ผมตอนนี้เป็นได้แค่ตัวประกอบนักแสดงโนเนม ไม่มีใครสนใจเป็นแค่คนไร้ค่าและที่ผมต้องกลายเป็นแบบนี้ทุกอย่างก็เป็นเพราะคุณ!
ชาย-ชาย,ไทย,รัก,ตัวประกอบ,#BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เช้าวันต่อมาผมถูกเรียกตัวให้เข้าบริษัท ผมเดินเข้าห้องไปด้วยอารมณ์ดี หรือว่าทางกองจะได้นักแสดงครบแล้วกันนะ ผมคิดในใจและระบายยิ้มออกมาอย่างร่าเริง เมื่อเข้ามาในห้องก็เอ่ยทักทายผู้จัดการทั่วไปทันทีแต่ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไรนัก
และผมเองก็ไม่ได้คิดมากอะไรเกี่ยวกับท่าทางของเธอด้วย ผู้จัดการทั่วไปไม่พูดอะไรมากมายเธอหันหน้าไปที่เก้าอี้ข้างโต๊ะของเธอเพื่อบอกว่าให้ผมนั่งลง
ผมยิ้มออกอย่างไม่สบายใจนัก ผมเดินมาที่เก้าอี้ ผู้จัดการหยิบเอกสารที่อยู่โต๊ะแล้วเอื้อมมือส่งให้ผม ผมรับเอกสารมาด้วยความมึนงงก่อนจะเปิดออกมาดู เอกสารก็เหมือนกับอาทิตย์ที่แล้วที่ผมได้ ก็ปกตินี่น่าแล้วทำไมต้องทำหน้าตาแบบนั้นด้วย ผมคิดในใจก่อนจะสะดุดตาที่บรรทัดบทที่ผมได้แสดง
ทำไมถึงไม่เป็นชื่อผมกัน แล้วนี่มันชื่อใครกัน ผมเงยหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดปนงุนงงอย่างได้ชัดเจน ผมมองไปทางผู้จัดการทั่วไปอย่างหาคำตอบ
"ก็อย่างที่เห็น ทางผู้กำกับเขาขอเปลี่ยนคนแสดงน่ะ "
ผู้จัดการพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"แต่เธอไม่ต้องเป็นห่วงน่ะ ไม่ได้เล่นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทางผู้กำกับเขาได้เลือกส่งงานแสดงอื่นมาให้เพื่อเป็นการขอโทษนะ"
ผู้จัดการได้ส่งเอกสารอื่นมาให้ผม ผมที่ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก จึงยอมรับเอกสารอันนั้นมา และเมื่อได้ดูบทที่มาใหม่สีหน้าของผมก็ยิ่งย่ำแย่มากขึ้น ผมพูดกับผู้จัดการโดยความไม่พอใจเล็กน้อย
"แต่บทนี้มันเทียบกับบทนั้นไม่ได้เลยนะครับ"
ผู้จัดการทั่วไปเมื่อเห็นสีหน้าของผมก็ถอดหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะพูดเสียงเทือกเย็น
"ก็มันช่วยไม่ได้! เธอก็เป็นแค่นักแสดงหน้าใหม่ เธอแทบจะไม่ได้มีสิทธิ์เลือกงานด้วยซ้ำไป"
ผมมองหน้าเธออย่างไม่พอใจในคำตอบที่เธอพูด ผู้จัดการทั่วไปเมื่อเห็นแบบนั้นก็รู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของผม เธอดึงหน้าไม่พอใจใส่
"สรุปจะเอาไหม? ถ้าไม่ จะได้ให้คนอื่น"
เธอพูดออกมา ผมได้แต่กักเก็บความไม่พอใจไว้ในใจก่อนจะพยักหน้าตอบเธอ
"ครับ"
ผมพูดออกมาเสียงเบา ผู้จัดการเมื่อได้ยินผมตอบแล้วก็ไล่ผมออกจากห้องไป
ผมเดินออกจากห้องด้วยจิตใจห่อเหี่ยวตลอดทั้งสัปดาห์ผมตั้งใจกับบทนั้นมาโดยตลอด ผมคาดหวังจะให้บทนั้นเป็นบทแจ้งเกิดด้วยซ้ำไป นั้นก็เพราะว่าละครเรื่องนั้นเป็นละครที่สร้างมาจากนวนิยายเรื่องดัง แน่นอนว่าต้องมีแฟนคลับนิยายรอติดตามด้วย
แถมนวนิยายเรื่องนั้นนะเป็นนิยายที่ได้รับรางวัลเมื่อปีที่แล้ว มีคนไม่น้อยที่ติดตามและทางนักเขียนเองก็ยังถือว่าเป็นคนดังมากด้วย
ผมเดินข้ามทางม้าลายเมื่อจะเดินทางกลับห้อง ระหว่างเดินไปเรื่อยๆ สายตาของผมก็ไปเจอร้านอาหารร้านหนึ่ง คิดไปคิดมา ขาก็ผมก็เดินเข้าไปที่ร้านนั้นเสียแล้ว
กริ้ง!
