สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“แย่แล้ว สายแล้ว!”
เมื่อผงกหัวขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วเห็นเข็มสั้นชี้ที่เลขแปด รสสุคนธ์เบิกตากว้างอุทานแล้วลุกพรวดจากเก้าอี้ก่อนกระวีกระวาดวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อทำกิจวัตรประจำวัน
“ทำไมสะเพร่า ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้นะ” หล่อนบ่นกับตัวเอง ขณะฉวยชุดทำงานชุดเก่งออกจากตู้มาสวม จากนั้นคว้ากระเป๋ากับหอบหิ้วโน้ตบุ๊กวิ่งย่ำเท้าเสียงดังออกจากห้องนอน ในใจก็โทษตัวเองว่ามัวแต่คิดกลยุทธของโครงการห้างสรรพสินค้าในฝันจนดึกดื่นเลยทำให้เผลอหลับคาโต๊ะทำงานในห้องนอน
นิสัยเอาการของหล่อนแบบนี้ถูกใจบิดามากทีเดียว แต่สำหรับ นางปัทมา มารดาที่อยากให้บุตรสาวเรียบร้อยอ่อนหวานเหมือนกุลสตรีโดยเฉพาะยามอยู่ต่อหน้าว่าที่ลูกเขยนั้นกลับเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีคำชมออกจากปากมารดา และจะตำหนิหล่อนทุกครั้งเวลาที่ทำท่ามึนตึงใส่อิทธิฤทธิ์ จนเป็นเหตุให้มีปากเสียงระหว่างแม่กับลูกสาวบ่อยครั้ง และถ้าทำได้ รสสุคนธ์จะพยายามหลบเลี่ยงการทานอาหารเช้าร่วมโต๊ะกับบิดามารดา เพราะไม่อยากเป็นบ่อนทำลายบรรยากาศของครอบครัวหากมีปากเสียงกันรุนแรง
“อ้าวโรส วันนี้ออกสายหรือลูก”
แต่เพราะวันนี้หล่อนตื่นสายกว่าปกติ จึงยากที่จะหลบเลี่ยง รสสุคนธ์หันไปส่งยิ้มเจื่อนให้คุณากรที่เดินเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ เมื่อคืนโรสทำงานจนดึกแล้วเผลอหลับไม่รู้เรื่องค่ะ ตื่นมาอีกทีก็สายแล้ว” บอกกล่าวแล้วก็ขยับขาจะก้าวเดินแต่ถูกรั้งแบบปฏิเสธไม่ลง
“ไม่เห็นต้องรีบ ไหนๆ สายแล้วก็มากินข้าวเช้ากับพ่อก่อนสิ ไม่ได้กินข้าวเช้าด้วยกันนานแล้วนะ”
คนเป็นลูกจึงยอมแต่โดยดี เดินตามผู้เป็นบิดาไปที่โต๊ะอาหาร จงใจเลือกนั่งเก้าอี้ตัวที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับมารดาตรงๆ
“โครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าไปถึงไหนแล้วล่ะ” แต่ก็ไม้พ้นถูกนางปัทมาตั้งคำถามเกี่ยวกับงานที่ทำ
“ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนค่ะ เราได้นักลงทุนที่สนใจร่วมทุนกับเราแล้ว พี่อิทจะนัดเขาเซ็นสัญญาอาทิตย์หน้า” หล่อนเล่าพลางยกกาแฟดำร้อนกลิ่นหอมขึ้นจิบ
“ก็ดี แม่จะได้แจกการ์ดแต่งงานสิ้นปี”
เท่านั้นแหละ รสสุคนธ์ถึงกับสำลักกาแฟเลยทีเดียว “เอ่อ... คือ... หนูเกรงว่าพวกเราสองคนจะยุ่งเกินไปจนทำให้การแต่งงานเลื่อน”
“ยุ่งก็ไม่เห็นเป็นไร แม่กับป้าวัลยาจะจัดการให้เอง”
“แต่แม่คะ” คนเป็นลูกเริ่มมีน้ำเสียงแข็ง ถ้าบิดาไม่ห้ามไว้ก่อน ก็ไม่แคล้วต้องจบมื้ออาหารเช้าด้วยการทะเลาะเรื่องเดิม
“เรากินกันเถอะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน”
รสสุคนธ์นึกขอบคุณบิดาในใจ แต่ก็นึกเสียใจที่หล่อนคงไม่เก่งกาจพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้บุพการี พวกเขาทั้งสองถึงต้องจับหล่อนผูกขากับลูกชายของเพื่อนสนิท ด้วยหวังให้เขาเข้ามาช่วยบริหารดูแลกิจการ
หล่อนกับอิทธิฤทธิ์ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันในฐานะลูกของเพื่อนมารดา แต่เมื่อบิดาล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ ด้วยวัยกับการไม่เคยดูแลรักษาร่างกายจึงทำให้ทรุดหนัก หลายครั้งที่อาการกำเริบจนต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลกลางดึก แม่ของหล่อนจึงวิตกว่ากิจการของคุณากรพร็อพเพอตี้จะล้มครืนหากบิดาของหล่อนสิ้นบุญ
เลยเป็นที่มาของการชักชวนบุตรชายของนางวัลยามาช่วยดูแล ซึ่งนอกจากเขาจะได้ค่าตอบแทนเป็นการถือหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เขายังกำลังจะได้หล่อนไปเป็นภรรยา เข้าตามตำราผูกเรือนที่มีชื่อว่า ‘เรือล่มในหนองทองจะไปไหน’
