ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก

วิปลาสทรชน - ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (2) #รีไรท์ โดย myisodore @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วิปลาสทรชน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง

รายละเอียด

ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก

ผู้แต่ง

myisodore

เรื่องย่อ


วิปลาสทรชน

ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก 

อัพตอนใหม่ ทุกวันพุธกับเสาร์

ปลดตอนอ่านฟรี 1 วันรอแจ้งนะคะ


วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567

วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567


เรื่องย่อ

ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศหรือไนซ์ เขมทัศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด


แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล



คำเตือน

ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต


#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ




นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้


ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน




ช่องทางการติดตามทั้งหมด AllMyLink

สารบัญ

วิปลาสทรชน-ตอนที่ 1 สิ่งสกปรก #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 2 ความตาย #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 3 เธอมาที่นี่ (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 3 เธอมาที่นี่ (2) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (2) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (3) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 5 ตัวหมาก (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 5 ตัวหมาก (2) #รีไรท์ (อ่านตอน14.15น. สำหรับรีไรท์),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 5 ตัวหมาก (3) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 6 บ้าน (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 6 บ้าน (2) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 6 บ้าน (3) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 7 ความรัก (1),วิปลาสทรชน-ประกาศ หยุดอัพนิยายชั่วคราวไปจนถึงสิ้นเดือนหน้า,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 7 ความรัก (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 8 เรื่องของเธอคนนั้น (1),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 9 ผกามาศเพชฌฆาต (1),วิปลาสทรชน-ประกาศรีไรท์ ตอนใหม่+เนื้อหาที่เปลี่ยนเล็กน้อย+ติดเหรียญ,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 8 เรื่องของเธอคนนั้น (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 9 ผกามาศเพชฌฆาต (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 10 ดิ้นรนเพื่อคนอื่น (1),วิปลาสทรชน-แจ้งวันอัพนิยายอย่างเป็นทางการ และวันปลดอ่านฟรี,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 10 ดิ้นรนเพื่อคนอื่น (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 11 ล่าเหยื่อ (1),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 11 ล่าเหยื่อ (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 11 ล่าเหยื่อ (3),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 12 พลิกกลับ (1)

เนื้อหา

ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (2) #รีไรท์

แก้ไขครั้งที่1: 8 ก.ย 2567

เนื้อหาได้ปรับเปลี่ยนไปพอสมควรนะคะตอนนี้ แก้เนื้อหาตกหล่นไปด้วย


ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เริ่มชราภาพตามวัยสังขารของมนุษย์ สิระ อมาตยกุลได้มองวิวธรรมชาติทะเลสาปหลังบ้านด้วยสายตาที่เรียบง่ายและกำลังรอใครสักคนเข้ามาหาในกลางคืนที่มีแต่คนหลับนอน ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่ลูกชายของเขา ที่นอนไม่เป็นเวลา

“ผมขอเข้าไปนะครับคุณพ่อ”

เสียงที่มาพร้อมกับหลังเคาะประตู ในเวลานี้คงไม่ใช่ใคร แต่เป็นปวริศลูกชายคนโปรดของเขา

“เข้ามาได้”

เสียงแก่พูดตอบกลับและชายหนุ่มในชุดดำล้วนที่เปลี่ยนมาเรียบร้อย เขาก็นั่งโซฟาตรงข้ามกับสิระโดยมีเอกสารเป็นกองปึกมาวางข้างๆให้กับสิระ

“จัดการคนแรกได้แล้วเหรอ?”

“ครับคุณพ่อ”

“รอบนี้ช้านะ ทำอะไรอยู่เหรอ?”

