สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๙
ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมารสสุคนธ์ไม่ได้ไปราวีนายต้นกล้าเลย เพราะงานที่ไซต์มีมากมายทุกวัน ยังไม่รวมการตรวจความคืบหน้าของโครงการ และการวิ่งรถไปมาระหว่างกรุงเทพกับชลบุรีทุกสุดสัปดาห์เพื่อเข้าไปนั่งปั้นหน้าในนัดทานอาหารกระชับไมตรีกับครอบครัวของว่าที่สามีแต่งตั้ง
บางครั้งรสสุคนธ์จึงมอบหมายการต่อรองกับโรงเรียนปลูกปัญญาให้แก่นายวิชัย แต่ผู้จัดการไซต์คนนี้ลางานบ่อยจนหล่อนเริ่มไม่พอใจ เป็นอันว่าหล่อนต้องฉายเดี่ยวไปโรงเรียนปลูกปัญญาเกือบทุกครั้ง แล้ววันนี้รสสุคนธ์ก็ตั้งใจไปหาครูหนุ่มในวันหยุดด้วยหวังว่าเขาจะมีเวลาฟังข้อเสนอของหล่อน
แต่โรงเรียนที่ไร้เสียงท่องอาขยานคู่ไปกับเสียงกีตาร์นั้นช่างเหงาหงอย หล่อนชะเง้อชะแง้มองไปทางกรงไก่ เห็นรถมอเตอร์ไซค์ของครูหนุ่มจอดอยู่ ก็โล่งใจว่าเขายังไม่ออกไปไหน จึงเดินเข้าไปในอาคารมุ่งหน้าไปเคาะประตูห้องพักของครูเพ็ญ
“อ้าวคุณรสสุคนธ์”
“สวัสดีค่ะครูเพ็ญ โรสมารบกวนเวลาพักผ่อนหรือเปล่าคะ”
“ไม่หรอกค่ะ ดิฉันนอนมาทั้งวันแล้ว นี่ว่าจะออกไปช่วยต้นกล้าเขาตัดกุหลาบสักหน่อย ว่าแต่ได้เจอกันหรือยังคะ เขาง่วนอยู่ในแปลงกุหลาบตั้งแต่เช้าแล้ว”
หล่อนยิ้มส่ายหน้า “ยังค่ะ แต่วันนี้อากาศค่อนข้างอ้าวนะคะครู โรสว่าครูอยู่ที่นี่ดีกว่า โรสซื้อลูกพลับมาฝากครูด้วยค่ะ ร้อนๆ แบบนี้ทานผลไม้จะช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย คุณยายของโรสท่านเคยสอนไว้”
“ไม่เห็นต้องลำบากเลยค่ะ” ครูชรายิ้มรับถุงลูกพลับจากหญิงสาวไปด้วยท่าทางเกรงใจ “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ดิฉันอยู่ในนี้ก็ได้ แต่ฝากคุณโรสเอาพลับไปให้ต้นกล้าด้วยได้ไหมคะ ดิฉันขอปอกเปลือกสักแป๊บ”
“เอ่อ...” หล่อนอยากปฏิเสธ แต่พอเห็นดวงตาวิงวอนก็ใจอ่อน
“ต้นกล้าชอบกินลูกพลับมาก ตอนเด็กๆ เขาไม่ค่อยได้กินหรอกค่ะ ดิฉันมีเงินไม่พอจะซื้อให้ จะได้กินก็ตอนมีผู้ใจบุญเลี้ยงอาหารกลางวันที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า” ครูเพ็ญเล่าด้วยแววตาอบอุ่น ระหว่างใช้มีดปอกเปลือก “แต่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะกิน ชอบเก็บเอาฝากเพื่อนๆ น้องๆ”
คำบอกกล่าวของครูชราสร้างความกังขาให้หญิงสาว แต่เพราะนิสัยไม่ชอบละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวใคร หล่อนจึงปล่อยให้เรื่องราวในอดีตของครูหนุ่มเป็นปริศนา และเมื่อพลับสุกสีส้มเนื้อฉ่ำถูกจัดเรียงสวยงาม รสสุคนธ์ก็ถือจานพลับเดินตรงเข้าสู่แปลงกุหลาบกว้างที่กินพื้นที่เกินครึ่งของโรงเรียน
หล่อนเดินลึกเข้าในแปลง กวาดตาไปทั่วแต่มองไม่เห็นร่างสูง ก็เดินลึกเข้าไปเรื่อย จนเห็นถึงแปลงกุหลาบสีชมพูสวยที่กำลังชูช่อดอกส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจ จึงขอหยุดชื่นชมความงามสักครู่
