สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

My Rose - บทที่ 7 บทที่ 7 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

My Rose

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า

รายละเอียด

My Rose โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

My Rose-บทที่ 1 บทที่ 1,My Rose-บทที่ 2 บทที่ 2,My Rose-บทที่ 3 บทที่ 3,My Rose-บทที่ 4 บทที่ 4,My Rose-บทที่ 5 บทที่ 5,My Rose-บทที่ 6 บทที่ 6,My Rose-บทที่ 7 บทที่ 7,My Rose-บทที่ 8 บทที่ 8,My Rose-บทที่ 9 บทที่ 9,My Rose-บทที่ 10 บทที่ 10,My Rose-บทที่ 11 บทที่ 11,My Rose-บทที่ 12 บททึ่ 12,My Rose-บทที่ 13 บทที่ 13,My Rose-บทที่ 14 บทที่ 14,My Rose-บทที่ 15 บทที่ 15,My Rose-บทที่ 16 บทที่ 16,My Rose-บทที่ 17 บทที่ 17,My Rose-บทที่ ๑๘ บทที่ ๑๘,My Rose-บทที่ ๑๙ บทที่ ๑๙,My Rose-บทที่ ๒๐ บทที่ ๒๐,My Rose-บทที่ ๒๑ บทที่ ๒๑,My Rose-บทที่ ๒๒ บทที่ ๒๒,My Rose-บทที่ ๒๓ บทที่ ๒๓,My Rose-บทที่ ๒๔ บทที่ ๒๔,My Rose-บทที่ ๒๕ บทที่ ๒๕,My Rose-บทที่ ๒๖ บทที่ ๒๖

เนื้อหา

บทที่ 7 บทที่ 7

บทที่ ๗



“เป็นอีกคนตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็สลับเป็นอีกคน หวังว่าคุณคงยังไม่ลืมเหตุผลที่ทำให้คุณกลับมาเมืองไทย”

ประโยคนั้นทำให้คนฟังหัวเราะในลำคอเพราะมันกลายคำพูดติดปากเคย์แมนไปแล้วหลังรู้ว่าเจ้านายหนุ่มใช้บทบาทใดปิดบังตัวตนของทีเค มิลเลอร์

“ผมจะลืมสิ่งที่ผมรอมาทั้งชีวิตได้ยังไง แล้วที่ผมทำก็ไม่ได้กระทบอะไรกับงานของมิลเลอร์”

“ตอนนี้อาจจะยัง แต่ต่อไปผมว่าไม่แน่” เคย์แมนยังไม่เห็นด้วย ทั้งสีหน้าและท่าทางบอกว่าค้านเขาเต็มที “ถึงมันจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจคนอื่นเรื่องการกลับมาของคุณก็ตาม แต่ผมกังวลว่าสักวันมันจะเบี่ยงเบนความมุ่งมั่นในตัวคุณ”

“อย่าคาดเดาสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น” เจ้านายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ

“ผมก็หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น” เคย์แมนทอดถอนลมหายใจหันหน้าไปทางตึกสีขาวสะอาดตรงสุดถนนด้านหน้า “เราใช้เวลาสังเกตการณ์ร่วมสี่เดือนแล้ว คุณทีเคพร้อมจะเริ่มงานครั้งที่สองเมื่อไร ผมไม่อยากให้เราไม่ได้อะไรเลยตอนที่ต้องรายงานผลการทำงานให้เบนในอาทิตย์หน้า”

“คืนพรุ่งนี้” เขากล่าวเสียงเคร่งขรึม

“เราได้อาซ้อมาอยู่ในกลุ่มแล้ว ก็เหลือมาเฟียรัสเซียที่กินอิทธิพลในพัทยาเหนือ พวกอิตาเลียนที่ครองพัทยาใต้ คุณจะต้องเลือกว่าจะจับมือกับพวกไหนก่อน ทั้งสองกลุ่มไม่ได้มีความสัมพันธ์ดีต่อกันมากนัก ก็ด้วยเรื่องของผลประโยชน์กับการแบ่งเขตหากินนั่นแหละ”

“เราจะเข้าไปจับมือกับกลุ่มที่ใกล้ชิดกับนายประชาก่อน”

เคย์แมนสบตาเขาชั่ววินาทีก่อนขานรับคำสั่ง จากนั้นเปิดระบบล็อกประตูให้เจ้านายหนุ่มลงเพื่อเดินเท้าต่อด้วยตัวเองไปตามถนนสายแคบท่ามกลางไฟสลัวที่เปลี่ยวเกินกว่าให้ใครมาสัญจรในยามวิกาล ตรงข้ามกับอีกฟากฝั่งที่สว่างไสวไปด้วยไฟสปอร์ตไลท์ประกาศเขตแดนก่อสร้างของคุณากรพร็อพเพอตี้อย่างเป็นทางการ