“พอดีเหยื่อมันไหวตัวทันเลยต้องเล่นตุกติกเยอะสักหน่อย”

"งั้นเหรอ แสดงว่ากาบุรุษคนนี้คงไม่ธรรมดาจริงๆนั่นแหล่ะ"

"ครับ ตอนนี้เหลือแค่สามีคนเดียวแล้ว พอจัดการเขาได้ค่อยไปเก็บญาติเขาต่อ"

"ดีมาก"

"ตอนนี้ผมได้เอกสารมาแล้ว รบกวนคุณพ่อตรวจสอบเองนะครับ"

"ได้"

สิระมองไปยังกองเอกสารที่วางข้างตัว รู้เลยว่ามันเยอะมากพอที่จะจัดการให้หมดสิ้น

“ที่จะรายงานมีแค่นี้ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”

ปวริศลุกขึ้นเต็มส่วนสูงและกำลังจะออกไปจากห้อง ซึ่งมือหนาภายใต้ถุงมือสีดำยังไม่จับลูกบิดประตูแต่ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะพื้นดัง 1ครั้ง เป็นเสียงที่บ่งบอกว่า สิระหรือพ่อของเขายังไม่ได้บอกให้ไปไหน

“ขอโทษทีนะปวริศ พ่อได้ยินจากวสันต์ว่าลูกพาสาวแปลกหน้ามา เรื่องจริงเหรอ”

สิระถามเสียงนิ่งและคาดหวังคำตอบว่าจะเป็นคำพูดที่ไม่แย่เกินไป ตัวต้นเรื่องก็หันมาด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงสีหน้าอะไร ปวริศก็เปิดลูกบิดประตู

“ใช่ครับ พอดีผมมีเรื่องพิสูจน์อะไรสักหน่อยเลยพามาที่นี่ รอผลลัพธ์ตอนที่เธอฟื้นนะครับ”

ประตูได้เปิดกว้างและร่างสูงในชุดดำล้วนก็ออกไปพร้อมเสียงปิดประตูที่ก้องกังวาน สิระไม่พูดอะไรเขาก็ยกยิ้มมุมปากพลางสงสัยว่าปวริศมีเรื่องอะไรที่อยากพิสูจน์

“ทั้งชีวิตที่แกได้มาอยู่ที่นี่ก็พิสูจน์ไปเยอะแล้วนะ ยังมีอะไรที่ต้องทำแบบนั้นอีกเหรอ?”

สิระไม่เคยสงสัยในทุกด้านของปวริศเลยสักครั้ง เพราะเป็นลูกชายที่ทำตามความต้องการของคนเป็นพ่อได้หมดเลย ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่ได้ยินคำปริปากบ่นออกมาเลยสักครั้ง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าปวริศ อมาตยกุลสามารถทำในสิ่งที่คนเป็นพ่อต้องการได้อย่างยอดเยี่ยม ต่างจากลูกคนอื่นที่ยังขาดๆเกินๆ ไปด้วยซ้ำ

“เอาเถอะ พ่อจะรอนะลูกรัก”

.

ดวงตากลมสีเขียวสวยได้ลืมขึ้นมาอย่างงัวเงียแต่ก็ไม่ต้องปรับสายตามากเพราะว่าห้องนี้ไม่มีแสงสว่างมีแต่ความมืดที่ไม่รู้เวลาเท่าไหร่ ปลายฟ้า รินใจลุกพรวดตกใจพร้อมกับดูสภาพตัวเองในที่มืดที่เสื้อผ้าได้ถูกเปลี่ยนไป รวมไปถึงเสียงโซ่ทุกครั้งที่เธอขยับขาและบางอย่างเหมือนล็อคที่ข้อเท้าหญิงสาวไว้

“ที่นี่ที่ไหน ฉันโดนจับมาเหรอ?!”

เธอตื่นตะหนกกลัวทันที หัวใจดวงน้อยๆ ได้หล่นตุบ ความสบายใจจนไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่หวาดระแวงนี้ได้เลย และขาที่ถูกยิงในตอนนั้นก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา ปลายฟ้าเอามือบางไปลูบแปลที่ถูกยิงอย่างเบามือพบว่ามันถูกทำแผลไปแล้วเรียบร้อย

"เจ็บจังว่าแต่ใครทำแผลให้น่ะ.."

ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรเสียงประตูเปิดได้ดังขึ้นพร้อมกับแสงจากด้านนอกได้กระทบเข้ามาในห้อง ปรากฏให้เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีเรือนผมสีเงินเปิดประตูห้องเข้ามา ปลายฟ้ายักคิ้วมองเพราะเธอไม่รู้จักเลยคนตรงหน้าเป็นใคร แต่ใบหน้าเขาก็หน้าตาดีใช่เล่น รูปร่างก็สูงพอตัว

“ตื่นพอดีเลยเหรอ หรือตื่นนานแล้ว?”

คำถามจากชายหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยถาม ปลายฟ้าก็ใจเต้นรัวและพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด เธอกลืนน้ำลายและเม้มปากสั่นแน่น

“ต..ตื่นพอดีค่ะ”

“ดีแล้ว เพราะถ้าไม่ตื่นจะสาดน้ำใส่น่ะ”

“ส..สาดน้ำเหรอคะ!?”

ปลายฟ้าเอ่ยเสียงสั่นลั่นถาม อีกฝ่ายก็พยักหน้าและเอากุญแจมาปลดล็อคที่ล็อคขาเล็กของเธอ

“อย่าพึ่งดีใจล่ะ ฉันมาที่นี่ไม่ได้มาช่วยนะแค่ให้ความสะดวกเพราะบ้านหลังนี้ใหญ่มาก ฉันกลัวเธอจะเดินออดแอ่ดน่ะ”

“ค..ค่ะ”

“เดินเองได้ใช่ไหม ตามฉันมา”

เขาเอ่ยเสร็จและรอให้ปลายฟ้าลงจากเตียง ทว่าความกลัวมันครอบงำจนขาไม่สามารถทรงตัวได้เลย ทำให้ล้มลงกับพื้นในที่สุด ปลายฟ้าเงยหน้าก็เห็นสายตา

“ข..ขอโทษค่ะ ฉันเดินเองได้จริงๆ พอดี…อา..แหะ พึ่งตื่นน่ะค่ะ”

หญิงสาวเริ่มไม่รู้จะพูดอะไรให้มันดูน่าฟังแม้ตัวเธอแทบใจเต้นสั่นกลัวจนมันอยากจะออกมาวิ่งหนีไปให้ไกลเหลือเกิน ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ขาที่พึ่งถูกยิงมันก็เจ็บสาหัสมากพอที่จะหนีไปไหนก็ยาก

ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เห็นก็ห่อไหล่ลงถอนหายใจแล้วเดินมาหาปลายฟ้าพร้อมกับนั่งคุกเข่า

“หนักเท่าไหร่?”

“เอ่อ…54 ค่ะ”

“สูงล่ะ?”

“167…ค่ะ”

“อืม..อุ้มไหวอยู่”

“อะไรนะคะ?!”

ปลายฟ้ายังไม่ทันได้ถามหรือคิดอะไร ร่างบางก็อีกฝ่ายจับพาดไหล่ด้วยแขนข้างเดียวแล้วเดินออกไป คนถูกอุ้มไม่คิดขัดขืนอะไรเธอไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวก็มองรอบๆ บ้านที่เดินผ่านไปมาอย่างตั้งใจ

การตกแต่งสไตล์โบฮีเมียนสีฉูดฉาดไปมาแม้พรมในบ้านยังเป็นลวดลายและมีต้นจั๋งกับต้นยางอินเดีย

ในกระถางสีขาวไร้ลวดลายที่วางเป็นทางๆ ที่เห็นได้หลายอัน ปลายฟ้าสัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าบ้านนี้เป็นบ้านคนมีฐานะพอตัวและชายแปลกหน้าที่อุ้มเธอได้หยุดลงมาที่ห้องหนึ่ง เขาเปิดประตูไปและวางลงโซฟาใหญ่อย่างแรงโดยไม่คิดจะบอกหรืออะไรให้ปลายฟ้สเตรียมใจ

“ผมพามาแล้ว”

เขาพูดอย่างไม่พอใจแล้วไปนั่งโซฟาของเขา ปลายฟ้ามองไปยังภาพเบื้องหน้าก็พบชายหนุ่มหน้าตาไม่รู้จักเลยสักคนที่นั่งบนโซฟา คนที่เหมือนลูกครึ่ง ตาสีฟ้าที่จ้องเล่นแต่เกมส์ไม่สนใจกับอีกคนที่ดูหน้าดุและเหมือนจะพร้อมไม่ผูกมิตรกับใคร

ทว่าคนที่ผมสกินเฮดสีแดงไล่เฟดตาตี่คนนั้น ปลายฟ้าจำได้ดีแม้เขาในตอนนี้จะไม่สวมหน้ากากรูปทรงแปลกก็ตาม

“คุณที่อยู่กับพี่ไนซ์ตอนนั้น!?”

