ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,วิปลาสทรชน,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วิปลาสทรชนยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567
วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567
ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศหรือไนซ์ เขมทัศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด
แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต
#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้
ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เห็นคนแจ้งนัทว่า อ่านกลางคืนไม่ได้ นัทเลยแก้ใหม่ให้นะคะ แจ้งเตือนรบกวนใครขออภัยด้วยน้า🥺
รีไรท์ตอนที่ 1 เรียบร้อยแล้วค่ะ กว่าจะมีตอนใหม่นั้นจะมีตอนรีไรท์อัพแทนนะคะในช่วงนี้ จะมีเนื้อหาที่เปลี่ยนไปพอประมาณค่ะแต่ไม่หลุดธีมหลัก คนที่อ่านมาก่อนไม่ต้องกังวลนะคะเนื้อหาเหมือนเดิมแค่ละเอียดมากขึ้นเท่านั้น!
ฟ้าฝนภายในยามวิกาลพร้อมฟ้าร้องดังลั่นเป็นระยะ ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่สไตล์โมเดิร์นหลังคาทรงไทยที่มีรูปปั้นสิงโตตั้งอยู่กลางบ้านที่แสดงถึงอำนาจและเกรงขามกับสวนดอกไม้บานสู้ฝนพริ้วไหวไปตามลม และต้นดอกไม้พิกุลยังคงยืนต้นแข็งแรงเป็นสัญลักษณ์ประจำบ้านอยู่ไม่น้องไปกว่า5ต้นของที่บ้านหลังนี้
เวลาเที่ยงคืนของราตรีอันมืดมิดมันคือช่วงแห่งการเข้าสู่นิทรา ทว่าชายหนุ่มที่อยู่ในวัยชราวัย 65ปีอย่าง สิระ อมาตยกุล อดีตผู้พิพากษาที่ทำงานกฏหมายในชั้นศาลมาแล้วครึ่งชีวิต เขาได้ลาจากตำแหน่งและมาใช้ชีวิตกับลูกชายทั้ง5คนของเขา ณ ตอนนี้สิระกำลังรอลูกชายหัวแก้วหัวแหวนที่พึ่งกลับมาจากต่างประเทศด้วยกันวันนี้ทั้งหมด ซึ่งพวกเขามากันครบแล้วและยังนั่งสบายใจหรือทำอะไรตามใจตามประสาคนที่พึ่งเหนื่อยจากการเดินทาง
บัดนี้ ลูกชายของเขามากันแค่ 4คนเท่านั้นและอยู่ในโซฟาเดียวสีดำของตัวเอง ขาดหายไป1คนนั่นคือลูกชายคนโตแก้วตาดวงใจของเขา
“ปวริศยังไม่มาเหรอเอดดี้”
สิระถามเอดดี้หรืออดิสรณ์ อมาตยกุลลูกชายคนที่4 หนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดาเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่นั่งเล่นเกมโทรศัพท์บนโซฟาเดี่ยวเงียบๆ คนเดียวเมื่อกี้ได้หันมามองพ่อตัวเอง
“พี่เหรอ เห็นไลน์มาบอกว่าเขาพึ่งถึงกระบี่น่ะครับ”
“กระบี่เหรอ?”
“ครับ เขาบอกมาแบบนั้น”
“พี่ปวริศเขาบอกช่วงเวลาไหนเหรอครับ?”
