สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๖
สัปดาห์การทำงานผ่านไปเร็วเสียจนรสสุคนธ์ไม่อยากให้มีวันเสาร์หรือวันอาทิตย์มาคั่น เหตุเพราะวันหยุดทำให้ระยะเวลาความสำเร็จยืดเยื้อออกไป แต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินไปด้วยดี
เรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของหล่อนยังคงราบรื่นไม่น่าห่วง แต่ที่ห่วงคือการรับมือกับอิทธิฤทธิ์ที่มักหาช่องโหว่เล่นงาน หล่อนจึงจำเป็นต้องตรวจสอบรายงานที่ส่งจากผู้ใต้บังคับบัญชาให้รอบคอบ พร้อมกับติดต่อแจ้งข่าวให้ซีอีโอชาวอังกฤษรับทราบบ่อยครั้ง
“คุณส่งรายงานกำหนดการต่างๆ โครงการห้างสรรพสินค้าให้มิสเตอร์เรมอนด์แล้วใช่ไหม” รสสุคนธ์ย้ำเลขานุการในตอนที่นำเอกสารมาส่งให้หล่อน
“ส่งเรียบร้อยแล้วค่ะคุณโรส”
นายสาวยิ้มกลับแล้วก้มหน้าอ่านเอกสารตรวจทานความเรียบร้อยก่อนลงนาม แต่แล้วเสียงสายเรียกเข้าก็ทำให้รสสุคนธ์หยุดมือ เพราะชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์คือเพื่อนสาวแสนรักนั่นเอง
“ว่าไงจ๊ะหงส์” หล่อนทักทายก่อนด้วยน้ำเสียงสดใส
ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดชื่นปานกัน “เที่ยงนี้เธอว่างหรือเปล่า ฉันอยากเลี้ยงข้าวเธอไถ่โทษวันก่อนที่ผิดนัด”
“โธ่แย่จัง บ่ายนี้ฉันมีประชุมใหญ่เสียด้วย แถมประธานที่ประชุมก็เป็นพี่อิทอีก” รสสุคนธ์ครวญ
“ถ้าอย่างนั้น ให้ฉันซื้อเข้าไปกินกับเธอที่บริษัทไหม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปกับรถติด”
รสสุคนธ์เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งจึงตอบรับคำแนะนำทันที หลังจากวางสายของเพื่อนสาวคนสนิท หล่อนก็ทำภารกิจต่อไป มีบ้างที่เงยหน้ามองรูปสเก็ตของโครงการห้างใหญ่ที่หล่อนต้องสานต่อให้มันเป็นเกิดขึ้นจริง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนชีวิตหล่อนนับจากนี้
แพรพรรณรายมาตามเวลานัดพร้อมกับอาหารหลายถุงกับกาแฟเมนูโปรดจากร้านประจำ ช่างรู้ใจหล่อนยิ่งเสียกว่ามารดา
“ว่าแต่ ทำไมวันนี้ถึงมีเวลามาหาได้ล่ะ เธอกำลังจัดโปรโมตคอลเล็กชันใหม่อยู่ไม่ใช่หรือ” รสสุคนธ์ถามขณะเริ่มต้นกินอาหารที่ถูกนำมาจัดวางเรียงรายบนโต๊ะ
“ก็คืบหน้าไปบ้าง” แพรพรรณรายอธิบายเหตุผล “พอว่างก็เลยใช้โอกาสมาหาเพื่อนนี่ไง ขืนรอให้เธอไปหา เราคงเจอกันอีกทีในงานแต่งงานของเธอกับพี่อิทนั่นแหละ”
“พูดแบบนี้ฉันโกรธนะ” รสสุคนธ์หรี่ตาแคบลง