แต่ด้วยปณิธานที่ตั้งไว้ในใจ ต่อให้เรือมีรูรั่วหรือล่มจมหาย หล่อนก็จะไม่ขออยู่ร่วมหนองน้ำเดียวกันกับคนที่ดูถูกความสามารถของหล่อน รสสุคนธ์จึงเฝ้ารอวันสำคัญที่หล่อนจะหนีให้ไกลจากหนองน้ำเน่านี้ หล่อนจะใช้ในวันเซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการห้างสรรพสินค้าเป็นวันประกาศอิสรภาพ
จนเมื่อวันนั้นมาถึง คู่สัญญาคือนายเรมอนด์ มอร์ นักธุรกิจชาวอังกฤษที่เคยตั้งคำถามในงานศพของโธมัส มิลเลอร์ว่าหล่อนกับอิทธิฤทธิ์จะทำงานร่วมกันได้หรือหากเป็นสามีภรรยากัน
“ผมว่าเงื่อนไขส่วนมากในสัญญาถูกเขียนไว้ยุติธรรมเพียงพอแล้ว แต่สำหรับข้อที่ว่าในหนึ่งปีหลังจากห้างสรรพสินค้านี้ประสบความสำเร็จ และมีแนวโน้มทำกำไร คุณจะขอเพิ่มสัดส่วนหุ้นจากสี่สิบเปอร์เซ็นต์เป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์ ในเบื้องต้น ผมขอปฏิเสธก่อน แต่หลังจากพวกเราประชุมภายในแล้วได้ผลอย่างไรผมจะแจ้งให้ทราบ” อิทธิฤทธิ์เอ่ยโดยไม่ขอความเห็นจากคุณากรผู้ที่เป็นประธานบริษัท
“ได้สิ แต่ก็หวังว่าพวกคุณจะให้คำตอบที่ผมพอใจ” นายเรมอนด์ประสานมือไว้ที่ปลายคาง มองคู่สัญญาด้วยดวงตากรุ้มกริ่ม “ผมรู้ว่าเศรษฐกิจของเมืองไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ซึ่งคุณอาจหานักเก็งกำไรที่หวังกำไรและเมื่อไม่พอใจก็ขายทิ้งได้ทั่วไป แต่คุณจะพลาดหากไม่รีบตกลงกับผมในตอนนี้ และในปีต่อไป คุณอาจแบกรับการภาระบริหารงานบนความเสี่ยงเองถ้าผมถอนทุนคืน”
“ผมเข้าใจ แต่ขอเวลาคิดให้ถี่ถ้วนก่อน” อิทธิฤทธิ์ค่อนข้างไม่ไว้ใจอีกฝ่าย ทั้งที่ในวันงานศพ อิทธิฤทธิ์แสดงความเลื่อมใสในตัวนักธุรกิจชาวอังกฤษผู้นี้ อิทธิฤทธิ์เองก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ เรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร จะหาความจริงใจในวงการธุรกิจนั้นอย่าหวัง
“หรือไม่ก็ผมคงต้องหาผู้ร่วมทุนเจ้าใหม่ ยังมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่เสนอโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองหลวงมากมาย และพวกเขายินยอมขายหุ้นให้ผมหากผมต้องการซื้อเพิ่ม” ซีอีโอชาวอังกฤษยังหาคำพูดมาต่อรอง
“ส่วนโครงการห้างสรรพสินค้าของคุณจะไปได้ไกลแค่ไหนนั้น บอกตามตรงว่าทีมสำรวจของผมยังให้คะแนนความมั่นใจแค่ปานกลาง เพราะนโยบายพัฒนาประเทศอาจผันแปร เงินจากรัฐบาลอาจถูกโยกย้ายไปลงทุนในภูมิภาคอื่นที่ไม่ใช่ภาคตะวันออก”
“ถ้าทีมงานของคุณศึกษาผลการบริหารงานของเราในหลายๆ โครงการที่ผ่านมา ผมว่าผลสำรวจของทีมงานคุณมีข้อผิดพลาด” อิทธิฤทธิ์กล่าวแย้ง
“ผมเชื่อมั่นผลการประเมินจากคนของผม” อีกฝ่ายก็แสดงความมั่นใจของตน “เอาเป็นว่าคุณมีเวลาตัดสินใจแค่เย็นนี้ เพราะคืนนี้ผมต้องบินไปดูไบ”
“ไม่เห็นบอกก่อนว่าคุณเอาเงื่อนไขนั้นมาเป็นตัวต่อรองสัญญา ไม่อย่างนั้นแล้วคุณน่าจะให้พวกเราได้เวลาคิดล่วงหน้า ทำแบบนี้เท่ากับบีบพวกเราทางอ้อม” อิทธิฤทธิ์มีสีหน้าตึง เอ่ยน้ำเสียงขึงขังกับอีกฝ่าย
“ก็แล้วแต่พวกคุณ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเรื่องเวลา” พูดแล้วทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อกล่าวลา ในขณะเดียวกันกับผู้หญิงคนเดียวในที่นั้นขอเอ่ยอะไรสักคำ
“เรื่องการทำกำไรหลังจากเปิดให้บริการปีแรก ไม่ใช่ปัญหาสำหรับคุณากรพร็อพเพอตี้ แต่ปัญหาที่คุณเอ่ยมานั้น ดิฉันว่าอยู่ที่คุณเองมากกว่า”
“โรส” อิทธิฤทธิ์ส่งเสียงปราม เช่นเดียวกันคุณากรที่ส่งสายตาบอกให้หล่อนหยุดวาจา
แต่ไม่มีอะไรขวางความตั้งใจหล่อนได้แล้ว “สวัสดีและยินดีที่ได้พบคุณเรมอนด์อีกครั้งค่ะ ดิฉันรสสุคนธ์ เราเคยเจอกันในงานศพมิสเตอร์โธมัส”
ซีอีโอหนุ่มใหญ่ยิ้มกว้าง แล้วทรุดตัวนั่งลงตามเดิม “ผมจำคุณได้ ขออภัยที่ไม่ได้กล่าวทักทาย เพราะ...”
