สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๓ เซราฟิม
ด้วยปณิธานที่ตั้งมั่น รสสุคนธ์จึงเดินตามแผนการของตนไปอย่างเงียบๆ โดยหวังว่าสิ่งที่ทำจะสัมฤทธิ์ดังใจ หล่อนเก็บสะสมข้อมูลและวางกลยุทธต่างๆ ในหัว เพื่อรอวันยึดตำแหน่งผู้ควบคุมดูแลโครงการใหญ่มาไว้ในมือทั้งหมด แต่กว่าจะถึงวันนั้น รสสุคนธ์ยอมปล่อยให้อิทธิฤทธิ์ฉายแสงกลบบทบาทของหล่อนอย่างที่เขาต้องการ
แม้ในวันงานศพของมหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทหลักทรัพย์และการลงทุนระดับใหญ่ของอังกฤษที่บิดาส่งหล่อนมาเป็นตัวแทน อิทธิฤทธิ์ก็ยังกำชับหล่อนก่อนเข้างานว่าห้ามพูดแสดงความเห็นใดๆ จนกว่าเขาจะอนุญาต จึงกลายเป็นว่าหล่อนต้องยืนนิ่งเงียบข้างเขาประหนึ่งผู้ติดตามรับใช้เจ้านาย ไม่ต่างอะไรกับดอกยิปโซที่ประดับในช่อดอกกุหลาบที่ไม่มีใครสนใจ
กระทั่งความเบื่อหน่ายผสมความเหนื่อยล้าจากการเดินทางข้ามทวีปสะสมได้ที่ หล่อนจึงหลุดอ้าปากหาว ซึ่งจังหวะดีเหลือเกินเมื่อสุภาพบุรุษนักธุรกิจเมืองผู้ดีท่านหนึ่งหันมาเห็นพอดี ตอนนั้นแหละถึงได้ค้นพบว่ามีผู้หญิงผมดัดลอนอ่อนสีน้ำตาลธรรมชาติยืนยิ้มเจื่อนอยู่ตรงนี้ตั้งหนึ่งคน
“ขอโทษค่ะ”
รสสุคนธ์รีบกล่าวคำขออภัย ดีที่เขาไม่ถือสาแต่กลายเป็นสัญญาณเตือนอิทธิฤทธิ์ที่กำลังอธิบายแผนการลงทุนโครงการใหม่ของคุณากรพร็อพเพอตี้อย่างออกรสออกชาติเริ่มรู้ตัวว่ากำลังทำผิดธรรมเนียมปฏิบัติสากล เขาจึงรีบแนะนำหล่อนด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงดีราวกับคนสัญชาติต้นแบบ
“โอ... ต้องขออภัยด้วยที่ผมยังไม่ได้แนะนำให้พวกคุณรู้จักคุณผู้หญิงแสนสวยคนนี้” พูดพร้อมกับสอดมือเข้าที่เอวบางแล้วบีบราวกับต้องการเตือนให้หล่อนนิ่งเงียบตามที่ตกลงกัน
“เธอคือรสสุคนธ์ เศรษฐกมล บุตรสาวของคุณคุณากร เศรษฐกมล ประธานใหญ่แห่งบริษัทคุณากรพร็อพเพอตี้ และเธอก็กำลังครองตำแหน่งว่าที่ภรรยาของผมอีกด้วย”
แค่มือกาวที่เกาะเกี่ยวเอวทำให้ต้องฝืนเก็บความขุ่นมัวไว้ใต้รอยยิ้มมากพอแล้ว การถูกแนะนำว่าเป็นว่าที่ภรรยาแทนการแนะนำตำแหน่งหน้าที่การงาน ยิ่งทำให้รอยยิ้มของหญิงสาวหดแคบ แต่แทนที่จะเอาสมองไปคิดเล็กคิดน้อย รสสุคนธ์ขอคว้าโอกาสที่ฉกฉวยมาด้วยความไม่ตั้งใจเปิดตัวใหม่อีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อรสุคนธ์ เศรษฐกมล” หล่อนคลี่ยิ้มกว้าง สร้างความละมุนให้ใบหน้าหวาน แล้วเปิดกระเป๋าคลัทช์ใบจิ๋ว หยิบนามบัตรออกมายื่นให้สุภาพบุรุษทั้งหลาย