“อย่าโกรธสิ เดี๋ยวกินไม่อร่อยนะ” แพรพรรณรายส่งยิ้ม “อีกตั้งหลายเดือน ยังมีเวลาให้เธอกับพี่อิทคิดเรื่องนี้”
“เธอมาก็ดี ฉันจะได้บอกเธอว่าฉันจะไม่แต่งงานกับพี่อิทในสิ้นปีนี้หรือปีไหนๆ ” รสสุคนธ์บอกด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“แต่... พี่อิทเขาอยากแต่งงานกับเธอไม่ใช่หรือ”
รสสุคนธ์เบ้ปาก “ถ้าเขาอยากแต่งก็แต่งไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่มีวันเป็นเจ้าสาวของเขาหรอก เพราะฉันกำลังทำให้พ่อแม่เห็นว่าฉันไม่ไร้ความสามารถขนาดต้องพึ่งผู้ชายมาแต่งงานเพื่อพยุงธุรกิจ”
“เธอจะทำอะไรหรือโรส”
“ห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ทางภาคตะวันออกน่ะ บริษัทได้คู่สัญญาระดับบิ๊กจากอังกฤษ งานนี้แหละที่ฉันจะใช้เป็นกุญแจไขประตูสู่อิสรภาพ” พูดพลางกางแขนทั้งสองขึ้นราวกับจะโผบิน
“ขอให้เธอทำสำเร็จนะจ๊ะ” แพรพรรณรายยิ้มกว้างเอ่ยคำอวยพร แล้วเอี้ยวตัวหันไปหยิบถุงกระดาษพิมพ์ลายโลโก้ร้านเสื้อของตัวเอง “ฉันฝากเสื้อเชิ้ตคืนให้พี่อิทด้วย ฉันเพิ่งซ่อมเสร็จ”
แค่ได้ยินชื่อเจ้าของเสื้อเชิ้ตก็ขุ่นใจจนชักแขนลงทันที “ไม่รู้มาก่อนว่านอกจากพี่อิทจะปากร้ายแล้วยังงกขนาดนี้ แค่เชิ้ตตัวเดียวคนอย่างพี่อิทไม่น่าจะเสียดายจนส่งให้เธอซ่อม”
แพรพรรณรายหัวเราะส่ายหน้า ก่อนกินอาหารแค่คำสองคำก่อนกลับเปิดร้านต่อ ส่วนหล่อนก็ต้องเตรียมตัวเข้าประชุมกับทีมงานเพื่อส่งต่อความคืบหน้าให้กับอิทธิฤทธิ์ที่ในช่วงหลังดูจะยุ่งอยู่กับบริษัทการบินของครอบครัว ซึ่งหล่อนมั่นใจว่างานใหญ่จะไหลลื่นไร้อุปสรรค เพราะทีมงานแต่ละคนล้วนคัดมาแล้วว่าเป็นมืออาชีพ ยกเว้นนายวิชัย ผู้จัดการไซต์ที่เป็นคนเก่าคนแก่ของมารดา
แต่สุภาษิตไทยที่ว่าสี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้งนั้นจริงแท้แน่ชัด เพราะความเป็นมืออาชีพไม่ได้รับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย
“คุณปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง!”
หญิงสาวเด้งขึ้นจากเก้าอี้ทันทีหลังจากหนึ่งในทีมงานบอกว่ามีปัญหาการจัดซื้อที่ดินก่อสร้างที่หล่อนสั่งการให้กว้านซื้อเพิ่มเพื่อขยายความอลังการของห้างสรรพสินค้าและเพื่อสร้างกำไรให้ได้ตามที่สัญญาที่ทำไว้กับนายเรมอนด์
“คุณเป็นผู้ดูแลการสรรหาที่ดินไม่ใช่หรือไง แต่ทำไมคุณถึงไม่รู้ว่าเรายังซื้อที่ดินแปลงจำเป็นไม่ครบ!”
“คุณโรสครับ ถ้ายึดตามแผนเดิม เรามีที่ดินที่จำเป็นพอแล้ว แต่คุณโรสขยายพื้นที่โครงการมากกว่าเดิมหลายไร่ กว่าเราจะเข้าไปตื๊อเจ้าของที่ดินแถบนั้นก็เล่นเอาหืดขึ้นคอนะครับ แล้วตอนนี้ที่ดินผืนที่เรายังเข้าซื้อไม่ได้ก็เหลือแค่ที่เดียวแล้ว”
เขาเลื่อนแผนที่ทางอากาศมาตรงหน้าหญิงสาว พร้อมกับการปักหมุดสีแดงเด่นชัด บอกถึงที่ดินผืนที่มีปัญหา “แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เราให้คุณวิชัย ผู้จัดการไซต์เข้าไปคุยก็ถูกไล่ตะเพิดออกมาทุกครั้ง”
รสสุคนธ์พ่นลมหายใจแรง หากอิทธิฤทธิ์รู้ว่าเกิดปัญหา หล่อนอาจโดนถอดจากที่ปรึกษาโครงการ เท่ากับประตูแห่งอิสรภาพก็ห่างไกลไปทุกที
“แจ้งผู้จัดการไซต์ว่าฉันจะเข้าไปเจรจาด้วยตัวเอง”
หล่อนจบการประชุมโดยด่วนแล้วขอพิกัดจากทีมงาน จากนั้นออกเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวมุ่งสู่จังหวัดติดทะเลที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ใจของรสสุคนธ์กลับรู้สึกว่าความเร็วรถที่หล่อนแตะคันเร่งยังไวไม่เท่าใจต้องการ
แต่พอมาถึง รสสุคนธ์ก็ยืนตะลึงงันหน้าประตูรั้วที่ภายในนั้นเป็นอาคารชั้นเดียวสีขาว เหนือประตูขึ้นไปมีป้ายโลหะสีสำริดเขียนไว้ว่า
“โรงเรียนปลูกปัญญา”
รสสุคนธ์เงยหน้าอ่านชื่ออีกรอบ ย้ำว่าระบบนำทางไม่ได้พามาผิดที่ จึงผลักประตูรั้วเข้าไป แต่แทนที่จะได้ยินเสียงเอะอะของเด็กนักเรียน หล่อนกลับเห็นเพียงแค่อาคารสีขาวสะอาดเอี่ยมใหม่ที่กินพื้นที่เพียงหนึ่งส่วนสี่ของที่ดิน ส่วนที่เหลือกลับถูกใช้เป็นเป็นแปลงผักในเรือนเพาะ และแปลงกุหลาบขนาดใหญ่จนรสสุคนธ์ต้องหยุดขยี้ตาเมื่อเห็นซุ้มเหล็กขึ้นโครงเป็นโค้งสวยที่เกาะเกี่ยวแน่นไปด้วยกุหลาบเลื้อยออกดอกเป็นพวงสีแดงสด
“เรดเอเดน?”
รสสุคนธ์หันซ้ายแลขวา พอมองไม่เห็นใคร ก็ลองก้าวผ่านซุ้มเข้าไปในแปลงดอกไม้พันธุ์โปรดที่แต่ละต้นมียอดดอกเตรียมผลิบาน เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจ
“พาบุตรหลานมาสมัครเรียนหรือคะ”
รสสุคนธ์สะดุ้งโหยง รีบหันกลับไปมอง แต่เห็นหญิงชราผมขาวโพลนมวยต่ำกำลังเดินย่องแย่งเข้ามาด้วยไม้เท้า และถ้าหากหญิงชราผู้นี้คือเจ้าของที่ ก็ดูไม่ท่าทีร้ายกาจอย่างที่ลูกน้องของกล่าวถึง
“เอ่อ... เปล่าค่ะ คือดิฉันจะมาขอพบเจ้าของโรงเรียนค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือเจ้าของโรงเรียนหรือเปล่าคะ”
หญิงชรายิ้มตอบ “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่เจ้าของโรงเรียนเขาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกค่ะ อยู่แต่ครูใหญ่ แต่ถ้าคุณไม่รีบ ครูใหญ่เขาพาพวกเด็กๆ ไปส่งผักกับดอกไม้ให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด อีกสักประเดี๋ยวก็คงจะกลับแล้วค่ะ”
ก็ยังดี อย่างน้อยหล่อนก็น่าจะหาทางติดต่อเจ้าของที่ดินผ่านครูใหญ่ได้บ้างล่ะ “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรอในสวนกุหลาบจะได้ไหมคะ”
หญิงชรายิ้มกว้าง พยักหน้าให้เป็นคำตอบ แล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในอาคารสีขาว รสสุคนธ์จึงได้โอกาสชมกุหลาบไล่ไปทีละต้นอย่างเพลินใจจนเกือบลืมไปว่าหล่อนมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดหน้ากุหลาบพุ่มต้นใหญ่ที่มีกลีบดอกสีชมพูซ้อนกันเป็นชั้น สวยจนอดไม่ได้ที่จะโน้มกิ่งลงมาเชยชม
“หอมจัง แกชื่ออะไรล่ะเนี่ย”
“สปิริตออฟฟรีดอม”
คำตอบเสียงทุ้มต่ำทำให้รสสุคนธ์เด้งตัวขึ้นจากดอกไม้กลิ่นหอมทันที และพอหันหน้าไปทางต้นเสียง ดวงตากลมก็เบิกกว้างเมื่อเห็นคนที่บอกชื่อเสียงเรียงนามกุหลาบชัดเต็มตา แต่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลากับดวงตาสีน้ำผึ้งป่าดูไม่ประหลาดใจเลยกับการปรากฏตัวของหล่อน ต่างกับหล่อนที่ตกใจยิ่งกว่าเห็นผี
“คุณคนสวน!”
