ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,วิปลาสทรชน,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วิปลาสทรชนยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567
วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567
ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศหรือไนซ์ เขมทัศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด
แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต
#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้
ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
แก้ไขครั้งที่1: 11 กันยายน 2567
เพิ่มไปเยอะมากค่ะ นั่นก็คืออดีตของนางเอกเรานั่นเอง
ปกติคนเราจะไม่บอกชื่อจริงตอนอยู่ในช่วงล่านี่น่า ทำไมกัน
ในขณะเดียวกันหนุ่มตี๋กับทรงผมสกินเฮดสีแดงไล่เฟดของเขาได้เข้าห้องนอนของปลายฟ้า รินใจที่อยู่ชั้นล่างมุมขวาของบ้านในสุด ตอนนี้เขาเข็นอาหารมานั้นชายหนุ่มพึ่งนึกได้ว่า หญิงสาวจะชอบอาหารมื้อนี้รึเปล่าอยู่เลย แต่สนใจด้วยเหรอก็ไม่
มือหนายกมาจะเคาะประตูแต่ลืมไปเลยว่าตอนนี้น่าจะหลับอยู่ รังสิมันต์เลยถือวิสาสะเข้าไป
“สวัสดีครับ ขอเข้าไปหน่อยนะ”
แม้ภายในห้องจะมีห้องนอนซ้อนข้างในอยู่ถ้าไม่สังเกตจะนึกว่าเป็นห้องเก็บของ แต่ความจริงแล้วมันคือห้องนอนที่เปิดได้จากประตูด้านนอกเท่านั้น มือหนาเปิดประตูแล้วพบหญิงสาวในสภาพที่ข้อมือไปจนถึงศอกถูกพันแผลรักษาไว้เพราะกระดูกหัก แถมท่าทางปลายฟ้าดูสะดุ้งกลัวตกใจเมื่อเจอเขา
นัยน์ตาสีเขียวของหญิงสาวได้ทอดมองมาเหมือนเขาเป็นคนที่จะมาทำร้ายเธออย่างไรอย่างนั้น ทั้งทีเจ้าตัวก็ไม่ได้ล่ามโซ่เธอไว้ตอนที่ปฐมพยาบาลให้
“น่าน้อยใจน้า ฉันไม่ทำอะไรคนในบ้านเดียวกันหรอก”
หนุ่มตี๋ยิ้มให้และเอาอาหารมาวางตรงที่วางของด้านขวามือตรงเตียง ปลายฟ้ามองพะวงใจให้รังสิมันต์ไม่น้อย
“อาหารเช้าวันนี้คือต้มจืดฟักหมูบดและเต้าหู้ไข่นึ่งสุกแยกไว้ 10ก้อนต่างหาก”
รังสิมันต์ยิ้มเป็นกันเองพลางอธิบายเมนูอาหารให้ แต่ปลายฟ้าก็ยังมองระแวงอีกเช่นเคย แล้วเขาสนใจเหรอก็ต้องไม่อยู่แล้ว
“ให้ฉันป้อนให้ไหม?”
รังสิมันต์ถามยิ้ม ปลายฟ้าส่ายหน้าเป็นคำตอบทำให้เขาหัวเราะในลำคอใส่
“เหรอ สรุปคือจะทานเอง?”
“ค่ะ”
หญิงสาวตอบทันทีแต่เสียงเธอนั้นยังมีความสั่นกลัวอยู่ หนุ่มตี๋ทิ้งตัวลงขอบที่นอนแล้วเอาช้อนตักอาหารพอดีคำขึ้นมาแล้วเอาเข้าปากปลายฟ้า โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัวจนเกือบสำลักมัน
“ท..แค่ก..ทำอะไรน่ะ”
“ป้อนข้าวไง ข้อมือหักแบบนั้นทานไม่สะดวกหรอกนะ”
“ไม่ต้อง..แค่ก..ขอบคุณค่ะ”
“เธอปฏิเสธน้ำใจฉันเหรอปลายฟ้า”
รังสิมันต์ถามด้วยรอยยิ้ม แทนที่จะเป็นคำพูดที่ดีให้เธอไม่รู้สึกอะไร ทว่าเมื่อจ้องไปย้งแววตาที่คมคายของเขา ปลายฟ้ารู้สึกถึงอันตรายบางอย่างที่เธอคาดเดาไม่ได้ จนพยายามสงบสติและคิดว่าควรทำยังไงกับคนตรงหน้า
ซึ่งเธอจำได้เรื่องที่อดิสรณ์พูดวันนั้นในเรื่องจะให้เธอเป็นตัวทดลองอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นทำให้ปลายฟ้ากลัวไม่น้อย
“เงียบนานเลยนะกำลังคิดว่า ‘ฉันจะทำอะไรเธอรึเปล่า’ สินะ?”
