ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
แอคชั่น,อาชญากรรม,ไทย,รัก,แฟนตาซี,วิปลาสทรชน,แฟนตาซี,สืบสวนสอบสวน,พล็อตสร้างกระแส,แอคชั่น,นิยายชายหญิง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วิปลาสทรชนยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
ยามมนุษย์ที่บิดเบี้ยวและสายเลือดความเลวได้ส่งต่อไปยังบุตรหลาน ได้สร้างฆาตรกรขึ้นมาจากความรัก
วันที่สร้าง 22 มิ.ย 2567
วันที่ลงตอนแรก 29 มิ.ย 2567
ปลายฟ้า รินใจ นิสิตสาวมหาลัยวัย 22ปี จากคณะวิทยาศาสตร์และการกีฬามา ที่กำลังจะจบแล้วไปทำงานต่อที่บริษัทจังเกิ้ลเทคโน แล้วทันใดนั้นเธอก็ได้ตกหลุมรักหนุ่มหล่อเจ้าของรอยยิ้มแสนหวานอย่าง ปวริศหรือไนซ์ เขมทัศที่ทำงานฝ่ายโปรแกรมเมอร์รับผิดชอบระบบการทำงานทุกอย่างเกี่ยวกับโปรแกรมในบริษัททั้งหมด
แต่ยังไม่ทันได้รู้จักอะไรก็ทำให้เธอเจอแต่เรื่องสงสัยและไม่เข้าใจเต็มไปหมดราวกับว่าเหมือนทุกอย่างตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น และไม่น่าเชื่อว่าการที่ได้รู้จักปวริศจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายของเธอที่ใฝ่ฝันนั้นเปลี่ยนไปตลอดกาล
ฆาตกรรม / ชำแหละศพ / บังคับขู่เข็ญ / กักหน่วงเหนี่ยว / ทำร้ายร่างกาย / ศีลธรรมครอบครัวในเชิงชู้สาว /นามธรรมความรักให้เหยื่อขาดไม่ได้ /อำพรางศพ / ฝังทั้งเป็น / อาการหลงรักฆาตกร / ฆ่านองเลือด / จิตวิทยาครอบครัว / ฆ่าด้วยหลายวิธีให้เหยื่อสิ้นชีวิต
#นึกออกเท่านี้ค่ะ ไว้นึกออกจะมาเพิ่มนะคะ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับบุคคลที่สาม หากชื่อไปตรงกับใครขออภัยมา ณ ที่นี้
ในส่วนเนื้อหามีความรุนแรงเพศอาชญากรรมและการกระทำไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เป็นพี่น้องกันจริงไหมคะเนี่ย ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ
สิระ อมาตยกุล ชายวัยแก่ในวัย62ปีและตัวเขานั้นคืออดีตผู้พิพากษาที่เกษียณตัวเองก่อนกำหนดตั้งแต่วัย45ปี ในตอนนี้เขามาถึงบ้านที่เขาใหญ่และตรงหน้าสิระคือผู้กุมบังเหียนใหญ่และค่อยมอบอำนาจหน้าที่จัดการเสร็จสรรพทุกอย่างและเป็นคนสั่งให้จัดการสิ่งสกปรกที่ประเทศนี้ด้วย
ณ ตอนนี้ท่านผู้นี้เขากำลังนั่งอยู่หลังบ้านทัศนีย์ภาพของแม่น้ำไหลผ่านและต้นไม้ใหญ่ล้อมทำให้มันสวยและน่าดูไปตามกัน
“เดินทางเหนื่อยหน่อยนะ สิระ”
หม่อมเจ้าธามัน อยู่สวัสดิ์ ชายแก่วัย61ปี ที่รูปร่างเขาไม่เหมือนคนวัยแก่ที่เดินไม่ไหวเลยสักนิดต่างจากสิระที่เดินทีก็เหนื่อยแล้ว และเขายังเป็นกันเองเสมอแม้ตัวเองจะมีเชื้อสายนามสกุลที่สืบทอดมาอย่างยาวนาวก็ตาม
“ขอบคุณครับคุณธามัน”
“นั่งก่อนสิ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วล่ะของปวริศ”
“ก็…” สิระนั่งตรงข้ามที่นั่ง “เขาจะเดินทางไปจัดการเป้าหมายแรกแล้วครับ”
“เร็วจังหาตัวมันเจอแล้วเหรอ?”