เธอชึ้ไปที่เขาทันที และสายตาคนอื่นๆ ก็จ้องไปด้วย

“ใครเหรอครับไนซ์?” ชายหนุ่มหน้าเหวี่ยงถามขึ้น

“เอ๊ะ..อา พี่ที่ทำงานน่ะค่ะ”

“เสียใจด้วยนะ คุณผู้หญิงที่นี่ไม่ใช่ที่ทำงาน แต่เป็นบ้านของครอบครัวอมาตยกุล”

หนุ่มตี๋ยิ้มให้เธอเป็นมิตร แต่ก็ไม่ได้สร้างความสบายใจให้ปลายฟ้า รินใจเลยแม้แต่น้อย

“พี่ชื่อรังสิมันต์นะ ส่วนคนที่หน้าไม่เป็นมิตรคือพี่วสันต์ และคนที่พาเธอมาคือกรกฎ สุดท้ายคนที่เล่นเกมส์ไม่คิดจะคุยกับใครคืออดิสรณ์นะ”

รังสิมันต์ยิ้มอธิบายให้ทีละคน

“เรียกเอดดี้ก็ได้ครับ” เจ้าของชื่ออดิสรณ์พูดเสริมในขณะที่เขาไม่วางตาจากเกม

“ค่ะ…”

ปลายฟ้าไม่รู้จะตอบยังไง ก็ได้แต่พูดสั้นๆ ไปแบบนั้น

“แล้วพี่ริทจะมารึยัง” กรกฎถามขึ้นมา

“เดี๋ยวก็มา เขาต้องพาพ่อมาที่นี่ด้วย อีกอย่างท่านก็อายุเยอะแล้ว ให้เวลาคนแก่สองคนหน่อยสิกรกฎ” อดิสรณ์ยิ้มให้

“อายุเยอะเหรอคะ?”

ปลายฟ้าเอียงคองุนงงใส่ อดิสรณ์ที่เล่นเกมจบก็เอาจอโทรศัพท์ลงแล้วมองไปที่หญิงสาว ทำให้เธอเห็นนัยน์ตาสีเฮเซลน้ำตาลสวยที่ดูก็รู้ว่าเป็นลูกครึ่งแน่นอน

“ใช่ พ่อน่ะแก่แล้วและพี่ริทก็เช่นกัน”

“พี่ไนซ์เหรอ…ไม่สิ พี่ปวริศสินะคะ”

ปลายฟ้าพอจะที่จะจับต้นชนปลายได้ เธอจำได้ว่าชายคนนี้มีสองชื่อคือไนซ์ เขมทัศกับปวริศ

“ไนซ์เหรอ คิดอะไรถึงตั้งชื่อเล่นไม่เข้ากับหน้าล่ะเนี่ย”

เขามองไปยังคนที่ดูไม่คิดจะผูกสัมพันธ์ให้ ซึ่งหญิงสาวเองก็มองไปตามหนุ่มลูกครึ่งคนนั้น

“เลิกล้อเถอะ นายก็รู้ว่าพี่ริทเขาไม่ได้มีความสามารถด้านนี้นะครับเอดดี้” วสันต์ถอนหายใจ

“ก็หน้าพี่เขาไม่น่าชื่อแบบนี้นี่ พอเห็นตั้งชื่อไม่เข้ากับหน้าแล้วอดขำไม่ได้น่ะ”

เอดดี้หัวเราะในลำคอพลางมองหญิงสาวไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ปลายฟ้าก็ยิ้มแห้งใส่

‘ไม่เข้ากับหน้าเหรอ’

ปลายฟ้าคิดในใจแต่ก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่เข้ากับชื่อนี้ พูดให้ถูกคือเขาคนนั้นชื่อแบบไหนก็ดูเป็นตัวเขาอยู่ดี เพราะหน้าเขามันดูดียังไงล่ะ

“ไม่ต้องไปคุยกับพี่เขามากหรอก มันบ้า”

เสียงของกรกฎดังขึ้นมา ปลายฟ้าก็เหลือบมองไปที่ชายคนนั้นอย่างเงียบๆ พบว่าสีหน้าดูเบื่อหน่ายแอบรำคาญผ่านน้ำเสียงเมื่อกี้

“หน้าตาหล่อ เป็นมิตร สาวกรี๊ดแบบนี้ฮอตเป็นบ้าใช่มะ?!”