“ไม่ค่ะ!” ปลายฟ้าตอบทันควัน
“ก็ดีแล้ว เธอไม่ต้องกลัวหรอกนะ ตราบใดที่อยู่เป็นคนในบ้านหลังนี้ ไม่มีใครทำอะไรหรอก”
คำพูดด้วยน้ำเสียงแสนใจดีของรังสิมันต์ อมาตยกุลและรอยยิ้มของเขาที่สร้างบรรยากาศความเป็นกันเองให้ปลายฟ้า รินใจคลายกังวลไป เธอมองตาเขาและปลายฟ้ารู้เสมอว่าแววตาไม่เคยโกหก
“ดีมาก ฉันป้อนข้าวให้”
พูดเสร็จหนุ่มตี๋ก็เอาถ้วยมาป้อนข้าวพอดีคำให้เธอ แม้จะมีอาการกังวลใจอยู่บ้าง จนได้กินหมดถ้วย
“กินหมดเลยเหรอเนี่ย แสดงว่าหิวมากเลยสินะ”
ชายหนุ่มมองอาหารที่เขาเอามาแล้วชมการกินอาหารของเธอ ที่ดูเป็นคนกินง่ายกว่าที่คิด ต่างจากกรกฎน้องชายคนเล็กของเขาที่กินยากแถมเลือกกินมากอีกต่างหาก
“ค่ะ”
“ฮ่ะๆ พูดตามสบายได้เลย มีอะไรสงสัยถามได้เลยนะ”
“จริงเหรอคะ…”
“ยกเว้น เรื่องจะหนีไปจากที่นี่นะ”
ยังไม่มันได้เอ่ยถาม โดนดักคอเสียก่อนเลยแต่ถึงอย่างนั้นต่อให้หนีไปปลายฟ้าก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าตัวเองจะหนีพวกเขายังไง เพราะพวกเขาคงเป็นคนที่ตามหาเธอได้ไม่ยาก
ที่สำคัญสายตาคมเล็กของรังสีมันต์มองมาที่เธอ เหมือนกำลังจะบอกว่า ห้ามโกหกและต้องพูดจริงเสมอ เหมือนถูกบังคับโดยไม่ต้องพูดหรือสั่งอะไร แต่กลับใช้สายตาและการมองหน้าแทน
น่ากลัว…ถึงจะไม่เท่าพี่ปวริศแต่อีกฝ่ายคือน้องชายของเขา คงเป็นพวกประเภทเดียวกัน ที่ไม่ปราณีและฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกผิด
“ไม่หรอกค่ะ บ้านฉันมีแค่ฉันคนเดียวอยู่หนีไปก็ไม่เจอใครหรอกค่ะ”
“อยู่คนเดียว ไม่มีญาติคนอื่นเหรอ”
“ไม่มีค่ะ หนูเสียพ่อแม่ไปนานแล้ว ที่ยังอยู่มาได้เพราะเงินที่หาจากการทำงานในวัยเรียนล้วนๆค่ะ โชคดีที่พ่อแม่มีบ้านให้ไม่ต้องไปเช่าที่อื่น”
ปลายฟ้าบอกตามความจริง แต่มีอีกเรื่องที่ไม่ได้ใส่ลงไปนั้นคือ หลังจากที่พ่อแม่ตายได้ 3ปี นอกจากเงินจากการทำงานในวัยเรียนแล้ว ยังมีเงินอุปถัมภ์โอนมาให้เธอใช้ทุกเดือนเดือนละ 10,000 บาทถ้วน จนถึงช่วงเรียนมหาลัย แต่พอจบมาเงื่อนไขนั้นก็จบลง
แม้จะไม่เคยเห็นหน้า ปลายฟ้า รินใจก็จำชื่อได้อย่างมั่นใจนั่นคือ ปริญ ชื่อนี้จะไม่มีวันหายไปไหนจนกว่าสิ้นชีวา ผู้อุปถัมภ์ตอนเรียนมหาลัย
สาเหตุที่ไม่เอ่ยไปนั้น ปลายฟ้ากลัวที่จะโดนพวกไม่ปกติไปกระทำผู้มีพระคุณของเธอ ในส่วนเรื่องญาติก็โกหกเช่นกัน ถึงพวกเขาจะไม่ได้เป็นคนดีอะไรขนาดนั้น ก็ไม่อยากให้เป็นอะไรไปอยู่ดี แม้พวกเขาจะรวยใช้ชีวิตได้หรูหราต่างจากหญิงสาวที่ต้องมีชีวิตให้ดีกว่าเดิม เลยกัดปากฟันถีบสู้ชีวิตเอา
“พวกเขาตายได้ยังไงเหรอ?”