รสสุคนธ์เรียกสรรพนามของอีกฝ่าย รีบก้าวขาออกห่างจากกุหลาบต้นงาม แต่ในทันทีที่หล่อนถอยหลัง ก็คือทันทีที่ปลายส้นรองเท้าจมดินลื่นจนเสียหลัก แล้วประวัติศาสตร์ก็กลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง ร่างของหล่อนเอนหงายชนกระถางกุหลาบที่วางบนชั้นไม้จนล้มระเนระนาดไปตามกัน
“โอ๊ย...” ถึงจะอายแค่ไหน ก็ห้ามเสียงครวญเพราะความเจ็บไม่ได้
“ครั้งนี้ผมจะไม่ถามว่าคุณเจ็บหรือเปล่า เพราะจากที่ตาเห็นก็บอกได้ว่าเจ็บพอดู”
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาประคองหล่อนให้ลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังซวนเซเพราะรองเท้าส้นสูงที่แม้จะไม่ใช่คู่เจ้ากรรมในครานั้น แต่ก็ทำให้หล่อนเจ็บตัวได้ไม่แพ้กัน
“อย่างน้อยครั้งนี้ฉันก็ไม่ได้พึ่งเสื้อสูทของคุณ” ไม่ได้ภูมิใจนักหรอกที่ใส่กางเกงมา แล้วก็ไม่ได้อยากนึกถึงภาพอดีตอันแสนอับอายวันนั้นด้วย
เขาแค่นยิ้ม ปล่อยมือหนาจากต้นแขนบาง จากนั้นก้มลงเก็บเศษกระถางที่แตกกระจาย จับต้นกุหลาบที่ล้มให้ตั้งขึ้นดูสภาพของมันพลางเอ่ยคำพูดโดยไม่หันมามองหน้าคนฟัง
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันมาพบเจ้าของโรงเรียน แต่เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าเป็นคุณ!”
“ผมเป็นครูใหญ่ ภารโรง และคนสวน”
“แล้วเจ้าของโรงเรียนล่ะ”
“ไม่อยู่”
รสสุคนธ์พ่นลมหายใจ “ฉันหมายถึง ใครคือเจ้าของโรงเรียนที่นี่ ฉันต้องการพบเขาเพื่อขอซื้อที่ดินผืนนี้”
ดวงตาคมตวัดมามอง ก่อนหันไปจัดเรียงกุหลาบที่ล้มระเนระนาดอย่างบรรจง เหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจที่ต้องเร่งให้คำตอบ จนเสร็จสมใจดีนั่นแหละถึงได้ลุกขึ้นยืนเช็ดมือเปื้อนดินกับกางเกงยีนส์ มองหล่อนด้วยแววตากวนใจพิลึก
“ทีเค มิลเลอร์เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ แต่เขาไม่ว่างพบคุณหรอก คุณมีธุระอะไรก็คุยกับผมได้”
“แล้วคุณตัดสินใจแทนเขาได้หรือ” รสสุคนธ์เริ่มไม่สบอารมณ์
“ผมตัดสินใจแทนเขาไม่ได้ แต่ถ้าคุณมีตา จะเห็นว่าผมมีหูไว้ฟังคุณพูด และมีปากไว้ไปรายงานนายของผมต่อ”
พบกันคราวนี้ทำให้หล่อนรู้ว่าคนสวนแห่งเอเดน ไม่ได้ใช้ปากร้องเพลงเก่งอย่างเดียว แต่ยังกัดได้เจ็บพอดู แต่เอาน่า ถึงจะไม่ได้คุยกับทีเค มิลเลอร์วันนี้ ก็ยังดีที่มีคนช่วยฝากฝังข้อเสนอ
“ฉันจะขยายขนาดโครงการห้างสรรพสินค้า จึงจำเป็นต้องกว้านซื้อที่ดินแถวนี้ทั้งหมดรวมถึงที่ดินโรงเรียนปลูกปัญญานี้ด้วย ฉันเลยจะมาขอเจรจาให้นายคุณขายที่ให้โดยจะเสนอราคาให้เขามากกว่าราคาประเมินยี่สิบเปอร์เซ็นต์”
“ข้อเสนอไม่น่าดึงดูด” คนฟังเบ้ปากแล้วเดินผ่านไหล่หล่อนไป
“เดี๋ยว หยุดก่อนคุณคนสวน คุณปฏิเสธแทนเขาได้ยังไง ไหนบอกว่าตัดสินใจแทนไม่ได้ไง”
“ผมรู้จักเขาดีมากกว่าคุณ เขาไม่สนใจข้อเสนอพื้นๆ พรรค์นั้นหรอก”
“คุณรู้ได้ยังไง คุณให้เบอร์ติดต่อเขามาสิ แล้วฉันจะไปคุยเอง บางทีเขาอาจจะชอบข้อเสนอพื้นๆ ของฉันก็ได้”
“ทีเค มิลเลอร์ไม่ชอบคุยกับนายทุน ยิ่งพวกที่ชอบใช้เงินแลกทุกอย่างที่อยากได้อย่างคุณ เขาเกลียดนัก”
คำกล่าวหาทำให้หล่อนฉุน “หรือไม่ก็ให้ฉันหาที่ดินและเป็นธุระสร้างโรงเรียนดีๆ ให้ใหม่ เอาให้ใหญ่โตกว่าที่นี่ ให้หรูหรากว่าที่นี่ล่ะ ไปบอกนายคุณแบบนี้สิ แล้วดูว่าเขาจะคิดยังไง”
เขาหัวเราะใส่หน้า ยืนกอดอกมองด้วยดวงตายียวน “ก็คงคิดว่า...”
จากนั้นเดินย่างสามขุมมาใกล้ “คนที่คิดแบบนี้ได้มีแต่พวกไร้หัวใจ ในสมองคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง มองว่าโรงเรียนดีๆ คือโรงเรียนที่ใหญ่โต ไม่สนใจว่าเด็กนักเรียนจะเป็นยังไง แค่สร้างโรงเรียนเพื่อหากำไร ไม่ได้มีใจรักการสอนจริง”
“คุณไม่รู้จักฉันดีพอ ก็อย่ามากล่าวหาฉันแบบนั้นนะ!” นี่หล่อนตั้งใจมาเจรจาดีๆ กลับถูกว่ากล่าวเป็นพวกไม่มีหัวใจ ถ้าหล่อนเป็นแบบนั้นจริงคงยอมแต่งงานกับคนที่ไม่รัก แลกกับการอยู่รอดของบริษัทไปแล้ว
“คุณเองก็ไม่รู้จักทีเค มิลเลอร์ดีพอ ฉะนั้นอย่าคิดว่าเขาจะเห็นแก่เงินให้คุณเข้ามาทุบโรงเรียนของเขา!”
“ตาบ้าเอ๊ย!”
รสสุคนธ์ตะเบ็งเสียงลั่นห้องนอนพร้อมกับปากระเป๋าใบสวยราคาแพงไปบนเตียงด้วยหวังว่าจะช่วยเหวี่ยงความโกรธแค้นออกจากตัว แต่ภาพความยียวนของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำผึ้งก็ยังลอยวนเวียนกวนใจจนอยากบึ่งรถกลับรบรากับเขาอีกครั้ง
“คอยดูเถอะ ฉันเอาที่ดินผืนนั้นมาให้ได้!”
หล่อนประกาศกับตัวเองอย่างเคียดแค้น ถึงจะต้องสู้รบปรบมือกับคนที่เคยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อสูทปกปิดความอับอายให้ก็ตามที หล่อนจะปัดเขาให้พ้นทาง อย่าว่าแต่คนเลย กุหลาบสวยๆ ทั้งแปลงพวกนั้นก็ต้องถูกถอนรากถอนโคนให้หมดก่อนสิ้นปี
แม้จะรู้สึกผิดต่อกุหลาบที่ใช้เป็นตัวแทนของคุณยาย ก็จำต้องมุ่งร้ายพวกมันเหมือนเป็นวัชพืชรกตา หรือที่เคยคิดว่าหล่อนไม่คู่ควรกับราชินีดอกไม้นั้นเห็นจะเป็นความจริง
“โรส โรสลูก”
แต่แล้วความคิดหยุดชะงักฉับพลันเมื่อได้ยินเสียงของมารดา รสสุคนธ์จึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความขุ่นมัวแล้วเดินไปเปิดประตู
“โรสเพิ่งกลับจากบริษัทค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้เข้าไปหา” หล่อนรีบบอกเหตุผลก่อนจะถูกตำหนิ แต่เห็นรอยยิ้มอิ่มบนใบหน้าราวกับยินดีที่ลูกสาวกลับบ้านดึก
“ตาอิทเขาเอาของฝากมาให้พ่อกับแม่ แล้วเขาอยากชวนโรสไปฟังเพลง แม่เลยอนุญาต”
ว่าที่ลูกเขยคือเหตุผลเดียวที่สร้างความแช่มชื่นหัวใจให้ผู้เป็นมารดา แต่สร้างความน้อยอกน้อยใจให้บุตรสาว เพราะนางปัทมาไม่สังเกตแววความอ่อนล้าของหล่อนเลยสักนิด
“โรสเหนื่อยค่ะแม่ นี่ก็ดึกมากแล้ว”
“ถ้าเหนื่อยก็ไปนั่งฟังเพลงให้หายเหนื่อยสิ แล้วนี่ก็ไม่ดึกเท่าไร ไปกับพี่เขาเถอะ เห็นช่วงนี้งานเยอะทั้งคู่ หาเวลาพูดคุยกันบ้างจะเป็นไร”
ก็เพราะว่ายิ่งอยู่ใกล้เขาก็ยิ่งทำให้หล่อนเหนื่อยนี่สิคือประเด็นสำคัญ และถึงแม้อิทธิฤทธิ์จะสนิทกับครอบครัวมากแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้หล่อนไปไหนมาไหนกับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติยามวิกาลง่ายๆ แบบนี้
“แต่งตัวเร็วๆ สิ อย่าให้พี่เขารอ”
น้ำเสียงของมารดาเริ่มแข็ง จึงป่วยการที่จะอิดออดจนส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกสาวให้เลวร้ายลงไปอีก รสสุคนธ์จึงพยักหน้าตอบรับอย่างเสียมิได้ แต่หล่อนก็ไม่ได้แต่งตัวตามคำบอกของมารดา แค่การเติมแป้งหรือทาลิปสติกก็รู้สึกยุ่งยากเกินไป ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงทรงสุภาพก็ไม่ใช่เครื่องแต่งกายผิดระเบียบของผับหรือบาร์ที่ไหน หล่อนจึงรวบข้าวของที่กระจายออกกลับเข้ากระเป๋าแล้วพาร่างเหนื่อยอ่อนออกจากห้องเพื่อไปฟังเพลงกับอิทธิฤทธิ์ตามความต้องการของผู้เป็นมารดา
อิทธิฤทธิ์ไม่ได้แตกต่างจากหล่อนมากนัก เขายังอยู่ในชุดสูทแบบที่มักสวมใส่ตอนทำงาน รวมถึงใบหน้านิ่งเฉยที่เห็นแล้วชวนอึดอัดเช่นกัน
“ขอที่ใกล้ๆ นะคะ โรสอยากรีบกลับบ้านมาพักผ่อน”
แม้จะรู้ว่าคำพูดของหล่อนไม่เคยเป็นผลต่อการตัดสินใจของอิทธิฤทธิ์ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะพามาฟังเพลงไกลถึงจังหวัดทางชายฝั่งตะวันออกที่หล่อนเพิ่งเดินทางกลับมาถึงตอนหัวค่ำ รู้ตัวอีกทีก็ตอนเขาใช้หลังมืออุ่นแตะแก้มปลุกหล่อนให้ตื่นจากการหลับใหล
