ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก

วิปลาสทรชน - ตอนที่ 6 บ้าน (2) #รีไรท์ โดย myisodore @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วิปลาสทรชน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง

รายละเอียด

ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก

ผู้แต่ง

myisodore

เรื่องย่อ


วิปลาสทรชน

ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก 

อัพตอนใหม่ ทุกวันพุธกับเสาร์

ปลดตอนอ่านฟรี 1 วันรอแจ้งนะคะ


วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567

วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567


เรื่องย่อ

ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศหรือไนซ์ เขมทัศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด


แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล



คำเตือน

ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต


#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ




นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้


ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน




ช่องทางการติดตามทั้งหมด AllMyLink

สารบัญ

วิปลาสทรชน-ตอนที่ 1 สิ่งสกปรก #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 2 ความตาย #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 3 เธอมาที่นี่ (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 3 เธอมาที่นี่ (2) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (2) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 4 ครอบครัวอมาตยกุล (3) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 5 ตัวหมาก (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 5 ตัวหมาก (2) #รีไรท์ (อ่านตอน14.15น. สำหรับรีไรท์),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 5 ตัวหมาก (3) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 6 บ้าน (1) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 6 บ้าน (2) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 6 บ้าน (3) #รีไรท์,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 7 ความรัก (1),วิปลาสทรชน-ประกาศ หยุดอัพนิยายชั่วคราวไปจนถึงสิ้นเดือนหน้า,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 7 ความรัก (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 8 เรื่องของเธอคนนั้น (1),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 9 ผกามาศเพชฌฆาต (1),วิปลาสทรชน-ประกาศรีไรท์ ตอนใหม่+เนื้อหาที่เปลี่ยนเล็กน้อย+ติดเหรียญ,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 8 เรื่องของเธอคนนั้น (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 9 ผกามาศเพชฌฆาต (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 10 ดิ้นรนเพื่อคนอื่น (1),วิปลาสทรชน-แจ้งวันอัพนิยายอย่างเป็นทางการ และวันปลดอ่านฟรี,วิปลาสทรชน-ตอนที่ 10 ดิ้นรนเพื่อคนอื่น (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 11 ล่าเหยื่อ (1),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 11 ล่าเหยื่อ (2),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 11 ล่าเหยื่อ (3),วิปลาสทรชน-ตอนที่ 12 พลิกกลับ (1)

เนื้อหา

ตอนที่ 6 บ้าน (2) #รีไรท์

แก้ไขครั้งที่1 : 18 กันยายน 2567

เสริมมานิดหน่อย แก้คำผิด เนื้อหาตกหล่นและไม่ต่างจากอันเก่าค่ะ


“ตอนนี้ก็ตี4 แล้วสินะ เข้าของปลายฟ้าไปเอาตอนนี้เลยละกัน”

พูดจบเขาก็ออกจากห้องไปโดยที่เอาโทรศัพท์ของดาริน แสงอุทัยกับเครื่องแปลงเสียงไปด้วย พอถึงชั้นล่างที่พักเท้าปวริศก็หยิบรองเท้าผ้าใบมาและก้มลงผูกเชือกรองเท้าผ้าใบสีดำตัวเอง ปวริศใช้โทรศัพท์ของตัวเองกดโทรหาคนขับรถประจำตระกูล นั่นก็คือลุงชานน สีตาแสง ชายวัยกลางคนวัย 51ปี ที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้ตระกูลนี้มา 30ปีได้

(สวัสดีครับ คุณชายปวริศ)

“ลุงชานนครับ วันนี้เอารถตู้คันใหญ่มาหน่อยผมจะเดินทางครับ”

(ได้ครับ อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะไปถึงนะครับ)

“ขอบคุณครับ”

ปวริศพูดจบเขาก็ตัดสายทันที ระหว่างที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อที่เดินออกจากบ้านไปรอให้รถมารับ น้องชายคนเล็กของบ้าน กรกฎ อมาตยกุลก็เดินมาหาเขาด้วยท่าทีเหมือนจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง เพราะแค่ดูหน้าก็รู้แล้วว่ามันมีเรื่องในใจ

“จะพูดอะไรก็รีบพูดมา พี่ต้องไปข้างนอก”

