจญภัย,เกิดใหม่ ,จีนโบราณ,แฟนตาซี

รายละเอียด

หยางเฟิงเยว่ เธอหลงรักหวังอี้ป๋อ ศิษย์พี่ร่วมสำนักของเธออย่างสุดหัวใจ ถูกผลักดันสู่ขอบเหวของความสิ้นหวังเมื่อเขาไม่ยอมรับรักของเธอ เธอถูกทรยศทั้งจากคนที่เธอรักและเธอเคารพยิ่ง เธอจึงเลือกใช้มนตร์ดำเพื่อสังเวยตนเองต่อสวรรค์และนรก เพื่อจบชีวิตของเธอและเพื่อสาปแช่งสตรีที่เป็นที่รักของทุกคน ก่อนที่เธอจะสิ้นสติและจิตวิญญาณสลายไป พร้อมกับเส้นสายสัมพันธ์ของเธอกับหวังอี้ป๋อที่ผูกไว้ด้วยด้ายแดงแห่งโชคชะตาก็ขาดสะบั้น

ผู้แต่ง

หวังเหวินเยว่

เรื่องย่อ

สารบัญ

ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-0 ลิขสิทธิ์,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-0 คำนำผู้เขียน,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-บทเสริม ระดับพลังการบำเพ็ญจิตวิญญาณ,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-ตอนที่ 1 หนึ่งพันสองร้อยปีก่อน,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-ตอนที่ 2 น้องสาวจักรพรรดิเทพมาร,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-ตอนที่ 3 ผู้บุกรุก,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-ตอนที่ 4 ถ้ำลึกลับ,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-ตอนที่ 5 การดิ้นรนของกลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณ,ฝืนลิขิตฟ้าท้าชะตาสวรรค์-ตอนที่ 6 จักรพรรดิเทพมารกับน้องสาวที่รักอิสระ

เนื้อหา

ตอนที่ 5 การดิ้นรนของกลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณ

เสียงของหลานวั่งจีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของมิติที่เขาอาศัยอยู่ รอยยิ้มของเขาเผยความพอใจที่เห็นการต่อสู้และความลำบากของผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่ต้องเผชิญในภูเขาตี้อวู้

“ขอบใจพวกเจ้ามากที่สละชีพตัวเองเพื่อให้พลังหยินและหยางให้ถ้ำของข้า” เขาพูดเบา ๆ ขณะมองดูภาพที่ฉายผ่านกระจกน้ำค้างแข็งขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเขา

ภาพที่ฉายในกระจกคือการต่อสู้ที่ดุเดือดและการสั่นไหวของถ้ำที่กลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณพยายามหาทางออกจากมัน

ในถ้ำที่กำลังจะถล่ม หญิงสาวคนหนึ่งพยายามหาทางออกอย่างกระวนกระวาย ผนังถ้ำที่แตกร้าวทำให้เกิดเศษหินตกลงมาทุกทิศทาง

“รีบออกไปจากที่นี่!” ชายหนุ่มตะโกนขณะพยายามปกป้องเพื่อนร่วมทางด้วยการใช้พลังหยางของเขา

“เราไปทางไหน?” หญิงสาวอีกคนหนึ่งตะโกนถาม ขณะที่พวกเขาพยายามวิ่งผ่านทางเดินที่คับแคบและเต็มไปด้วยเศษหิน

“ทางนี้!” ชายหนุ่มคนนำกล่าวขณะวิ่งนำพวกเขาไปในทิศทางที่ดูเหมือนจะเป็นทางออก แต่การสั่นไหวของถ้ำทำให้ทางเดินที่พวกเขาเลือกสั่นสะเทือนมากขึ้น ทุกย่างก้าวที่พวกเขาก้าวไปนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจและความหวาดกลัว

หลานวั่งจีกล่าวขึ้นเบา ๆ “นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น”

เอ้าโม่เตี๋ยที่อยู่ข้างหลานวั่งจีมองดูภาพในกระจกอย่างเงียบ ๆ เขาสังเกตเห็นความมั่นใจในสายตาของเจ้านายของเขา “ฝ่าบาท” เขากล่าวเบา ๆ “ท่านต้องการให้ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณพวกนั้นพบเจอสิ่งใดในภูเขาตี้อวู้นี้?”

หลานวั่งจีหันมามองเอ้าโม่เตี๋ยด้วยรอยยิ้มที่ลึกลับ “มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่พวกมันจะพบเจอหรอก แต่เกี่ยวกับสิ่งที่มันจะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนเป็นคนอื่นที่คิดว่าเขาตี้อวู้มีของล้ำค่าเสียที”

เอ้าโม่เตี๋ยยิ้มและพยักหน้า “กระหม่อมเข้าใจแล้ว ฝ่าบาท”

ในถ้ำที่กำลังถล่ม กลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณยังคงพยายามหาทางออก หินขนาดใหญ่หล่นลงมาจากเพดานและปิดกั้นเส้นทางที่พวกเขาเลือก “ไม่! เราต้องหาทางอื่น!” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความตกใจ

หญิงสาวคนหนึ่งชี้ไปยังทางแยกที่มีแสงสีฟ้าส่องออกมา “ทางนั้น! อาจจะเป็นทางออก!”