“ทำงานเหนื่อยมากเลยหรือไง”
“ทำงานไม่เหนื่อยค่ะ แต่โรสไม่ชอบนั่งรถไกล มันมึนๆ หัว ไม่เหมือนขับเอง” หล่อนบอกแล้วขยับตัวให้ห่างจากมือหนา รีบเปิดประตูรถแล้วก้าวขาเดิน ได้กลิ่นไอทะเลลอยมากับสายลมเย็นที่สัมผัสผิวแผ่ว
ราวกับทุกอย่างถูกวางแผนไว้แล้ว เพราะโต๊ะวิวทะเลที่หล่อนถูกนำพาไปนั่งมีป้ายชี้บ่งว่า ‘จอง’ จากนั้นไม่กี่วินาทีถัดมา บริกรก็รินไวน์สีแดงก่ำเหมือนดอกกุหลาบที่ประดับบนโต๊ะ ตามด้วยเสียงแซกโซโฟนบรรเลงคลอเคลียคู่กับเสียงร้องเพลงหวานปนเศร้าของนักร้องสาว
กระนั้นรสชาติของไวน์บ่มนานปีไม่ช่วยให้รสสุคนธ์รู้สึกผ่อนคลาย เพราะจิตใจของหล่อนตอนนี้เลื่อนลอยเกินกว่าจะซึมซาบความไพเราะของเสียงดนตรี หากแต่ความมืดมิดของท้องทะเลก็ช่วยให้หล่อนหยุดทุกความคิดแล้วจ้องมองความสงบนิ่งของห้วงน้ำกว้างใหญ่ไพศาล
“เรารู้จักกันมานานแล้วนะโรส”
อิทธิฤทธิ์เอ่ยคำพูดหลังจากบทเพลงแห่งความรักของนักร้องสาวเสียงดีจบลง แต่หล่อนยังไม่ตอบบทสนทนา ทอดตามองผืนทะเลอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังฝังตัวเองจมในความลึกล้ำของเกลียวคลื่น
“รู้จักกันนานจนพี่คิดว่าเราควรเขยิบฐานะให้ไปไกลมากกว่าที่เป็นอยู่” เสียงของเขาดังอีกครั้งพร้อมกับคำร้องจากนักร้องสาว “แต่ถ้าจะมีอะไรแสดงให้ชัดเจนมากกว่าคำพูดละก็...”
คำพูดที่ขาดหายไปดึงสายตาหล่อนให้หันจากท้องทะเลกลับไปมองชายหนุ่มที่เพ่งมองกำปั้นมือข้างหนึ่งของตัวเองบนโต๊ะ
“ก็คงเป็นแหวนแต่งงานวงนี้” แล้วประโยคต่อมาถูกเปล่งพร้อมกับคลายกำปั้นออกเผยให้หล่อนเห็นตลับสี่เหลี่ยมหุ้มกำมะหยี่สีแดง
“แต่งงานกับพี่นะ” ฝาตลับถูกเปิดออกเผยให้เห็นอัญมณีล้ำค่า ประกายของมันเจิดจรัสแวววาวมากขึ้นยามต้องแสงเทียนในครอบแก้ว เฉกเช่นเดียวกันกับดวงตาเรียวที่มองมาอย่างหมายมั่นในคำตอบ
เขากำลังขอหล่อนแต่งงานเป็นจริงเป็นจังเพื่อขยับสถานะจากว่าที่สามีตามใบสั่งมาเป็นสามีตามความสมัครใจ และหล่อนก็ควรให้คำตอบว่าเยสตามฉบับหนังรักสำเร็จรูป
แต่สำหรับรสสุคนธ์ ก่อนจะตกลงปลงใจใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนนั้น ต้องแน่ใจว่าพร้อมแล้วที่จะยอมแบ่งปันทุกสิ่งในชีวิตร่วมกัน ไม่ต้องถึงขนาดยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อการร่วมคู่ แต่ต้องสมัครใจร่วมกันกอบกู้เยียวยากันและกันในยามสุขและทุกข์ คำพูดที่กลั่นกรองออกมาจึงเป็นคำถามที่อยากได้คำตอบจากความรู้สึกแท้จริงของชายหนุ่ม
“พี่อิทอยากแต่งงานกับโรสเพราะอะไรคะ”
ความเงียบงันเข้าแทรกซึมแทนเสียงเพลงหวานของนักร้องสาว ในดวงตาของชายหนุ่มก็คล้ายมีเมฆฝนแผ่กระจาย
“ทำไมเงียบไปล่ะคะ หรือว่าโรสถามยากไป”
การที่เขาไม่ตอบหล่อนในทันทีก็เป็นข้อสรุปได้แล้วว่าหล่อนไม่จำเป็นต้องตอบตกลง “ถ้าอย่างนั้น โรสว่าเรากลับกันได้แล้วค่ะ โรสไม่อยากนอนดึก กลัวว่าจะเพลียจนไปทำงานพรุ่งนี้เช้าไม่ได้”