“เห้อ ผมล่ะปวดหัวทุกทีเวลาคุยกับพี่เอดดี้เนี่ย”

กรกฎถอนหายใจใส่ ทำให้หญิงสาวได้แต่คิดว่าคนที่เป็นลูกครึ่งชื่อเอดดี้หรืออดิสรณ์อะไรนั้น คงเป็นพวกพูดไปเรื่อยแล้วชอบให้คนอื่นปวดหัว ที่คุยแล้วคงไม่มีใครอยากสนทนาต่อ

มือบางกำชายเสื้อแน่น ไม่รู้ว่าทำไมถึงโดนจับมาที่นี่เจตนาดีหรือไม่นั้น ปลายฟ้า รินใจนึกไม่ออกเลย ได้แต่ภาวนาว่าคงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวที่จะเกิดขึ้นกับเธอแค่คิดแค่นี้ หัวใจมันเต้นรัวที่เต็มไปด้วยความรู้สึกกลัวทันที

‘จะหนียังไง…’

ปลายฟ้าสั่นไปหมดแต่ก็ต้องคุมความรู้สึกนี้ไว้ ไม่ใช่ออกนอกหน้าเกินไปแต่เหมือนบรรยากาศจะเงียบแปลกๆ เธอก็มองไปยังคนอื่นๆ และสายตาทั้งหมดจับจ้องมาที่จุดเดียวคือปลายฟ้า

น่ากลัว…

สายตาที่เหมือนไม่มีความรู้สึกและไร้อารมณ์ราวกับว่าหญิงสาวอยู่ท่ามกลางพวกคนไม่เหมือนคนปกติ ที่สำคัญคือสายตาที่มองมาตัวปลายฟ้าคนเดียว ทำให้เธอที่กลัวอยู่แล้วกลัวกว่าเดิมจนคุมน้ำตาไม่อยู่ แต่ไม่โฮร้องใส่พยายามกลั้นมันไว้พลางร่างกายที่สั่นเทาไปด้วย

“พวกเราให้บรรยากาศดูอึดอัดเหรอ?”

อดิสรณ์ถามแต่ปลายฟ้าส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ถ้างั้นก็อย่าร้อง เรายังไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะ”

น้ำเสียงที่เปร่งออกมาของอดิสรณ์ที่ฟังดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ใบหน้าเขานั้นกลับนิ่งโดยเฉพาะแววตาที่ไม่เหมือนตอนที่คุยเมื่อครู่ เหมือนกับบอกว่าถ้าหญิงสาวร้องไห้ขึ้นมาในตอนนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดคิดแน่นอน

“ค่ะ”

“ดีมาก”

อดิสรณ์ยิ้มหวานแต่ปลายฟ้าเม้มปากสั่นกลั้นน้ำตา ทว่าได้มีกล่องทิชชู่มาวางหน้าเธอซึ่งคนที่เอามาให้คือกรกฎ

“เช็ดน้ำตาเถอะ ฉันรู้ว่าเธอกลัว”

“ขอบคุณค่ะ”

“ใจดีจังเลยนะ น้องเล็ก” อดิสรณ์ทักใส่กรกฎ

“ใจดีอะไร ขืนร้องไห้ออกมาจะทำให้ใครแถวนี้หงุดหงิดรึเปล่าก็ไม่รู้”

“พี่ริทเขาสนใจด้วยเหรอ แค่คนแปลกหน้าร้องไห้น่ะ”

“ไม่รู้แค่กันไว้ก่อน คนแบบนั้นไม่ค่อยปกติอยู่”

การสนทนาของพี่น้องต่อหน้าปลายฟ้า เธอก็ได้แต่นั่งเงียบแล้วให้ทุกอย่างมันผ่านพ้นไปเพราะฉะนั้นแล้วปลายฟ้า รินใจจะทำตัวเป็นธาตุอากาศเอง