“ครับ พสุชา แสงอุทัยกำลังเดินทางไปที่เรือเลวีโรสในเดือนหน้าครับ”
“เดือนหน้า…อาทิตย์เดียวเองนี่”
“ใช่ครับคุณธามัน โชคดีที่ปวริศได้ข้อมูลการเดินทางที่ถูกต้องมาครับ ทำให้รู้ว่าเจ้านั่นมันคิดจะหนีไปทางไหนต่อ”
“ทำได้ดีมากเลย สมแล้วที่ฉันได้ส่งรายชื่อให้นายไปจัดการ”
“ไม่หรอกครับ ของแบบนี้ต้องชมปวริศครับที่จับหาได้ทำให้พวกเราเข้าถึงตัวมันได้อย่างรวดเร็วแบบนี้”
“ปวริศ..เด็กที่ตาไม่กระพริบคนนั้นเหรอ”
“ครับคุณธามัน ผมดีใจนะครับที่จำเขาได้”
“ใครจะไปลืมเด็กที่จ้องผมนาน5นาที ไม่กระพริบกันครับ”
หม่อมเจ้าธามัน อยู่สวัสดิ์ได้พูดปนหัวเราะออกมา เพราะตอนแรกที่ได้เจอนั้นนัยน์ตาสีดำของเด็กชายที่ปวริศจ้องมองมาที่เขานั้นเหมือนถูกนิมิตบางอย่างดูดกลืนให้หายไปจนอยู่ในห้วงภวังค์ที่ไม่สามารถออกไปไหนได้
เหมือนถูกจ้องในทุกฝีก้าวที่เดินไปไหนจะถูกจับตาดูตลอดเวลา นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่หม่อมเจ้าธามันสัมผัสได้ถึงอันตราย
“ก็จริงครับ แต่ปวริศตอนนี้เลิกนิสัยจ้องนานแล้วนะครับมันทำให้เสียบุคลิก”
“ดีแล้วที่เลิกได้ เพราะถ้ายังนิสัยนี้อยู่พวกมันไหวตัวทันแน่”
“เรื่องนั้นผมรู้ดี ไม่งั้นเขาคงไม่อยู่ถึงทุกวันนี้”
สิระพูดเสร็จเขาก็หยิบเอกสารจากกระเป๋ามาวางที่โต๊ะตรงหน้า ซึ่งเป็นเอกสารการขนส่งยาเสพติดทั้งหมดรวมไปถึงธุรกิจอันหนึ่งที่สกปรกไม่แพ้กัน
ค้ามนุษย์ส่งออกไปยังประเทศอื่น
หม่อมเจ้าธามันได้หยิบเอกสารเงินและสัญญาขึ้นมาอ่านเขาก็ยิ้มในทันทีเพราะว่าชื่อนี้คือรายชื่อที่หายไปจากการตามล่าในช่วงปี 25XX นั่นเอง
ในข้อหาส่งออกและค้ามนุษย์นำไปกระทำผิดมนุษยมนาหลากหลายรูปแบบเกินจินตนาการได้ว่ามีคนกล้าทำแบบนี้อยู่บนโลกจริงหรือ
“นี่มัน ไม่น่าเชื่อ…ฌาณกิจ ไตรภาคีคือพสุชางั้นเหรอ”
เพราะชื่อนี้คือตัวพ่อที่ทำการค้ามนุษย์และฆ่าทิ้งตายไปแล้วหลายคน จนเกิดโศกนาฏกรรมนับไม่ถ้วน ทว่าชื่อนี้มันกลับหายสาปสูญไปตอนที่ได้ส่งนักฆ่าอันดับ3 ไปจัดการในช่วงนั้น ภายใต้คำสั่งหม่อมเจ้าธามัน อยู่สวัสดิ์
แต่...ตอนไปรังซ่อนของมันนั้นกลับไม่พบอะไร นอกจากจดหมายลาตาย ตำนานค้ามนุษย์โหดได้จบลงตั้งแต่วันนั้น
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วแค่ชุปตัวเป็นชื่อใหม่ และก่ออาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบอื่น เพราะฉะนั้นแล้วตัวคนเหี้ยมที่เคยสร้างความผวาให้กับประเทศไทยในช่วงนั้น มันคือคนเดียวกัน
แถมตอนนี้มันยังมีครอบครัว ใช้ชีวิตได้สุขสบายไปอีก เศษสวะที่ยังมีลมหายใจจนมลภาวะเหม็นหืนไปตามหมด
“ตอนนี้ปวริศเองก็ได้ตัวหมากครบแล้ว พสุชา แสงอุทัยได้โดนลบออกไปโดยไม่มีวันหวนคืนแน่นอนครับ” สิระเอ่ยเสียงเข้ม
“ขอให้เป็นอย่างนั้นนะสิระ เพราะพสุชานั้นจัดการยากมาก”
“ก็จริงครับ พสุชาเป็นคนที่อันตรายไต่เต้าจากศูนย์และทำให้ตัวเองมาถึงในจุดที่อันตรายต่อประเทศ”
“คนอันตรายแบบนั้น ฉันหวังว่า..ลูกชายทั้ง5คนที่เลี้ยงมาเองกับมือจะไม่เป็นไรนะ”
พอเห็นความห่วงใยที่มาจากใจแบบนี้แล้ว สิระ อมาตยกุลเองก็สัมผัสได้ เพราะนักฆ่าที่หม่อมเจ้าธามันส่งไปจัดการนั้นมันมีหลายคนแต่ก็ไม่รอดกลับมา
สันนิษฐานได้อย่างเดียวคือพ่อค้ารายใหญ่แถวหน้าการส่งออกยาเสพติดอย่างพสุชา แสงอุทัยที่ใช้ชื่อในนามฟร็องซ์ สามารถรอดจากการโดนลอบสังหารและถูกฆ่าได้หมดอีกทั้งยังเก็บคนที่มาฆ่าเขาด้วย