ความคิดย้อนไปถึงวันที่รสสุคนธ์มาที่โรงเรียน แววตารั้นคู่นั้นบอกชัดเจนว่าหล่อนไม่มีวันยอมแพ้จริงดังว่า แต่ไม่ว่าข้อเสนอที่แม่นั่นบอกผ่านผู้จัดการไซต์จะเลิศหรูแค่ไหน คำตอบที่เขาฝากไปบอกก็คือคำปฏิเสธ

ฉับพลันในวินาทีนั้น มีบางสิ่งกระโจนออกจากดงหญ้าคาสูงท่วมหัว ชายหนุ่มจึงปรับเปลี่ยนอยู่ในท่าระวังภัยอัตโนมัติ แต่พอเห็นว่าเป็นไอ้ลายเขาก็ถอนหายใจ ทว่าเจ้าหมาจรจัดอนาถาวันนี้ดูแปลกตา ถ้าไม่นับโรคเรื้อนที่ลามไปทั่วตัวแล้ว การเดินเป๋ของมันเป็นสิ่งใหม่ เห็นแล้วก็ให้เวทนาใจ แต่พอจะก้าวขาไปดูใกล้ๆ มันก็ขู่คำรามใส่ก่อนวิ่งกลับเข้าไปในพงหญ้าคา

“กล้า นายมาทำอะไรตรงนี้” เสียงคำถามของเจ้าของรถสปอร์ตสีขาวมุกที่ขับเคลื่อนเข้ามาหยุดจอดริมทางเป็นของสัญชัย

“เราต้องเป็นฝ่ายถามนายมากกว่า” ต้นกล้าส่งยิ้มให้เพื่อน “รถสวยดีนี่เสี่ยสัญ ราคาน่าจะมากกว่าค่าก่อสร้างโรงเรียนปลูกปัญญาอีกมั้ง”

“นายก็พูดเกินไป เสี่ยเส่ออะไรกัน เป็นทาสรับใช้เมียน่ะไม่ว่า นี่สั่งให้เราเอาบิลค่าวัสดุมาเก็บกับนายแล้ว ขึ้นรถสิหรือว่าอยากเดินมากกว่า”

ต้นกล้าคลี่ยิ้มรับคำชวน แม้จะติดใจกับตัวเลขสูงเกินควรในบิล แต่ก็เลือกปัดความคิดแง่ร้ายออกจากหัว พอถึงโรงเรียน สัญชัยขอไปเยี่ยมครูเพ็ญที่ห้องพัก ส่วนต้นกล้ากลับห้องตัวเองเพื่อไปเอาเงินที่เตรียมสำหรับจ่ายให้กับสัญชัย แต่ในขณะที่เดินผ่านโรงครัว เขาได้ยินเสียงร้องไห้จากมุมมืด จึงใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือสาดแสงสว่างเข้าไปแล้วพบว่าเจ้าของเสียงร้องไห้นั้นเป็นเด็กชายจ้อยกับน้องสาววัยขวบเศษที่กำลังนั่งกอดกันกลม

“ครูกล้า” จ้อยเรียกเขาเสียงสั่น

ครูหนุ่มจึงรีบเดินเข้าไป เห็นใบหน้าฟกช้ำของเด็กชาย ก็ย่นคิ้วชนกัน “นี่ใครมันทำอะไรจ้อยขนาดนี้ หรือจะเป็นพ่อเลี้ยง”

จ้อยได้แต่เม้มปากที่มีคราบเลือดติดกรัง ต้นกล้าจึงยิ่งฉุนจัด “ครูจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง แม่จ้อยก็เหมือนกัน ปล่อยให้คนใจมารทำกับลูกแบบนี้ได้ยังไง”

สิ้นคำก็ลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะไปสั่งสอนแม่บังเกิดเกล้าของศิษย์รัก หากแต่ประโยคต่อมาทำให้ครูหนุ่มเจ็บปวดหน้าอก

“แม่เขาออกจากบ้านไปกับพ่อเลี้ยงแล้วครู บอกให้ผมพาน้องมาขอครูอยู่ด้วย” เด็กชายเล่าเสียงสะอื้น “ครู.... ครูให้ผมกับน้องอยู่ที่นี่ได้ไหม”

ต้นกล้าหลับตาสูดลมหายใจเข้า เดินกลับไปหาแล้วย่อเข่าลง รวบตัวเด็กทั้งสองมากอด “ได้สิ โรงเรียนก็เหมือนบ้านของจ้อยนั่นแหละ”

“ขอบคุณครับครู แม่บอกว่าถ้าเก็บตังค์ได้จะมารับผมกับน้องไปอยู่ด้วย แต่ไม่รู้อีกนานไหม”

ครูหนุ่มเงียบสนิท ไม่อยากพูดความคิดที่อยู่ในใจ แต่ก็มีคนที่พูดแทนให้แบบตรงไปตรงมา “นานจนกว่าเธอกับน้องจะโตเท่าครูของเธอนั่นแหละ”

เจ้าของคำพูดบาดใจเป็นของสัญชัยที่ยืนพิงไหล่กับประตู

“ฉันต้องรีบกลับ” น้ำเสียงราบเรียบกับแววตาไร้ความรู้สึกเน้นย้ำว่าเขาไม่สนใจอะไรเลยการที่เด็กถูกบุพการีทอดทิ้ง

ต้นกล้าลอบถอนหายใจ เดินกลับเข้าห้องแล้วกลับมาที่โรงครัวอีกครั้งพร้อมกับซองกระดาษสีน้ำตาลที่มีเงินสดใส่จนแน่น

“นายจะนับก่อนไหม”

“ไม่เป็นไร” สัญชัยรับเงินไปแล้วหมุนตัวเดิน แต่ยังไม่ทันพ้นขอบประตู ก็ย้อนกลับหยุดยืนหน้าเด็กทั้งสอง

“เดาว่าแม่คงไม่ให้เงินติดตัวมาเลยล่ะสิ รับไปซะจะได้ไม่เป็นภาระครูของเธอมากเกินไป แล้วก็อย่าหวังเลยว่าแม่จะมารับ เพราะฉันเคยผิดหวังมาก่อน” จบประโยคก็วางธนบัตรใบละหนึ่งพันสามใบไว้หน้าเด็กชาย ก่อนหันหลังเดินออกไป

“เก็บไว้เป็นเงินฉุกเฉินแล้วกันจ้อย แต่เรื่องกินอยู่ครูจะออกให้” ครูหนุ่มบอกแล้วลูบหัวจ้อย จากนั้นเดินตามอดีตเพื่อนสนิทออกไป เห็นร่างสูงยังยืนนิ่งงันใต้ชายคาโรงเรียนมองสายฝนที่เพิ่งโปรยลงมา

“เพราะแบบนี้ เราถึงอยากสานต่ออุดมการณ์ของครูเพ็ญ” ต้นกล้าเดินเข้าไปหยุดยืนเคียงข้าง

“โดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรในสังคม หรือช่วยไม่ให้เด็กคนต่อๆ ไปถูกพ่อแม่ของตัวเองทิ้งได้อย่างนั้นน่ะหรือ ตลกสิ้นดี”

สัญชัยกล่าวคำพูดประชดประชัน หันมามองด้วยแววตาที่ผิดแผกไปจากเพื่อนในวัยเยาว์ แต่ต้นกล้าไม่รู้สึกขุ่นเคืองเลย เพราะในน้ำเสียงของสัญชัยนั้น เขาได้ยินแต่เสียงของความอาดูร



นับจากวันแรกที่รสสุคนธ์บุกโรงเรียนปลูกปัญญาก็ผ่านมาได้อาทิตย์กว่าแล้ว แต่ความคืบหน้าของผลการต่อรองที่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานมาให้ยังอยู่ที่ศูนย์ นายคนสวนแห่งเอเดนคนนั้นไม่รับฟังข้อเสนอใดๆ ทั้งสิ้น จึงเป็นเหตุให้หล่อนต้องมาพำนักในโรงแรมที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากไซต์ก่อสร้างเพื่อตั้งฐานรบกับครูหนุ่ม เพราะถ้าหากโรงเรียนปลูกปัญญาไม่ย้ายออกไป ภาพความหายนะของชีวิตหล่อนก็จะชัดเจนขึ้นทันที รสสุคนธ์จึงไม่อยากให้ช้าแม้แต่วันเดียว หล่อนนัดแนะกับนายวิชัย ผู้จัดการไซต์ให้มาช่วยกันรุกเข้าพื้นที่ทันทีในเช้าวันแรกของการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ

ทว่านายวิชัยกลับผิดนัด แจ้งผ่านธุรการประจำไซต์มาว่าติดประชุมที่สำนักงานใหญ่ เป็นเหตุให้หล่อนต้องฉายเดี่ยว ซึ่งคู่รบก็หาได้สนใจการมาเยือนของหล่อนไม่ ยังทำหน้าที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาแก่เด็กนักเรียนต่อไปราวหล่อนไร้ตัวตน รสสุคนธ์นึกโมโหในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรอการเรียนการสอนจบ หล่อนจึงอนุญาตตัวเองเข้าไปชมกุหลาบในแปลงระหว่างรอ

กุหลาบในแปลงวันนี้ออกดอกสะพรั่ง ทุกต้นอยู่ในพื้นที่โล่งโปร่งตา แสงสว่างและอากาศถ่ายเททั่วถึง ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้า หล่อนก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น บอกได้เลยว่าต่อให้เขาทิ้งหล่อนให้รอในนี้ทั้งวันหล่อนก็ยอม รสสุคนธ์เดินชมทุกซอกทุกซอย คอยหยิบป้ายอ่านชื่อพันธุ์อย่างสนุกสนาน จนมาถึงแปลงกุหลาบสีชมพูที่ครูชรากำลังยืดขาด้วยท่าทางยักแย่ยักยันเพื่อใช้กรรไกรตัดกุหลาบช่อโตที่เบ่งบานตรงปลายยอด หล่อนเห็นก็รีบเข้าไปอาสาให้ความช่วยเหลือ

“ให้โรสช่วยตัดนะคะ”

ครูเพ็ญคลี่ยิ้มพยักหน้ารับความช่วยเหลือ ส่งกรรไกรตัดกิ่งให้รสสุคนธ์ หล่อนจึงเหยียดสุดแขน โน้มกิ่งกุหลาบยาวลงมา แล้วจะง้างกรรไกรตัด แต่ครูชราก็กล่าวกับหล่อนก่อนว่า

“นับใบสมบูรณ์ลงมาห้าระดับค่ะ แล้วเวลาตัดให้ตัดเฉียงโดยแนวเอียงต้องอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตานะคะ”

ณ วินาทีนั้น คล้ายหัวใจหล่อนอบอุ่นขึ้นประหลาด ราวกับได้ยินเสียงของคุณยายที่รักอีกครั้ง หญิงสาวยิ้มกริ่ม หันไปพยักหน้าเบาๆ แล้วตัดกิ่งกุหลาบตามคำสอน ก่อนยื่นส่งให้ครูชราพร้อมกับชื่นชมกุหลาบช่อโตสีชมพูที่เพิ่งตัดเองกับมือ

“เบียงเวนูของที่นี่สวยจังค่ะ กลิ่นก็หอม”

“คุณโรสรู้จักชื่อพันธุ์กุหลาบด้วยหรือคะ” ครูเพ็ญยิ้ม มองหล่อนตาโต

“จริงๆ ก็รู้จักแค่เบียงเวนู กับมอญสุโขทัยค่ะ คุณยายของโรสท่านชอบสองพันธุ์นี้เลยปลูกเต็มสวนเลย”

“ดีจัง ฟังแล้วอยากจะไปชมสวนของคุณยายคุณโรสเลยค่ะ จะได้คุยเรื่องกุหลาบกับคุณยายของคุณโรสด้วย”

ทว่ารอยยิ้มของหญิงสาวแคบลง “คุณยายท่านเสียไปนานแล้วค่ะ สวนกุหลาบของคุณยายก็ถูกแม่ถางเพื่อขายที่ดินให้นักลงทุนไปแล้ว”

“คุณโรสก็น่าจะปลูกแทนท่านนะคะ”

รสสุคน์ยิ้มเจื่อน “คือเรื่องปลูกกุหลาบ โรสไม่...”

“เขาไม่สนใจหรอกครับครู ก็เขากำลังหาทางบุกเข้ามาถางกุหลาบในโรงเรียนเราอยู่รอมร่อ” ยังไม่ทันได้บอกเหตุผล เสียงของครูหนุ่มก็ดังจากด้านหลัง

“ต้นกล้ามาพอดี นี่ก็ได้เวลาพักกลางวันแล้วสิ ทานข้าวกันก่อนแล้วค่อยคุยกันดีกว่านะคะ” ครูเพ็ญส่งยิ้มเย็นให้ แล้วเดินนำทั้งคู่ไปด้วยไม้เท้าคู่กายกับช่อกุหลาบในมือ

“อย่าดีกว่าครับครู อาหารกลางวันของเราบ้านๆ เขาไม่น่าจะทานได้”