ทว่าคนที่มองปลายฟ้าไม่ห่างนั้นคือวสันต์ อมาตยกุล ด้วยการที่หญิงสาวเป็นคนที่พี่ใหญ่ในบ้านพามาเองและเขาบอกด้วยตัวเองอย่างมั่นใจว่าจะพิสูจน์อะไรสักอย่างเกี่ยวกับเธอคนนี้ ทำให้วสันต์ไม่เข้าใจเท่าไหร่หลังจากที่ได้มาเจอกับตาตัวเอง

‘ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีที่พี่ริทถึงกับไว้ชีวิตกันนะ’

แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจมากกว่าเดิม จนกระทั่งเสียงประตูเปิดออกก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนคือสิระ อมาตยกุลพ่อของพวกเขาที่นั่งอยู่วีลแชร์และชายหนุ่มผิวแทนใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวสีดำ ปวริศ ที่เข็นพ่อเขามา

“มาแล้วเหรอครับคุณพ่อ พี่ริทให้เขาไปตรงนี้เลยครับ”

วสันต์บอกทางให้เขาทั้งสอง ซึ่งพวกเขาก็ไปตามที่ชายหนุ่มบอก ปลายฟ้ามองปวริศที่ไม่คิดจะมองเธอในขณะที่เขาเข็นวีลแชร์ให้กับพ่อเขา

‘พี่ปวริศไม่มองเราเลย’

ทีแรกจะทักแต่พอสายตาหรืออะไรไม่มีการมองกันแบบนี้ ปลายฟ้าก็หวั่นใจไม่น้อยถึงอย่างนั้นเธอเองก็ยังคงพยายามข่มอารมณ์นั้นไว้ ในตอนนี้เธออยู่ตัวคนเดียวโดยคนตรงหน้าคือคนแปลกหน้าทุกคน

“คุณผู้หญิงคนนั้นแนะนำตัวให้ฉันหน่อยสิ”

ชายแก่ได้พูดขึ้น ปลายฟ้าก็เงยหน้าสบตาเขาและทุกคนในที่นี้ก็รอคำตอบจากเธอ

“ปลายฟ้าค่ะ”

“ปลายฟ้าเหรอ เหมาะกับเธอดีนะ”

“ขอบคุณค่ะ”

“รู้ไหม ทำไมถึงถูกพามาที่นี่?”

“เพราะว่า..เออ..ไม่รู้ค่ะ”

ปลายฟ้าก็หลบตาการสนทนากับชายแก่อีกครั้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องหลบตาด้วยเขาแค่มองเธอเฉยๆ เป็นเรื่องปกติของการสนทนาแท้ๆ ทำไมหญิงสาวกลัวได้ขนาดนี้กันนะ

“ไม่เป็นไร ฉันไม่ว่าอะไรเธอหรอก” สิระยิ้ม

“ค่ะ…”

“พอดีลุงได้ยินจากปวริศเมื่อเช้าว่า…เธอสามารถมองการเคลื่อนไหวของร่างกายคนก็รู้ได้ทันทีว่าว่าเจ็บตรงไหนใช่ไหม”

“เออ อะไรนะคะดูก็รู้ว่าเจ็บเหรอ?”

เธอไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าชายแก่พูดอะไรเลยทำหน้าสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ถึงในความจริงแล้วมันจะใช่ก็ตามไม่รู้ว่ามันสำคัญเหรอตรงนั้น แต่คนฟังอย่างคนอื่นนั้นแปลกใจจนขมวดคิ้วใส่

“ปวริศแน่ใจนะ?”

ชายแก่ได้หันมาถามลูกชายที่ตอนนี้เขากำลังจะเตรียมเปิดโปรเจคเตอร์อยู่

“ครับ เธอทำได้”

คำตอบสั้นๆ ที่ลูกชายคนโตตอบอย่างเรียบๆ พอน้องๆ ทุกคนรวมไปถึงพ่อได้ฟังแล้วมองหน้ากันเป็นตาเดียว ซึ่งกรกฎที่นั่งข้างปลายฟ้าก็ชำเลืองมองหญิงสาวด้วยความใคร่สงสัย

‘ทำไมพี่ริทถึงมั่นใจแบบนั้นนะ’