“พาเธอไปด้วยสิ”

ปวริศคิ้วกระตุกหลังจากที่ได้ยินคำพูดกรกฎผู้เป็นคนเล็กของบ้านพูดขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ชายหนุ่มจ้องตาน้องชายตัวเองที่มองด้วยสีหน้าที่ดูกังวลใจพอตัว ซึ่งการถูกจ้องนานๆ จากปวริศทำให้กรกฎถอนหายใจเพราะถ้าพูดไม่หมดเขาคงถูกจ้องกดดันไปตลอดแบบนี้แน่นอน

“ปลายฟ้าน่ะ มาอยู่บ้านเราแล้ว ผมที่คอยดูแลความเรียบร้อยของบ้านวันนี้เลยอยากให้เธอไปกับพี่ ซื้อของเข้าบ้านที่จำเป็นน่ะ”

“แล้วน้องรู้เหรอว่าพี่จะไปไหน”

“ไม่รู้ไง เลยอยากให้ยัยนั่นไปด้วย ได้ไหมล่ะ?”

“ไม่ใช่ว่าตอนนี้เธอนอนอยู่เหรอ เพราะ…” ปวริศหันลูกตาตัวเองที่จ้องตาน้องชายไปที่นาฬิกาห้อยตรงหลังกรกฎ “ตอนนี้พึ่งจะตี4 เอง”

“ก็จริง แต่เผื่อผู้หญิงเขามีอะไรใช้เยอะไง”

“ใช้เยอะเหรอ?”

“พี่เนี่ยไม่รู้รึไง ผู้หญิงของจำเป็นเยอะกว่าผู้ชายแบบเรา…ช่างเถอะ”

กรกฎจะพูดต่อแต่หน้าปวริศนั้นดูไม่เข้าใจจริงๆ มันบ่งบอกว่าพี่ชายตรงหน้าเขาเป็นคนไม่สนใจอะไรเลย ขนาดปลายฟ้าตัวเองเป็นคนพามายังไม่รู้เลยว่าอะไรจำเป็นไม่จำเป็น กรกฎไม่แน่ใจว่าปวริศพามาทำไมเพราะเรื่องแบบนี้มันจำเป็นยังไงล่ะ

ไหนจะเรื่องที่พวกพี่ชายอีก 2คนที่คิดจะให้ปลายฟ้าไปเจอเรื่องอันตรายเพื่อพิสูจน์ความสำคัญอีก ถึงทีแรกจะเห็นด้วย แต่ไปมาๆ หญิงสาวคนนั้นธรรมดามากสุดๆ แอบชื่นชมในใจเลยว่าเธอแข็งแกร่งมากที่ทนได้แม้ตัวเองจะอยู่ในสภาพที่แขนข้อมือหักและต้นขาก็ถูกยิงด้วย

โดยรวมแล้วเธอเป็นสาวที่โคตรโชคร้าย แล้วจะให้เจออันตรายอีก

คนเป็นลูกคนเล็กก็รู้สึกได้ว่าตัวเธอไม่ควรเจอเรื่องแบบนี้ ตัวก็เล็กแถมเรี่ยวแรงไม่น่ามีเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นคนที่พามาต้องดูแลให้ดีหน่อยสิถึงจะถูก อย่างน้อยพวกเครื่องของใช้สำหรับผู้หญิง

“ชุดชั้นใน เครื่องนุ่งห่มและก็พวกสกินแคร์ นี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง และอา–”

“ได้สิ”

ปวริศพูดแทรกทันควัน เขาก็ถอดรองเท้าตัวเองและเดินไปที่ห้องนอนของปลายฟ้า กรกฎไม่เข้าใจเท่าไหร่ที่อยู่ๆ พี่ชายคนโตพูดง่ายเสียอย่างนั้น เพราะปกติแล้วปวริศ อมาตยกุลไม่ใช่คนที่จะฟังเท่าไหร่ถ้าเป็นเรื่องไร้สาระตัวเขาจะเมินเฉยไม่ตอบโต้อะไร น่าแปลก..ที่เขาฟังแล้วทำทันที

“พี่เปลี่ยนไปนะตั้งแต่ปลายฟ้ามาอยู่ที่นี่” กรกฎพูดและเดินตามไล่หลัง

“เพราะพี่พาเธอมา พี่ต้องดูแลเธอ”

ปวริศพูดด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย น้ำเสียงก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเหมือนเดิมทุกอย่างที่เมินเฉย ทำไปเพราะจำเป็นต้องทำ รู้อย่างนี้แล้วไม่น่าคิดไปเลยว่าชายหนุ่มเปลี่ยนไป

“สรุปพี่จะพาเธอไปจริงเหรอ?”