แม้จะจัดการด้วยหลายทางแล้วก็ตามไม่ว่าจะเป็นยาพิษหรือฆ่าตอนที่ไม่ทันตั้งตัว
พสุชา แสงอุทัยก็ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนใดๆ
เหมือนเขามีญาณทิพย์รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองด้วยเหตุผลนี้ทำให้เป็นบุคคลที่ต้องโดนกำจัด แม้หลายต่อหลายครั้งในการตามล่าคนค้ายาเสพติดและค้ามนุษย์จะมีอยู่ถมไป ถึงพยายามมากเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้สาวถึงไปที่ตัวพสุชา แสงอุทัย เลยสักครั้ง
ราวกับมีใครบางคนที่ร่วมมือกับเขา..ซึ่งสืบเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
ถึงจะไม่รู้ว่ามีใครเกี่ยวข้องอีกไหม แต่ชื่อพสุชา แสงอุทัย อยู่ในรายชื่อบัญชีดำที่ต้องกำจัดให้หายไปตลอดกาลอย่างไม่มีวันหวนกลับ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับคุณธามัน ปวริศน่ะเป็นถึงนักฆ่าอันดับ1 ของโลก เขาไม่พลาดที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องยากหรอกครับ”
สิระยิ้มและส่งสายตาเย็นเยือกให้กับหม่อมเจ้าตรงหน้าที่อายุน้อยกว่าตน บรรยากาศรอบตัวของชายแก่วัย62 ปีคนนี้ มันเหมือนถูกดูดและไม่มีวันได้เห็นแสงสว่างอย่างไรอย่างนั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมหม่อมเจ้าธามัน อยู่สวัสดิ์ถึงส่งรายชื่อบัญชีดำนี้ไปให้เขา
“ฉันจะรอดูความสำเร็จนี้นะ สิระ อมาตยกุล”
ภาพจำครั้งสุดท้ายของหม่อมเจ้าธามัน อยู่สวัสดิ์นั้นปวริศเป็นเด็กน้อยที่มีนัยน์ตาสีดำไร้แวววับเมื่อสบตา ราวกับว่าหากใครได้จ้องดวงคู่นั้นไปแล้ว
คนนั้นจะไม่สามารถหยุดมองจนกว่าตัวเองได้ตายจากไปได้ ให้พูดตรงๆ ขาเสียดายที่นิสัยจ้องนานของปวริศนั้นไม่มีอีกแล้ว
“รอดูได้เลยครับคุณธามัน ผมรับรองว่าคุณไม่ผิดหวังแน่นอน รายชื่อนี้จะเป็นผู้สูญหายไปตลอดกาล”
ปลายฟ้า รินใจในชุดเดรสยาวผ้าลูกไม้ปลายกระโปรงสีน้ำตาลแขนสั้นที่ตอนนี้เธอได้อยู่บ้านหลังนี้จะถึง 2 อาทิตย์แล้วตั้งแต่ได้ไปเที่ยวที่ประตูน้ำด้วยกันมากับปวริศ อมาตยกุล เธอก็ได้ใช้ชีวิตโดยไม่โดนขังในห้องอีกต่อไปถึงปากใครต่อใครจะบอกว่าไม่ได้ขัง
แต่การกระทำมันชัดเจนที่ไม่ว่ามองยังไงก็ใช่ แต่ก็ต้องทำตัวให้เหมือนกับว่าเธอนั้นพร้อมใจจะอยู่ที่นี่ไปก่อนเพื่อความปลอดภัยกับตัวเองด้วย
ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่ปลายฟ้าจะได้สำรวจบ้านหลังนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งในทีแรกเธอพอรู้ว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่มากแล้วก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะมีสนามกอล์ฟเป็นของตัวเองที่กว้างมากพอถึงกับมีรถกอลฟ์ไว้บริการให้อีกต่างหาก ขนาดเดินเรื่อยๆแบบไม่คิดอะไรขายังลากได้ขนาดนี้เลย
'เริ่มอยากรู้แล้วสิว่าไอ้คนพวกนี้ไปเอาเงินมาจากไหนกันนะ รวยชะมัด'
ที่สำคัญบ้านหลังนี้ยังอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเป็นอย่างมาก ขนาดพื้นที่ก็ใหญ่และกว้างสุดลูกหูลูกตาที่มองด้วยตาเปล่าแล้วไม่สามารถบอกได้ว่ามีพื้นที่เท่าไหร่ อีกทั้งตัวบ้านยังอยู่บนเนิ่นเขาที่ต้องขับรถขึ้นมาเท่านั้นขาออกก็เช่นกัน
พิสูจน์ได้จากตอนที่ไปซื้อเสื้อผ้าและเข้าของเครื่องจำเป็นสำหรับผู้หญิง ปลายฟ้าจำได้ขึ้นใจว่าใช้เวลานานพอตัวกว่าจะถึงบ้านหลังนี้
ทำให้รู้เลยว่าบ้านหลังนี้นอกจากจะหนียากแล้วต้นสายปลายทางก็ไม่รู้ว่าที่แห่งนี้คือที่ไหนด้วย
“จะทำยังไงดีเนี่ย..”