กรกฎคิดในใจเกี่ยวกับสาวคนนี้ ที่สภาพดูไม่น่าจะทำได้เลย แน่นอนว่าไม่ใช่แค่กรกฎคนเดียวที่คิดทั้งวสันต์ รังสิมันต์และอดิสรณ์ก็คิดไม่ต่างกัน ระหว่างที่อยู่ในความเงียบในใจนั้น ปวริศ อมาตยกุลได้เปิดภาพฉายผ่านโปรเจคเตอร์ชายคนหนึ่ง ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุคาดว่าน่าจะไม่เกิน 30ปีที่เดินอยู่ตรงหน้าไปออกกำลังกายในยิม

“ชายคนนี้นามสมมุติ A อายุ27ปี ทำงานเป็นกราฟิกออกแบบให้กับบริษัทรับทำโฆษณาแห่งหนึ่ง งานอดิเรกคือออกกำลังเข้ายิมทุกเย็น ท่าออกกำลังกายที่ทำประจำคือสควอชและวิดพื้น ซึ่งหลังเลิกงานชายคนนี้จะไปเข้ายิมตกดึกจะกลับบ้านแล้วดื่มชาอุ่นก่อนนอนเป็นประจำ”

ปวริศอธิบายทุกอย่างเสร็จสรรพ ซึ่งวสันต์ที่มองจอก็ได้แต่คิดและตั้งคำถามในใจว่าทำไมถึงต้องให้คนธรรมดาในจอเป็นตัวเลือกในการพิสูจน์ขนาดนี้

‘พี่ริทเอาคนสุขภาพดีมาแบบนี้ จะรู้ได้ไงว่าเขาเจ็บตรงไหน’

วสันต์คาดว่าปวริศแค่อยากทดสอบหรือไม่ก็ปลายฟ้า อาจจะเป็นยอดนักเดาก็ได้

“ปลายฟ้า บอกหน่อยว่าคนนี้เขามีอาการผิดปกติตรงไหน?”

ปวริศมองมาที่ปลายฟ้าด้วยแววตาที่ไม่เหมือนตอนเจอกันที่ทำงานในเวอร์ชั่นพี่ไนซ์ เขมทัศแต่ทว่ากลับเป็นใครที่ไม่รู้จักเลยสักนิด เธอก็อ้ำอึ่งนิดหน่อยก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกขวัญกำลังใจตัวเอง พร้อมกับมองไปยังจอและสังเกตชายนามสมมุติ A คนนี้

“เขาเจ็บที่ตรงเอวข้างๆที่ขวาน่ะค่ะ ตรงเอวของเขา”

“เอวขวาข้างๆ?” รังสิมันต์ยักคิ้ว

“ดูยังไงเขาไม่น่าเจ็บตรงนั้นนะ แน่ใจเหรอ?” อดิสรณ์ถามอย่างสงสัย

“ค..ค่ะ” ปลายฟ้าตอบเสียงสั่น

“ปวริศถูกต้องไหม?” สิระที่ฟังผลลัพธ์เขาก็หันไปถามหนุ่มผิวน้ำผึ้ง

“ครับ”

คำตอบเดียวทำให้คนในห้องถึงกับแปลกใจ เพราะว่าชายสมมุติคนนี้ดูไม่มีท่าทีจะเจ็บตรงไหนชัดเจนเลย แถมกิจกรรมของเขาแทบจะดูแลตัวเองตลอดเวลาไม่น่ามีอะไรให้ร่างกายบาดเจ็บได้

“หลังจากนั้นไม่นานก่อนหน้านี้ เขาได้ไปทำการกัวซาที่คลีนิคเพื่อให้เอวของเขาตรงจุดนั้นหายเจ็บและคลายตัวครับ”

ปวริศอธิบายต่อแล้วก็เปิดภาพในจอต่อไปซึ่งเป็นชายหนุ่มนามสมมุติที่เขาได้ทำการรักษา ยิ่งเป็นภาพและหลักฐานการบาดเจ็บตรงนั้นชัดเจนแล้ว ทำให้คนในห้องทั้งหมดถึงกับแปลกใจเลยทีเดียว

“พี่ริทให้โพยรึเปล่า เธอดูตอบได้แบบไม่ติดขัดเลยนะครับ”