“ตาย..เหรอคะ?”
“ใช่ ทำไมถึงตายทั้งคู่ล่ะ อุบัติเหตุเหรอ”
รังสิมันต์เท้าคางถามและมองไปยังแววตาสวยหวานของปลายฟ้า มื่อรู้ว่าตาสีเขียวสวยของเธอถูกจ้องก็หลบหน้าหนีแต่ก็โดนมือหนาจับปลายคางให้หันตรง
“มารยาทไม่มีเลยนะ หลบตาคุยแบบนั้นน่ะ”
'ให้ตายสิ อาหารที่กินไปมันจะอ้วกแทนแล้วเนี่ย…’ ปลายฟ้าบ่นในใจมือบางก็กำแน่นไม่รู้จะระบายความเครียดนี้ไปที่ไหน
“ขอโทษค่ะ คือมัน..จำไม่ได้จริงๆ มันนานแล้ว” เธอพูดและหันลูกตาหนีแทน
“งั้นเหรอ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ”
รังสิมันต์ยิ้มแย้มให้เธอพร้อมกับปล่อยมือที่จับคางออก ซึ่งคนได้ยินก็พยักหน้าตอบ
“ในเมื่อเธอเล่าของเธอแล้ว มีอะไรอยากรู้เรื่องของพวกฉันไหม?”
“รู้เรื่องของคุณเหรอคะ?”
“ใครก็ได้ในบ้านนี้ ยังไงเราก็อยู่ด้วยกันแล้ว จะรู้อะไรสักหน่อยก็ไม่เป็นไรนี่ถูกไหม?”
“ถามได้ทุกอย่างเลยเหรอคะ?”
“ใช่” รังสิมันต์ยิ้ม
“อา..งั้น..พี่ริทกับพี่ไนซ์คือเขามีสองชื่อเหรอคะ?”
“ไนซ์ เขมทัศเป็นชื่อของคนที่พี่ริทไปจัดการเพื่อเอาตัวตนเขามาใช้น่ะ”
“จัดการ..ฆ่าเหรอ!?”
“ใช่ การที่เราจะไปทำงานที่ไหนแล้วเข้าใกล้เหยื่อ พวกเราต้องหาผู้โชคร้ายสักหน่อย แล้วก็เปลี่ยนเอกสารเล็กน้อยจากนั้นค่อยลบข้อมูลทิ้งจากระบบ และฆ่าคนที่เกี่ยวข้องจัดการเรื่องข้อมูล”
“เดี๋ยวนะคะ ฆ่าคนที่เกี่ยวข้องจัดการเรื่องข้อมูล…เป็นใครบ้างเหรอคะ?”
“หื้ม พวกคนที่จัดการคนที่รับสมัครงานหรือพวก HR อะไรแบบนี้น่ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ…”
“แค่กันไว้ก่อนเฉยๆแต่ไม่ได้ทำหรอก เพราะว่าเราเสร็จงานแล้วก็จะลาออกเลยโดยไม่มีใครรู้น่ะสิ”
“ค่อยยังชั่วค่ะ นึกว่าจะไปฆ่าพวกคนออกทะเบียนราษฎร์”
ปลายฟ้าถอนหายใจโล่งอกที่ไม่ลามไปถึงตรงนั้น แต่พอได้เห็นสีหน้าของหนุ่มตี๋ที่ได้ยินเหมือนกับว่าเขาได้ยินเรื่องประหลาดใจจนหลุดหัวเราะเสียงดังใส่
“ข..ขำทำไมคะ?” ปลายฟ้าขมวดคิ้ว
“มันก็ ฮ่าๆ ทีแรกพวกเราไม่ได้คิดจะไปทำถึงตรงนั้นเลยนะ ไว้วันหน้าจะลองทำดู”
“ไม่ต้องค่ะ!!! ไม่ต้อง!!!!”