ทั้งน้ำเสียงประชดและแววตายียวนนั่นน่ารำคาญใจชะมัด แต่มีหรือที่หล่อนจะไม่ตอบโต้อะไรบ้าง “จะบ้านหรือไม่บ้านฉันก็ทานได้หมดค่ะ ดีเสียอีก ฉันจะได้คุยข้อเสนอให้คุณเอาไปรายงานนายของคุณ แล้วก็ระหว่างนี้จะได้ดูคร่าวๆ ว่าจะเอาเครื่องจักรมาถางแปลงกุหลาบตรงไหนก่อนดี”

หล่อนยั่วเขาสำเร็จ เพราะเขาจ้องหล่อนเหมือนจะกินแทนอาหารกลางวันเชียวล่ะ แต่คงเพราะเกรงใจครูชรา เขาถึงได้ยอมรามือ หมุนตัวหันหลังเดินออกไป

แล้วที่บอกว่าอาหารกลางวันของโรงเรียนปลูกปัญญามันบ้านๆ ก็ไม่ผิดนัก แต่ก็ใช่ว่าจะถูกทั้งหมด ไม่ผิดตรงที่กับข้าวบ้านๆ ของเขาคือผัดผักที่เก็บสดจากแปลง น้ำพริกยอดอ่อนกุหลาบ แล้วก็ปลาทะเลทอดตัวโตหนังกรอบแต่เนื้อหวานสดเหมือนเพิ่งจับใหม่ๆ จากทะเล ส่วนที่ไม่ถูกทั้งหมดก็คือรสชาติของทุกจานไม่ได้บ้านๆ เลย มันอร่อยจนรสสุคนธ์อายที่จะยกมือขอเพิ่มข้าว

“ไม่น่าเชื่อว่าครูใหญ่ที่นี่จะทำอาหารอร่อย”

พอได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อเจรจา รสสุคนธ์ก็อดไม่ได้ที่จะออกปากชม แต่เขาก็ทำเหมือนหล่อนไร้ตัวตน เดินเข้าห้องเก็บอุปกรณ์ที่อยู่โรงเรือนกุปลาบที่ตั้งอยู่ส่วนลึกสุดของแปลง แล้วย้อนกลับมาพร้อมกับกรรไกรตัดกิ่งและเข่งขนาดใหญ่ จากนั้นก็ลงมือไล่เล็มยอดสีแดงที่กำลังมีดอกตูมเล็กจิ๋วของกุหลาบทั้งหลาย รสสุคนธ์เห็นแล้วก็สงสัย

“มันกำลังจะมีดอกให้นี่คะ คุณไม่ได้เลี้ยงกุหลาบเอาดอกหรือคะถึงตัดทิ้งแบบนั้น”

“คุณยายคุณไม่ได้สอนหรือว่าทำไมต้องทำแบบนี้ หรือสอนแล้วแต่คุณไม่อยากจำ”

หญิงสาวย่นจมูกใส่ “เรามาเข้าเรื่องของเราเถอะค่ะ ถ้าคุณคิดว่านายคุณไม่สนใจข้อเสนอที่ฉันเคยบอก คุณก็ถามนายคุณให้ฉันหน่อยแล้วกันว่าเขาต้องการให้ฉันเสนออะไร”

“เขาต้องการให้คุณเสนอทางออกที่ไม่ต้องทุบโรงเรียน” ชายหนุ่มตอบพลางขยับกรรไกรตัดกิ่งในมืออย่างกระฉับกระเฉง

“จะเป็นไปได้ยังไง ก็รู้อยู่ว่า...”

“งั้นก็จบการเจรจาแต่เพียงเท่านี้ เรียนเชิญออกไปได้แล้วครับ”

นายต้นกล้านี่กวนจริงเชียว นอกจากจะไม่สนใจหันหน้ามาคุยกับหล่อนจริงจัง ยังชี้กรรไกรไปที่ทางออก ไล่หล่อนเหมือนเป็นพนักงานเร่ขายของ

“คุณไม่ใช่ทีเค มิลเลอร์ ก็อย่าตอบแทนเขาหน่อยเลย”

แต่ชายหนุ่มไหวไหล่ไม่สนใจ ลากเข่งใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยยอดอ่อนกุหลาบย้ายที่ไปอีกแปลง

“คุณต้นกล้า!”

“คุณโรสครับ!” แต่ก่อนที่หล่อนจะตามไปราวีครูหนุ่ม นายวิชัยก็วิ่งพาร่างท้วมเหงื่อโชกเปียกเต็มเสื้อเชิ้ตเข้ามาหา

“ขออภัยที่มาช้าครับ คุณอิทธิฤทธิ์เข้าประชุมด้วยก็เลยเลิกใช้เวลาประชุมนานกว่าปกติ” อาการเหนื่อยหอบเจียนตายที่แสดงชัดเจนบนใบหน้าผู้ช่วยหยุดคำพูดติเตียนของเจ้านายสาว

“ประชุมเรื่องอะไรกัน” รสสุคนธ์กังวลอย่างช่วยไม่ได้

“เอ่อ... เรื่อง...เรื่องกำหนดการให้บริษัทผู้รับเหมาเข้ามาทุบอาคารกับปรับพื้นที่ก่อสร้างครับ” วิชัยตอบด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยซับเหงื่อที่ไหลย้อยตั้งแต่ขมับเรื่อยลงมาจนถึงแก้มอวบอูมสีแดงจัด

“แล้วคุณตอบไปว่ายังไง” รสสุคนธ์รุกคำถามต่อ

“ผะ... ผมตอบไปว่ารอให้คุณโรสตัดสินใจครับ”

ได้ยินแบบนั้นแล้วก็พอโล่งใจ อย่างน้อยผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำให้นายตัวเองเดือดร้อน แต่ถ้าอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถเคลื่อนไหวในส่วนที่เขารับผิดชอบตามกำหนดการที่บริษัทวางไว้ล่ะก็ เขาต้องร้อนจนเดือดแน่นอน

“เอ่อ...คุณโรสครับ”

ลูกน้องร่างสมบูรณ์ขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าเหมือนมีอะไรจะบอก หล่อนจึงเอียงใบหูไปใกล้ให้ได้ยินเสียงกระซิบ “ทำไมเราไม่ใช้ไม้แข็งกับพวกนี้เลยล่ะครับ ผมรู้จักคนพื้นที่ที่จะช่วยให้งานเราเสร็จเร็วขึ้น”

รสสุคนธ์รู้ว่าไม้แข็งที่นายวิชัยพูดนั้นคืออะไร แต่หล่อนถือตนว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่นิยมการใช้วิธีชั้นต่ำรุนแรงที่นอกจากจะเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องทางกฎหมายแล้ว หล่อนไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำให้ใครเจ็บตัว

“ฉันจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด” น้ำเสียงขึงขังทำให้ใบหน้าของนายวิชัยซีดสลด “แต่ฉันอยากให้คุณกลับไปวางแผนกำหนดให้ผู้รับเหมาเข้ามาทำงาน โดยเริ่มจากบริเวณที่ห่างโรงเรียนปลูกปัญญาก่อน ดึงเวลาไว้ให้นานที่สุด”

เจ้านายสาวออกคำสั่งแล้วหมุนตัวหันหลังไปมองชายหนุ่มที่กำลังตัดแต่งกิ่งกุหลาบ โดยมีเหล่านักเรียนที่ทำภารกิจเสร็จแล้วก็ทยอยเข้ามาทำงานสวน ตรงนั้นมีนักเรียนชายหยิบจับเสียมและจอบกันคนละอัน ห่างออกไปมีนักเรียนหญิงกลุ่มนั้นก็ช่วยกันทำความสะอาดกรงเลี้ยงไก่ ส่วนข้างกายเขามีเด็กชายตัวกระจ้อยร่อยที่คอยจูงเด็กหญิงตัวน้อยให้เดินตาม

แต่ละคนดูคุ้นเคยกับสถานที่ จะมีก็เพียงหล่อนที่ยืนนิ่งอยู่กลางแปลงกุหลาบราวกับเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เล็ดลอดเข้ามาโดยไม่มีใครมองเห็น

รสสุคนธ์กำมือแน่น สูดลมหายใจลึกสุดปอดเพื่อเรียกพลัง แล้วสาวเท้าเข้าไปหาครูหนุ่ม แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้เกินสามก้าว เด็กชายที่ยืนข้างเขาก็เข้ามายืนขวางมองด้วยแววตาเอาเรื่อง ทำตัวประหนึ่งเป็นบอดี้การ์ดป้องกันรักษาความปลอดภัย

“คุณต้นกล้า ฉันต้องการพูดกับคุณแบบจริงจัง” แต่รสสุคนธ์ก็ส่งคำพูดถึงคนเป้าหมายข้ามหัวเด็กชายไป

“ผมก็พูดกับคุณจริงจังทุกครั้งนี่ครับ” ปากบอกกับหล่อนอย่างนั้นแต่มือยังสาละวนอยู่การตัดแต่งกิ่งกุหลาบ

“ฉันหมายถึงเมื่อไรคุณจะให้ฉันพบนายคุณเสียที ฉันกับเขาจะได้หาข้อตกลงร่วมกันแบบยุติธรรมกันทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เอาแต่ปฏิเสธท่าเดียวอย่างที่คุณทำ”

“ก็ผมบอกคุณชัดเจนไปแล้วไงว่า นายของผมเขาไม่ชอบข้อเสนอของคุณ” นอกจากไม่หันหน้ามามองหล่อนแล้ว ยังเดินหนีห่างออกไปอีก

“คุณต้นกล้า หยุดเดินแล้วมาคุยกับฉันก่อน!”