เสียงประตูเปิดออกเป็นการบอกว่ามีคนเข้ามาที่ร้าน ผมเดินเข้าไปในร้านสายตามองไปรอบร้านที่ยังไม่มีคนมาใช้บริการ ผมเดินไปทางโต๊ะที่อยู่ข้างหลัง ผมเลือกที่นั่งลงติดกับบริเวณกระจก
เมื่อผมสั่งเมนูอาหารไป ผมก็นั่งมองวิวผ่านกระจก เมื่อรอได้สักพักอาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมกล่าวขอบคุณพนักงานการจะนั่งทานอาหารไป
กริ้ง!
เสียงประตูร้านดังขึ้นอีกครั้ง ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมแมสสีดำปกปิดหน้าตาเดินเข้ามาที่ร้านก่อนจะเลือกที่นั่งใกล้ๆผม
ผมนั่งกินอาหารไปเรื่อยๆก่อนจะหยิบเอาบทใหม่ที่ทางผู้จัดการทั่วไปให้มาลองอ่านไปเรื่อยๆ ระหว่างที่นั่งกินไปด้วย ผู้ชายที่มาใหม่เองก็ได้รับอาหารแล้ว แต่ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะทานอาหาร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
มือหนาหยิบเอามือถือขึ้นมากดรับสาย และนำมาแนบที่ใบหูก่อนจะส่งเสียงถามคนที่โทรมา
"มีอะไร"
ผมเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักก็นั่งอ่านบทต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ยินอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมต้องหยุดการกระทำทุกอย่างไป
"อืม ฉันได้บทนั้นมาแล้ว"
"บทนั้น ฉันไม่ได้แย่งใครมาซะหน่อยทางผู้กำกับเขาเปลี่ยนเอง"
ในขณะที่ผมกลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกแปลกก่อนจะแอบฟังบทสนทนาต่อ
"ผู้กำกับเขาคงอยากจะเอาใจฉันด้วยละมั้ง ถึงขนาดเอาคนที่ได้บทนั้นออกเลย"
"ก็มันช่วยไม่ได้นี้น่า วงการนี้ปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่แล้ว ก็ถือว่ามันเป็นบทเรียนแรกให้กับผู้ชายคนนั้นแล้วกัน"
ผมวางบทในมือลงบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งฟังผมยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของผมกันนะ
"แต่พอมาดูแล้ว ฉันน่ะเหมาะกับบทนั้นมากว่าผู้ชายคนนั้นอีก "
ผู้ชายร่างสูงทำท่านึกอะไรบางอย่างอยู่สักพัก
"ชื่ออะไรน่ะหรอ อืมมม น่าจะชื่อ เซน "
ผมตกใจนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อได้ยินชื่อของผมที่ออกมาจากปากของผู้ชายคนนั้น เขาพูดถึงผมจริงๆด้วย
"ก็เก่งแหละ แต่ในโลกความเป็นจริงมันก็เป็นแบบนี้ เก่งแต่ถ้าไม่มีใครคอยเป็นแบคให้จะอยู่รอดได้ยังไงล่ะ" ชายร่างสูงพูดออกมาโดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่เขาพูดอยู่นั้นกำลังนั่งฟังเขาอยู่
"สงสาร? หึ ฮ่าๆๆ ใครจะไปสงสารใครก็ไม่รู้กันล่ะ ก็บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ"
ผมกัดฟันแน่นเมื่อเขากำลังนั่งหัวเราะอย่างมีความสุข
"แค่นี้นะ ฉันจะกินข้าวแล้ว"
ผู้ชายคนนั้นวางสายก่อนจะถอดแมสที่ปกปิดใบหน้าออก ก่อนจะเริ่มทานอาหาร
ผมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะเก็บของบนโต๊ะและจ่ายเงินค่าอาหารก่อนออกจากร้าน และก่อนไปผมหันไปมองผู้ชายคนนั้นอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป