สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๒
“ถ้าทำตามแผนที่โรสวางไว้ โรสมั่นใจว่าโครงการสร้างห้างสรรพสินค้าของเราจะช่วยกอบกู้ผลประกอบการของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ให้ดีขึ้นได้แน่นอนค่ะ”
น้ำเสียงของ รสสุคนธ์ เศรษฐกมล ที่มอบคำมั่นแก่ผู้ร่วมประชุมนั้นหนักแน่นและชัดถ้อยชัดคำดี แต่ผลตอบรับจากทุกคนคือการมองหญิงสาวหน้าหวานด้วยดวงตาหวาดหวั่นราวกับเพิ่งถูกหล่อนสั่งให้ไปออกรบในดินแดนไกลโพ้น
“อย่างไรเราขอรอฟังการตัดสินใจจากคุณอิทอีกครั้งนะครับคุณโรส”
คำพูดของหนึ่งในกรรมการฝ่ายจัดหาเงินทุนและดูแลด้านบัญชีตอกย้ำชัดเจนว่าพวกเขายังไม่เชื่อมั่นในตัวหล่อน
“ก็แล้วแต่พวกคุณค่ะ เอาเป็นว่าโรสเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง”
รสสุคนธ์ตอบกลับเสียงแข็ง และเพราะเกรงว่าความไม่พอใจจะแสดงออกทางใบหน้าชัดเจน หล่อนจึงกล่าวปิดประชุม แล้วพาร่างกลมกลึงในชุดเดรสสีขาวสวมทับด้วยสูทผ้าเนื้อดีสีเดียวกันเดินกลับห้องทำงานที่มีป้ายโลหะผนึกบนบานประตูว่า
‘ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่’
ทั้งที่หญิงสาวคือทายาทของประธานบริษัท แต่กลับเป็นได้แค่ผู้ช่วย ส่วนหน้าที่สำคัญตกไปเป็นของอิทธิฤทธิ์ คนที่ไม่เกี่ยวข้องทางใดเลยกับตระกูลทว่ามีความสำคัญยิ่งยวด เพราะนอกจากจะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่และถือครองหุ้นของบริษัทสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขายังเป็นคนที่มารดากำลังยัดเยียดให้มาเป็นสามีหล่อนในอนาคตอันใกล้ ด้วยเหตุผลไม่น่าจูงใจว่าเป็นการแต่งงานเพื่อกอบกู้ผลประกอบการของบริษัทครอบครัว
ขนาดเรื่องความรักรสสุคนธ์ยังไร้อิสรภาพ นับประสาอะไรกับการอยากใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาบริหารกิจการ แม้แต่บุพการีก็ยังไม่เคยเห็นความสามารถบุตรสาว จึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้บริหารคนอื่นยืนกรานเชื่อฟังคำสั่งของอิทธิฤทธิ์มากกว่าคนที่สืบสายเลือดของประธานบริษัท
คิดถึงตรงนี้แล้ว หัวใจของหล่อนก็ห่อเหี่ยวขณะเดินคอตกผลักประตูห้องเข้าไป แต่พอได้เห็นกุหลาบช่อโตในแจกันแก้วใสใบใหญ่บนโต๊ะทำงาน รอยยิ้มกระจ่างก็ผุดพรายบนใบหน้า ตรงรี่เข้าไปหยิบดอกกุหลาบมาเชยชมเหมือนเด็กน้อยกระโจนเข้าหาขนมหวาน