“อย่างที่คุณอิทธิฤทธิ์บอกเมื่อสักครู่ ดิฉันเป็นบุตรสาวของคุณคุณากร เศรษฐกมล และเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของคุณากรพร็อพเพอตี้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ แล้วต้องขออภัยแทนคุณพ่อของดิฉันด้วยที่ท่านไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานศพคุณโธมัส มิลเลอร์ได้ สุขภาพของท่านไม่ค่อยดีนัก แต่ท่านก็มอบหมายให้ดิฉันเป็นตัวแทนมาร่วมงานนี้”
“ผมขอให้อาการของท่านฟื้นฟูในเร็ววันนะครับ” คนที่เห็นหล่อนเป็นคนแรกกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“เมื่อสักครู่นี้ คุณอิทธิฤทธิ์บอกว่าพวกคุณกำลังจะแต่งงาน ผมขอแสดงความยินดีล่วงหน้าด้วย แต่ผมไม่ค่อยได้เห็นคู่รักทำงานร่วมกันได้ ขออภัยหากความคิดเห็นของผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของพวกคุณ” ส่วนอีกคนหนึ่งในกลุ่มหาเรื่องสนทนาต่อในหัวข้อไม่ถูกใจรสสุคนธ์นัก
“คือว่าเรื่องนั้น...”
“โรสจ๊ะ พี่ว่าโรสไปนั่งพักรอพี่ในเต็นท์สีขาวตรงนั้นก่อนดีกว่า เขาจัดของว่างให้แขกที่มาร่วมงานศพทานด้วย พี่ขอคุยกับสุภาพบุรุษทั้งหลายสักพักแล้วจะตามเข้าไปก่อนพิธีเริ่ม”
ใครบังเอิญมาได้ยินคำพูดหวานหูก็คงคิดว่าเขาช่างเอาใจใส่ดูแล มีแค่รสสุคนธ์เท่านั้นที่รู้ว่าอิทธิฤทธิ์กำลังหาทางลดบทบาททางสังคมของหล่อน แต่เปล่าประโยชน์ที่ยืนโต้เถียงกันให้ได้อายถึงบิดา รสสุคนธ์จึงค้อมศีรษะกล่าวคำลาแล้วเดินจากมา แต่ก็ไม่วายได้ยินอิทธิฤทธิ์บอกกับทุกคนว่าหล่อนอยากไปหาช็อกโกแลตอร่อยๆ อย่างที่พวกผู้หญิงชอบทำกัน
ถึงจะไม่ปฏิเสธเรื่องชอบรสชาติของช็อกโกแลต แต่เขาไม่ควรทำให้ทุกคนมองหล่อนเป็นผู้หญิงไร้ความสามารถ ยิ่งคิดความโกรธขึ้งก็เผยชัดบนใบหน้า การได้ช็อกโกแลตสักชิ้นจึงเป็นคำตอบที่ดีสำหรับการดับความขุ่นข้องหมองอารมณ์
รสสุคนธ์จึงพาร่างอรชรในชุดกระโปรงสีดำติดกันทรงดินสอที่ตัดเย็บแนบพอดีกับรูปร่าง ก้าวย่างด้วยส้นเข็มสูงสี่นิ้วเดินผ่านแขกเหรื่อมากมายที่จับกลุ่มคุยกันในสนามหญ้ากว้างหน้าโบสถ์สีขาวบริสุทธ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่สุดปลายสายตา แต่แล้วความมุ่งมั่นในการสรรหาช็อกโกแลตรสดีกลับถูกเป่าออกจากหัวด้วยแว่วเสียงร้องเพลงแสนไพเราะเคล้าคลอเสียงกีตาร์ลอยมาตามสายลมอ่อนของปลายฤดูใบไม้ผลิ