เรียกได้ว่ามืดแปดด้านไปหมดจริงๆ ปลายฟ้าไม่คิดว่าตัวเองจะมาอยู่ในที่แบบนี้เลยในชีวิต แต่ยังดีที่เหล่าผู้คนในบ้านอมาตยกุลรู้ความสามารถเธอไม่เท่าไหร่
เพราะความสามารถจริงๆของเธอคือ รู้ศักยภาพของร่างกายคน ซึ่งเรื่องอาการเจ็บปวดอะไรนั่นเป็นหนึ่งในสิ่งที่เธอทำได้เพียงแค่มองพริบตา แต่อีกอย่างหนึ่งคือจุดเด่นของร่างกาย ที่ปลายฟ้านั้นต้องใช้เวลาพอสมควรในการมองและสังเกตระยะหนึ่งถึงจะรู้ว่าเด่นจุดไหน
ให้พูดตรงๆนี่มันแทบจะไม่ใช่คนแล้ว ก็ว่าทำไมถึงหักแขนเธอได้ง่ายขนาดนั้น ทั้งทีกระดูกนั้นเดิมทีมันแข็งมากถ้าแรงไม่มากพอก็ไม่สามารถหักได้ง่ายๆ ถึงจะจำไม่ได้ก็ตามว่าทำไมปวริศถึงแขนหักเธอ
เอาเถอะมันเกิดขึ้นแล้ว ใช่เรื่องที่ต้องไปนึกถึง…
“ท้อว่ะ…”
หญิงสาวในชุดเดรสนั่งลงกับม้านั่งข้างนอกที่หันหน้าให้กับบ่อปลาที่เลี้ยงดูแลไว้อย่างดี แม้เธอจะไม่มีความรู้ด้านนี้ก็ตามแต่ก็สัมผัสได้ถึงการเอาใจใส่
รวมไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ ตามอย่างสวนหลังบ้านที่ตกแต่งเป็นสไตล์ที่มองแล้วสบายตา ดูโล่งแล้วกว้างไปตามกัน
“สวนแบบนี้เขาแต่งกันเรียกว่าอะไรนะ..”
น่าเสียดายที่เธอได้มาอยู่บ้านหลังนี้ ปลายฟ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์หรือมีครอบครองได้เลยแม้แต่นิดเดียว ปกติเห็นอะไรสวยๆ หรือบรรยากาศที่ใช่เธอมักจะถ่ายลงโซเชี่ยลต่างๆ ในอินเตอร์เน็ตเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ
ยิ่งไปกว่านั้นสวนที่สวยแบบนี้มันน่าถ่ายอวดมากๆ ขนาดตอนนี้เป็นเวลากลางวันที่แดดจ้าแต่มีต้นไม้ต้นใหญ่ที่พัดโชยกลิ่นหอมแตะจมูก ที่สัมผัสดมแล้วจิตใจเธอผ่อนคลายอย่างน่าอัศจรรย์ ลืมเรื่องความร้อนของประเทศนี้ไปได้เลย
และในสวนแห่งนี้มีต้นนี้เยอะมากมันทำให้บ้านร่มรื่นน่าอยู่ไม่อยากไปไหนเลยจริงๆ ถ้าปลายฟ้าเป็นเจ้าของสวนนี้ แน่นอนว่ายังไม่รวมดอกไม้นานาพันธุ์ที่เธอไม่รู้จักอีกมากที่มันมีสีของดอกไม้มันหรือสีม่วงกับฟ้าสลับกันไป หญิงสาวจะไม่มีวันออกจากบ้านเลยเสพสัมผัสบรรยากาศให่ชุ่มปอดได้อย่างไร้กังวล
“หาเจอแล้ว มาเดินเล่นที่สวนนี้เองเหรอ?”
เสียงอันคุ้นเคยที่เธอจำได้ดี หนุ่มตี๋ที่ค่อยเอาอาหารมาให้เธอกินตอนที่ยังใช้ชีวิตในห้องเงียบๆ
รังสิมันต์ อมาตยกุลที่ปลายฟ้าเห็นทีไรก็ต้องระวังอีกคน เพราะเป็นคนที่ชอบพูดไปเรื่อยไม่รู้ว่าอันไหนจริงหรือไม่จริงจากทีเธอสังเกตตอนที่คุยกับตัวเองแล้วก็คำเตือนของปวริศอีกเช่นกัน
“ค่ะ” ปลายฟ้ายิ้ม “พอดีเดินเหนื่อยเลยมาที่สวนนี้ค่ะ”
“สวนที่พี่ริทชอบนี่น่า เธอเข้าใจมาพักนะ”
“เหรอคะ พึ่งรู้เลยนะคะ”
…ที่จริงไม่ได้อยากรู้เลยค่ะ… ปลายฟ้าคิดในใจแต่ก็ยิ้มเป็นมิตรต่อไป รังสิมันต์ อมาตยกุลที่เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเธอแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นผู้หญิงที่แปลกและยอมรับสถานภาพตัวเองอย่างรวดเร็วจนน่าแปลกใจ
โดยปกติแล้วคนที่ถูกขังที่แห่งนี้ส่วนมากจะเป็นบ้าเป็นบอ พยายามหนีจนคนอย่างรังสิมันต์ต้องตามเก็บตลอด
แต่มันก็ดีที่ไม่มีใครต่อต้าน เพราะเขาขี้เกียจจัดการอยู่พอดี แม้ความจริงแล้วคนที่ชอบพาคนนอกเข้ามา จะมีแต่รังสิมันต์ อมาตยกุลก็ตาม การที่ปลายฟ้าดูอยู่สงบได้ เหมือนที่นี่เป็นบ้านก็นับว่าดี ถึงจะดูพยายามจนฝืนก็ตาม
“พอเห็นเธอดูมีความสุขแล้ว ดอกพิกุลก็บานจนร่วงพอดี”
“ดอกพิกุลเหรอคะ?”
“เห็นต้นไม้ใหญ่ๆ ที่มีหลายต้นนั่นไหม นั่นคือต้นพิกุลล่ะ พ่อของเราบอกว่าต้นพิกุลคือสัญลักษณ์ของตระกูลเรา เลยปลูกไว้เพื่อสิริมงคล”
“แล้วดอกไม้นั่นล่ะคะ” ปลายฟ้าใช้แขนที่ไม่ได้หักชี้ไปยังดอกไม้สีฟ้าและม่วงสลับกัน
“ดอกพยับหมอกกับดอกหลิวไต้หวันน่ะ เป็นดอกไม้ที่บ้านเราทุกคนชอบมากเลย”
คำพูดและน้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากใจของรังสิมันต์ อมาตยกุล เป็นสิ่งหนึ่งที่หญิงสาวรู้สึกได้ถึงความจริงใจนี้
“สวนที่พี่ริทชอบเพราะมีดอกไม้พวกนี้เหรอคะ” ปลายฟ้าถามพลางมองดอกไม้เหล่านั้น
“ชอบไหมน่ะเหรอ..."
รังสิมันต์ถึงกับคิดทันทีเพราะที่ผ่านมาเขาไม่ได้ถามอะไรเลยเกี่ยวกับพี่ชายเขา มีแต่เรื่องงานหรือไม่ก็งานฆ่าในส่วนเรื่องส่วนตัว หนุ่มตี๋รู้แค่ว่าพี่ริทเขาชอบสัตว์นกฮูกกับอาหารอย่างแกงเขียวหวาน ขนมจีนน้ำยาเท่านั้น ดังนั้นคำถามของสาวน้อยตาสีเขียวคนนี้ถือว่ามีประโยชน์สำหรับเขา
"ไม่รู้สิ" เขายักไหล่ตอบ
"เป็นพี่น้องกันจริงไหมคะเนี่ย ทำไมถึงไม่รู้ล่ะ?"