“ร้านดอกไม้เขาเพิ่งมาส่งให้ตอนที่คุณโรสประชุมค่ะ ดิฉันเลยขออนุญาตมาใส่แจกันไว้ก่อน กลัวว่ามันจะเหี่ยวก่อนคุณโรสจะได้ชม” เลขานุการเดินตามมาบอก แต่พอเห็นนายสาวซุกไซ้ปลายจมูกมนบนกลีบบอบบางก็ถามอย่างใคร่รู้ “คุณโรสดมกุหลาบซะขนาดนั้น ไม่กลัวสารเคมีที่เขาฉีดใส่มันหรือคะ”
“ก็กลัวค่ะ แต่ลืมตัวทุกทีเพราะโรสเคยชินกับการได้ดมกุหลาบที่คุณยายปลูกในสวนของท่านตอนเด็กๆ” หล่อนคลี่ยิ้มตอบ
“คุณยายของคุณโรสท่านปลูกกุหลาบได้หรือคะ เคยได้ยินว่ากุหลาบปลูกยาก แสดงว่าท่านต้องเป็นคนใจเย็นมากแน่ๆ”
รสสุคนธ์พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “คุณยายท่านปลูกดอกไม้เก่งมากค่ะ แล้วในสวนของท่านมีกุหลาบกลิ่นหอมเต็มไปหมด ตอนโรสยังเด็ก โรสก็ชอบไปขลุกอยู่ในสวนกุหลาบของท่านทั้งวัน”
พูดถึงคุณยายทีไรหญิงสาวก็รู้สึกเหงาใจขึ้นมา ภาพความทรงจำของท่านหลั่งไหลผ่านกุหลาบ ดอกไม้ที่เป็นความอบอุ่นอ่อนโยนของคุณยายที่คอยปลอบประโลมจิตใจหล่อนทุกครั้งยามถูกมารดาทำโทษหนักจนร้องไห้วิ่งไปขอใช้หน้าตักเป็นที่ซับน้ำตา
“อ้อ คุยเพลินจนลืมไปเลย บริษัทพาร์ตเนอร์ส่งแบบงานมาให้แล้วค่ะ เขาบอกว่าให้คุณโรสตรวจสอบจนพอใจก่อนเซ็นอนุมัติแบบค่ะ” เลขานุการสาวเพิ่งนึกได้ว่าต้องส่งงาน จึงวางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะ
“ว้าว ดีจัง พวกเขาทำงานเร็วสมเป็นมืออาชีพจังเลย นี่โรสเพิ่งส่งสัญญาไปเมื่อสองวันก่อนเองนะคะ”
รสสุคนธ์ตื่นเต้น รีบคว้าแฟ้มมาเปิดดูแบบระบบความปลอดภัย ที่หล่อนเลือกใช้มืออาชีพเพราะรับประกันได้ถึงผลงาน กระนั้นก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่หล่อนไม่อาจยื่นมือไปจัดการ โดยเฉพาะงานที่อยู่ใต้การควบคุมของอิทธิฤทธิ์
“แล้วทางคุณอิทเขาคัดเลือกผู้รับเหมาได้หรือยังคะ”
ว่าแล้วก็ถามข่าวคราวความคืบหน้ากับเลขานุการ แต่คำตอบที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มเจื่อนก่อนขอตัวไปทำงานต่อ เจ้านายสาวจึงพ่นลมหายใจ เพราะหมายความว่าโครงการนี้ยังไม่ได้ผู้รับเหมาที่เหมาะสม แต่ทำไมอิทธิฤทธิ์ถึงตัดสินใจช้านัก เขาเองก็รู้ว่าต้องตอกเสาเข็มต้นแรกภายในสิ้นปีนี้ หวังว่าเขาคงไม่ได้กำลังทำให้โครงการที่หล่อนยกมือขอเป็นผู้ดูแลล่าช้ากว่ากำหนด
ความคิดลบฟุ้งกระจายปั่นหัวรสสุคนธ์จนสูญเสียสมาธิ หล่อนจึงสะบัดเรื่องในหัวออก แล้วก้มหน้าอ่านแผนผังระบบความปลอดภัยต่อ ทว่าความสงบกลับถูกทำลายลงเมื่อชายหนุ่มร่างสูงผลักประตูเข้ามาแสดงความเกรี้ยวกราดโดยไม่ขออนุญาตหล่อนสักคำ
“เป็นบ้าอะไรถึงได้ไปตกลงตามเงื่อนไขที่บริษัทคู่แข่งของเรากำหนด!”
รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้า ชำเลืองตามองเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ “ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตาย โรสขอคุยเวลาอื่นนะคะ ตอนนี้โรสต้องทำงาน”
“ก็เพราะการทำงานโดยพลการของโรสนี่ไงที่ทำให้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของบริษัทเรา!”
หญิงสาวสุดจะทนกับการวางอำนาจเกินขอบเขต จึงลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดยืนกอดอก จ้องใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังบูดเบี้ยวเพราะโทสะ
“ข้อแรกนะคะพี่อิท คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ไม่ใช่บริษัท ‘เรา’ แต่เป็นบริษัทของ ‘พ่อกับโรส’ และข้อที่สอง โรสไม่ได้บ้า แต่คิดถี่ถ้วนแล้วว่าคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ไม่เสียเปรียบ”
“ไม่เสียเปรียบ?” อิทธิฤทธิ์แค่นหัวเราะ “ไอ้ที่เรารับผิดชอบสร้างตัวอาคาร แต่ให้มันเข้ามาวางระบบความปลอดภัยอย่างนั้นหรือที่เรียกว่าไม่เสียเปรียบ?”
“ก็ใช่สิคะ งานอาคารและโครงสร้างเป็นงานที่เราถนัด แถมยังเป็นภาพลักษณ์ของโครงการ ฉะนั้นชื่อที่จะถูกนึกถึงก่อนก็ต้องเป็นคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ ไม่ใช่บริษัทคู่แข่งที่ทำอยู่แต่เบื้องหลังโดยไม่มีใครรู้”
“โง่!” คำผรุสวาทที่พ่นออกจากปากหยักทำให้ความคิดของรสสุคนธ์ชะงักงัน
“งานวางระบบความปลอดภัยของมันทำสัญญาแบบปีต่อปีเท่านั้น ยิ่งนานปีที่เราบริหารกิจการ ก็คือนานปีที่มันกำข้อมูลทางความปลอดภัยของเราทุกอย่าง ลองใช้ความคิดนักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยระดับนานาชาติทีสิว่ามันคุ้มค่าไหม!”
เขาไม่สนใจว่าเสียงตะคอกจะดังไปถึงหูใครหรือไม่ ครั้งหนึ่งหล่อนก็เคยถูกเขาดูหมิ่นความคิดต่อหน้าพนักงานทุกคนในห้องประชุมมาแล้ว ถึงจะยอมรับว่าเขามีประสบการณ์มากกว่า แต่การใช้วาจาไม่ให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่หล่อนรับไม่ได้ น้ำตาที่หลั่งรินออกมาจึงไร้ซึ่งความน้อยใจ แต่อัดแน่นไปด้วยความเกลียดชังทุกหยาดหยด
“แล้วพี่อิทล่ะคะ นอกจากกีดกันไม่ให้โรสทำงานงานของโรสแล้ว พี่อิททำอะไรให้คุณากรพร็อพเพอร์ตี้บ้าง”
“ขณะที่โรสคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำตามใจมันคืองาน พี่ต้องดิ้นรนแค่ไหนที่จะให้เราได้ไปร่วมไว้อาลัยงานศพมหาเศรษฐี เพื่อให้ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับนักลงทุนระดับนานาชาติ!” เรียวปากหยักกระตุกยิ้มร้าย โยนหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดมาที่โต๊ะทำงานหล่อน
‘อังกฤษสูญเสียบุคคลสำคัญครั้งใหญ่ หลังมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งบริษัทมิลเลอร์คอร์ปอเรชันประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตจากเครื่องบินตกไม่นาน เจ้าของกิจการรีสอร์ตหรูผู้ริเริ่มนำคฤหาสน์ขุนนางอังกฤษเก่ามารีโนเวตถูกพบเป็นศพหลังรถเสียหลักตกหน้าผาไม่ห่างจากรีสอร์ตของตัวเอง!’
