นี่มันโลกเกมโอโตเมะที่ตัวร้ายเป็นผู้ชาย แล้วผมก็กลายเป็น 'นายร้าย' ของเกม...เดธแฟล็กน่ะพอมี แต่ผมน่ะชายทั้งแท่งนะเฮ้ย เพราะงั้นคุณนางเอกครับ เชิญคุณคู่กับพระเอกไปเถอะ อย่ามาหวังดีจับคู่ผมกับพระเอกเลย!
แฟนตาซี,ตะวันตก,ต่างโลก,นายร้าย,ตัวร้าย,โอโตเมะ,เกมจีบหนุ่ม,SoL,slice of life,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
6
ตื่นเช้ามาต้องออกกำลังกาย
ไม่ไหว ไม่ไหวแล้ว...ทรมานเป็นบ้า
ผมขอร้องละหมอ ปรานีผมเถอะ
‘ให้ผมตายเถอะครับ’
“เฮือก!” ผมลุกขึ้นพรวด รู้สึกได้เลยว่าตัวเองหายใจถี่และใจเต้นตึกตักมากแค่ไหน มันเต้นแรงจนเหมือนจะกระดอนออกมาจากอกจนต้องยกมือซ้ายกุมมันเอาไว้
ทั้งที่อากาศออกจะเย็นสบายจนค่อนไปทางหนาวนิดหน่อย แต่เหงื่อของผมกลับผุดขึ้นมาเต็มไปหมดจนต้องใช้หลังมือปาดเหงื่อทิ้ง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจกับความฝันติดตาเมื่อกี้
ฝันตอนไหนไม่ฝัน ฝันถึงตอนที่ตัวเองอยากตายเนี่ยนะ ตลกชะมัด
ชาติก่อนผมป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนตายตอนอายุสามสิบสาม ซึ่งเจ้ามะเร็งนี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ชนิดที่หมอจะไม่ยุ่งด้วยเพราะเป็นหนึ่งในอวัยวะสำคัญและบอบบางมาก การรักษาเลยมักจะเน้นไปทางพยุงอาการมากกว่าแก้ตรงจุด เช่นถ้าติดเชื้อในกระแสเลือดก็ให้ยาฆ่าเชื้อเข้าเส้นเลือด หรือถ้าปวดจนแทบบ้าก็ได้ยาแก้ปวดแบบแรงฉีดเข้าไปอะไรแบบนี้
ยังดีที่ผมได้ถูกฉีดยาโดสสุดท้ายแล้วไปอย่างสงบ ไม่ได้เจ็บหรือทรมานอะไร ไม่มีห่วงด้วยเพราะร่ำลากันเรียบร้อยดี ภรรยาของผมในชาติก่อนดูแลลูกได้อยู่แล้ว เธอแข็งแกร่งจะตาย
เอาจริงๆ ไม่นึกเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมาเกิดใหม่ในเกมที่ตัวเองเคยเล่นกับพี่ ความจริงให้จำไม่ได้ต่อไปก็ไม่ได้แย่นะ
ผมถอนหายใจยาว ตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นดวงอาทิตย์กำลังขึ้นเป็นไข่แดงอยู่ตรงนั้น...นี่เวดิอุสตื่นเช้าปานไหนกันเนี่ย ตัวผมในชาติก่อนตื่นตั้งเจ็ดแปดโมงเพราะทำงานสิบโมง แต่ชาตินี้ผมดันตื่นตอนที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นซะน่ากินเชียว
เห็นแล้วอยากกินไข่ดาวชะมัด
ดูเหมือนผมจะตื่นแบบนี้เป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วด้วย เพราะตอนนี้ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนนี่ได้ล้มตัวลงนอนต่อยาวแน่ๆ
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจในที่สุด หลังจากค้นความทรงจำตัวเองดูก็พอรู้แล้วว่าทุกเช้าผมทำอะไร เลยลากสังขารตัวเองเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน ถือโอกาสดูตัวเองในกระจกไปด้วยเลยดีกว่า...พอดีเมื่อวานผมไม่มีกะจิตกะใจจะดูน่ะ แถมทำตัวมีพิรุธจนทั้งองค์ชายทั้งธาลิเทียสถามด้วยว่าเป็นอะไร ซึ่งผมไม่บอกหรอก อย่างน้อยก็ตอนนี้
ไว้เกิดอะไรขึ้นค่อยบอกอีกทีก็ยังไม่สาย เฟรย่ายังไม่ทำอะไร ผมก็ไม่อยากจะไปรังแกเธอ มันไม่ถูกต้อง
แบบนี้จะบอกว่านิสัยของผมในชาติก่อนกับชาตินี้รวมกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียวไปแล้วได้รึเปล่านะ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ทำอะไรด้วยซ้ำนอกจากจับตามองเธออยู่ห่างๆ เพราะมองว่าตัวเองจะไม่ลดตัวไปทำอะไรหากไม่จำเป็น
หลังจากแปรงฟันล้างหน้าเสร็จก็ได้ฤกษ์มองดูกระจกสักที ภาพที่เห็นคือหนุ่มวัยสิบแปดหน้าตาดีคนหนึ่ง...ผมไม่ได้หลงตัวเองนะ! เอาเป็นว่าสิ่งที่เห็นต่อไปนี้ถือว่ายึดตัวผมในชาติก่อนเป็นหลักก็แล้วกัน!