รสสุคนธ์จึงหยุดขาแล้วหันซ้ายหันขวาเดาทิศทางที่มาของเสียงเพราะเสนาะหู จนดวงตาคมหวานไปสะดุดกับความงดงามตระการตาของประตูซุ้มกุหลาบเลื้อยสีแดงสดที่อยู่ห่างจากเต็นท์สีขาวไปไม่ไกล
รอบตัวซุ้มมีก้านสีเขียวกุหลาบพันเกี่ยวแน่นหนา ตัดด้วยกลีบกุหลาบสีแดงที่ออกดอกสะพรั่งเป็นพวงคล้ายลูกแอปเปิลห้อยระย้า แค่กลิ่นหอมของดอกไม้ชนิดนี้ก็ถูกใจหล่อนเกินพอแล้ว แต่ที่กวักมือเรียกให้เดินเข้าไปหาคือป้ายโลหะสีบรอนซ์ประดับเหนือซุ้มที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า
‘เอเดน’
เสียงกีตาร์เงียบหายไปตอนที่รสสุคนธ์ก้าวมาหยุดยืนใต้ม่านดอกไม้ แต่การแสวงหาเสียงร้องเสนาะหูไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป เพราะยามพวงระย้าของกุหลาบแดงแกว่งไกวตามสายลม ช่างน่ารักน่าชมเหมือนระฆังแก้วที่แขวนข้างหน้าต่างบ้านของคุณยาย กลิ่นของมันก็หอมรัญจวนจนหล่อนขอเขย่งเท้าบนความสูงสี่นิ้วเพื่อเงยหน้าขึ้นดอมดมให้ชื่นใจ
แต่ในตอนที่ปลายจมูกมนเกือบได้สัมผัสกลีบบุปผา รสสุคนธ์ก็ถูกกระแทกเข้าที่ด้านหลังอย่างจัง ส่งผลต่อการสูญเสียการทรงตัวบนรองเท้าสูงปรี๊ด หล่อนกรีดร้องถลาล้มไปตามแรงโน้มถ่วงโลก แต่ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้น มีเด็กหญิงผมทองร่างบอบบางในชุดกระโปรงสีดำฟูฟ่องวิ่งตัดเข้ามาในระยะที่หล่อนจะล้มลงไปทับพอดิบพอดี น่าหวาดเสียวจนหัวใจหล่อนแทบหลุดออกจากอก
ทว่าฉับพลันทันใด ใครบางคนเข้ามารวบร่างจ้อยของเด็กหญิงให้พ้นจากการถูกทับได้ทันแบบเส้นยาแดงผ่าแปด จึงกลายเป็นว่าหล่อนล้มลงหน้าอกกระแทกพื้นเต็มแรงคนเดียว
“โอ๊ย... เจ็บจัง...” รสสุคนธ์ครวญเสียงโอดโอย หันไปส่งตาเขียวใส่เด็กหนุ่มผมทองตัวต้นเหตุที่ยืนทำหน้าซีดสลด มองหล่อนด้วยดวงตาสีน้ำเงินสด
“เด็กบ้าเอ๊ย” หล่อนต่อว่าเป็นภาษาไทยอย่างลืมตัว แม้ตัวการจะไม่เข้าใจความหมาย แต่แววตาถมึงทึงของเจ้าทุกข์สาวก็สื่อชัดเจนถึงระดับความโกรธ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
แต่พอมีเสียงพูดภาษาไทยดังแทรกอารมณ์คุกรุ่น รสสุคนธ์ก็หันหน้าขวับไปหา แล้วสบประสานสายตากับดวงตาสีน้ำผึ้งสวยประหลาดของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ส่วนแม่สาวน้อยในชุดกระโปรงที่เขาอุ้มแนบอกอยู่บอกหล่อนว่าใครคือฮีโร่ที่เข้ามาช่วยเหลือแม่หนูได้ทันท่วงทีก่อนจะกลายเป็นเหยื่อการล้มทับของหล่อน