คนในข่าวทั้งสองไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับหล่อนเลย แต่อิทธิฤทธิ์วิ่งเต้นหาทางไปร่วมงานไว้อาลัยให้ได้ ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่เขาฉวยเอาช่วงเวลาเศร้าของผู้อื่นมาเป็นโอกาสการแสดงตัวตน
“หรือถ้าโรสคิดว่าทำได้แค่ยืนร้องไห้ ก็วางมือจากงานแล้วไปเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของพี่อย่างเดียวจะดีกว่า”
เขายังไม่เลิกกล่าวคำดูถูก รสสุคนธ์กำมือทั้งสองแน่น กัดริมฝีปากตัวเองพยายามหยุดน้ำตาไม่ให้รินไหล แต่เพราะความคับแค้นที่ตีตื้นจากภายในกลายเป็นแผ่นดินไหวสร้างคลื่นยักษ์ซัดถาโถมใส่ทำนบให้พังทลาย
“คนที่สั่งโรสให้วางมือจากงานได้มีแค่คุณพ่อเท่านั้น”
อิทธิฤทธิ์แค่นหัวเราะ “แล้วก็เป็นพ่อของโรสไม่ใช่หรือที่อยากให้พี่มาเป็นสามีของโรสเพื่อกอบกู้บริษัทนี้”
นี่หรือคำพูดของคนที่กำลังจะก้าวเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกัน น้ำตาของรสสุคนธ์ที่หลั่งไหลออกมาคงไม่ต่างกับน้ำฝนที่ซึมลงในทราย “โรสขอประกาศให้ชัดตรงนี้ การวางมือจากงานนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายในชีวิตที่โรสทำ นั่นหมายความว่าการแต่งงานกับพี่ก็คือเรื่องสุดท้ายในชีวิตของโรสเช่นกัน!”
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเราต้องร่วมมือกัน”
“โรสบอกแล้วใช่ไหมคะว่าไม่มีคำว่า ‘เรา’!” หล่อนกระแทกเสียง คว้ากระเป๋าแล้วสะบัดตัวเดินออกจากห้องทำงาน ขับรถมุ่งหน้าสู่ถนนสายการค้าใจกลางเมืองที่แวดล้อมไปด้วยร้านอาหารและร้านเสื้อผ้าเลิศหรู ซึ่งหนึ่งในนั้นมีร้านเสื้อชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมในวงสังคมชั้นสูงฝังตัวอยู่ และเจ้าของร้านก็คือ แพรพรรณราย เพื่อนผู้รู้ใจเพียงคนเดียวในชีวิตของรสสุคนธ์
“หงส์!” รสสุคนธ์ผลักประตูร้านเข้าไปแล้วเรียกหาเพื่อนสาวทันที
“ยายโรส!” พอเจ้าของดวงตาคมฉาบอายชาโดวสีเทาหม่นเห็นหล่อนพุ่งตัวมาหาก็รีบวางเชิ้ตตัวสีขาวในมือ แล้วเอ่ยทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มระคนประหลาดใจ “สงสัยน้ำจะท่วมหลังหงส์ อะไรทำให้ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่มาหาแม่ค้าขายเสื้อเวลานี้ได้กัน”
ทว่าใบหน้าไม่สู้ดีกับดวงตาฉ่ำน้ำของรสสุคนธ์ก็เป็นเหตุให้แพรพรรณรายแขวนป้ายปิดร้านชั่วคราว แล้วรีบพาเพื่อนรักเข้าไปคุยในห้องทำงาน
“ฉันเกลียดเขา!” รสสุคนธ์ระเบิดความแค้นแน่นอกออกมา ทั้งแววตาและคำพูดล้วนชัดเจนโดยไม่ต้องสาธยายอะไรอีก
“เกลียด เกลียด เกลียด เกลียด!” หล่อนเดินวนไปวนมาพูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแพรพรรณรายทนไม่ไหวคว้าตัวให้นั่งลงบนโซฟาแล้วถามที่มาที่ไป
“โดนเขาว่าอะไรมาอีกล่ะ”
“โง่ เขาบอกว่าฉันโง่!”