“ใช่ มันเป็นความคิดที่ไม่แย่ที่จะมีของพวกนั้นให้เธอ”

เมื่อหนุ่มผิวน้ำผึ้งพูดจบเขาก็เปิดประตูไปที่ห้องนอนเธอด้านใน มือหนาได้เปิดไฟห้องก็พบปลายฟ้า รินใจนอนเปิดแอร์เย็นฉ่ำและนอนผ้าห่มคลุมทั้งตัวอีก ปวริศได้ดึงผ้าห่มที่นอนคลุมหญิงสาวออกมา ซึ่งปลายฟ้าเป็นคนที่ตื่นง่ายหากใครมาถึงผ้าห่มออกเธอจะสะดุ้งทันที

“ตื่นได้แล้ว เราต้องไปทำอะไรเยอะมากวันนี้”

“พี่ริท..พี่มาทำอะไรที่นี่คะ”

ปลายฟ้าตกใจเมื่อเจอชายหนุ่มตรงหน้าที่มองเธอด้วยสายตาที่นิ่งเฉยให้ หญิงสาวกลืนน้ำลายข่มใจไม่ให้กลัวอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ดวงตาของเจ้าตัวยังกระตุกสั่นแบบเห็นได้ชัด

“เราจะไปซื้อของกัน”

“ซื้อของทำไมคะ?”

“ผู้หญิงต้องใช้เยอะไม่ใช่เหรอ และมันจำเป็นด้วย”

“ไม่ได้ขังหนูไว้เหรอคะ?”

“ดูพูดเข้า เธอเป็นคนที่นี่แล้วจะโดนขังได้ไง” กรกฎพูดแทรกเมื่อได้ยินแบบนั้น

“ก็..ประตูห้องนี้มันล็อค..นี่คะ” ปลายฟ้าก้มหน้าพูด

“กรกฎ” ปวริศเรียก

“ครับพี่”

“พี่จะพาเธอไปข้างนอก พี่ฝากเปลี่ยนกลอนประตูให้เป็นล็อคจากด้านในทั้งหมด”

“เดี๋ยวสิพี่ ตอนนี้เลยเหรอ?”

กรกฎอึ้งกับคำสั่งให้ทำทันทีของพี่ชายคนโต ซึ่งไม่มีคำตอบอะไรให้ต่อจากนั้นเลยแค่นี้ก็รู้เลยว่าต้องทำห้ามปฏิเสธ

“ไปกันได้แล้วปลายฟ้า”

“คือว่า..” ปลายฟ้าพูดขึ้น “หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลยค่ะพี่ริท”

คำพูดของปลายฟ้าทำให้สองหนุ่มอย่างปวริศกับกรกฎถึงกับมองหน้าหากันทันที

“นานเท่าไหร่แล้ว” ปวริศถาม

“ก็…” ปลายฟ้าอ้ำอึ้ง “ถ้ารวมมาอยู่ที่นี่แล้วก็ 5วันแล้วค่ะ”

“อาบน้ำก่อนค่อยไป”

“หนูไม่มีเสื้อผ้าค่ะพี่ริท อา..หมายถึงที่จะเปลี่ยนน่ะค่ะ”

“ไม่มีเสื้อผ้าเหรอ ในตู้ไม่มีเลยรึ”

ปวริศถามพลางมองไปยังตู้เสื้อผ้าในห้องที่ตั้งอยู่ข้างๆ ที่นอนใหญ่ 6ฟุตของเธอ ที่ตู้เสื้อผ้าเปิดโล่งโจ้งแต่มันก็ว่างเปล่า ปลายฟ้าก็ยิ้มแห้งให้เพราะว่ามันไม่มีจริงๆ จะมาคาดหวังให้เธอมีเสื้อผ้าเปลี่ยนคิดใหม่เถอะ ไหนห้องจะล็อคอีก มันคงได้อาบน้ำหรอกมั้ง 