“เพราะไม่คิดว่าดิฉันจะมีบทบาทสำคัญอะไรกับโครงการนี้ใช่ไหมคะ” หล่อนเอ่ยบอกสิ่งที่ตัวเองคิด โดยไม่สนใจว่าจะตรงกับความคิดของเขาหรือไม่
“ดิฉันเป็นบุตรสาวของคุณคุณากรอย่างที่คุณทราบ แต่ที่คุณยังไม่ทราบคือดิฉันสามารถบริหารกิจการห้างสรรพสินค้าระดับบิ๊กของภูมิภาคให้เหนือคู่แข่งได้ ด้วยทำเลและกำลังซื้อของประชากรในแถบนั้น จะเป็นฐานสำคัญให้เราสร้างกำไรได้มากถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ในปีแรก และจะได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ในปีที่สอง แต่หากคุณลังเลไม่ตัดสินใจเซ็นสัญญาตอนนี้ คุณอาจพลาดผลตอบแทนที่จะได้รับ”
มิสเตอร์เรมอนด์หัวเราะอย่างพึงใจ ปรายตาไปทางอิทธิฤทธิ์ที่นั่งนิ่งเก็บคำพูด ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเย็นกับหล่อนว่า “ดูเหมือนคุณรสสุคนธ์มั่นใจว่าจะทำได้”
“เอาราคาหุ้นตอนนี้เป็นประกันคูณอีกเท่าตัว หากดิฉันทำได้จริง ในวันข้างหน้าดิฉันจะขอซื้อในส่วนของคุณคืน”
“ผมคงต้องรีบตกลง” ซีอีโอหนุ่มใหญ่กล่าวสรุปความคิด แล้วหันไปออกคำสั่งกับผู้ช่วย “ออกสัญญาฉบับใหม่ภายในหนึ่งชั่วโมง ยึดเอาเงื่อนไขที่คุณรสสุคนธ์เสนอมา ระบุให้ชัดเจนว่าเธอยืนยันความเชื่อมั่นโดยใช้ราคาหุ้นตอนนี้คูณอีกหนึ่งเท่าตัวเป็นหลักประกันความเสี่ยง”
รสสุคนธ์รู้ว่าได้คู่สัญญามาไว้ในมือ แต่คำพูดที่เพิ่งเอ่ยจากปากของฝ่ายนั้นคล้ายมีอำนาจบีบรัดหัวใจให้เต้นแรง ไม่นับสายตาวาวโรจน์ของอิทธิฤทธิ์ที่เพ่งมองมา ส่วนบิดาของหล่อนก็ถอดแว่นตาออกแล้วนวดหัวคิ้ว ทำเหมือนหนักใจในการเซ็นสัญญาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า แต่ในเมื่อวันนี้เป็นวันที่หล่อนใช้เป็นวันประกาศอิสรภาพ เรื่องที่จะให้ถอดใจยกธงขาวนั้นไม่มีทาง
หลังจากซีอีโอเมืองผู้ดีคล้อยหลังไป รสสุคนธ์เตรียมใจให้พร้อมกับการถูกรุกด้วยวาจาและอารมณ์ฉุนเฉียวของอิทธิฤทธิ์ ถึงจะมีบิดาของหล่อนอยู่ด้วย แต่หล่อนก็รู้ว่าเขาไม่เคยไว้หน้าใคร ยิ่งเป็นเรื่องของหล่อนด้วยแล้ว อิทธิฤทธิ์มักถือสิทธิ์เป็นคนในบ้านเข้ามาสั่งสอนจนเกินพอดี
“ทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างไหม!” เขาใส่หล่อนเต็มที่
“รู้ตัวตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงวินาทีนี้” แต่หล่อนเลือกตอบโต้ด้วยความนิ่ง
“แล้วรู้ใช่ไหมว่าถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูด จะเกิดผลอะไรตามมา”
“เรื่องอนาคตในอีกหนี่งปีข้างหน้า ขอให้คอยดูกันค่ะ แต่โรสมั่นใจว่าสิ้นปีนี้ เราคงยังจัดงานแต่งไม่ได้เพราะโรสคงต้องยุ่งกับการทำโครงการให้เสร็จทันกำหนด”
อิทธิฤทธิ์แค่นยิ้ม “ดูเหมือนพี่จะเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของโรสแล้ว”
“ถ้าเข้าใจแล้ว โรสก็ดีใจค่ะ และหวังว่าพี่อิทจะไม่ขวางทาง”
“อยากทำอะไรก็เชิญ!” อิทธิฤทธิ์กระชากเสียงพูด แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปหลังปล่อยระเบิดอารมณ์ลูกใหญ่
“โรสแน่ใจแล้วใช่ไหม” คุณากรที่นั่งฟังมาตั้งแต่ต้นเอ่ยถามบุตรสาวในที่สุด
“โรสไม่ถอยค่ะพ่อ ไม่เคยถอยถ้ายังไม่สุดทาง แต่โรสจะไม่เดินต่อหากผู้ร่วมทางไม่คิดสนับสนุน ซึ่งคนนั้นคือพ่อ ไม่ใช่พี่อิท และอีกไม่ช้าไม่นาน โรสก็ต้องดูแลบริษัทต่อจากพ่ออยู่แล้ว ถ้าไม่เริ่มตอนนี้แล้วจะให้เริ่มตอนไหน”
คนเป็นพ่อถอนหายใจ กวักมือเรียกบุตรสาวให้เข้าไปนั่งใกล้ๆ จนหล่อนเห็นความซีดเซียวของบิดาชัดเจน พานให้คิดไปว่าหล่อนคงยังไม่เป็นลูกอกตัญญูหากเหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้โรคประจำตัวของบิดากำเริบ
“พ่อสนับสนุนลูกเสมอ แต่จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ มองหาอุปสรรคไว้บ้าง เพราะมันจะช่วยให้เราประเมินสถาณการณ์เลวร้ายได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป หนทางของธุรกิจมันมีขวากหนามเสมอ โรสจำเอาไว้”