“พี่อิทเขาพูดขนาดนั้นเลยหรือ” แววตาของแพรพรรณรายบอกว่าไม่เชื่อ
“เธอคิดว่าฉันกุเรื่องขึ้นเองหรือไง คิดว่าฉันหาเรื่องต่อว่าเขาเพื่อหนีการแต่งงานใช่ไหม!”
“เปล่า ฉันยังไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่ไม่คิดว่าพี่อิทเขาจะใช้คำพูดแรงๆ กับเธอ” แพรพรรณรายส่ายหน้าปฏิเสธจนปลายผมบ็อบสั้นสะบัดพลิ้วไปมา
“น้อยไปเสียเมื่อไรล่ะ แล้วนี่ถ้าฉันแต่งงานกับเขา เธอคิดดูสิว่ามันจะเหมือนตกนรกแค่ไหน ถ้าเราต้องอยู่กับผู้ชายที่ดูถูกเรา เห็นเราเป็นช้างเท้าหลัง ต้องพยักหน้ารับคำ ทำตามคำสั่งอย่างเดียวไปตลอดชีวิต แค่คิดก็อยากจะบ้าแล้ว!”
“แล้วทำไมเขาถึงว่าเธอล่ะ”
รสสุคนธ์ทำหน้าเหนื่อยหน่าย “ก็เรื่องงานน่ะ ฉันตัดสินใจเซ็นสัญญากับบริษัทที่เคยเป็นคู่แข่งให้เข้ามาวางระบบความปลอดภัยของโครงการโดยไม่บอกพี่อิท แล้วคงมีลิ่วล้อของเขาคาบข่าวไปบอก ขนาดตัวไม่อยู่ยังให้สายสืบคอยจับตาการทำงานของฉันเลย ทุเรศที่สุด”
“เธอก็น่าจะแสดงฝีมือให้เขาเห็นว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด”
“ฉันก็ทำอยู่นะหงส์ จริงๆ แล้วตอนนี้ฉันใช้กลยุทธ์น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า บางทีเราอาจต้องการพาร์ตเนอร์มากกว่าคู่แข่ง ยิ่งนโยบายเศรษฐกิจผันแปรตามการเมืองแบบนี้ องค์กรเอกชนก็ต้องหันหน้าเข้าหากันมากขึ้น แต่คนอย่างพี่อิทน่ะ ต้องเด่นต้องดีเหนือคนอื่น เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องของการแข่งขันไปหมด”
แพรพรรณรายถอนหายใจ วางมือบนไหล่ของเพื่อนสาว “ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งท้อสิ ถ้าเธอทำสำเร็จ พี่อิทก็จะยอมรับในตัวเธอไงล่ะ”
รสสุคนธ์ระบายลมหายใจเสียงยาว เพราะความจริงแล้วการที่หล่อนมุ่งมั่นทำงานไม่ใช่เพื่อให้ว่าที่สามีคนที่หล่อนไม่เคยคิดรักยอมรับ แต่เพื่อให้พ่อแม่ของหล่อนเชื่อมั่นในความสามารถของบุตรสาวต่างหาก ซึ่งดูเหมือนว่าหนทางกำลังรางเลือนลงหากหล่อนยังจมอยู่ใต้เงาของอิทธิฤทธิ์ต่อไป ไม่ว่าจะด้วยฐานะลูกน้องใต้บังคับบัญชา หรือภรรยาผู้อยู่ใต้อำนาจของสามี
แล้วหล่อนจะยอมให้เป็นแบบนั้นหรือยายโรส ไม่มีทาง! เสียงในใจคัดค้านหนักแน่นเหลือเกิน ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รสสุคนธ์ เศรษฐกมล คนนี้ก็จะพาคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ให้ผ่านพ้นวิกฤตโดยไม่ต้องพึ่งใบทะเบียนสมรสให้จงได้ รสสุคนธ์จึงตั้งปณิธานในใจ แล้วปักหมุดหมายตรงที่คำว่า ‘ต้องสำเร็จ!’