วสันต์ อมาตยกุลลูกชายคนที่2 ชายหนุ่มที่ขาวที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้ง5คน และเป็นคนเดียวประกอบอาชีพข้าราชการอย่าง อัยการ ซึ่งเขาได้ถามน้องชายคนที่4ของบ้านด้วยน้ำเสียงฉะฉานเหมือนทุกที อดิสรณ์ก็หยิบโทรศัพท์ตัวเองและเปิดแชทข้อความที่ได้คุยกับปวริศ“
"ตี5 เมื่อวาน”
อดิสรณ์ตอบและเขาก็เปลี่ยนจอเขาเล่นอีกครั้ง ซึ่งชายหนุ่มลูกครึ่งผู้นี้ก็ชนะขาดลอย ถ้าให้นับตอนนี้ตลอด10ตาที่เจ้าตัวเล่นมาไม่เคยแพ้เลยสักตาเดียว ก่อนที่จะเบื่อหน่ายแล้วออกจากโทรศัพท์พักเครื่องไป
“จริงเหรอ มาช้าจัง” สิระผู้เป็นพ่อถอนหายใจ“
"อาจจะจราจลติดขัดหรือมีงานด่วนเลยมาช้าก็ได้ครับคุณพ่อ และนิสัยพี่ริทถ้าไม่มีงานหรืออะไรมาแทรกเขาจะบอกตลอดครับ”
วสันต์ได้อธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มน่าฟังให้กับพ่อของเขาอย่างสบายใจ สิระหันไปก็เห็นลูกชายคนนี้ที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เขาเสมอ“
"งั้นเหรอ พ่อแก่แล้วนิสัยบางอย่างของเขาพ่อก็หลงลืมไปบ้าง”
“พี่วสันต์เนี่ยใจดีจังเลยนะ พวกเรานั่งรอจนตูดชาแล้วเนี่ย พี่ริทมาช้าแบบนี้เขาควรรับผิดชอบเวลาสิ”
กรกฎ อมาตยกุลลูกชายคนที่5 คนสุดท้องของบ้านอมาตยกุล เจ้าของผมสีเงินผ่านการย้อมผมกับส่วนสูง180 ที่ตัวเตี้ยสุดในบ้านได้โพล่งขึ้นมาอย่างไม่พอใจกับพี่ชายคนโตที่มาไม่ตรงเวลา
“การเดินทางในประเทศไทย น้องก็น่าจะรู้นะครับกรกฏ” วสันต์ยิ้มให้เช่นเคย“
"ครับๆ ถ้าพี่ริทมาเมื่อไหร่ผมจะเรียกค่าเสียเวลาซะเลย!”
“เป็นเด็กเป็นเล็กรีดไถ่เงินพี่ตัวเองซะแล้วเหรอครับ ถึงว่าไม่มีใครคบ”
“พี่วสันต์ใจร้ายมาก ผมแค่ไม่ชอบรอคนที่มาสายเท่านั้นเอง”
“ก็ไปบอกพี่ริทสิครับ”
“ไม่อะ”
“ยังกลัวพี่เขาอยู่อีกเหรอ อายุตั้ง25แล้วนะตอนนี้”
อดิสรณ์มองน้องชายคนเล็กของบ้านอย่างเหนื่อยใจ
“พูดอะไร? ใครเขากลัวกัน”
กรกฎไม่สบอารมณ์ทันทีหลังโดนพี่ชายที่ห่างกันแค่3ปี อย่างอดิสรณ์มาพูดแบบนี้ใส่ ให้ถูกคือปวริศเป็นคนที่น่ากลัวและเวลาอยู่ใกล้เหมือนตัวเองจะโดนอีกฝ่ายฆ่าตลอดเวลาเลย และปวริศเป็นลูกชายคนโตการกระทำเขาเลยจะให้กรกฏที่เป็นคนเล็กสุดจะโดนเปรียบเทียบตลอด ถึงจะไม่มีคำพูดจากใครถึงอย่างนั้นสายตาคนรอบข้างมันบอกได้เสมอ
แต่นั่นเป็นแค่เรื่องในวัยเด็กเท่านั้น…
ระหว่างที่กรกฎ อมาตยกุลกำลังถอนหายใจ ประตูบานใหญ่ทางเข้าห้องได้เปิดออก สมาชิกทุกคนในบ้านต่างหันไปทางเดียวกันก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สวมแค่เสื้อเชิ้ตขาวขับแขนถึงศอก ผิวสีน้ำผึ้ง มีรอยแผลเป็นเล็กน้อย และชุดนั้นไม่ได้เปียกฝนที่ไหนเลย แสดงให้เห็นว่าลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้นั้น…
“มาถึงนานแล้วเหรอครับพี่ปวริศ”
วสันต์พูดขึ้นมาหลังจากที่ดูสภาพปวริศที่ดูไม่ได้เปียกฝนอะไร ทั้งทีภายนอกฝนตกหนักเพราะพายุเข้าแท้ๆ ถ้าให้จัดการตัวเองก่อนมาพบเจอก็ไม่มีทางอีกเช่นกัน เพราะว่าไม่มีสัญญาณให้เข้ามาทางไหนได้เลย เว้นเสียแต่ชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งมาถึงนานแล้ว“
"ใช่ แค่ไปนอนมานิดหน่อย”
ปวริศ อมาตยกุล ลูกชายคนที่1หรือคนโตของบ้านหลังนี้ได้เอ่ยเสียงเรียบทุ้มและพาตัวเองมาที่โซฟาที่ว่างไว้ให้เขาพอที่จะสามารถนั่งคนเดียว แต่คนที่ทำหน้าไม่พอใจนั้นคือน้องชายคนเล็กของบ้านอมาตยกุล
“นอนเหรอ พี่ริทจะบอกว่าตัวเองมาถึงก่อนเหรอ?”