“ล้มแรงขนาดนี้ ก็ต้องเจ็บอยู่แล้วสิคะ”
เพราะไม่ใช่คนเสแสร้ง หล่อนจึงบอกไปตามความรู้สึกจริง แล้วพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แต่เนื้อผ้าของชุดที่สั่งตัดมาเป็นพิเศษนั้นไม่ทนทานต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบในนาทีก่อนหน้า มันจึงฉีกขาดเป็นทางยาวจากชายกระโปรงขึ้นไปจนเห็นรอยต่อของถุงน่องสีดำตรงโคนต้นขา อับอายจนหน้าแดงก่ำไม่ต่างกับกุหลาบเลื้อยบนซุ้มประตู
“ใช้สูทของผมคลุมไว้ก่อนก็แล้วกัน” เขาปล่อยเด็กหญิงลงวิ่งหายเข้าไปในสวนจากนั้นถอดสูทส่งให้หล่อน
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำใจที่ไม่คาดว่าจะได้รับถูกตอบกลับด้วยคำขอบคุณจากใจ รสสุคนธ์รีบรับเอาสูทสีดำตัวใหญ่มาใช้แขนทั้งสองผูกเข้าหากันที่เอว อาศัยความยาวของชายสูทปิดผิวกายไม่ให้โผล่พ้นเนื้อผ้าออกมา แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือหล่อนจะยืนขึ้นได้อย่างไรไม่ให้ประเจิดประเจ้อด้วยรองเท้าส้นสูงคู่สวยที่ไม่ช่วยให้ดูดีเลยในยามนี้
“ผมจะช่วยดึงตัวคุณขึ้นยืน”
ไม่จำเป็นต้องวางท่าหรือลังเลต่อคำเสนอ รสสุคนธ์ประสานมือของตนลงบนฝ่ามือหนา จากนั้นเขาก็ออกแรงพยุงร่างหล่อนขึ้น แต่กระแสความเจ็บก็แล่นปราดขึ้นจากข้อเท้าจนใบหน้างามเหยเก
“คุณไหวหรือเปล่า” ทั้งน้ำเสียงนุ่มทั้งประกายระยิบระยับในดวงตาของหนุ่มหล่อแปลกหน้าส่งผลต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ รสสุคนธ์รีบปล่อยมือจากเขาแล้วพยายามทรงตัวเองให้ได้แต่ก็ยังง่อนแง่นไม่มั่นคงเท่าไรนัก
“ยังเจ็บอยู่นิดหน่อย แต่ไหวค่ะ”
“ผมว่าไม่น่าไหว” มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม “เด็กคนที่ชนคุณ เขายังไม่ได้ขอโทษคุณใช่ไหมครับ”
“ยังหรอกค่ะ คงตกใจที่ฉันพูดภาษาไทยใส่” แต่หล่อนก็ไม่อยากถือสาหาความอีก “แต่ช่างเถอะค่ะ จริงๆ แล้วฉันก็ผิดเองที่ยืนขวางทาง พอดีกลิ่นของกุหลาบต้นนี้หอมจนฉันอยากดม เลยลืมไปว่ายืนเกะกะทางเข้าสวนอยู่ สมควรแล้วที่จะถูกวิ่งชน”
“ถ้าอย่างนั้นต้นเหตุก็คือมันสินะ...” เขาเปรยคำพูด แล้วยืดแขนขึ้นเด็ดพวงกุหลาบสีแดงสดพวงใหญ่จากกิ่งจากนั้นส่งมาให้ “เพื่อชดเชยความผิด คุณช่วยรับเรดเอเดนไปได้ไหม”
“เรดเอเดน?”