"ก็พวกเราทำงานตั้งแต่เด็กแล้ว รู้แค่ไม่กี่อย่างเอง"
"ทำงานแต่เด็กเหรอคะ คงรวยแล้วล่ะสิแบบนี้"
ปลายฟ้าแอบเหน็บนิดหน่อยใส่เขา ถึงจะใส่เสียงที่หวานปานน้ำผึ้งแสนเป็นกันเองลงไปก็ตาม ทว่ารังสิมันต์ก็มองหางตาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างให้คนตัวเล็กที่นั่งม้านั่งตรงนั้น
"ก็นะ ทำงานแต่เด็กก็รวยเร็วน่ะ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกเพราะของแบบนี้คือความสามารถอย่างหนึ่ง"
"ค่ะ.."
ปลายฟ้าสัมผัสได้ถึงความมั่นใจออกมา มันก็เป็นความจริงที่ใช่ว่าทุกคนทำงานแต่เด็กแล้วจะรวยเร็วแบบที่เขาพูด ซึ่งงานที่ทำเงินได้มหาศาลในชั่วเวลาอันสั้นคงไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับการฆ่าใครสักคนแน่นอน
"พอมาคิดดูแล้วสวนนี้ก็สวยจริงนะ"
อยู่ๆรังสิมันต์พูดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขึ้นมา ปลายฟ้าเหลือบมองคนข้างๆที่พินิจสวนพลางยิ้มไปด้วย ให้พูดตรงๆชายคนนี้เป็นที่มีเสน่ห์ตรงที่ยิ้มและพูดจาน่าฟัง แถมดูชอบเอาใจใส่คนอื่นโดยเฉพาะตอนที่ป้อนข้าวให้เธอโดยไม่ขอ น่าเสียดายที่ดันมาเป็นพวกโรคจิตเฉยเลย
ยิ่งไปกว่านั้นร่างของชายหนุ่มคนนี้ก็เรียกได้ว่าไม่ได้โดดเด่นอะไร เขาเด่นแค่ขากับแขนที่ยาวเหมือนนายแบบ ทำให้การยืนของรังสิมันต์ อมาตยกุลดูมีเอกลักษณ์ อาจจะเป็นเพราะการแต่งตัวที่ทันสมัยดูมีสไตล์เลยสร้างภาพรวมน่ามองไปหมด
ถ้าไม่รู้เบื้องหลังเขาซะก่อนล่ะก็นะ...แต่จุดที่เจ็บไม่มีแหะ
"นึกออกแล้ว" รังสิมันต์โพล่งขึ้น
"อะไรคะ?"
"ว่าทำไมพี่ปวริศถึงชอบสวนนี้ไง"
"ชอบเพราะอะไรคะ?"
ถามไปงั้นแหล่ะ เพราะยังไงมันอยู่หัวข้อการสนทนาแล้วถึงไม่อยากรู้ก็ต้องทำเหมือนสนใจ
"ที่ชอบเพราะมันร่มรื่นน่ะ เขาทำงานเสร็จกลับบ้านจะชอบมานั่งม้านั่งตรงนี้แล้วงีบน่ะ”
“ม้านั่งตรงนี้?”
“ใช่”
รังสิมันต์ยิ้มและมองไปยังม้านั่งที่ว่ามันคือที่ปลายฟ้า รินใจนั่ง เมื่อเธอรู้ก็รีบลุกขึ้นพรวดทันที
“รังเกียจเหรอเนี่ย พี่ริทเสียใจแย่”
“เปล่าค่ะ คือแค่รู้สึกว่านั่งพักพอแล้วเฉยๆ ค่ะ”
ปลายฟ้ายิ้มเก้อตอบทันควัน หนุ่มตี๋ก็ยิ้มมุมปากมองให้เหมือนทุกครั้งโดยไม่จับผิดสังเกตอะไร
“ข้อมือที่หักกับแผลที่โดนยิงต้นขาเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีแล้วค่ะ คิดว่าไม่นานคงหาย”
“ไม่นานแต่ใช้เวลาอย่างต่ำก็ 2-3 เดือนทั้งสองอย่างเลยนะ”
“ค่ะ..”