ไม่น่าเชื่อว่าตัวปลายฟ้าจะเป็นคนจุดประเด็นเรื่องแบบนี้เฉย ท่าทีของเธอมันก็ลุกลี้ลุกลนกับสิ่งที่เขาพูดไปเรื่อยทันที ทำให้รังสิมันต์ขำเหมือนโดนเส้นมากกว่าเดิม สารภาพจากใจปลายฟ้าไม่เข้าใจเท่าไหร่ทำไมถึงเป็นเรื่องน่าตลกได้ล่ะเนี่ย
“โอ๊ยย ตลกเป็นบ้า เลยฮ่าๆๆ”
“ค่ะ ตลกก็ตลก”
ถึงไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอโล่งอกมันตลกตรงไหนก็ตาม ชายหนุ่มที่เห็นไม่พูดอะไรก็พยายามหยุดหัวเราะใส่แล้วก็เก็บอารมณ์ให้นิ่ง
“โทษทีนะ มีอะไรอยากถามอีกไหม?”
“ก็..”
สารภาพจากใจปลายฟ้าไม่รู้จะถามอะไรต่อเลย และแล้วในหัวเธอก็ได้นึกอย่างหนึ่งขึ้นมานั่นก็คือคำถามที่ปวริศไม่ตอบเธอ
“คือว่าตอนที่หนูไปสัมภาษณ์งาน หนูเจอพี่ปวริศค่ะ”
“อืม…แล้ว”
“ตอนนั้นหนูถามชื่อเขา แทนที่เขาจะตอบเป็นชื่อตัวเองว่าไนซ์ เขมทัศแต่ทำไมถึงเขาบอกชื่อตัวเองเหรอคะ”
“บอกชื่อตัวเองเหรอ?”
รังสิมันต์ทวนคำถามแล้วคิดตามในสิ่งที่เธอพูด มาประมวลผลกับนิสัยของพี่ชายคนโตแล้วมันเป็นเรื่องแปลกจนน่าแปลกใจ
‘ปกติคนเราจะไม่บอกชื่อจริงตอนอยู่ในช่วงล่านี่น่า ทำไมกัน’
หนุ่มตี๋คิดในใจและงุนงงกับการกระทำของปวริศ แม้พี่ชายคนโตจะมีมุมแปลกบ้าง แต่เรื่องนี้มันคือสิ่งที่รังสิมันต์ไม่เข้าใจการกระทำของพี่เขาอันนี้ได้เลย
‘หรือว่า…ถูกใจเหรอ?’
ชายหนุ่มมองหน้าปลายฟ้าและครุ่นคิดไปด้วยซึ่งพอเห็นสภาพหญิงสาวที่ตัวผอมบอบบาง ดูไม่น่ามีแรงอะไรแถมผิวก็ขาวเนียน ผมเรียบตรงสีดำสนิทเหมือนขนนกอีกาแถมยังยาวไปถึงกลางหลัง ใบหน้าก็หวานตาโตพอเหมาะ เรียกได้ว่าน่ารักเลยก็ว่าได้ ไม่อยากเข้าข้างเท่าไหร่แต่อันนี้เป็นไปได้มากสุดว่าถูกใจหน้าตา
แต่…มันก็ไม่สามารถยืนยันได้อยู่ดีทำไมถึงบอกชื่อจริงตัวเองไป
“ไม่รู้สิ คงเพราะจะฆ่าเธอล่ะมั้ง”
เขาพูดเสียงหยอกล้อใส่และเก็บจานอาหารไปที่รถเข็น ร่างสูงก็เดินออกไปโดยที่เปิดประตูไว้ให้ แต่คนฟังอย่างปลายฟ้าหน้าซีดออกมาหลังได้ยิน หัวใจแทบหล่นตุบไปพื้น
แถมรังสิมันต์จากไปด้วยรอยยิ้มเป็นกันเองให้ทำเอาเธอแทบจะกรี๊ดให้ดังสุดเสียงเสียเหลือเกิน แต่มันทำไม่ได้เนี่ยสิ
ระหว่างที่ชายหนุ่มจะเข็นรถไปข้างนอกเพื่อออกจากห้องอีกที รังสิมันต์ได้เจอกับปวริศชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งได้เดินเข้ามาในอยู่ตรงหน้าห้องพอดี
“ทานข้าวรึยังครับพี่ริท”
“ยัง ว่าจะมาดูเธอสักหน่อย”
“ขอถามอะไรหน่อยสิครับ”
ปวริศหยุดเดินทันที หลังรังสิมันต์ทักขึ้นมา
“ทำไมถึงบอกชื่อจริงกับเธอตอนเจอครั้งแรกเหรอ?”