สิ่งที่สะท้อนออกมาจากกระจกเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีมาก แต่ไม่ได้ถึงขั้นองค์ชายเอลิออตที่ดีจนทำคนอื่นเป็นฝุ่นผง ผมของเวดิอุสเป็นสีทองซีดเหมือนวานาเซียแต่ยาวถึงกลางหลัง ตาของเขาเป็นสีแดงเลือด ไม่เหมือนวานาเซียที่เป็นสีม่วงอะมีธิสต์ ซ้ำยังชี้ขึ้นจนแค่ทำหน้าธรรมดาแบบไม่ยิ้มก็เหมือนคนหยิ่งยโสนิดหน่อย พอลองยิ้มก็ดูอ่อนโยนมีเสน่ห์เป็นปกติดี
ไหนลองคิดถึงไอ้องค์ชายนั่นดูซิ...พอผมนึกภาพเอลิออตบอกสมน้ำหน้าผมเมื่อวาน ในกระจกก็เปลี่ยนเป็นคนกำลังหงุดหงิดมาก ทั้งที่ความจริงผมแค่รู้สึกอยากถีบมันสักทีก็เท่านั้นเองแท้ๆ
ผมลองทำหน้าโกรธบ้าง แล้วก็พบว่ามันน่ากลัวใช้ได้ โดยเฉพาะตาสีแดงเลือดจะกลายสภาพเป็นเหมือนคนกำลังมองกองขยะเปียก...เมื่อวานนางเอกของเกมคงเห็นผมทำหน้าแบบนี้แหง
โอเค ผมเข้าใจแล้ว เข้าใจจนต้องยกมือนวดหน้าตัวเองเลย
ผมผิดเองที่เกิดมาหน้าโหดเกินไป
ได้ข้อสรุปแบบนี้แล้วจะให้ทำยังไงนอกจากถอนหายใจปลง หน้าตาผมเป็นแบบนี้แล้วจะให้ผมแก้ยังไงเล่า!