“พ่อถึงตั้งชื่อให้ลูกของพ่อว่าโรสไงคะ ถึงกุหลาบดอกนี้จะดูอ่อนแอในสายตาใครๆ แต่มันก็มีหนามร้ายรอบตัวเหมือนกัน”
“พ่อหวังว่าโรสจะไม่ใช้หนามร้ายนั่นทิ่มแทงตัวเอง”
คำพูดของบิดาส่งผลความรู้สึกของหล่อนเป็นแน่แท้ แต่ดีกว่าคำพูดร้ายของอิทธิฤทธิ์ที่เชือดเฉือนให้เจ็บใจ เจ็บเพราะตัวเองยังดีกว่าเจ็บเพราะคนอื่น และต่อจากนี้หล่อนจะต้องลุยงานด้วยตัวเองอย่างที่ลั่นวาจา คำว่าสำเร็จเท่านั้นที่หล่อนต้องมุ่งเป้า โครงการห้างสรรพสินค้านี้มันจะเป็นตัววัดอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงความสามารถในการตั้งรับปัญหาและอุปสรรคทั้งมองเห็นและมองไม่เห็น
ความท้าทายใหม่ที่หล่อนเพิ่งสร้างขึ้นมานั้นทำให้ตัวเองตื่นเต้นจนอดเล่าให้แพรพรรณรายฟังไม่ได้ เย็นนั้นหล่อนรีบจัดการโทรศัพท์นัดแนะเพื่อนสาวให้ออกมาเจอกันที่ร้านอาหารเจ้าประจำ ด้วยความที่อยู่ใกล้ที่หมายมากกว่า รสสุคนธ์จึงไปถึงก่อนแล้วสั่งอาหารกับเครื่องดื่มเมนูโปรดทั้งของตัวเองกับแพรพรรณรายมาเต็มโต๊ะ
แต่แพรพรรณรายก็ไม่มาตามเวลานัด ค็อกเทลแก้วแรกของหล่อนพร่องลงไปเกือบถึงก้น อาหารก็เย็นชืดเริ่มไม่น่าทาน กระนั้นรสสุคนธ์ก็ยังเฝ้ารอเพื่อนสาวต่อไปในบรรยากาศไฟสลัวสีส้มของร้านที่ประดับของตกแต่งเตรียมต้อนรับวันวาเลนไทน์
ในท้ายสุด หล่อนต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อแพรพรรณรายโทรศัพท์มาบอกว่าติดลูกค้าคนสำคัญ ไม่สามารถมาตามนัดได้ เท่ากับว่าอาหารที่สั่งมาคงจะกลายเป็นหมัน รสสุคนธ์จึงทอดถอนลมหายใจ นั่งเท้าคางหันหน้ามองถนนผ่านกระจกใสของร้าน แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเด็กหญิงขายกุหลาบริมทางตรงหน้าร้านอาหารตามสั่งฝั่งตรงข้าม
กุหลาบในอ้อมแขนเล็กนั้นก้านยาวตรงสวย สีที่แดงก่ำจนเกือบคล้ายผ้ากำมะหยี่สีแดงเข้มทำให้ภาพของเรดเอเดนช่อนั้นผุดขึ้นมากลางใจ และโดยไม่ได้คาดคิด แผ่นรวมเพลงไพเราะคลาสสิกที่ทางร้านเปิดกล่อมแขกให้เพลินไปกับบรรยากาศช่วงเทศกาลแห่งความรักก็ขึ้นเพลงใหม่ เป็นบทเพลงเดียวกันกับเพลงที่ชายหนุ่มผู้นั้นขับร้องให้กุหลาบของเขาฟัง และเพราะเหตุใดกัน งานศพเศรษฐีใหญ่ผ่านมาได้ก็หลายเดือนแล้ว แต่ดวงตาสีน้ำผึ้งคู่สวยกับรอยยิ้มลุ่มลึกยังติดตรึงไม่ลืมเลือน
เสียงเพลงจังหวะเร็วดังกระหึ่มผ่านลำโพงดังรอบทิศ ลำแสงไฟหลากสีสาดส่องเรือนร่างเย้ายวนของทรามวัยทั้งหลายที่เริงระบำเข้าจังหวะดนตรีบนเวทีอันมีเสาเหล็กเป็นฐานยึดมั่นเดียว หนุ่มน้อยไปจนถึงหนุ่มใหญ่หลายคนต่างจับจ้องอยู่กับการเคลื่อนไหวไปมาของรูปทรงโค้งเว้าราวกับถูกมนต์สะกด แต่มีอีกหลายคนที่เลือกออกลีลาท่าเต้นอยู่ในพื้นที่คับแคบแออัดราวกับทุกคนเป็นญาติสนิทมิตรสหายมาแต่ปางก่อน
ความมัวเมาลุ่มหลงแบบนี้ยังมีให้เห็นในสถานบันเทิงเริงรมย์ซึ่งยังเป็นที่ต้องการเสมอในหมู่นักท่องราตรีที่ต้องการปลดปล่อยความเครียดขึงที่คั่งค้างจากชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับสัญชัยที่เพิ่งผละตัวจากคู่เต้นมานั่งพักบนเก้าอี้ตัวสูงตรงเคาน์เตอร์บาร์
“ออนเดอะร็อก”
สิ้นเสียงสั่งได้ไม่ถึงนาที บาร์เทนเดอร์ก็เลื่อนแก้วเครื่องดื่มที่ผสมแค่วิสกี้กับน้ำแข็งมาให้ตรงหน้า พร้อมกับชวนแขกหนุ่มสนทนาอย่างสนิทสนม
“วันนี้หนีเมียมาเที่ยวได้หรือพี่สัญ”
“ถ้ารักกัน อย่าพูดแบบนี้ให้ได้ยินอีก” สัญชัยชักสีหน้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“โธ่ อย่าเครียดสิพี่ ดูนั่น อีสาวที่พี่เพิ่งเบียดมาส่งตาหวานเรียกแล้ว ไม่แคล้วคืนนี้พี่คงได้หญิงติดไม้ติดมือไปต่อที่อื่นอีกเหมือนทุกครั้ง” บาร์เทนเดอร์หนุ่มรีบพูดเอาใจแล้วทำเครื่องดื่มเมนูเดิมแก้วใหม่ให้เมื่อแขกหนุ่มดื่มเครื่องดื่มรวดเดียวจนหมด