หนุ่มผิวน้ำผึ้งมองหน้าหญิงสาวแล้วก็พอรู้ว่าคำตอบที่ยิ้มแบบนั้นมันคงไม่มีจริงๆ

“เดี๋ยวฉันไปหาให้ กรกฎเอาผ้าขนหนูที่ใช้ได้ให้เธอไปก่อน ฉันจะไปหาเสื้อผ้าของเธอมา”

“ครับพี่”

กรกฎรับคำและไปหาผ้าขนหนูในห้องนี้ที่มีลิ้นชักวางใต้เตียงด้านหน้าห้องนอนของหญิงสาวก็มี 2พื้นสีม่วงกับฟ้า พอได้แล้วเขาก็ยื่นให้ปลายฟ้าที่นั่งอยู่บนเตียง

“อ่ะนี่ ผ้าขนหนูอันนี้เป็นของเธอตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแล้วนะ”

“ขอบคุณค่ะ”

“สงสัยห้องนี้คงไม่ใช่ห้องซ่อนคนแล้ว เป็นห้องเธอเลยละกัน”

“ห้องซ่อนคนเหรอคะ…”

“ไม่รู้สินะ ก็..เดิมทีก่อนที่เธอจะมาอยู่ห้องนี้ มันเคยเป็นห้องไว้สำหรับจับคนมาแล้วก็เค้นคำพูดน่ะ ถึงได้มีห้องซ้อนแบบที่เห็น”

พอปลายฟ้าฟังแล้วขวัญเธอหล่นวูบตกพื้นทันที ไม่คิดว่าจะได้นอนห้องที่มีประวัติน่ากลัวแบบนี้ นึกไม่ออกเลยว่าก่อนที่จะมาหมกตัวในนี้ต้องมีสักคนที่ต้องตายและเลือดคงไม่น้อยไปกว่าไหน 

ยิ่งคิดแบบนี้ภาพเลือดฉะโลมเต็มห้องก็แทรกเข้าไปในความทรงจำของสมองราวกับภาพสลับ ที่เฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในห้องนี้มีแต่เลือดเต็มละเลงทั่ว และภาพชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งที่ถือมีดโดยหยดเลือดไหลติงลงพื้นจนได้ยินเสียงมัน

“ปลายฟ้า”

เสียงเรียกชื่อของเธอจากปวริศ อมาตยกุลำทำให้เจ้าของชื่อหลุดจากวงวนความคิดด้านลบและได้เงยหน้าทันทีจนได้สบตากับนัยน์ตาสีดำที่สะท้อนตัวแบบที่ลมหายใจใกล้กัน ปลายฟ้าตกใจจนถอยหลังหนีทันทีโดยลืมตัวไปว่าตัวเองก็บาดเจ็บไม่น้อยจนนิ่วหน้าออกอาการเจ็บ

“พี่ริท พี่จะทำอะไรหนูคะ!” ปลายฟ้าถามอย่างร้อนรน

“เรียกแล้วไม่หัน ก็เลยมาดูว่าอาการเหม่ออีกรึเปล่า”

“เหม่อเหรอ..อา..”

ไม่แปลกหรอกเพราะเธอกลัวเลือดมาก พอสมองคิดถึงมัน..ปลายฟ้า รินใจจะถูกสมองสั่งการให้คิดแต่เรื่องเลือดที่เต็มห้องหรือปริมาณที่มากจนเธอไม่สามารถรควบคุมมันได้ การที่ปลายฟ้าไม่ตอบกลับแบบนี้จนชายหนุ่มเอาตัวมาใกล้ดูอาการ รู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงที่มีให้จริงๆ

“ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ที่นี่เคยเป็นห้องซ่อนคนก็จริงแต่ก็ไปตายข้างนอกหมดแหล่ะ”

“จริงเหรอคะ?” ปลายฟ้าแสดงสีหน้าโล่งใจ

“ใช่ มันไม่มีอะไรน่ากลัวแบบที่เธอคิดหรอก”

“คือหน้าหนูแสดงออกขนาดนั้น..เลยเหรอคะ?”