ทันทีที่ผมออกจากห้องน้ำ ก็เห็นว่าเจคอบเข้ามาเคลียร์ห้องเรียบร้อยแล้ว และเห็นเขาเอากล่องปฐมพยาบาลเข้ามาด้วย คงจะตั้งใจมาล้างแผลบนหน้าผากสินะ ยังดีที่ผมเห็นผ้าพันแผลบนหัวเลยไม่เผลอล้างหน้าผากตัวเอง
ตอนนี้ผมยังไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเพราะปกติจะตื่นมาไปฝึกดาบก่อน เลยเปลี่ยนเป็นชุดเคลื่อนไหวง่าย ค่อยเดินขึ้นมาอาบน้ำน่าจะดีกว่า
“ค่อยล้างแผลก็ได้” ผมบอกปัดๆ ไป “เดี๋ยวยังไงข้าก็ต้องขึ้นมาอาบน้ำอยู่ดี”
พ่อบ้านประจำตัวได้ยินก็ชะงักไป เขาอยู่กับผมมานานไม่น่าลืมตารางงานผมหรอก แต่ไม่คิดว่าผมจะฝึกทั้งที่ตัวเองเป็นแผลบนหัวมากกว่า “แน่ใจนะขอรับ ท่านจะไม่ปวดหัวแน่ใช่ไหม”
นี่เป็นแค่แผลภายนอกนะ ไม่ได้ส่งผลไปถึงเส้นประสาทสักหน่อย...ผมลอบมองค้อนกับความเป็นห่วงเกินจำเป็นของเขาพร้อมพยักหน้า พ่อบ้านผิวเข้มถึงผายมือให้
“ถ้าอย่างนั้นไปกันเถิดขอรับ”
คลาเฟนาอะคาเดมีเป็นโรงเรียนสำหรับชนชั้นขุนนางขึ้นไป และเพราะมันใหญ่โตมโหฬารพอๆ กับเขตพระราชวังทั้งเขตเลยอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้ ราชวงศ์คอร์เวลสักรุ่นเลยสร้างเมืองใหม่ให้ไปเลย พร้อมขุนนางหลายตระกูลเป็นผู้รับผิดชอบเขต ราชครูคนหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ จนปัจจุบันก็กลายเป็นเมืองอย่างที่เป็นนี่
ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรเท่าไหร่เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับองค์ชายโดยตรง แต่ถ้าเจ้านั่นขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารเมื่อไหร่ก็ไม่แน่...ถึงตอนนั้นงานผมคงล้นเป็นทวีคูณแหง
ผมเดินออกจากตึกหอชาย มุ่งหน้าไปลานฝึกซ้อมที่อยู่ไม่ไกลมากเหมือนคนวางแปลนจะหวังให้ลูกขุนนางฝึกซ้อมเยอะๆ ซึ่งก็มีอยู่บ้าง แต่พวกเขากลับไม่ค่อยตื่นเช้าสักเท่าไหร่ พวกที่เอาดีด้านฝีมือดาบมักจะมาฝึกตอนหลังเลิกเรียนมากกว่า แต่มันมีคนเยอะมากจนผมไม่ชอบ แถมบางคน...ไม่สิ หลายคนเลยแหละ มีหยุดดูผมด้วย ไม่พอ คนที่ผมเคยชนะเขาเมื่อตอนนู่นยังมีมาขอท้าสู้เป็นเนืองๆ อีก
อย่างที่เคยบอกไปว่าผมไม่ได้เก่งดาบมากขนาดนั้น ผมถนัดเวทมากกว่า ดังนั้นมันทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจจะฝึกต่อหน้าคนอื่นสักเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนผมถูกคนอื่นกดดันว่าห้ามแพ้โดยไม่จำเป็นนี่แหละ
แต่พอมาถึงก็คิดว่าน่าจะเจอคนคิดเหมือนกันจนได้
เพอร์ซิวัล เคลเลียตกำลังหลับตาลงพลางขยับตัวและดาบคู่ในมืออย่างรวดเร็ว บ้างก็มีโจมตี บ้างก็มีป้องกัน เหมือนตัวเองกำลังสู้กับใครสักคน มันคือการฝึกฝนแบบหนึ่งในกรณีที่หาคนฝึกด้วยไม่ได้ ซึ่งผมไม่แปลกใจที่เขาจะเลือกวิธีนี้
ก็เขาเก่งจนหาคนฝึกด้วยไม่ได้แล้วนี่นา
ผมยังไม่ทันจะเริ่มวอร์มอัป เพอร์ซิวัลก็หันมามองผมเหมือนรู้ว่าผมมา ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงแล้วหยุดการฝึกทุกอย่าง หันมามองผมนิ่งๆ แทน
“รีบวอร์มอัปซะ” ตาสีทองหายากของเขาดูไร้อารมณ์เหมือนเดิม แต่คำพูดของเขาชัดเจนมากว่ารีบวอร์มรีบมาถูกเขาเชือดซะเถอะ ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยคุยมาก่อนเลยเนี่ยนะ?