“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีอารมณ์คั่วหญิงเท่าไร กำลังโดนเพ่งเล็ง ยอดขายเดือนที่แล้วไม่ได้เป้า”
“แล้วพี่จะทนทำงานกับเจ้านายเขี้ยวๆ ไปทำไม เมียก็มีตังค์ไม่ใช่หรือ”
“ถ้าเป็นอย่างที่นายพูดจริง ฉันจะมาทำหน้ากลุ้มกินเหล้าทำไมตรงนี้วะ”
สัญชัยพ่นลมหายใจแรงนึกเจ็บใจชะตาชีวิตของตน ทีแรกคิดว่าตกถังข้าวสาร จับแม่หม้ายผัวตายได้แล้วจะมีเงินใช้สบายๆ ไปตลอดชาติ แต่ที่ไหนได้ เงินถูกเอาเข้ากงสีหมด ไม่มีตกถึงเขาสักสลึง แถมยังต้องทนสายตาดูหมิ่นจากพี่น้องของภรรยาหม้าย โดยเฉพาะอาเฮียใหญ่ที่ชอบใช้วาจาย่ำยีชาติกำเนิดของเขา
“ไม่เอาน่าพี่สัญ อย่าเครียดๆ มนุษย์เราเกิดมาทั้งทีไม่มีสิ้นไร้ไม้ตอกหรอกพี่ คืนนี้เที่ยวให้สนุก ลืมเรื่องทุกข์ใจให้หมด”
สัญชัยแค่นหัวเราะ มองไอน้ำที่เกาะพราวบนเหล้าแก้วใหม่ที่ถูกเสิร์ฟให้อย่างรู้ใจ “แล้วเมื่อไรถึงจะพ้นทุกข์วะ”
คำเปรยเสียงเบาไม่ทันได้เข้าหูบาร์เทนเดอร์หนุ่มที่หันเหไปบริการแขกคนใหม่ สัญชัยจึงได้ใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวของตัวเองในอดีต กี่ปีแล้วที่ดิ้นรนหาทางหนีจากความจน กี่ปีแล้วที่ป่ายปีนหน้าผาแห่งความทุกข์ยาก แต่วันนี้เขายังนั่งมองแก้วเหล้าราคาถูกในผับชั้นต่ำแทนที่จะได้นั่งจิบไวน์ชั้นดีในภัตตาคารหรู
หรือสวรรค์ไม่เข้าข้างคนชาติกำเนิดเลวเช่นเขา อดีตเคยเป็นเด็กกำพร้าไร้อนาคตเช่นไร ปัจจุบันก็ขีดเส้นชะตาชีวิตไม่ให้พบแสงสว่างเช่นนั้น
“ครูเพ็ญโกหกผม”
รำพึงรำพันแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มของเหลวรสขมบาดคอ ก่อนยกมือกุมหน้าหลับตาฟังเสียงเพลงอึกทึกที่ยังคงบรรเลงต่อไป หญิงนักเต้นยั่วกามทั้งหลายก็ยังคงร่ายเวทย์ให้กับแขกอย่างไม่หยุดยั้ง แสงไฟสลัวสลับสียังส่องกระทบร่างผู้คนที่ลุ่มหลงในความสุขยามรัตติกาล แต่ความสุขนี้มันจะเลือนหายไปเมื่อลืมตาตื่น แล้วพบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในค่ำคืนวานเป็นแค่นิทานหลอกลวง เป็นนิทานที่ตัวละครไม่เคยพบกับคำว่าสุขชั่วนิรันดร์
ในห้วงอารมณ์ที่ชายหนุ่มกำลังจมดิ่งในบ่อความทุกข์ มีเสียงสายเรียกเข้าดังจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต จึงล้วงโทรศัพท์ออกมาอย่างเชื่องช้า คิดในหัวว่าถ้าสายนั้นคือนางสมรที่โทรมาตามให้กลับบ้าน เขาจะตวาดใส่แล้วบอกเลิกรากันไปเสียที หากแต่หมายเลขไม่คุ้นตาที่ปรากฏหน้าจอสร้างความสงสัยให้เจ้าของเครื่อง สัญชัยจึงวางโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วเพิกเฉยปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังอยู่อย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าปลายทางไม่ทิ้งความพยายาม จึงจำต้องรับสายตัดรำคาญ
“ฮัลโหล!” สัญชัยกรอกเสียงแข็งลงไป
“นั่นใช่สัญชัยหรือเปล่า” น้ำเสียงของปลายสายฟังคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหน
“ใช่ นี่สัญชัยพูด” เขาตอบกลับไป
“เราต้นกล้านะ”
“ต้นกล้า...” ไม่มีวันที่เขาจะลืมชื่อนี้ “นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็สักพักแล้วล่ะ แต่ก็ยุ่งๆ อยู่ เลยไม่ได้หาทางติดต่อนาย” ปลายทางตอบกลับ “ที่เราโทรมาก็จะชวนนายมาเยี่ยมครูเพ็ญ”
ได้ยินชื่อของครูชราก็แสยะยิ้ม ยังนึกถึงโรงเรียนอาคารชั้นเดียวกับคุณครูตัวเล็กหน้าห้องเรียนได้ แถมภาพใบหน้าของครูเพ็ญก็เพิ่งผ่านเข้ามาในหัวเมื่อไม่นาทีก่อนที่นายต้นกล้าจะโทรมา
“ครูยังสอนอยู่อีกหรือ” อันที่จริง เขาเกือบหลุดปากถามว่าโรงเรียนยังอยู่อีกหรือ
“วันนี้ครูยังสอนอยู่ แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ครูจะไม่ได้สอนแล้ว...”