“ไม่รู้สิกรกฎ…แต่ตอนที่มาถึงบ้านนี้ พี่ไม่เจอใครเลยนะ”
“แล้วให้คนอื่นรอเนี่ยนะ พี่เนี่ยไร้ความรับผิดชอบชะมัด”
ถึงกรกฎเขาจะไม่ชอบบรรยากาศที่ได้เจอพี่ตัวเองที่ให้เหมือนจะถูกฆ่าตลอดเวลา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ในอดีตเท่านั้นตอนนี้เขาอายุได้ 25ปีแล้ว ความรู้สึกที่ได้เจอปวริศ ผู้เป็นพี่ชายในตอนนี้มันช่างไม่มีอะไรเลย ทว่าปวริศนั้นไม่พูดอะไรนอกจากถอนหายใจอย่างเดียว
“วันนี้คุณพ่อเรียกรวมตัวพวกเรามาคงไม่ใช่เรื่องให้เรามานั่งทะเลาะเหมือน ‘เด็ก’ หรอกนะครับ”
ปวริศเน้นคำว่าเด็กในประโยค ทำให้กรกฎคิ้วกระตุกนิ่วหน้าเหวี่ยงใส่ทันที
“พ่อครับ ดูพี่สิปัดความรับผิดชอบเฉยเลย”
“ก็ต้องไม่อยู่แล้วปวริศ” สิระยิ้มและพูดแทรกไม่สนใจเสียงของกรกฎเมื่อครู่เลย"
“พ่อ!” กรกฎประท้วงเสียงใส่"
“ครับ รีบพูดเลย” ปวริศก็ไม่สนใจอีกเช่นกัน“
"นี่เมินกันเหรอ?!”
กรกฎอยากจะบ้าตายแต่ก็สายตาของเหล่าพี่ๆ ทุกคนมองมาที่เขานั้นต่างเป็นคำตอบ สายตาที่มองเขาและพี่ชายเป็นการเปรียบเทียบโดยไม่ต้องพูดออกมา ที่สำคัญพ่อของเขานัดให้มาเวลานี้และกำชับว่าห้ามสายซึ่งปวริศนั้นมาก่อนคนอื่นแต่ไม่มารอเหมือนที่ควรจะทำกัน
‘หงุดหงิดชะมัด’
ชายหนุ่มลูกคนเล็กก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์และพ่อกับเหล่าพี่น้องมองแบบนั้นให้เขา
“เมื่อ 1อาทิตย์ก่อน พ่อได้รับพระราชโองการสำคัญของเบื้องสูงมา แต่พ่อจะไม่บอกนะว่าเป็นใคร..”
“ครับ แล้วมีตรัสในเรื่องอะไรบ้างครับ?” วสันต์ถาม“
"ในประเทศไทย มีสิ่งที่เรียกว่ากฏหมายไม่สามารถทำอะไรต่อคนๆ หนึ่งได้ แม้เขาจะทำผิดที่ชัดเจนแค่ไหนก็ตาม ความยุติธรรมไม่เคยถึงตัวผู้ที่สูญเสียเลยสักนิดทั้งกายและจิตใจบอบช้ำเกินกว่าจะเยียวยาได้"
“กาบุรุษ?