ไม่สิ เท่าที่ผมจำได้ พวกเราคุยกันบ้าง แต่ก็แค่เรื่องงาน ผมไม่เคยพูดกับเขาเรื่องอาวุธหรือการต่อสู้เลยสักคำเดียวเพราะมีธาลิเทียสช่วยแล้ว แถมปีที่แล้วผมยังไม่ได้ตื่นเช้าเป็นกิจวัตรแบบนี้ด้วยเลยไม่เคยเจอเขามาก่อน
อีกอย่าง การให้คนมีพรสวรรค์มาสอนละก็ ผมว่าไม่มีวันเข้าใจหรอกถ้าพวกเขาไม่มีทฤษฎีติดตัว คนมีพรสวรรค์ส่วนใหญ่เขาจะเข้าใจและทำได้เพราะมันเป็น ‘ฟีลลิ่ง’ ของเขาเองน่ะ ดังนั้นจะให้หวังว่าคนแบบนั้นมาสอนคนอื่นนี่...ยาก
“อ่า...ท่านทักผิดคนรึเปล่า” ผมกลั้นใจถาม แต่เขากลับไม่สนใจผมแล้ว หันไปยืดเส้นยืดสายแทน
นี่อย่าบอกนะว่าเขาเห็นว่าผมเป็นองครักษ์ขององค์ชาย เลยต้องมีฝีมือ?
เอ่อ ผมไม่เถียง แต่ช่วยดูฝีมือดาบผมก่อน ฝีมือดาบของผมถือว่าพัฒนาจากตอนแข่งมาเยอะมากโขก็จริงเพราะได้ธาลิเทียสช่วยฝึกแล้ว แถมยังเรียนวิชาใช้อาวุธร่วมกับองค์ชายอีก แต่ให้เทียบกับเพอร์ซิวัลนี่ยังห่างกันหลายขุม
ผมมีทางเลือกที่ไหนล่ะ
หลังจากวิ่งรอบลานฝึกสามรอบและยืดเส้นยืดสายไปสักพัก ผมก็ต้องมาถือดาบไม้ยืนเผชิญหน้ากับเขาอยู่ดี ส่วนพ่อบ้านประจำตัวพวกเราเหรอ...ผมเหลือบมองพ่อบ้านสองคนนั่งโม้กันสนุกสนานแล้วอยากจะกลอกตาชะมัด
ทันใดนั้นเองที่รุ่นพี่เพอร์ซิวัลพุ่งเข้ามาหาผม ซึ่งผมก็ใช้ดาบไม้ตั้งรับทัน เขาจึงใช้ดาบไม้ของตัวเองฟาดอีกครั้งด้วยความแรงมากกว่าเดิม และเร็วยิ่งกว่าเดิมจนผมต้องถอย
สุดยอด...ถ้าผมเลือกตั้งรับโดยไม่ถอยไปสักก้าวเพื่อผ่อนแรงเขา ผมอาจมือชาจนต้องปล่อยมือจากดาบไปแล้วก็ได้ และนั่นจะทำให้ผมแพ้โดยอัตโนมัติ
เสียงดาบไม้กระทบกันดังเป๊าะแป๊ะรัวๆ เหมือนเด็กเล่นกัน แต่คนคนนี้ไม่ได้เล่นด้วยเลยสักนิด หน้าของเขายังคงเรียบเฉย และคงออกแรงมากในการฟันดาบ มากจนผมต้องกัดกรามกรอด
ปกติถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่แรงเยอะขนาดนี้ ผมมักเลือกจะเอนทั้งตัวและดาบหลบให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวแล้วโต้กลับ แต่กับคนคนนี้...ไม่มีช่องว่างให้โจมตีกลับเลยสักนิด เพราะทันทีที่ผมคิดจะทำ เขาก็จะออกแรงฟาดดาบใส่ผมใหม่อีกรอบเหมือนรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร
ยุ่งยากชะมัด หนีเลยได้ไหม!