“ชื่อของมัน”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกุหลาบสีแดงในมือชายหนุ่มหรือเพราะดวงตาสีน้ำผึ้งป่าคู่นั้นของเขากันที่ทำให้หัวใจหล่อนเต้นแรง แต่หากหล่อนไม่ยื่นมือไปรับเจ้าเรดเอเดน ก็ไม่แน่ใจว่าจะทนการจับจ้องมองของดวงตาสีสวยประหลาดได้นานแค่ไหน
“ขอบคุณนะคะ ฉันชื่อรสสุคนธ์ เศรษฐกมล ไม่ทราบว่าคุณคือ...” หล่อนจึงรีบรับคำขอโทษกลิ่นหอมมาไว้ แล้วแนะนำตัวเอง
“โรส!” ยังไม่ทันได้รู้จักนามของชายหนุ่ม เสียงของอิทธิฤทธิ์ก็ดังนำมาก่อนที่ตัวเขาจะเข้ามาถึง
“เกิดอะไรขึ้น” ผู้มาใหม่ขมวดคิ้วถาม พลางเพ่งมองมาที่กุหลาบสีแดงในมือกับสูทที่คาดไว้รอบเอวบาง
“โรสถูกเด็กวิ่งชนจนล้มค่ะ แต่ได้คุณเขาช่วยพยุงโรสขึ้นยืน แล้วยังให้ยืมสูทปิดรอยขาดของกระโปรงด้วย”
อิทธิฤทธิ์พ่นลมหายใจแรง “พี่จะไปส่งโรสกลับโรงแรม แล้วพี่จะอยู่เป็นตัวแทนคุณลุงร่วมพิธีเอง”
“โรสไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงนี่คะ แล้วโรสก็ยังไม่กลับหรอกค่ะ จะอยู่จนเสร็จพิธี”
“สภาพแบบนี้ ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง” อิทธิฤทธิ์เคลื่อนเข้ามาพูดเสียงต่ำข้างหู
“อาย!?!” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นอกจากจะไม่ถามอาการเจ็บของหล่อนแล้ว ยังจะกีดกันหล่อนให้ออกห่างจากหน้าที่ตัวแทนของบิดาอีก “ถ้าพี่อิทอายก็ไม่ต้องมาเดินด้วยก็ได้ค่ะ!”
หล่อนโกรธจนลมออกหู แล้วจะก้าวขาเดินหนีแต่ความปวดร้าวที่ข้อเท้าก็เข้าจู่โจมฉับพลัน ร่างบางจึงโอนเอน จะล้มหน้าคะมำอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มเจ้าของสูทเข้ามาคว้าแขนหล่อนได้ทันจากด้านหลัง
“ถ้าอยากเดิน ผมแนะนำให้คุณถอดรองเท้าเดิน”
เขาพูดยิ้มๆ ขณะช่วยประคองหล่อนให้ทรงตัว ส่วนรสสุคนธ์นั้นหน้าแดงซ่าน ขายหน้าจนอยากซุกแผ่นดิน แต่ชายหนุ่มอีกคนก็เข้ามาดึงหล่อนกลับไปพร้อมแนะนำตัวเสียงแข็ง
“ขอบคุณ ผมขอดูแลเธอต่อเอง ผมชื่ออิทธิฤทธิ์ ยินดีที่ได้รู้จัก ได้ยินรสสุคนธ์บอกว่าสูทตัวนั้นเป็นของคุณ ผมขอนามบัตรผมของคุณได้ไหม จะได้ส่งสูทตัวใหม่ไปชดใช้”
อีกฝ่ายมองกลับมาดวงตาเรียบนิ่ง “ผมไม่มีนามบัตรครับ แต่คุณไม่จำเป็นต้องชดใช้อะไร”
“ไม่ได้ครับ ยังไงผมก็จะชดใช้ ถ้าคุณไม่มีนามบัตรก็ช่วยบอกทีว่าผมจะส่งสูทตัวใหม่คืนคุณได้ที่ไหน” อิทธิฤทธิ์ยังยืนยันความคิด
“ขออนุญาตค่ะ”
แต่นาทีนั้น มีเสียงใสของแม่หนูคนเดิมแทรก เจ้าของสูทก็รีบละความสนใจจากอิทธิฤทธิ์ หันไปย่อเข่าลงถามเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงนุ่นนวล
“มีอะไรหรือครับหนูโรซี่”
“โรซี่จะมาบอกว่าได้เวลาเข้าพิธีแล้วค่ะ”
“ขอผมเข้าไปดูกุหลาบในสวนเอเดนก่อนนะครับ แล้วจะตามไป”
หนูน้อยเอียงคอมอง “คุณอาเป็นคนปลูกกุหลาบทั้งหมดในสวนเอเดน จะเข้าไปดูพวกมันทำไมบ่อยๆ ล่ะคะ”