“ทำไม” หัวคิ้วของสัญชัยย่นเข้าหากัน
“ครูจะปิดโรงเรียน เราก็เลยจัดงานลาโรงเรียนเล็กๆ ให้ครูพรุ่งนี้เย็น อยากให้นายมาร่วมด้วย ครูต้องดีใจแน่ถ้าเห็นหน้านักเรียนคนเก่งอย่างนาย”
สัญชัยอยากหัวเราะเสียงดังกับคำว่านักเรียนคนเก่ง หากครูเพ็ญได้รู้ว่าเด็กที่ได้คะแนนดีในอดีตคนนั้นเป็นแค่ลูกจ้างต๊อกต๋อยในวันนี้ ครูจะทำหน้าอย่างไร เอาเข้าจริงแล้ว ก็อยากกลับไปบอกครูเหลือเกินว่าคติสอนใจในตอนท้ายของนิทานที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น มันไม่ได้ผลกับคนไม่มีวาสนาพอที่จะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับลูกหลานคนใหญ่คนโตให้ก้าวหน้าในอาชีพการงานโดยไม่ต้องขยับนิ้ว
“แล้วนายล่ะกล้า นายทำอะไรอยู่” ที่ถามไปก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจริงจังนัก
“ก็ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้านายบ้าง ไปช่วยครูเพ็ญที่โรงเรียนบ้าง”
“ล้อเล่นน่ะ” สัญชัยถึงกับเลิกคิ้วประหลาดใจ เพราะคิดว่าต้นกล้าน่าจะมีความเป็นอยู่ดีจากการอุปการะค้ำจุนของเศรษฐีต่างแดน ถึงจะตายจากโลกไปแล้วตามข่าวดัง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพาชีวิตอดีตเพื่อนสนิทของเขาตกยากเหมือนในวันเก่า
“งานอะไร แล้วเจ้านายที่ว่าเป็นใคร”
แต่ต้นกล้าไม่ตอบคำถามของเขา “สัญ เราอยากปรึกษาเรื่องสร้างโรงเรียนใหม่”
“นายว่าอะไรนะ”
“เราจะสร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่ ทดแทนที่เดิมที่ถูกนายประชายึดไป”
“แล้วนายจะเอาเงินมาจากไหน” เขาอยากฟังให้ชัดเจน จึงเดินออกจากผับไปหาที่เงียบกว่า
“ไว้ค่อยคุยกันตอนที่นายมา เรารู้ว่ามาภรรยาของนายเป็นเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง”
ในเมื่อโอกาสตักตวงเงินเข้ากระเป๋ามาถึง มีหรือที่จะปล่อยไป แล้วการสร้างโรงเรียนก็ใช้เงินไม่น้อย ซึ่งหากนายต้นกล้า อดีตเพื่อนในวันวานต้องการคนให้คำปรึกษา มันก็น่าสนใจที่จะเสนอตัวเข้ารับหน้าที่
สัญชัยตอบรับนัดแล้ววางโทรศัพท์ การช่วยเหลือเพื่อนเก่าครั้งนี้อาจทำให้เขาได้อะไรดีๆ บ้าง อย่างน้อยก็ขายของให้นางสมรแล้วได้กินส่วนต่าง ซึ่งจะมากน้อยอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับว่านายต้นกล้าจะสร้างโรงเรียนใหญ่แค่ไหน
ก็นับว่าเขายังไม่อับจนหนทางเสียทีเดียว แต่คงต้องทนพะเน้าพะนอนางสมรไปก่อนจนกว่าจะหาทางชิ่งหนี คิดแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา หมุนตัวเดินผลักประตูผับกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อมองหาสาวกล้าได้กล้าเสียคนไหนก็ตามที่ต้องการสัมพันธ์สวาทแบบไร้ข้อผูกพันชั่วข้ามคืน เจ้าบาร์เทนเดอร์นั่นพูดถูก คืนนี้เขาควรจะได้ใครสักคนติดไม้ติดมือกลับไป
ทีเค มิลเลอร์วางสายจากอดีตเพื่อนเก่า แล้วเยื้องย่างพาร่างสูงสง่าในชุดสูทสีดำเข้าสู่สถานให้ความบันเทิงเฉพาะสตรี และในทันทีที่ก้าวขาเข้าสู่ภายใน สายตาทุกคู่ก็หันมามองเขาราวกับเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่เพิ่งบังเกิดบนโลกใบนี้
ชายหนุ่มครองท่วงท่ามาดมั่นเดินตรงไปยังโซฟาหนังตัวใหญ่ยาวที่มีสาวใหญ่ใบหน้าสะสวยอวดทรวดทรงงดงามในชุดกี่เพ้าสีแดงรัดรูปนั่งไขว่ห้างมองเขาด้วยตาของนางสิงห์จ้องเหยื่อ
“เพิ่งได้เจอตัวจริงก็วันนี้ ผมพูดได้เต็มปากว่าอาซ้อสวยทรงเสน่ห์กว่าคำเลื่องลือมากนัก” เขากล่าวเสียงนุ่มเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้า จับจ้องดวงตาเฉี่ยวของหล่อนแล้วหงายฝ่ามือของตนเพื่อให้มือบางวางประทับก่อนกดเรียวปากหยักจุมพิตบนหลังมือ