แต่ช่องว่างเวลาระหว่างที่เขาเงื้อดาบแล้วฟันลงมาก็น้อยมากจนแทบไม่มีเวลาพักหายใจ ที่คิดออกก็น่าจะต้องทำอย่างนั้นดู แต่มันก็เสี่ยงจะแพ้ ซึ่งผมว่าแพ้แน่ๆ ล่ะ
แต่อย่างน้อยก็อยากให้แพ้แบบชวนประทับใจหน่อย
เมื่อเขาเงื้อดาบขึ้นเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมก็รีบกระโดดไปด้านหลังตัวเองก่อนเพื่อตั้งตัว แล้วเป็นฝ่ายบุกเข้าไปบ้าง และเป็นไปตามคาด เขารับได้หมดทุกท่วงท่าไม่ว่าผมจะเล็งไปที่ไหน และผมสู้แรงเขาไม่ได้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นทำได้แต่ฟาดจริงบ้างหลอกบ้างตามที่เคยถูกสอนเอาไว้
และเป็นไปตามคาด เพอร์ซิวัลเดาไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
“การต่อสู้ของเจ้าเน้นการพลิกแพลงมากเป็นพิเศษสินะ” อาจารย์ของผมตอนอายุเก้ากับองค์ชายพูดขึ้น เขาให้คำแนะนำแบบนี้ตอนพวกเราเจอหน้ากันครั้งแรกและลองทดสอบฝีมือด้วยกันแค่นาทีเดียว “เจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกแรงมากจนเกินไปหรอก เน้นเรื่องความเร็วจะดีกว่า”
“แน่นอนว่าแรงก็สำคัญหากจวนตัว แต่การต่อสู้ที่ใช้ชีวิตเข้าแลก ไม่มีใครเขาใช้แค่ดาบกันอยู่แล้ว”
“และต่อให้เป็นการฝึกดาบ มันไม่ใช่แค่ฝึกดาบหรอก” เขาอธิบาย “โดยเฉพาะพวกชอบพลิกแพลงแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าแบบเจ้า เจ้าต้องขยับทุกส่วนของร่างกาย ให้แขนขาของเจ้าเป็นอาวุธด้วยเช่นกัน”
เขาพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
“คนส่วนใหญ่จะมุ่งความสนใจกับตัวอาวุธเมื่อเจ้าถือมัน และคนถือก็มักจะมุ่งความสนใจที่อาวุธตัวเองเหมือนกัน” อาจารย์พยักหน้า “แต่เจ้าไม่ใช่แบบนั้น...เพราะงั้นหากสบโอกาส ก็ใช้แขนขาเจ้าล้มคู่ต่อสู้ซะจะดีกว่า”
“ขอรับท่านอาจารย์!”
“ให้ตายสิ ไม่คิดจริงๆ ว่าข้าต้องมาสอนวิธีแบบนี้กับเด็ก...” ผมได้ยินเขาพึมพำแบบนี้ด้วย
คำพูดอาจารย์ตอนนั้นก็ชวนให้ใจปลื้มนะ แต่ตอนฝึกแบบนี้ผมก็โดนคนอื่นเพ่งเล็งมากเหมือนกันไง!
หน้าเย็นชาของรุ่นพี่เพอร์ซิวัลเริ่มมีแววหงุดหงิดกับการบลัฟปนจริงของผมบ้างแล้ว เขาถึงกับใช้ดาบปัดดาบของผมไปพ้นทางให้ผมเสียการทรงตัวแล้วใช้ดาบไม้แทงเข้ามา
ซึ่งเขาคิดผิดไปหน่อย
ผมว่าเขาขาดประสบการณ์ไปหน่อยตรงที่คิดว่าทุกคนจะใช้อาวุธในการโรมรันใส่คู่ต่อสู้อย่างเดียว แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด และมันใช้ไม่ได้กับผมที่โดนท่านอาจารย์สอนดาบที่เคารพรักสอนวิธีสู้แบบหลอกล่อคนอื่นมาตั้งแต่ตอนนั้น
ที่ผมเสียการทรงตัวตามแรงเขาน่ะเป็นการบลัฟ...แต่เอาจริงๆ ถ้าผมตัวไม่อ่อนพอก็คงทำอะไรแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็ต้องขอบคุณอาจารย์ของผมด้วยที่เคี่ยวซะผมแทบน่วม
ผมที่ ‘เสียการทรงตัว’ รีบใช้มือยันพื้นเป็นฐาน ใช้แข้งถีบที่เท้าเขาแรงๆ เพื่อให้เขาเป็นฝ่ายเสียการทรงตัวของจริง
และใช่ ถ้าเขาล้มจากด้านหน้า ย่อมต้องทรงตัวได้เร็วอยู่แล้ว ผมจึงรีบฉวยโอกาสก่อนเขาจะทรงตัวได้คว้าคอเสื้อเขา แล้วดึงให้เขาล้มลงหงายหลัง
แล้วขึ้นคร่อมเขาพร้อมใช้ดาบไม้จ่อคออีกฝ่ายเอาไว้
จากนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่ง ในใจรู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ
ผม...ชนะรุ่นพี่เพอร์ซิวัล? ผมเนี่ยนะ!