“เพราะปลูกเองก็เลยต้องดูแลบ่อยๆ ถ้าเสร็จแล้วจะรีบตามไป” เขาคลี่ยิ้มละไม “ดูนั่นสิคุณพ่อของหนูโรซี่มายืนรอหน้าโบสถ์แล้ว ถ้าไปช้าเดี๋ยวจะถูกดุอีกนะครับ”
แม่หนูน้อยฟังแล้วก็พยักหน้ายิ้ม วิ่งกลับไปหาบิดาที่ยืนโบกมือให้เขาอยู่หน้าประตูทางเข้าตัวโบสถ์ รสสุคนธ์เห็นแล้วก็หน้าสลดเมื่อรู้ว่าแม่หนูคนนั้นเป็นใคร
“แม่หนูเป็นลูกของคุณเบนหรือคะ เมื่อกี้ฉันเกือบจะล้มไปทับแม่หนูแล้วสิ โชคดีจังที่คุณคว้าตัวแกไว้ทัน”
“เป็นอุบัติเหตุนี่ครับ แล้วก็ไม่มีใครเจ็บตัวนอกจากคุณ” เขาพูดแล้วค้อมศีรษะเชิงขอลา จากนั้นก็ก้าวขาเดินผ่านหล่อนไป แต่คงนึกได้ว่าค้างคำตอบไว้จึงหันหน้ากลับมา “ถ้าคุณยังอยากส่งสูทใช้คืนผมอยู่ละก็ ส่งมาที่คฤหาสน์ของเบน มิลเลอร์ จ่าหน้าถึงหัวหน้าคนสวนแห่งเอเดน”
ร่างสูงหายลับเข้าไปในสวนสวย ทิ้งความกังขาให้หญิงสาวที่มองตามจนแผ่นหลังหายลับเข้าไปในแมกไม้ เขาชื่ออะไรยังไม่ได้บอกกล่าว แต่หล่อนก็บันทึกภาพคนสวนแห่งเอเดนไว้ในความทรงจำแล้ว
“ไม่ทันไร โรสก็เกือบจะสร้างเรื่องแล้ว กลับไปรอพี่ที่โรงแรมก่อนที่จะทำอะไรขายหน้าอีกดีกว่า” พอไม่มีคนนอกอยู่ด้วย อิทธิฤทธิ์ก็ได้ทีตอกคำพูดร้ายใส่
“ไม่ค่ะ โรสจะอยู่ร่วมพิธีจนจบตามหน้าที่ที่พ่อมอบหมาย”
อิทธิฤทธิ์แค่นหัวเราะ “โรสอาจคิดว่าแค่มาร่วมงานศพ แต่จริงๆ แล้วเราต้องมาสร้างภาพลักษณ์เรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน โรสก็รู้ไม่ใช่หรือว่าโครงการใหญ่ของคุณากรพร็อพเพอตี้ยังขาดทุนทรัพย์ แต่ถ้าโรสมาขายหน้ามากกว่ามาขายภาพลักษณ์ คุณลุงก็อาจคิดผิดที่ส่งโรสมาเป็นตัวแทน แล้วที่สำคัญ เป็นเพราะพี่วิ่งเต้นหาคอนเน็กชันกับบริษัทคู่ค้า เราถึงได้มาร่วมไว้อาลัยกับการตายของคนที่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว ก็เพื่อให้คุณากรพร็อพเพอตี้ได้แตะไหล่กับแขกของงานที่เป็นนักธุรกิจระดับสากล”
หญิงสาวนึกเดียดฉันท์ความคิดชายหนุ่ม จริงอยู่ที่งานศพนี้อาจถูกใช้เป็นเวทีจับคู่การค้า แต่เขาไม่ควรลืมว่าต้องร่วมไว้อาลัยแด่ผู้ตายบ้าง ไม่ใช่จ้องแต่จะหานักลงทุนเงินหนาเพื่อผลประโยชน์ของตนท่าเดียว
“พี่อิทไม่ต้องห่วงหรอกว่าโรสจะทำให้พ่ออาย เพราะนักธุรกิจระดับสากลพวกนั้นคงไม่ดูหมิ่นผู้หญิงเคราะห์ร้ายที่โดนเด็กวิ่งชนจนล้มแล้วบาดเจ็บหรอกค่ะ นี่ก็ได้เวลาเข้าพิธีแล้ว โรสขอไปทำหน้าที่ของคนที่มาร่วมไว้อาลัยแด่ผู้จากไปก่อน”
หล่อนพูดแล้วย่อตัวถอดรองเท้าส้นสูงออก ยอมให้ถุงน่องสีดำเนื้อหนาที่ห่อหุ้มฝ่าเท้าสัมผัสกับผืนหญ้าอ่อนนุ่มดีกว่าฝืนทรมานร่างกาย จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเตรียมใจรับความร้าวระบมตอนก้าวเดิน แต่ยังไม่ทันได้ออกตัวดี อิทธิฤทธิ์ก็สอดแขนเข้าที่เอว พร้อมกับคำพูดน้ำเสียงประชดประชัน
“ดื้อไม่เข้าเรื่อง!”