”เหล่าลูกชายทั้ง 5คนได้พูดพร้อมกัน ทำให้คนฟังอย่างสิระที่ยิ้มบางก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ถูกใจทันที“
"ถูกต้องพวกกาบุรุษ ซึ่งในหมายนั้นเขาให้อำนาจพวกเราจัดการโดยไม่ต้องสนวิธีการ"
“จัดการเหรอ ฟังดูง่ายจังแสดงว่าฝีมือพวกนี้ไม่ธรรมดาใช่ไหมครับ?”
รังสิมันต์ อมาตยกุล ลูกชายคนที่3 หนุ่มตี๋กับทรงผมสกินเฮดเบอร์5 ไล่เฟดย้อมแดงได้พูดขึ้นหลังได้ยินสิ่งที่พ่อเอ่ยในสารนั้นฟัง เขารู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันดูง่ายแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นงานหยาบเช่นกัน มันทำให้รู้ว่าพวกนี้มันแข็งแกร่งจนต้องไม่สนวิธีการ
“มันเป็นอย่างที่ลูกพูดแหล่ะรังสิมันต์ ไม่งั้นพ่อจะส่งลูกทั้งหมดไปเรียนต่างประเทศและให้ไปอยู่ในสงครามจนสร้างผลงานทำไม ถูกไหม?”
“ยกเว้นพี่ปวริศนะครับที่ไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศ” กรกฎพูดแทรก
“รู้..แต่พี่แกไม่จำเป็นต้องไปเรียนแบบเดียวเพราะเขาแข็งแกร่งที่สุดยังไงล่ะ”
สิระพูดด้วยเสียงนิ่ง และความเงียบของลูกทั้ง4 คือคำตอบ พอเห็นสีหน้าที่นิ่งเฉยแบบนั้นแล้ว มือที่เหี่ยวย่นตามวัยของเขาได้หยิบรีโมทปิดไฟและเปิดมอนิเตอร์ฉายลงมาพร้อมกับเปิดไฟล์ภาพเหล่าสิ่งสกปรกที่อยู่ในประเทศไทยเป็นจำนวนมากเต็มจอให้ทั้ง5คนได้เห็น
“เอาล่ะ นี่คือพวกกาบุรุษที่กฏหมายหรือตำรวจทำอะไรไม่ได้” สิระเอ่ย
“เยอะจังเลย ปวดตาจังอะ~?” อดิสรณ์พูดด้วยเสียงติดเล่นในขณะที่ตาเขาก็มองไปยังมอนิเตอร์บนจอ
“มีคนที่ดูไม่น่าเหมือนกาบุรุษอยู่ในนี้ด้วยนะครับคุณพ่อ” วสันต์ถาม
“บางคนที่ลูกเห็นคือพวกที่ลอยนวลและอายุยังน้อยกัน กฏหมายเลยอนุโลมให้ในบางโอกาสต่อให้ไม่มีอำนาจ แต่กฏหมายก็ให้อำนาจพวกเขาเพราะขึ้นชื่อเป็นเด็ก แม้ความผิดจะชาติชั่วแค่ไหนก็ตามเพราะฉะนั้นพวกนี้เลยถูกนับว่าเป็นกาบุรุษด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ” วสันต์ตอบ
“เอาล่ะลูกรักของพ่อ จะจัดการพวกไหนเลือกได้ตามสบายเลยนะ”
“จัดการแบบของใครของมันเหรอ?” หนุ่มลูกครึ่งถาม
“ได้หมดจะช่วยกันหรือลุยเดี่ยวก็ได้ เพราะยังไงพวกลูกต้องจัดการพวกมันหมดอยู่ดี”
“ผมเอาคนนั้นครับ”
ปวริศพูดขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นจากโซฟาและหยิบดิ้วเหล็กที่ห่อเล็กในกระเป๋ากางเกงยืดออกมาแล้วชี้ไปยังบุคคลที่เขาเลือกไว้
“เอาคนนั้นเหรอ?” สิระถาม
“ครับและก็…ทั้งครอบครัวเขาครับ”
“เริ่มงานได้เมื่อไหร่?”