“จะคุยอะไรอีกล่ะครับคุณรสสุคนธ์ ผมก็มีคำตอบเดียวให้คุณเท่านั้น” แล้วเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับขวดสเปรย์ในมือ

“แต่...” หล่อนยังไม่ทันได้เริ่มต้นประโยค นายต้นกล้าก็เดินเลยผ่านไปอีกครั้ง

นี่เขาต้องการกวนประสาทหล่อนหรืออย่างไรกัน ถึงให้หล่อนเดินไปเดินมาบนพื้นตะปุ่มตะป่ำแบบนี้ คงอยากเห็นหล่อนล้มคะมำล่ะสิ ไม่มีทางเสียหรอก เพราะหล่อนเตรียมตัวมาดี ใส่รองเท้าส้นแบนติดดินขนาดนี้ จะล้มก็ให้มันรู้ไป

แต่ในนาทีที่หล่อนคิดอย่างมั่นใจ ก็มีหนอนสีเขียวสดตัวเขื่องถูกยื่นเข้าหาใบหน้าในระยะใกล้จนแทบติดปลายจมูก

“ว้าย!”

รสสุคนธ์ร้องลั่น กระโดดเหยงไปด้านหลังด้วยความตกใจ จนลืมไปว่าแถวนั้นดารดาษไปด้วยกระถางดินเผาใบน้อยใหญ่มากมาย พอรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว เพราะหล่อนไปสะดุดกับกระถางใบใหญ่ คนที่คิดว่าเตรียมตัวมาดีในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวทะมัดทะแมง ก็ล้มลงก้นผลุบเข้าไปในกระถางใบขนาดพอดีกับรอบสะโพก ดูน่าตลกขบขันจนเด็กนักเรียนทั้งหลายระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกันดังลั่นแปลง

“เจ้าเด็กแสบ!” รสสุคนธ์ชักสีหน้า ว่ากล่าวตัวการที่ถือหลักฐานเป็นกิ่งกุหลาบมีหนอนไต่ตรงปลายยอดในมือ “เล่นบ้าๆ อะไรแบบนี้!”

แต่เจ้าเด็กคนนี้ช่างยียวนนัก นอกจากหัวเราะสภาพของหล่อนแล้วยังสร้างความระทึกขวัญให้หล่อนด้วยการแกว่งกิ่งกุหลาบให้หนอนเขียวตัวอ้วนเล่นกายกรรมน่าหวาดเสียว

“ว้าย จะทำอะไรเอาน่ะ เอามันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!” รสสุคนธ์ร้องลั่น ถีบขาไปมา แต่ยิ่งหล่อนดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไร ก็คล้ายกับยิ่งสร้างความหฤหรรษ์ให้กับเด็กชายมากขึ้นเท่านั้น

“จ้อย หยุด!”

เสียงเข้มของครูหนุ่มดัง ทำให้เจ้าเด็กขี้แกล้งตกใจหยุดแกว่งกิ่งกุหลาบได้ แต่แรงสั่นสะเทือนก็ส่งผลให้เจ้าหนอนตัวอ้วนร่วงผล็อยลงมาแปะบนผิวเนื้อตรงไหปลาร้าของหล่อน

“กรี๊ด!” รสสุคนธ์กรีดร้องสุดเสียง ตัวแข็งเกร็ง ขนลุกซู่ “เอามันออกไปๆ!” ยิ่งดิ้นแรง เจ้าหนอนอ้วนก็ยิ่งกระดุกกระดิกจนเหมือนจะไหลลึกลงไปในเสื้อ

“อยู่เฉยๆ สิคุณ ดิ้นแบบนี้ผมจะเอาออกให้ได้ยังไง” เขาจับต้นแขนบางทั้งสองข้างแน่น แล้วสั่งเสียงเรียบ

รสสุคนธ์ก็พยักหน้าหงึกๆ กลั้นหายใจรอจนเจ้าของนิ้วเรียวค่อยๆ คีบเจ้าหนอนอ้วนขึ้น แต่แทนที่เขาจะโยนมันทิ้ง กลับเปิดการแสดงหนอนโชว์ พลิกมันไปมาบนฝ่ามือทั้งสองตรงหน้าหล่อน

“เอ้าเด็กๆ มาช่วยกันดูสิว่ามันเป็นหนอนของผีเสื้อพันธุ์ไหน”

แถมเขายังฉวยใช้มันสร้างโอกาสแห่งการเรียนรู้ได้อีก!