รังสิมันต์ถามด้วยรอยยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่าคำถามเขาทำให้คนเป็นพี่ใหญ่ของบ้านหันมามองด้วยปลายตานิ่งเฉยเหมือนทุกที ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาตอบโต้ก็ไวเช่นเดียวกัน หนุ่มตี๋เข้าใจเลยว่าพี่ใหญ่คนนี้มีอะไรดลใจที่ทำอย่างนั้นแน่นอน
“รู้แล้วนายจะได้อะไร”
“ไม่…ก็แค่อยากรู้เฉยๆ”
“ไม่มี”
“หื้อ? ไม่มีเหรอ?”
รังสิมันต์เอียงคอยิ้มหวานมุมปากให้รู้เลยว่าพี่ชายตรงหน้าเขามีเรื่องปิดบังอีกแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นพูดไปมันก็ไม่ได้เพราะทุกคนในบ้านมีเรื่องปิดบังตลอดอยู่แล้วจะบอกก็ตอนที่อยากจะบอกเท่านั้นเลย
“ใช่ จะถามอะไรอีกไหม”
ทั้งสองหนุ่มพี่น้องมองหน้ากันแค่เพียงสบตาก็รู้ว่าควรทำตัวแบบไหน โดยเฉพาะรังสิมันต์ อมาตยกุลเขาก็หยักไหล่แล้วเดินจากไปพร้อมกับรถเข็นอาหาร
เมื่อไม่ได้ยินเสียงแล้วชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งก็เข้าไปข้างในห้องที่เปิดทิ้งไว้ เขาก็เจอปลายฟ้าที่นั่งมองตักตัวเองก่อนจะเงยหน้าปาดน้ำตามองมาที่แขกหน้าประตู
“พี่ปวริศ..” หญิงสาวเรียกชื่อเขาแผ่วเบา
“มีตอนไหนบ้างไหม ที่เจอฉันแล้วจะไม่ร้องไห้”
“ฮึก…ฮือ หนูแค่กลัวค่ะ”
ปลายฟ้าตอบจากก้นบึ้งของหัวใจไป เธอรู้ว่าชีวิตตัวเองตอนนี้เหมือนเดินอยู่บนเชือกที่หน้าผา ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ ปวริศที่เห็นสภาพปลายฟ้าแล้วก็พอเดาไปอย่างหนึ่งได้คือ
หญิงสาวยังกลัวเขาและไม่กล้าที่จะให้ความร่วมมือในการทำงานแน่ๆเหตุผลสั้นๆคือกลัวนั่นเอง
ซึ่งปวริศ อมาตยกุลไม่ใช่พวกที่อยากทำงานแล้วมีอะไรติดขัดแบบเช่นนี้ จำเป็นต้องปรับความเข้าใจหญิงสาวผู้แสนอ่อนแอตรงหน้า โดยปกติแล้วเขาไม่ทำแต่ปลายฟ้าเป็นข้อยกเว้น
“ขอโทษ”
“คะ?”
“ข้อมือเล็กตรงนั้นฉันทำมันหัก เธอเลยยังกลัวฉันสินะ?”
“เอ่อ..”
“ใช่ไหม?”
ปวริศเน้นเสียงถามมันทำให้ปลายฟ้าสัมผัสได้ถึงความกดดัน จนเธอหลบหน้าปลายตาหันไปทางอื่น
“ค่ะ…” ปลายฟ้าตอบเสียงเบา
“ไม่ได้ยิน”
“ค่ะ..” เธอบีบเสียงให้ดังขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
“เลิกกลัวได้แล้ว ฉันขอโทษที่ทำเธอข้อมือหัก ก็ตอนนั้นเธอ…”
“ตอนนั้นทำไม..เหรอคะ?”