สาวใหญ่หัวเราะพออกพอใจ ชักมือของตนกลับอย่างอ้อยอิ่ง “ถ้าฉันไม่รู้เรื่องของคุณมาก่อน ก็คงคิดว่าถูกโฮสต์หนุ่มหล่อคนใหม่ลามปามเข้าแล้ว”
“ผมไม่กล้าลามปามอาซ้อหรอกครับ แค่อาซ้อให้โอกาสผมเข้าพบ ผมตื่นเต้นจนแทบไม่กล้าเอ่ยข้อเสนอ กลัวอาซ้อไม่พอใจ”
“ลองพูดมาก่อนสิ ฉันก็อยากรู้ว่ามิลเลอร์มีข้อเสนอน่าสนใจแค่ไหน”
เขายกยิ้มที่มุมปาก หย่อนตัวลงนั่งสบประสานสายตากับดวงตาที่กรีดจนคมด้วยอายไลเนอร์สีดำเข้ม “ข้อเสนอของมิลเลอร์สุดพิเศษจนไม่อยากให้ใครอื่นได้ยิน”
จากนั้นเคลื่อนใบหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ใบหูหล่อน “จะรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งถ้าให้ผมได้คุยกับอาซ้อเป็นการส่วนตัว”
ประกายวาววับฉายชัดในดวงตาอีกฝ่าย เรียวปากที่ฉาบสีไวน์แดงคลี่ยิ้มแฝงความหมาย หล่อนลุกขึ้นเดินนำออกไป ก่อนเอี้ยวตัวมามองชายหนุ่มคล้ายบอกความนัยให้เดินตามไปยังสถานที่เหมาะกว่า
การคุยกันแบบส่วนตัวล่วงเลยมาถึงตีสอง เขาถึงได้เดินออกจากโฮสต์ผับใหญ่ที่ตั้งบนถนนเลียบชายทะเล ชายหนุ่มถอดสูทออกแล้วพาดบ่า ปล่อยกระดุมเชิ้ตสองเม็ดบนที่ถูกปลดออกไว้อย่างนั้น ก้าวขาพาร่างสูงเดินไปตามถนน หยุดวางธนบัตรใบละร้อยให้นักดนตรีเปิดหมวกโดยไม่ชมการแสดง แล้วขึ้นรถที่เคย์แมนขับมาเทียบจอดเพื่อรับเจ้านายหนุ่ม
“คุณขาดการติดต่อนานเกินไป” เคย์แมนกล่าวเสียงเครียดทันที “ถ้าคุณโทรกลับหาผมช้ากว่านี้ ผมจะเข้าไปตามคุณในนั้น”
“การหว่านล้อมใครสักคนก็ต้องใช้เวลาเหมือนสร้างกรุงโรมไม่ใช่หรือ อาซ้อก็อยู่ในวงการมานาน จะให้เชื่อคำพูดของคนที่อ่อนกว่าเป็นสิบปีในห้านาทีได้ยังไง” ทีเคตอบพลางเปิดโปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิคส์ อ่านข้อมูลสำคัญจากฝ่ายมิลเลอร์โฮลดิ้งเกี่ยวกับบริษัทลูกหนี้สัญชาติไทย โดยหัวจดหมายนั้นขึ้นข้อความสีแดงชัดเจนให้รู้ว่าถึงเวลาจัดการลูกกวางตัวใหม่
“แล้วคุณยื่นข้อเสนอพิเศษอะไรให้อาซ้อ”
เขาสอดสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋า แล้วชักศอกวางกับที่พักแขน ทอดตามองแสงไฟของร้านรวงยามราตรี “ไม่มีอะไรพิเศษมากไปกว่าเงื่อนไขเดิม แต่ผมแค่รู้ว่าต้องคุยอย่างไรถึงทำให้อาซ้อตกลง”
“ผมไม่เข้าใจ”
เขาเพลียเกินไปที่จะอธิบาย ปรือตาขึ้นมองท้องถนนอย่างเหนื่อยอ่อน คิดถึงข้อเสนอที่มอบให้สาวใหญ่ที่ทำให้ยอมตกลง
‘มิสเตอร์โธมัสก็มาพบฉันในเรื่องเดียวกันกับคุณ แต่ตอนนั้นฉันยังไม่กล้าเสี่ยง’
‘ผมรู้ว่าทำไม’ เขายกแก้วเหล้าขึ้นจิบ ‘ตอนนั้นนายประชายังครองอำนาจอยู่ ถ้ามีคนใหม่มาหากินในเขตปกครอง มันก็จะเล่นงานเขาเสียหนักจนไม่กล้ามาเหยียบหางมัน แต่หมดยุคนักเลงคุมถิ่นเรียกค่าคุ้มครองแล้ว และมิลเลอร์ก็เข้มแข็งขึ้นทุกปี ให้เงินกู้แบบไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกันแก่ธุรกิจใต้ดินที่มีเครือข่ายอยู่ทุกทวีป จะเหลือก็แค่ในเมืองไทย ซึ่งผมถูกส่งมาเพื่อการนี้’
สาวใหญ่คลี่ยิ้มหวาน สบตาเขาเขานิ่ง ‘คุณรู้ไหม ถ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ ฉันชอบเป็นคนสุดท้าย แต่ถ้าเรื่องผลประโยชน์ ฉันต้องได้เป็นคนแรก’
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ‘ด้วยความสัตย์จริง ยังมีอีกสองกลุ่มที่ผมต้องเข้าไปเจรจา แต่เพราะมิลเลอร์ถือคติเลดี้เฟิร์ส ผมถึงเลือกมาหาอาซ้อก่อนใคร ฉะนั้นถ้าอาซ้อตอบรับเข้าร่วมโครงการกับมิลเลอร์เร็วเท่าไร ฐานเปอร์เซ็นต์รายได้ของอาซ้อก็จะยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น’