พูดจบก็ก้าวขาเดินออกจากโต๊ะ ปิดฉากละครการขอแต่งงานเพียงเท่านี้
“รอยดำที่กางเกงด้านหลังนั่น ได้มาตอนที่ไปดูที่ดินตัวปัญหาใช่ไหม”
แต่ประโยคนั้นทำให้รสสุคนธ์ตัวชาวาบ รีบหมุนหันหน้ากลับไปเพื่อให้หลักฐานย้ายไปอยู่ด้านหลัง ทำราวกับจะช่วยให้เขาลืมเรื่องรอยเปื้อนที่คงเห็นตอนหล่อนเดินจ้ำอ้าวนำหน้าเข้าโรงแรม
“พี่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้นกับโครงการ” รอยยิ้มร้ายเกิดบนใบหน้าของชายหนุ่ม
“จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพี่อิท เพราะโรสเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ” รสสุคนธ์ข่มความขุ่นในน้ำเสียงก่อนตอบกลับ
อิทธิฤทธิ์กระตุกยิ้ม มองด้วยแววตาหยันขณะยกแก้วดื่มไวน์จนหมด จากนั้นเอ่ยคำพูดที่ทำให้หล่อนเคืองใจอย่างสุดแสน ทั้งที่เขาเพิ่งขอหล่อนแต่งงานเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า
“อย่าลืมว่าโรสเอาอะไรเดิมพันกับนายเรมอนด์ ถ้าสิ้นปีนี้ไม่มีความคืบหน้า เห็นทีคุณลุงคงได้เสียชื่อที่สั่งสมมาครั้งใหญ่ แต่ถ้าแต่งงานกับพี่ คุณากรพร็อพเพอตี้จะยังขึ้นแท่นเป็นบริษัทน่าเชื่อถือต่อไป”
“นี่ไม่ใช่การเอาเรื่องงานมาต่อรองกับเรื่องส่วนตัวใช่ไหมคะ”
“คิดให้ดีก่อนค่อยพูดดีกว่านะโรส ว่าใครกันแน่ที่กำลังทำแบบนั้น” คำพูดน้ำเสียงเรียบแต่บาดลึกพอๆ กับดวงตาเรียวที่มองมาอย่างผู้กุมชะตาชีวิตนักโทษ
“ราชินีผู้ครองบัลลังก์ยังต้องการอัศวินที่เก่งกล้า แต่ราชินีแห่งดอกไม้ ถ้าไร้หนามแหลม ก็ไร้พิษสง เหลือเพียงแค่กลีบบางที่ห้อหุ้มความความอ่อนแอไว้ข้างใน” เขาเปล่งวาจาพลางถอนกุหลาบหนึ่งดอกออกจากพุ่มประดับ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงมาหา
รสสุคนธ์เม้มเรียวปาก กำมือเล็กๆ ของตัวเองแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรเทาไฟโกรธที่ปะทุในใจ
“ถึงจะอ่อนแอ แต่ราชินีของดอกไม้ก็มีความหอมสร้างความสุขให้ผู้คน ดีกว่านั่งเป็นราชินีหุ่นเชิดบนบัลลังก์ที่ใช้ชีวิตอิสระตามใจตัวเองไม่ได้” หญิงสาวกล่าวด้วยหัวใจทะนง ยื่นมือไปคว้ากุหลาบดอกโตสีแดงฉ่ำสวยที่ไม่ควรอยู่ในมือของผู้ชายคนนี้
“โรส...โรส...โรส...” เขาเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “วันนี้โรสอาจรู้สึกว่าตัวเองเก่งกล้า โรสอาจคิดว่ายืนอยู่ได้โดยไม่มีพี่ ถ้าอยากจะเอาบริษัทของคุณลุงมาเป็นสิ่งเดิมพัน ขอให้บวกลบคูณหารในหัวว่าระหว่างแต่งงานกับพี่แล้วรวมสองบริษัทเข้าด้วยกัน กับเดินบนถนนที่มีแต่หนามตำคนเดียว แบบไหนกันที่พ่อกับแม่โรสพอใจ”
หญิงสาวแค้นใจจนเผลอขบกรามแน่น วันนี้เป็นวันที่แสนแย่และไม่น่าจดจำเลย นี่หล่อนมีปัญหากับผู้ชายถึงสองคนในวันเดียวกัน และต่างก็เป็นอุปสรรคความสำเร็จทั้งคู่ แบบนี้หล่อนจะสู้รบปรบมือกับพวกเขาอย่างไร ในวินาทีนั้นเองที่ รสสุคนธ์เข้าใจความหมายของคำว่ามืดแปดด้านได้อย่างลึกซึ้ง