มันก็จริงอย่างที่รังสิมันต์พูด ตั้งแต่แขนหักด้วยมือของปวริศเองนั้นปลายฟ้าก็แทบจำไม่ได้เลย รู้แค่ว่าเธอแขนหักเพราะเขา พอยิ่งนึกความทรงจำในหัวมีแต่เรื่องมืดบอดราวกับว่าสมองสั่งการไม่ให้เห็นภาพตอนนั้น
‘ตั้งแต่มาอยู่นี่ก็ไม่ได้กินยาแก้เครียดเลยแหะ ประครองไว้ก็ไม่แย่หรอกแต่เหนื่อยชะมัด’
ถึงปลายฟ้าจะอยากขอความช่วยเหลือจากคนในบ้านนี้ก็ตาม แต่มันก็ยากมากๆ ที่จะอดทนเช่นกัน
เพราะฉะนั้นแล้วการเดินออกมาสำรวจบ้านหาทีหนีทีไล่ ก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่อีกอย่างบ้านหลังนี้มันก็กว้างเสียเหลือเกินบางทีถ้าเกิดปลายฟ้ามีของแบบนี้มาตั้งแต่เกิดเธอคงมีความสุขกับการใช้เงินแบบถลุงไม่สนใจอะไรแน่นอน
“วันนี้พี่ริทจะพาเธอไปย้อมผมน่ะ อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยนะ” รังสิมันต์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้เหรอคะ? ฉันไม่อยากย้อมผมนะคะ”
“ไม่อยากย้อมเหรอ?”
รังสิมันต์มองตานิ่งและเอียงคอไปด้วย ปลายฟ้าที่สบตาเขาก็กลืนน้ำลายลงคอเพราะแววตาเมื่อกี้มันทำให้เธอเหมือนโดนกดดันและคอของเธอเหมือนจะถูกแทงอย่างไรอย่างนั้น
“เปล่าค่ะ..ไม่ได้หมายความอย่างนั้น หนูแค่..มันดูเปลืองเงินน่ะค่ะ”
“ไม่เห็นต้องสนใจเลย ไม่ใช่เงินเธอนี่”
“เออ ก็ใช่ค่ะแต่ช่วงนี้พี่ริทใช้เงินเยอะมากตั้งแต่ทำตกแต่งห้องให้หนู ทำพื้นใหม่..ไหนจะห้องน้ำอีก พี่ริททำอ่างให้ด้วยนะคะ หมดไปเป็นแสนแล้ว”
ที่มั่นใจตัวเลขเพราะเธอแอบดูรายการที่ปวริศเขาเขียนลงกระดาษรายจ่ายของเธอซึ่งมันวางอยู่บนโต๊ะห้องนั่งเล่น ทำให้รู้ว่านอกจากเสื้อผ้าและของใช้หลายอย่างนั้นรวมไปถึงทำห้องนอนให้เธอก็หมดไป 6หลักเลยทีเดียว
ถึงปวริศจะดูไม่สะทกสะท้านก็ตาม
แต่คนฟังอย่างหนุ่มตี๋คนนี้ก็รู้สึกได้ถึงความเกรงใจที่มีต่อพี่ชายคนโตของบ้าน แม้จะเต็มไปด้วยความกลัว หวาดระแวงด้วยก็ตาม
“เป็นเด็กดีจังเลยอันไหนที่พี่ริทไม่บ่น เธอไม่ต้องกังวลหรอกนะ”
มือหนาจับข้อมือบางที่ไม่หักอีกข้างของหญิงสาวและลากเดินไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงหลงตกใจของหญิงสาวเลยสักนิด ขาของชายหนุ่มก็ยาวเดินทีแทบจะกว้าง ต่างจากปลายฟ้าที่ตัวเล็กกว่าไม่พอยังตามจังหวะไม่ทันเลยสักนิด
‘เดินเร็วชะมัด เขารู้ไหมเนี่ยว่าฉันเจ็บขาอยู่!?'
ทำได้แค่บ่นในใจถึงจะนิ่วหน้าเจ็บแบบนั้น แต่ปลายฟ้าได้มองสัดส่วนร่างช่วงล่างของเขาอย่างพินิจ ก็พบว่ารังสิมันต์มีขาที่ยาวและข้อเท้านั้นมีความยืดหยุ่นมาก ทำให้เขาเดินเร็วโดยไม่รู้ตัว ปลายฟ้าเริ่มคงต้องสังเกตุร่างกายพวกเขาให้มากกว่านี้
เพื่อที่จะระวังแล้วก็ได้หนีไปได้โดยไม่ต้องให้พวกเขามาตามล่า…
'ถึงจะคิดแบบนั้น...แต่ขาฉันเจ็บจริงๆ อดทนไว้อย่าร้องครวญ'