รสสุคนธ์ทำเป็นหูทวนลม ยอมให้เขาประคองเข้าสู่ตัวโบสถ์ แล้วเลือกนั่งบนเก้าอี้แถวหลังสุด เพราะไม่งามแน่ถ้าเดินกะเผลกไปที่ด้านหน้า ต่อให้รั้นอย่างไร หล่อนก็รู้จักกาลเทศะดี
“จะมีงานเลี้ยงน้ำชาหลังจบพิธีการ ผู้ร่วมโต๊ะของเราเป็นคนในแวดวงธุรกิจระดับแนวหน้าของอังกฤษ พี่แนะนำให้โรสทำแค่โปรยยิ้ม หากถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณากรพร็อพเพอตี้ พี่จะเป็นคนตอบเอง” แต่เสียงกระซิบของอิทธิฤทธิ์สะกิดความขุ่นที่เพิ่งตกตะกอนให้ลอยคลุ้งอีกครั้ง
“ไม่เห็นพ่อสั่งแบบนั้น โรสจำได้ว่าตัวแทนที่มาร่วมงานคือโรส ชื่อผู้ร่วมงานหลักก็เป็นโรส”
“ใครเป็นผู้ร่วมงานหลักไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าพวกเขาอยากฟังคำตอบจากกรรมการผู้จัดการใหญ่หรือจากผู้ช่วย”
เหตุผลของเขาปิดปากหล่อนได้ชะงัก แต่เมื่อหล่อนยืนกรานแล้วว่าจะอยู่จนพิธีจบ จึงต้องสะกดกลั้นความโกรธไว้ แต่พอถึงเวลาเลี้ยงน้ำชา อิทธิฤทธิ์ก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นบทนักแสดงนำ ส่วนหล่อนได้เป็นแค่ตัวประกอบฉากที่หาสำคัญไม่ได้เลย รสสุคนธ์จึงตัดสินใจเดินออกจากโต๊ะน้ำชา โดยไม่ลืมพกกุหลาบแดงสดตัวแทนคำขอโทษของเขาผู้นั้นติดตัว มืออีกข้างก็หิ้วรองเท้าส้นสูงเดินกะเผลกผ่านสนามหญ้าตรงไปหยุดหน้าทางเข้าสวนสวรรค์ สูดกลิ่นกุหลาบหอมเข้าปอดแล้วยืดอกก้าวเดินเข้าสู่ภายในที่ทำให้หล่อนตื่นตาตื่นใจไปด้วยกุหลาบมากมายหลากพันธุ์เรียงตัวตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งราวกับต้อนรับราชินี
“บังเอิญได้ยินเขาพูดว่าคุณดื้อ ผมควรจะเชื่อที่เขาพูดใช่ไหม”
สิ้นประโยคขัดหู รสสุคนธ์ก็หมุนตัวหันไปด้านหลัง “ดื้อน่ะใช้กับเด็ก แต่ฉันเป็นผู้ใหญ่ ต้องใช้คำว่ามีความคิดเป็นของตัวเอง”
แต่ด้วยดวงตาสีน้ำผึ้งป่าที่มองหล่อนแน่วนิ่งกับรอยยิ้มตรงมุมปากหยักของเขาทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่ถูกผู้ใหญ่จับไต๋ได้ รสสุคนธ์จึงถอนลมหายใจแล้วบอกความจริง
“งานเลี้ยงน้ำชามันน่าเบื่อ ฉันเลยออกมาชมสวน”