“แน่นอน ต่อให้ไม่พูดแววตานั้นเป็นคำตอบได้เสมอ”

“พี่ปวริศ เขาชอบดูดวงตาน่ะเพราะดวงตามันสำคัญกว่าคำพูดยังไงล่ะ” กรกฎพูดขึ้นหลังเห็นบรรยากาศดูผ่อนคลายและหญิงสาวเหมือนจะเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น

“นี่เสื้อผ้าของเธอ”

ปวริศเอาเสื้อแขนสั้นสีม่วงอ่อนกับกระโปรงเทนนิสสีดำพร้อมกับชุดชั้นในพอดีตัวปลายฟ้าโดยที่ไม่ลืมกางเกงซับในสีดำให้มาด้วย พูดตรงๆ สีชุดไม่โดนใจปลายฟ้าเท่าไหร่เพราะเธอชอบสีแนวเอิร์ธโทนมากกว่าแต่มันไม่ใช่จังหวะที่พูดออกไปอยู่ดี ตอนนี้เหมือนสถานการณ์จะเริ่มให้เธอปรับตัวได้ ยังดีที่แห่งนี้มีฟูกนอนที่นุ่มมากเหมือนนอนโรงแรมและอาหารการกินที่เสิร์ฟเป็นเวลา รสชาติก็อร่อยแต่จะดีมากถ้าเธอกินเองโดยไม่ถูกคนที่ชื่อรังสิมันต์ อมาตยกุลป้อนให้ คงจะอร่อยกว่านี้

ถึงอย่างไรปลายฟ้าก็ต้องระวังอยู่ดีเพราะคนตรงหน้าคือคนที่ลงมือฆ่าคนได้ด้วยมือเปล่าโดยไม่รู้สึกผิดหรือหวาดกลัวกฎหมายใดๆ แถมยังลักพาตัวเธอมาแบบไม่ถามความสมัครใจโดยสักคำและให้มาอยู่บ้านหลังนี้ที่มีห้องซ้อนห้องแบบนี้อีก

…ถึงจะบอกว่าไม่มีเรื่องนองเลือดก็ตาม…

แต่ใครมันจะไปไว้ใจคนพวกนี้ที่ดูยังไงก็ไม่ปกติ และดูเหมือนจะรวมพวกมีอำนาจที่ทางตำรวจทำอะไรไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้นปลายฟ้า รินใจจะต้องระวังคำพูดและแสดงพฤติกรรมไม่ต่อต้านเขา จากนั้นค่อยหนีไปให้ไกลจากพวกเขา

“ขอบคุณค่ะพี่ริท”

ปลายฟ้ายิ้มกว้างสดใสให้ที่แสดงออกถึงความดีใจเมื่อได้ชุดแบบนี้ ซึ่งขนาดชุดชั้นในนั้นพอดีกับตัวเธอแสดงว่าปวริศคงรู้ขนาดทุกสัดส่วนของเธอหมดแล้วแน่นอน

ให้มันได้อย่างนี้สิถึงจะอายและกลัวแต่ต้องทนไปก่อน เพราะชีวิตมันก็สำคัญยังไงล่ะ

“ใส่เองได้ใช่ไหม?”

ปวริศถามอย่างนิ่งๆ ปลายฟ้าก็มองตัวเองที่ข้อมือหักเข้าเฝือกและต้นขาที่ถูกยิง ให้พูดตรงๆสภาพหลายอย่างมันแทบช่วยตัวเองลำบากเลย

แต่ก็..ไม่จำเป็นต้องรับการช่วยเหลือใดๆ แม้จะรู้ว่ามันยากก็ตาม

“ทำเองได้ค่ะพี่ริท อาจจะนานนิดหนึ่งนะคะ”

หลังจากนั้นการอาบน้ำแต่งตัวได้ผ่านไปปลายฟ้า รินใจที่ยืนมองกระจกด้านหน้าประตูที่วางประดับไว้ตอนนี้ชุดของเธอที่ใส่นั้นนับว่าดูไม่แย่เท่าไหร่ สำหรับปลายฟ้าคงไม่แปลกใจเพราะเสื้อผ้านี้มันต้องเป็นของผู้เคราะห์ร้ายอย่างแน่นอน ไม่รู้สภาพเจ้าของชุดนี้ที่เธอใส่จะเป็นยังไงปลายฟ้าก็ขอสวดให้เจ้าของชุดนี้ไปสู่ภพภูมิที่ดีและขออนุญาตินำมาใส่