ปวริศ อมาตยกุล ชายหนุ่มร่างสูงอยู่ในชุดเช่นเคยทุกวันคือเสื้อคอเต่าดำแขนยาวและกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ ซึ่งเป็นชุดที่ใส่ซ้ำบ่อยครั้งจนชินตาเหมือนเป็นเอกลักษณ์เจ้าตัวไปแล้วและเขาก็ยืนรอปลายฟ้าที่แต่งตัวด้วยเดรสยาวสีฟ้าอ่อนกับรองเท้าผ้าใบสีขาวที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับลูกชายคนที่3ของบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเหมือนเคย
สำหรับปวริศแล้วตอนที่เห็นสภาพเธอมันเหมือนกับว่าเธอนั้นแกล้งทำให้เหมือนตัวเองชินชากับที่นี่ ซึ่งมันก็ดีที่เธอปรับตัว ดูเสียสติไปแล้วดี..ถึงยังไงภาพตอนที่เธอบอกว่ากลัวเลือดแล้วก็พุ่งตัวจะมาบีบคอเขาในตอนนั้นเรียกได้ว่าปลายฟ้าต้องการจะฆ่าโดยที่ไม่มีจิตสังหารอะไรใส่ไป
ที่สำคัญกว่านั้น..เธอลืมเรื่องที่ตัวเองทำไปเหมือนกับว่าเธอไม่เคยทำ
และตอนพาไปซื้อของก็เห็นได้ชัดยิ่งกว่าเดิมเธอจำไม่ได้จริงๆ สัมผัสได้แต่ความเกรงใจไม่กล้าปฏิเสธใดๆ ปวริศเองก็ต้องการใช้งานเธอให้ถึงที่สุด เขาต้องจับมัดแกะให้แน่นมากกว่านี้ รวมไปถึงต้องให้เชื่อฟังเช่นกัน
“ผมพาเธอมาแล้วพี่ริท”
รังสิมันต์โบกมือทักทายพี่ตัวเองที่ยืนรอพร้อมรถเก้งคนโปรดของเขาสีดำ
“ขอบใจมาก”
ปวริศตอบน้องชายไป เขาก็เห็นปลายฟ้าแสดงสีหน้าที่เหนื่อยและเจ็บปวดออกมา ต้นขาของเธอยังไม่หายดีนัก เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะยังไงปลายฟ้า รินใจจำเป็นต้องมีแผลเป็นอยู่ดีในตอนนี้
“วันนี้ฉันจะพาเธอไปทำสปาและย้อมผมกับทำเล็บนะปลายฟ้า”
“ทำเสริมสวยเหรอคะ”
ปลายฟ้ามองคิ้วขมวดให้ปวริศไม่รู้เลยว่าทำไมถึงทำแบบนี้กับเธอด้วย ตั้งแต่ซื้อของให้ไหนจะเรื่องห้องนอนนั่นทำใหม่ให้เธออีก หญิงสาวที่ไม่เข้าใจก็ทำได้แค่ทำหน้าตกใจปนตื่นเต้นไปก่อน
“ใช่ ฉันจะย้อมผมบลอนด์ให้เธอ”
“พี่ริทเลือกให้เหรอคะ?”
“แล้วก็ลายเล็บเจล เลือกลายเองได้เท่าที่อยากทำ ไปกันได้แล้ว”
ชายหนุ่มเปิดประตูรถยนต์ของเขาและปลายฟ้าก็เข้าไปนั่งแต่โดยดีปวริศก็ปิดประตูให้
“เธอมีอะไรผิดปกติไหม” ปวริศถามรังสิมันต์
“ไม่มี แต่เรื่องเสียสติคงเป็นอย่างที่พี่ว่าแหล่ะมั้งที่ยอมรับสถานภาพตัวเองง่ายๆ น่ะ”
“คนไม่เคยมีก็เป็นแบบนี้แหล่ะ”
“ก็จริงนะ ฐานะเธอก็ไม่ได้มีเงินเยอะจริงๆ นั่นแหล่ะ”
“ฝากดูแลบ้านด้วย”
“ได้ครับเดินทางดีๆ นะครับพี่ริท”
ลูกคนที่สามของบ้านได้โบกมือบอกลาพี่ชายตัวเองที่เขาได้เข้าไปในรถและขับออกจากบ้านไปเรียบร้อย
“วันนี้ดอกพิกุลร่วงเยอะนี่นา..เก็บมาทำแยกสารสกัดที่จะไปเรือสำราญหรูดีกว่า”
สิ่งหนึ่งที่รังสิมันต์ อมาตยกุลถนัดคือการทำแลปสารสกัดคัดแยก เขาจะมีห้องแลปทดลองเป็นของตัวเองและอุปกรณ์นำเข้ามาจากประเทศชั้นนำคัดเกรดมาอย่างดี นอกจากรักษาและตกแต่งศพได้แล้วก็คือการทำสารสกัดคัดแยกออกมาลงในบรรจุพันธ์นั่นเอง
สวัสดีค่าา คิดถึงกันไหมคะ อยากจะบอกว่าเราก็คิดถึงทุกคนค่ะ5555 หลังจากหายไปนานเพราะติดภารกิจใจชีวิตจริงเยอะมาก ตอนนี้ยาวมากๆ อีกตอนต่อไปก็คงยาวอีกเช่นกัน5555