“3 วันให้หลังครับพ่อ”
“ดีมาก”
สายตาของสองพ่อลูกได้มองเข้าหากัน แววตาของปวริศยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปจากตอนวัยเด็ก สายตาที่ไม่ปราณีใคร ความเมตตาและเห็นใจนั้นมันไม่เคยมีอยู่ในตัวเขาของภายใต้นัยน์ตาสีดำทมิฬที่จ้องแล้วเหมือนโดนฆ่าได้นับ 1000ครั้งเพียงแค่มอง
เพราะว่าปวริศ อมาตยกุล เป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่มีสายเลือดฆาตกรและความชั่วไหลอยู่ในตัวเขา ฉะนั้นแล้วเหยื่อที่เขาเลือกในหน้าที่นี้ไม่รอดและตายอย่างทรมานแน่นอน
ที่มาคำว่าลูกชายสุดที่รักไม่ใช่คำที่มาได้ง่ายๆ โหดเหี้ยม อำมหิต และเลือดเย็นอยู่ในตัวปวริศ อมาตยกุลทั้งหมด เป็นนักฆ่าที่มากความสามารถไม่เคยปล่อยให้เหยื่อที่เล็งไว้หนีรอดไปได้เลยสักคนเดียว
“พ่อคาดหวังในตัวลูกนะ ปวริศ”
“ครับพ่อ”
“พรุ่งนี้พร้อมทำงานเลยไหมคะ?”
คำถามเสียงหวานของเจ้าของบริษัท จังเกิ้ลเทคโน จำกัด คุณปรานปรียา แสงอุทัย หญิงสาวที่ได้ถามยิ้มแฉ่งให้กับสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าแต่งตัวสมวัยกับสีเอิร์ธโทน ผมยาวสีดำที่มัดหลวมปลายสูง นัยน์ตาสีเขียวสวยน่ามองจนไม่ละสายตา
ปลายฟ้า รินใจ สาววัยแรกแย้มอายุ22ปีหมาดๆ ที่กำลังจะจบปี4ของเธอเหลือแค่รับปริญญาเท่านั้นก็สำเร็จการศึกษาคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย ด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 แต่เธอกลัยมาสมัครงานที่ไม่ตรงสายเสียอย่างนั้น
และมันโชคดีที่ปลายฟ้าได้งานนี้แล้วได้สัมภาษณ์กับคุณปรานปรียาที่เป็นเจ้าของเองถึงที่
“ค่ะ ฉันพร้อมมากค่ะ!”
เธอตอบเสียงหวานด้วยท่าทีที่หนักแน่น
“ที่ทำงานพี่ไม่เคร่งเรื่องการแต่งกายมาก ขอแค่สุภาพและกางเกงขายาวก็พอค่ะ”
“แบบที่หนูแต่งวันนี้ไหมคะ?”
“ใช่จ้า”
“ได้เลยค่ะ หนูชอบแต่งตัวแบบนี้ด้วยนะคะ สบายใจได้เลยค่ะ”
ปลายฟ้าตอบด้วยเสียงสดใสและรอยยิ้มกว้างตามฉบับเธอ ปรานปรียาที่พอเห็นเด็กที่ดูมีไฟแรงแล้วก็ยิ้มรับ
“ค่ะเจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ”
การสัมภาษณ์งานที่ผ่านไปได้ด้วยดีที่เป็นที่แรกที่สมัครและได้งานเลย นับว่าโชคดีที่สุดที่เคยมีมาเลยหลังจากที่ก่อนจะมาถึงตรงนี้ ปลายฟ้า รินใจคนสวยคนนี้ผ่านอะไรมาเยอะมาก และเธอจะพัฒนาชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ ให้ดีขึ้น
เธอดีใจจนดี๊ด๊าออกจากที่สัมภาษณ์จนไม่ได้ดูทางแต่อย่างใดทำให้ไปชนกับใครคนหนึ่งจนร่างกายแสนบอบบางของปลายฟ้ากระแทกล้มลงไป
“ข..ขอโทษค่ะ”
ปลายฟ้ารีบพูดขึ้นโดยที่เธอล้มก้นจูบพื้นไปแล้ว
“ไม่เป็นไรนะครับ”