หนุ่มลูกครึ่งถามเสียงติดหัวเราะให้ปวริศที่เขาจะเตรียมเปิดอันต่อไป แต่พี่ใหญ่ไม่สนใจอะไรในคำพูดของน้องชายหน้าลูกครึ่งคนนี้ ซึ่งเอดดี้ก็ยักไหล่ใส่เพราะชินแล้วที่พี่ของเขาจะไม่ตอบอะไรที่ไม่จำเป็น แม้จะหงุดหงิดไม่น้อยเลยก็ตาม

“นางสาวสมมุติมะนาว เธอเป็นข้าราชการฝ่ายบัญชี หลังเลิกงานเธอจะกลับบ้าน ดูซีรีย์และนอน ตื่นเช้ามาไปทำงาน ปลายฟ้าพอบอกได้ไหมว่าเธอมีอาการเป็นยังไง?”

ปวริศถามโดยมองไปที่หญิงสาวที่นั่งพินิจ กรกฎที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลายฟ้าก็มองหาคำตอบเช่นกันว่านางสาวมะนาวคนนี้มีอาการอะไรที่ดูบาดเจ็บบ้างแต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ กลับบ้านรอรถเมล์ รวมไปถึงตอนอยู่บ้านแค่อาบน้ำและวาดรูปเล่นที่จอไอแพดของเธอ หลังจากนั้นก็นอนไป

“อา…เธอเจ็บที่ข้อมือขวากับไหล่ทั้งสองข้างค่ะ”

คำตอบของปลายฟ้าทำให้คนอื่นในห้องถึงกับแปลกใจได้อีกครั้ง ซึ่งคนในคลิปเป็นหญิงสาวที่ดูทำงานวนลูปแบบเดิมมาตลอดไม่มีแสดงอะไรแบบนี้มาก ทว่าหญิงสาวตอบได้แน่นอนว่าตัววสันต์เองก็คงสลัดความคิดที่เธอเป็นยอดนักเดาออกไปพอตัว

“ถูกต้องปลายฟ้า เธอได้ไปทำการรักษาข้อมือเธอหลังจากที่วาดรูปหนักเกินไปจากงานเสริม ส่วนไหล่นั้นเกิดจากนั่งแบบเดิมเป็นเวลานานทำให้ไหล่ของเธอมีอาการเจ็บปวด”

ปวริศเฉลยพร้อมกับเปิดภาพเหตุการณ์ต่อจากนี้ให้ทุกคนดูด้วย พอเห็นแบบนี้แล้ววสันต์ อมาตยกุลถึงกับหัวเราะในลำคอเลยทีเดียว เพราะความสามารถเพียงแค่ดูไม่ได้ลงลึกอะไรแต่กลับรู้ว่าเจ็บอะไรตรงไหนนั้น เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก ที่แน่นอนคือไม่ใช่แค่วสันต์คนเดียวที่คิดทั้งรังสิมันต์ อดิสรณ์และกรกฎต่างรู้สึกได้ว่า

…มันคือพรสววรค์ที่คนอย่างพวกเขาต้องการมากที่สุด…

…แน่นอนปวริศ อมาตยกุลก็ต้องการเช่นกัน…

ชายแก่คนเป็นพ่อแบบสิระ พอได้เห็นผลลัพท์ของหญิงสาวตัวเล็กแบบปลายฟ้าแล้ว เขาถูกใจเลยทีเดียวฉะนั้นแล้วปวริศ ลูกชายคนโตที่พามาในวันนี้นับว่าเป็นบุคคลชั้นยอดเลยก็ว่าได้

“ต่อไป–”

“พอแล้วลูกรัก” สิระพูดแทรก “พ่อพอใจมาก เก่งมากที่หาคนแบบนี้มาได้”

คำชมจากผู้เป็นพ่อที่มาจากใจนั้น ลูกชายคนโตสัมผัสได้

“ขอบคุณครับพ่อ” ปวริศยกมือไหว้ขอบคุณ

“เอาล่ะปลายฟ้า ลุงขอถามอะไรหน่อย”

“ว่ามาเลย…ค่ะ”

“ลุงจะให้เธออยู่ที่นี่เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกับฉัน ว่าไง?”

To be continued