พวกเขารีบวิ่งไปทางนั้นโดยไม่ลังเล หัวใจของพวกเขาเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นและความกลัว เมื่อพวกเขามาถึงปลายทาง แสงสีฟ้าที่ส่องออกมาทำให้พวกเขารู้สึกถึงความหวังที่เรืองรอง

“เราเจอทางออกแล้ว!” หญิงสาวกล่าวด้วยความดีใจ

แต่เมื่อพวกเขาใกล้เข้ามา พวกเขากลับพบว่าทางออกนั้นถูกปิดกั้นด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ พวกเขาต้องหาทางอื่นหรือใช้พลังในการฝ่าฟันออกไป

“เราต้องร่วมมือกัน!” ชายหนุ่มคนนำกล่าว “ถ้าเรารวมพลังกัน เราอาจจะสามารถทำลายแผ่นหินนี้ได้”

พวกเขายืนรวมตัวกันและใช้พลังที่เหลืออยู่ในการโจมตีแผ่นหิน ทุกการโจมตีทำให้แผ่นหินสั่นสะเทือนและเกิดรอยร้าวเล็ก ๆ ขึ้น

“อีกนิดเดียว!” หญิงสาวตะโกนด้วยความมุ่งมั่น

ในที่สุด พวกเขาก็สามารถทำลายแผ่นหินและเปิดทางออกได้ พวกเขารีบวิ่งออกไปจากถ้ำที่กำลังจะถล่ม ในช่วงวินาทีสุดท้ายพวกเขาก็สามารถหลบหนีออกมาได้ทันเวลา

ที่ยอดเขาตี้อวู้ การต่อสู้ยังคงดำเนินไปอย่างดุเดือด กลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณพยายามเผชิญหน้ากับร่างในชุดคลุมดำที่เป็นศัตรูของพวกเขา ทุกคนรวมพลังและความมุ่งมั่นในการต่อสู้

“พวกข้าจะไม่ยอมแพ้พวกเจ้าเด็ดขาด!” ชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ข้างหน้าเพื่อปกป้องเพื่อนร่วมทางกล่าวด้วยความมั่นใจ

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของซาซือตานดังก้องไปทั่วยอดเขาตี้อวู้ ร่างในชุดคลุมดำสองคนนี้คือศัตรูที่แข็งแกร่งและอำมหิต พวกเขาไม่มีความเมตตาหรือความเห็นใจต่อผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา

“ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว แม้แต่ประคองร่างตัวเองให้ยืนตรงยังทำไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ” ซาซือตานกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเย้ยหยัน

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้า ขณะที่เลือดซึมออกจากปากของเขา เขาก็ยืดหลังตรงอย่างท้าทาย “ข้าจะยืนหยัดเพื่อปกป้องเพื่อนของข้า ไม่มีอะไรจะหยุดข้าได้”

“รีบจัดการพวกมดปลวกพวกนี้เถอะ ใกล้ถึงเวลาทานมื้อเย็นขององค์หญิงแล้ว” หม่าเมินกล่าวขณะเหลือบมองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน

“จริงด้วย ข้าเสียเวลากับพวกเจ้ามากเกินไปแล้วเสียจริง” ซาซือตานกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้น แสงสีดำจากปลายนิ้วของเขาส่องสว่างขึ้น ขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อยพลังที่ทำลายล้าง

เสียงลมกรรโชกและเสียงกรีดร้องของการต่อสู้ปะปนกันในอากาศ ผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณทุกคนรวมพลังกันเพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ พวกเขาไม่สามารถที่จะล่าถอยได้ แม้ว่าจะรู้ว่าศัตรูที่พวกเขาเผชิญหน้าอยู่แข็งแกร่งเกินกว่าที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ

“พวกข้าไม่ยอมแพ้พวกเจ้าง่าย ๆ หรอก!” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนออกมา ขณะเธอใช้พลังทั้งหมดที่มีในการป้องกันการโจมตีของซาซือตาน แสงสว่างสีขาวที่เกิดจากพลังของเธอปะทะกับแสงสีดำของซาซือตาน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าเห็นเพื่อนของเขากำลังจะล้มลง เขาตัดสินใจที่จะใช้พลังที่เหลือทั้งหมดในการโจมตีสุดท้าย “ทุกคน! ใช้พลังที่เหลือทั้งหมดเดี๋ยวนี้!” เขาตะโกนออกคำสั่ง

ทุกคนร่วมมือกันรวบรวมพลังและปลดปล่อยออกมาในเวลาเดียวกัน แสงสีสว่างของพลังหยางที่ส่องสว่างขึ้นจากกลุ่มผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณปะทะกับพลังมืดของร่างในชุดคลุมดำ ทำให้เกิดการระเบิดที่สะท้านไปทั่วทั้งยอดเขา

หลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ที่เกิดจากการปะทะของพลังหยางและพลังของเหล่าผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณ ทั้งหมดที่เหลืออยู่คือซากศพและร่องรอยของการต่อสู้อันดุเดือด

หม่าเมินยืนอยู่กลางสนามรบ ร่างในชุดคลุมดำของเขาถูกลมเย็นแห่งค่ำคืนพัดผ่าน ผมยาวของเขาปลิวสะบัด ขณะที่เขากวาดสายตามองไปที่ศพของผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่นอนกระจัดกระจายทั่วพื้น

“หวังว่าจะไม่มีใครกล้าขึ้นมาที่นี่อีกนะ” เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นและไร้ความรู้สึก

ซาซือตานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หม่าเมิน ส่งสายตามองไปที่ภูเขาสูงซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา “นานแล้วที่พวกเราไม่ได้สังหารคนมากมายขนาดนี้...”

“ใช่ นานมากจริง ๆ” หม่าเมินตอบกลับ

ในช่วงเวลาต่อมา ความเงียบสงบก็เข้ามาปกคลุมยอดเขาตี้อวู้ ไม่มีใครกล้าขึ้นมาท้าทายภูเขาแห่งนี้อีกเลย ทุกคนที่รู้จักกับเรื่องราวของผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณที่พยายามเอาชนะการทดสอบของยอดเขาตี้อวู้ และต้องสูญเสียชีวิตไป ก็รู้สึกหวาดกลัวและยอมแพ้

แต่ในขณะที่ภูเขาตี้อวู้กลับสู่ความเงียบงัน ความสงสัยและความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นก็ยังคงมีอยู่

ในขณะที่ยอดเขาตี้อวู้กลับสู่ความสงบ หลานวั่งจีมองดูภาพที่ฉายขึ้นในกระจกน้ำค้างแข็งในมิติของเขา สายตาของเขาครุ่นคิดและเงียบงัน

“พวกมนุษย์เหล่านั้นได้เรียนรู้บางสิ่งจากการทดสอบนี้” เขาพูดเบาๆ ขณะที่รอยยิ้มอันแผ่วเบาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “พวกเขาได้เรียนรู้ว่าพลังที่แท้จริงไม่ได้มาจากการต่อสู้เท่านั้น แต่จากความสามารถในการยืนหยัดแม้ในยามที่ดูเหมือนว่าความหวังจะหมดสิ้นไป”

เอ้าโม่เตี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นมองเจ้านายของเขาด้วยความเงียบ “ฝ่าบาท ท่านคิดว่าพวกมันจะกลับมาที่นี่อีกไหม?”

หลานวั่งจีหันกลับมามองเอ้าโม่เตี๋ยด้วยแววตาที่แน่วแน่ “ไม่สำคัญว่าพวกมันจะกลับมาหรือไม่ ที่สำคัญคือสิ่งที่พวกมันจะทำต่อไปต่างหาก” หลานวั่งจีเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น "เก็บค่ายกลที่วางไว้ทั่วภูเขาซะ"

"ฝ่าบาท!" เอ้าโม้เตี่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ 

"ข้าจะย้ายวังมารกลับสู่ดินแดนมาร"

"แต่องค์หญิงต้องการพลังหยางนะพ่ะย่ะค่ะ"

"พลังของผู้ฝึกฝนจิตวิญญาณพวกนั้นมากพอที่จะให้เสี่ยวเยว่อยู่ในพื้นที่พลังงานหยินได้อีกหลายปี"

"กระหม่อมจะรีบไปจัดการทันทีพ่ะย่ะค่ะ" เอ้าโม่เตี๋ยทำความเคารพก่อนจะออกจากห้องโถงไป

สามร้อยปีต่อมา

ที่หมู่บ้านเล็กๆ ใกล้กับภูเขาตี้อวู้ ชาวบ้านที่เฝ้ามองยอดเขาสูงจากระยะไกลก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครกล้าที่จะเดินทางขึ้นไปสำรวจหรือท้าทายภูเขาแห่งนี้อีกต่อไป

ในหมู่บ้านเดียวกันนั้น มีชายชราเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟังข้างกองไฟที่อบอุ่น “ภูเขาตี้อวู้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอันตราย แต่ก็เป็นที่ที่มีพลังและความรู้ซ่อนอยู่ พวกเจ้าต้องจำไว้ว่าความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงการเผชิญหน้ากับความอันตรายเสมอไป บางครั้งความกล้าหาญก็หมายถึงการรู้จักเมื่อใดที่ต้องถอยและเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา”

เด็ก ๆ ฟังด้วยความสนใจและความหวาดกลัว “คุณปู่ แล้วจะมีใครที่กล้าขึ้นไปที่ภูเขาตี้อวู้อีกไหมเจ้าคะ?”

ชายชราหัวเราะเบาๆ “ใครจะรู้ล่ะ บางทีวันหนึ่งอาจจะมีคนที่กล้าหาญและฉลาดพอที่จะค้นพบความลับของภูเขาตี้อวู้ และนำมันมาใช้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ก็ได้”