“ไปสอนกันที่อื่นได้ไหม!” รสสุคนธ์แว้ดใส่

ชายหนุ่มยิ้มขัน ส่งหนอนต่อให้เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ จากนั้นยื่นมือมาเพื่อจะดึงตัวหล่อนให้ลุกขึ้น แต่เพราะเสียงหัวเราะของเจ้าพวกเด็กที่ยังยืนรายล้อมรอบตัวทำให้ความโกรธพุ่งทะยาน รสสุคนธ์จึงสะบัดมือของชายหนุ่มออก แล้วดันตัวเองออกจากกระถางยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล

“หัวเราะกันเข้าไปเถอะ เอาให้สะใจกันในวันนี้!” หล่อนเค้นเสียงพูด กวาดตามองไปรอบๆ แล้วไปหยุดที่ใบหน้าของเด็กตัวการ “เพราะอีกไม่นาน ฉันจะเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง!”

“ผมขอโทษแทนจ้อยก็แล้วกัน” ต้นกล้าออกตัวแทนศิษย์

“คุณไม่ต้องขอโทษแทนใคร แล้วฉันก็ไม่รับคำขอโทษจากคุณด้วย!”

รสสุคนธ์ตวาดลั่น จ้องตาชายหนุ่มเขม็งแล้วหมุนตัวเดินออกจากโรงเรือน แต่เพราะความเจ็บปวดตรงสะโพกเข้าเล่นงานจึงทำให้ท่าเดินของหล่อนคล้ายเป็ดขาเป๋ สร้างเสียงฮาให้กับเด็กนักเรียนเหล่านั้นอีกรอบ แต่หญิงสาวก็ต้องทำใจแข็งไม่หันกลับไปต่อความยาว ยอมเป็นตัวตลกของพวกเขาในวันนี้ แต่อย่าให้ถึงทีของหล่อนบ้างก็แล้วกัน จะทำให้ขำกันไม่ออก โดยเฉพาะอีตาครูใหญ่ของโรงเรียนปลูกปัญญา

ทันทีที่กลับมาถึงห้องพักในโรงแรม รสสุคนธ์ก็รีบคว้าโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาแพรพรรณราย ตั้งใจจะระบายความโกรธเคืองให้ฟัง แต่พอเห็นหมายเลขมิสคอลของอิทธิฤทธิ์ปรากฏบนหน้าจอมากกว่าสิบครั้งก็ขุ่นใจยิ่งขึ้นไปอีกเท่าตัว

คงเพราะโมโหพวกนั้นจนลมออกหู เลยไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ แต่หล่อนยังไม่อยู่ในสภาวะจะพูดคุยกับเขาได้ จึงต่อสายหาเพื่อนสาวเพื่อเล่าเรื่องทั้งหมด แต่เจ้าของหมายเลขก็ปล่อยให้หล่อนฟังระบบตอบรับหลายครั้งจนถอดใจ แล้วเปลี่ยนเป็นเปิดโน้ตบุ๊กทำงานเพื่อให้สมองไม่ต้องไปคิดถึงความแสบสันของเจ้าเด็กตัวกะเปี๊ยกคนนั้น

แต่ที่คิดว่างานจะช่วยทำให้หล่อนใจเย็นลง กลับสร้างความหมองหม่นให้จิตใจจนรสสุคนธ์แทบหมดแรงทำสิ่งใดๆ เพราะรายงานผลประกอบการที่ฝ่ายบัญชีส่งมาถึงมือหล่อนตามคำสั่งของอิทธิฤทธิ์ทำให้มวลกำลังใจตกต่ำ เมื่อเห็นว่าตัวเลขผลประกอบการของคุณากรพร็อพเพอตี้ติดลบถึงสองปีซ้อน

รสสุคนธ์ฟุบหน้ากับโต๊ะร้องไห้จนตัวสั่น เหมือนตัวเองเป็นเด็กที่พยายามก่อปราสาททราย แต่ไม่อาจต้านทานคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้ามากัดเซาะให้ความพยายามละลายหายไปอย่างไม่ไยดี หัวใจของหล่อนตอนนี้อ่อนแอแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าหนอนอ้วนตัวเขียวตัวนั้นยังแข็งแรงกว่าหล่อนด้วยซ้ำไป!