เห็นอย่างนี้ปลายฟ้าก็กลัวผีเหมือนกันแต่ตอนนี้กลัวคนในบ้านนี้มากกว่าโดยเฉพาะปวริศ อมาตยกุล

ให้พูดตรงๆ ปลายฟ้าต้องสังเกตพฤติกรรมอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตราบใดถ้าเธออยู่ในบ้านหลังนี้ห้ามทำอะไรที่ไม่พอใจเด็ดขาด แม้จะให้ถามได้หากสงสัย

ให้พูดตรงๆ ปลายฟ้า รินใจไม่เชื่อหรอก

“จะยืนดูกระจกอีกนานไหม”

ปวริศทักขึ้นมาหญิงสาวหันหลังไปทันทีพร้อมยิ้มหวานให้

“ขอโทษค่ะพอดีชุดมันสวยมากเลยค่ะ หนูเลยมองนานไปหน่อย”

“ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ค่ะ ก็มันเป็นชุดที่สวยและดูวัยรุ่นดีน่ะค่ะ ไม่คิดว่าพี่ริทจะมีชุดแบบนี้ด้วย”

“มันไม่ใช่ของฉันหรอก”

“อันนี้พอจะเดาได้ค่ะ”

“ใส่รองเท้าแล้วไปข้างนอกกันได้แล้ว เรามีเรื่องต้องทำอีกเยอะ”

“เรื่องอะไรคะ?” ปลายฟ้าถามอย่างกังวล

“เราจะเอาของใช้ในบ้านเธอมาที่นี่ รวมไปถึงของจำเป็นสำหรับผู้หญิงทั้งหมด”

“เดี๋ยวสิคะ เอาของในบ้านฉันมาที่นี่ทำไมคะ?!”

“เธอเป็นคนในบ้านนี้แล้ว ก็ต้องย้ายของมาบ้านหลังนี้สิ”

“แต่..ว่า..”

“แต่อะไร?”

ปวริศถามซึ่งปลายฟ้าเรียกสติตัวเองให้ใจเย็น เธอนับเลขในใจถึง 10และมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

“ก็..ซื้อใหม่หมดเถอะค่ะ บางทีมันเก่าแล้วไม่อยากเอามา”

ไม่รู้แถรอดไหมแต่ขอให้รอด

“เอางั้นเลยเหรอ”

“ใช่ค่ะ”

ปลายฟ้าตอบยิ้มบาน ชายหนุ่มก็ไม่พูดอะไรเขาก็เดินไปเปิดประตูที่ตอนนี้มีรถจอดรออยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นรถอัลฟาร์ดคันใหญ่สีดำโดยมีคนขับรถเป็นผู้ชายวัยน่าจะ 50ปีได้เปิดประตูให้ทั้งสองหนุ่มสาว ปลายฟ้าที่สบตาเขาตามนิสัยช่างมองของเธอ

แววตาของลุงคนนี้ช่างไร้อารมณ์ใดๆ ตัดกับใบหน้าที่ยิ้มอย่างนั้น

เธอขนลุกซู่ทันทีที่เห็นทำให้ปลายฟ้าเรียกสติตัวเองอีกครั้งให้ใจเย็น และนั่งคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยจากนั้นก็สำรวจภายในรถยนต์คนนี้ ตามคาดจริงๆ มันคือรถราคา 7หลักที่นักธุรกิจหรือลูกบ้านรวยชอบใช้กัน

ให้พูดตรงๆ หญิงสาวไม่เคยสัมผัสอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งชีวิตเธอรู้จักแต่คำว่าต้องประหยัดกับอดมื้อกินมื้อในบางครั้งเพื่อที่จะให้ชีวิตไปต่อ พอมาเจอคนที่เลวฆ่าคนโดยไร้ความรู้สึกมีของแบบนี้แล้ว ปลายฟ้า รินใจรู้สึกว่าโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ

“ไปที่ไหนครับคุณชาย” ลุงชานนถามหลังจากที่เข้ามานั่งคนขับแล้ว

“ห้างประตูน้ำครับที่แรก”

“ได้ครับ”