ปลายฟ้าถามด้วยใบหน้าที่สงสัยอย่างเห็นได้ชัด ปวริศเองก็มองดูแล้วเหมือนคนตัวเล็กตรงหน้าจะจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้ว่าตัวเองพลั้งมือจะมาบีบคอเขา จนชายหนุ่มจับเธอดันลงพื้นและหักข้อมือจนอยู่ในสภาพเข้าเฝือกนี้
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฉันขอโทษ พอจะทำให้หายกลัวไหม?”
“อืม…ไม่ค่ะยังกลัวอยู่” ปลายฟ้าพูดเสียงเบาอีกครั้ง
“ไม่ได้ยิน”
“ยังกลัวอยู่ค่ะ!”
“ดี ตอนนี้ฉันขอโทษเธอแล้ว ถึงคราวเธอบ้าง”
“คะ?”
ปวริศเดินเข้ามาและทิ้งตัวบนนั่งลงที่นอนมาอยู่ข้างๆปลายฟ้า ซึ่งตัวชายหนุ่มนั้นตัวสูงใหญ่กว่าเธอมากทำให้ระแวงไม่น้อยเลยจะโดนอะไรหลังจากนี้
“ฉันรู้สึกว่าเธอมีความลับกับฉัน”
“ความลับเหรอคะ?”
“ใช่ เธอคุยอะไรกับรังสิมันต์”
“แค่ถามน่ะค่ะ”
“ถามว่า..”
ช่างเป็นการเค้นคำพูดจากเธอด้วยน้ำเสียงแสนเรียบแต่มันดันทำให้ปลายฟ้าผวาไปจนถึงจิตใจเลย ภาพลูกดอกที่ยิงแทงลูกตาปรานปรียาด้วยฝีมือปวริศมันยังติดตาเธอจนจิตใจมันไม่สงบเลย
“พี่ปวริศจะฆ่าหนูเหรอคะ..”
แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เธอคุยกับรังสิมันต์ แต่มันคือคำถามจากเธอที่มีให้ปวริศ ซึ่งตัวเขาพอจะรู้ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คุยกับน้องชายเขา
“ฉันจะฆ่าเธอทำไมในเมื่อฉันดูแลเธออยู่”
เขาบอกด้วยเสียงที่นิ่งเหมือนทุกครั้ง ปลายฟ้ามองปวริศที่ดวงตากลมสวยยังสั่นอยู่แม้จะได้ยินในเรื่องบวกแบบนั้น มันไม่ได้สร้างความสบายใจอะไร
สิ่งที่เธอไม่อยากยอมรับคือใบหน้าของชายหนุ่มที่เกลี้ยงเกลาและดวงตาสีดำสนิทเหมือนไร้จิตใจดั่งสีนัยน์ตานั้น ปลายฟ้าที่ชอบดูแววตาคนเป็นอย่างแรกนั้น ปวริศ อมาตยกุล ดูไม่ออกเลยเหมือนกับว่าโลกใบนี้เป็นสีดำสนิทเหมือนดั่งสีตาของเขาที่มืดจนไม่เห็นอะไร
น่าแปลกตอนที่เขาอยู่ในบทบาทของไนซ์ เขมทัศ ดูมีชีวิตชีวาและน่าเข้าหารู้สึกเป็นมิตร
ไม่สิ…นั่นไม่ใช่เขา...
เพราะที่เห็นตอนนั้นคือตัวตนของไนซ์ เขมทัศพี่ชายตรงหน้าไปสังหารเพื่อเอาตัวตนเขามาไม่ใช่ปวริศ อมาตยกุลที่อยู่ตรงหน้าเธอ
"ฉันจะบอกอะไรเธอสักอย่าง เกี่ยวกับรังสิมันต์"
"ว่ามาเลยค่ะ"
“อย่าไปคุยกับเจ้านั่นเยอะ มันไม่ใช่คนดีเข้าใจไหม”
“ค่ะ”
ปลายฟ้าอยากจะขำเสียเหลือเกิน พูดเหมือนตัวเองเป็นคนดีซะงั้น คนที่หญิงสาวพึงระวังมากที่สุดคือปวริศ อมาตยกุลชายตรงหน้าเธอต่างหาก