เสียงไพเราะที่เอื้อนเอ่ยออกมาที่ฟังดูแล้วมีความห่วงใยและใจดีนั้น ปลายฟ้าเงยหน้ามองและเห็นอีกฝ่ายยื่นมือที่สวมถุงมือสีดำมาที่เธอ โชคที่ปลายฟ้าใส่กางเกงขายาวมาสมัครงาน ถ้าใส่กระโปร่งมาเธอคงนึกภาพไม่ออกเลยถ้าล้มแล้วมันจะเห็นอะไรไม่งามกว่านี้
แต่นั่นมีเรื่องที่สำคัญกว่า…คนที่ถามเธอนั้นเขาดูดีจนเธอเผลอหน้าแดงเขินเลยทีเดียว
ใบหน้าที่เกรียงเกลา สันกรามกรอบหน้าชัด ผิวสีน้ำผึ้ง นัยน์ตาสีดำสนิทที่อยู่ภายใต้กรอบแว่นตาแฟชั่นสีดำสนิทเหมือนกับสีผม และรูปปากกระจับสวยได้ที่เข้ากันอย่างลงตัว บวกกับไหล่กว้างที่ไม่แคบกับรูปร่างที่ดูแลตัวเองอย่างดีภายใต้เสื้อผ้าแสนธรรมดาอย่างเสื้อยืดคอวีสีขาว ที่สำคัญเขาตัวสูงมาก
“ขอบคุณค่ะ”
ปลายฟ้ารับมือและลุกขึ้นยืนเต็มส่วนสูง เธออยู่แค่ระนาบไหล่ของเขาเอง
“ดีแล้วครับ จะมาทำงานพรุ่งนี้เหรอ?”
“ค..ค่ะ ชื่อปลายฟ้านะคะ”
เธอตอบกลับทันทีพร้อมชื่อตัวเองแต่เหมือนชายหนุ่มจะมองอยู่ครู่หนึ่งและนิ่งไปสักเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มบางให้เป็นกันเองอีกครั้ง
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“คือพี่ชื่ออะไรเหรอคะ?”
ปลายฟ้าแทนตัวอีกฝ่ายว่าพี่ เพราะดูยังไงเขาน่าจะอายุมากกว่าเธอ แต่ชายหนุ่มที่สูงกว่าก็นิ่งพร้อมกับเหมือนพินิจเธอไปในตัว ปลายฟ้ารู้สึกว่าการถามชื่ออีกฝ่ายนั้นทำไมเหมือนมีกำแพงใส่
“ปวริศครับ”
“ปวริศเหรอคะ ชื่อจริงเหรอ?”
“เป็นทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นครับ”
“อ๋อ ค่ะพี่ปวริศ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีต้องเอางานนี้ไปให้พี่ปรานน่ะ”
เขายิ้มให้แล้วเดินจากไปโดยไม่หันมามองแต่อย่างใด ปลายฟ้าได้มองการแต่งกายของปวริศที่แต่งตัวสีดำทั้งตัวทั้งกางเกงและเสื้อเชิ้ต และรูปร่างที่สูงคาดว่าน่าจะ 180ขึ้นไปได้ ทำเอาปลายฟ้าหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว
“ตายแล้ว เจอผู้ชายเทสดีจนได้”
ทั้งสะอาดและดูมีมารยาท แถมยิ้มแล้วน่ารักอีกทั้งยังดูเป็นคนจิตใจดีอีกด้วย ปลายฟ้า รินใจคนนี้เริ่มดีใจกับชีวิตทำงานของเธอที่จะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเสียเหลือเกิน
“จริงสิ พี่เขาทำงานตำแหน่งไหนล่ะนั่น..”
มัวแต่ตื่นเต้นดีใจจนลืมถามเขาสนิท เพราะบริษัทนี้ตำแหน่งเยอะมากเธอเองก็อยากสนิทกับชายที่ตรงสเป็คตัวเองแท้ๆ ปลายฟ้ารีบหันไปก็ไม่เจอเขา
“เอ๊ะ ไปเร็วจัง…”
ปลายฟ้านึกสงสัยด้วยความที่เมื่อครู่เขาก็ไม่ได้จากไปไหนเร็วขนาดนั้น หรือว่าเขาเป็นพวกเดินเร็วกัน
“ไว้วันทำงานค่อยไปหาเขาแล้วกัน”