ลุงชานนรับทราบและขับรถไปโดยไม่ถามต่อใดๆ ปลายฟ้าที่นั่งข้างปวริศก็เหลือบไปมองหน่อยหนึ่งก็เห็นชายหนุ่มผิวน้ำผึ้งนั่งมองวิวผ่านหน้าต่างเงียบๆ พูดตรงๆ เลยใบหน้าเขาตอนที่กระทบแสงแดดอ่อนยามเช้าของ 6 โมงตรงเขาดูดีมาก ยิ่งเป็นคนที่มีสันกรามชัด จมูกโด่งสันได้รูป เวลาปวริศหันข้างนั้นเรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่สามารถเป็นดาราได้เลยทีเดียว

‘เสียดายชะมัด ทำไมคนแบบนี้ต้องมาฆ่าคนด้วยนะ’

นี่เป็นอีกอย่างที่โลกไม่ยุติธรรม นอกจากพวกนี้จะมีเม็ดเงินแล้ว หน้าตาก็ดันดีด้วยเสียอย่างนั้น ปลายฟ้าเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะได้หน้าตาน่ารักแบบนี้มา เรียกได้ว่ากัดฟันสู้เลยทีเดียว

“วันนี้ดูไม่กลัวเท่าไหร่นะ ชินแล้วเหรอ”

“คะ หนูเหรอคะ?”

“ฉันคุยกับกระจกมั้ง”

“เออ ค่ะ…ก็เริ่มชินแล้ว”

“ดีมาก เพราะต่อไปเธอต้องชินแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดหน้าที่ของเธอ”

“หมดหน้าที่เหรอคะ?”

“ใช่”

“ตายเหรอคะ?” ปลายฟ้าถามเสียงสั่น

“ไม่รู้สิ เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ค่ะ”

‘ไม่รู้เหรอ…ทำไมล่ะเนี่ย?’ ปลายฟ้าคิดในใจ

“มีอะไรจะถามไหม”

“เออ ขอบคุณที่พาหนูออกมานะคะ กำลังเบื่อพอดีเลย”

ที่จริงมีอยู่แต่คิดว่าไม่น่าถามเท่าไหร่ ตรงที่ ‘หน้าที่’ ที่ว่ามันคืออะไร

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก มันเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว”

“ค่ะ”

“พอเห็นเธอชินแบบนี้แล้ว ฉันไม่สบอารมณ์จริงๆ”

“...”

ปลายฟ้าที่ได้ยินถึงกับรู้สึกเย็นหลังทันที แม้น้ำเสียงเขาจะนิ่งไม่มีโทนใดๆ ว่ารู้สึกอะไรแต่ตอนนี้ปลายฟ้าก็มือสั่นจนต้องกำชายประโปร่งแน่นเพื่อไม่ให้สติตัวเองขวัญหาย

“ขอถามหน่อยสิ ระหว่างที่บ้านเธอกับที่นี่ ชอบที่ไหนมากกว่าเหรอ?”

คำถามที่ช่างกล้าถามออกมาจากปากคนที่ลักพาตัวเธอมาอยู่ที่นี่ มันเป็นอะไรที่ปลายฟ้าแทบอยากจะกรีดร้องให้ดังจริงๆ ทำไมถึงคิดว่าที่นี่ดีกว่าเป็นคำถามที่เสียสติเสียเหลือเกิน

ถึงอย่างนั้นการตอบให้อีกฝ่ายถูกใจนับว่าเป็นการเอาตัวรอดอย่างหนึ่งในตอนนี้ ถึงใจจริงชีวิตที่นี่เหมือนจะเป็นคุกที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายและหรูหราดีกว่าบ้านตัวเองก็ตาม

“ก็ต้องบ้านที่นี่สิคะ”

ปลายฟ้าตอบยิ้มหวานให้และชายหนุ่มที่เห็นก็ยิ้มเหยียดมุมปากที่ตัวเธอเห็นแล้วมันน่ากลัวไม่เหมือนรอยยิ้มคนทั่วไปให้กัน จนต้องเอายกแขนมาบังที่อกตัวเองราวกับเป็นเกราะกำบังทางใจ

“งั้นเหรอ ตอบได้เสียสติดี”


To be contiued