“คนที่เป็นผู้บริหารไม่ควรหนีงานเพราะเหตุผลของความเบื่อ”
“แล้วที่คนสวนแห่งเอเดนถือกีตาร์ ไม่ใช่เพราะเบื่องานดูแลสวน ก็เลยเปลี่ยนเป็นนักดนตรีหรือคะ” หล่อนตอบโต้พลางลากตามองกีตาร์โปร่งในมือชายหนุ่ม
“ใครว่า ผมกำลังทำงานต่างหาก”
“งานอะไรของคุณ” คำพูดของเขาทำให้รสสุคนธ์ยิ้ม
เขาไม่ตอบคำถาม เดินผ่านหล่อนไปทรุดตัวนั่งข้างน้ำพุ แล้วพรมนิ้วเรียวบนสายเอ็น จากนั้นเปล่งเสียงทุ้มขับขานบทเพลง La vie En Rose ด้วยน้ำเสียงหวานหูกล่อมหญิงสาวให้เคลิ้มคล้อยราวต้องมนต์ จนบทเพลงจบลงเขาถึงหันมาสบตา
“หนึ่งในงานของผม... ร้องเพลงให้พวกมันฟัง”
รสสุคนธ์คลี่ยิ้ม แล้วเบนสายตาไปทางประติมากรรมปูนปั้นที่ประดับอยู่ใจกลางน้ำพุ “เซราฟิม”
ชายหนุ่มยิ้ม หันสายตาไปทางเดียวกับหญิงสาว “เซราฟิม? ทูตสวรรค์ที่มีหน้าที่ร้องเพลงให้พระเจ้าฟังในสวนเอเดนน่ะหรือ?”
“ใช่ คุณคือเซราฟิม” หล่อนพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือมนุษย์จอมยุ่งที่ล่วงล้ำเข้ามาในสวนเอเดน”
รสสุคนธ์ย่นจมูกใส่ แต่เขาก็ยังจ้องหล่อนด้วยดวงตาสีสวยราวกับรอให้หล่อนแก้คำครหา แต่เกมจ้องตาจบลงเพราะมีสายเรียกเข้าดังโทรศัพท์ของเขา
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้” จบบทสนาทนาแล้วนั้น ร่างสูงก็สอดโทรศัพท์ใส่กระเป๋า หยิบกีตาร์แล้วลุกขึ้นยืน “ได้เวลาที่คนสวนต้องกลับไปรับใช้นายแล้ว”
“กว่างานเลี้ยงน้ำชาจะเลิกก็อีกตั้งชั่วโมง คุณเบนไม่น่าเรียกใช้คนสวนไปเสิร์ฟขนมมั้งคะ” แต่หญิงสาวอยากรั้งเขาไว้โดยไม่รู้เหตุผลของตัวเองแน่ชัด
“ไม่ใช่เบนที่เรียกใช้ผม”
“แล้วใครเล่าคะ ก็คุณบอกเองว่าคุณเป็นคนดูแลสวนเอเดนของตระกูลมิลเลอร์”
ดวงตาคู่นั้นเย็นเยือกฉับพลัน จับจ้องหล่อนนิ่งนานหลายนาที ราวกับสิ่งที่หล่อนถามเป็นเรื่องต้องห้าม กว่าจะได้ยินตอบจากเรียวปากหยักก็ทำเอาหล่อนรู้สึกหายใจติดขัด
“ทีเค มิลเลอร์” เขาบอกหมุนตัวก้าวขาเดิน แต่จู่ๆ ก็หยุดชะงัก เอี้ยวใบหน้าหันกลับมา “แล้วก็... คนบาปอย่างผมไม่อาจเอื้อมเป็นทูตสวรรค์หรอกครับ อย่างมากก็เป็นได้แค่สัมภเวสี”