ซ้อใหญ่ยิ้มพึงใจ รินวิสกี้จากขวดใสใส่แก้วแล้วเลื่อนส่งให้ ‘พูดให้ฉันเชื่อมั่นทีสิว่า คุณไม่ได้ดีแค่ปากหวาน’
เขาสบตาหล่อนนิ่ง แล้วหยิบสมาร์ตโฟนของตนขึ้นมา เรียกใช้งานแอปพลิเคชันการเงินของมิลเลอร์โฮลดิ้ง จากนั้นพิมพ์ตัวอักษรและตัวเลขลงไปในช่องว่าง ก่อนวางสมาร์ตโฟนตรงหน้าสาวใหญ่
‘ผมไม่ได้ทำให้ใครเชื่อมั่นได้แค่คำพูด แต่ผมจะทำให้เกิดขึ้นจริง เงินก้อนใหญ่จะเป็นตัวทดลองให้อาซ้อเอาไปใช้ขยายธุรกิจโดยไม่คิดดอกเบี้ยหนึ่งปีเต็ม แค่อาซ้อส่งยิ้มหวานๆ ให้ผม ผมก็จะกดปุ่มอนุมัติทันที’
โดยไม่ต้องรอนาน ความหวังของชายหนุ่มก็สัมฤทธิ์ผล อาซ้อเงยหน้าจากหน้าจอสมาร์ตโฟน ส่งยิ้มให้เขาราวกับหญิงสาวแรกรุ่นถูกใจคำแทะโลมของกระทาชายหนุ่ม แต่เมื่อหล่อนเอ่ยวาจา เขาถึงได้รู้จักความเหนือชั้นตามแบบสาวใหญ่สามารถพลิกให้เขารับบทเป็นหนุ่มน้อยด้อยประสบการณ์ได้เพียงไม่กี่วินาที
‘ยอมรับว่าจำนวนเงินที่คุณให้เปล่ามันยั่วยวน แต่จะให้แค่ส่งยิ้มให้แล้วได้เงินเข้ากระเป๋า มันก็ดูง่ายไปหน่อย’
‘แล้วซ้อต้องการข้อเสนออะไรเพิ่ม’ ชายหนุ่มเก็บความสงสัยไว้ใต้สีหน้าเรียบ
นาทีนั้นมีข้อความจดหมายอีเล็กทรอนิคส์จากมิลเลอร์โฮลดิ้งสมาร์ตโฟน แต่มือเรียวนุ่มกำลังไล้ตามแนวสันกรามแกร่งทำให้เขาต้องละสายตาไปจับจ้องความยั่วยวนของสตรีตรงหน้า ในขณะที่มืออีกข้างของหล่อน ก็ค่อยๆ ปลดกระดุมเชิ้ตของเขาทีละเม็ด ก่อนสอดนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้แผงอกกว้าง
‘คุณรู้ดีว่าฉันต้องการอะไร’ เรียวปากอิ่มฉาบสีแดงก่ำกระซิบกระซาบข้างใบหู ร่างงามเคลื่อนเข้ามาเบียด ใช้ปลายเล็บไต่ไปตามหน้าท้องแล้วค่อยๆ สอดนิ้วเรียวไล่ตามขอบกางเกง ‘คุณให้ฉันได้ไหม’
ดวงตาร้อนแรงคู่นั้นสื่อความหายให้ผู้ชายอกสามศอกรู้ดีว่าหล่อนปรารถนาสิ่งใด ทว่าชายหนุ่มรวบมือซุกซนนั้นไว้ ก่อนที่มันจะถลำลึกเกินกว่าต้านทาน
‘ผมขอพูดจากใจจริงว่าอาซ้อมีเสน่ห์ดึงดูดผมได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเดินเข้ามา แต่ผมต้องห้ามใจไว้ไม่อยากก้าวข้ามความสัมพันธ์จากคู่ค้าไปเป็นอย่างอื่น เพราะคนอย่างผมจริงจังกับใครแล้วไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ แต่มันจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราไม่ยั่งยืน หากใครคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผมเปลี่ยนไป’
สาวใหญ่จ้องตาเขานิ่ง ก่อนถอนมือออกจากร่างแกร่ง เลื่อนสมาร์ตโฟนของเขามาให้ตรงหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มประกายว่า
‘ฉันเชื่อที่คุณพูด’
แค่คำพูดนั้นก็หมายความว่าเขาได้ใจอาซ้อแล้ว จึงไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเล่าให้เคย์แมนฟังทุกฉากทุกตอน จึงบอกให้รู้แค่ว่า
“เบนจะได้ฟังข่าวดีจากเราคืนพรุ่งนี้” จากนั้นเอนศีรษะพิงพนัก หวังช่วงชิงเวลาเพื่อพักสายตาจนกว่าเคย์แมนจะพาเขาไปส่งโรงเรียนชุมชน ทว่าในขณะที่รถเคลื่อนผ่านไปตามถนน ไฟสปอร์ตไลต์ที่ส่องป้ายประกาศขนาดยักษ์ริมทางสว่างจ้าก็เสียดแทงดวงตาของชายหนุ่มจนต้องปรือมอง
‘เตรียมตัวพบกับชอปปิ้งคอมเพลกซ์ขนาดยักษ์ใหญ่เร็วๆ นี้ ใกล้บ้านคุณ’
ข้อความสีแดงบนพื้นขาวตัวโตนั้นชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่ที่ดึงความสนใจเขาได้มากกว่าคือข้อความตรงมุมขวาล่างของป้ายประกาศที่เขียนว่า
‘บริหารงานโดยคุณากรพร็อพเพอตี้’