มันชื่อ ‘สปิริตออฟฟรีดอม’ นายต้นกล้าบอกเธอว่าอย่างนั้น ‘จิตวิญญาณแห่งอิระเสรี’ คือความหมายของมัน
“พวกเรามีชื่อเหมือนกัน แต่ชีวิตของพวกแกดูมีความสุขกว่าฉันเยอะ ก็ดูสิ พวกแกสวยขึ้นทุกวันที่เติบโต แต่ฉันมีแต่จะเหี่ยวลงๆ ”
อยู่ๆ หล่อนก็ชักชวนกุหลาบสนทนาโดยคิดว่ามีแค่ตัวเองกับกุหลาบ กระทั่งได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว จึงหมุนตัวหันไปประสานกับสายตาคมเข้มสีน้ำผึ้งของครูหนุ่มที่กลั้นยิ้มจนหน้าตึง แต่ทำเป็นก้มหน้าก้มตาใช้กรรไกรในมือตัดก้านดอกกุหลาบขาวทีละก้านๆ ราวกับเป็นงานฝีมือ
“ครูเพ็ญให้ฉันเอาลูกพลับมาให้คุณ” รสสุคนธ์เชิดหน้า ยื่นจานลูกพลับให้กลบเกลื่อนความเขินอาย
เขามองพลับที่วางเรียงในจานก่อนมองหน้าหล่อนเหมือนเด็กที่กำลังถูกคนแปลกหน้าล่อลวงด้วยขนม เห็นแล้วก็พ่นลมหายใจ
“ฉันซื้อมาฝากครูเพ็ญ แต่ครูเพ็ญอยากให้คุณทานด้วย”
“คุณทานเถอะ” เขาบอกแล้วตัดก้านกุหลาบต่อ “ผมต้องรีบเอากุหลาบไปส่งลูกค้า”
เพราะไม่อยากให้ครูเพ็ญเสียความตั้งใจที่อุตส่าห์ปอกเปลือกพลับอย่างบรรจง บวกกับความหมั่นไส้เป็นทุนเดิม รสสุคนธ์จึงหยิบชิ้นพลับขึ้นมาแล้วชูขึ้น
“แหมดูสิ ชิ้นโต๊โต สีก็สวย อยากรู้จังว่าจะอร่อยแค่ไหน” ว่าแล้วก็เอาเข้าปาก “โอ้โห หวานกรอบ อร่อยจริงๆ ”
พอได้ยินเสียงถอนลมหายใจ ก็รู้ว่าปฏิบัติการยั่วประสาทประสบความสำเร็จ จึงไม่หยุดแค่ชิ้นแรก หยิบชิ้นต่อมาขึ้นชูอีกครั้งก่อนเอาเข้าปากพร้อมกับทำเสียงเหมือนขึ้นสวรรค์
“โอ๊ย อร่อยอะไรอย่างนี้ กัดแล้วได้ทั้งเนื้อทั้งน้ำฉ่ำๆ หอมไปทั่วปาก”
จากนั้นก็หยิบอีกชิ้น แล้วจะส่งเข้าปากลิ้มรสความกรอบหวาน แต่พลันนั้น หัวใจของหญิงสาวก็กระโจนออกนอกอก เพราะพลับในมือหล่อนถูกเรียวปากหยักเคลื่อนเข้ามากัดหายไปหนึ่งคำโต
“ทำอะไรของคุณ!” รสสุคนธ์แก้มร้อนผ่าว ภาพผิวแก้มขาวของหล่อนแดงแจ๋ยิ่งกว่ากุหลาบในแปลงของเขาผุดขึ้นในหัว
“ก็กินพลับไง อร่อยอย่างที่คุณบอกจริงๆ ”
เขาทำหน้าหน้าซื่อตอบแบบนี้ได้ยังไงกัน “ฉันหมายความว่าถ้าอยากกินก็หยิบเองสิ”
แต่เขาชูสองมือให้เห็นความเปรอะเปื้อน หล่อนจึงพ่นลมหายใจ มองพลับส่วนที่เหลือในมือ แล้วก็ทำฮึดฮัดยื่นส่งให้ “ชิ้นนี้เป็นของคุณแล้ว”
ดวงตาสีน้ำผึ้งไม่ได้มองผลไม้สุกรสหวาน แต่จ้องหล่อนแน่วนิ่ง แล้วค่อยเคลื่อนใบหน้าเข้ามา เผยอปากอ้าช้าๆ เหมือนอยากยั่วหล่อนกลับ แล้วเขาก็ทำสำเร็จเพราะหัวใจหล่อนเต้นแรงเกินทน รสสุคนธ์จึงหันหน้าไปอีกทาง แต่นิ้วที่ยึดชิ้นพลับสั่นจนตัวเองรู้สึกได้
“รีบกินเสียทีได้ไหมเล่า” หล่อนเร่งเร้า ตัวร้อนวูบวาบในตอนลมหายใจอุ่นเป่ารดที่ปลายนิ้วเรียว
“หวาน” เขาว่าแล้วหันไปตัดก้านกุหลาบต่อเหมือนปกติ แต่คนที่ไม่ปกติกำลังยืนหัวใจเต้นรัว
“อีกนานไหมกว่าคุณจะตัดเสร็จ” หล่อนเฉไฉความรู้สึกวูบวาบในอกไปเป็นเรื่องงาน “ฉันอยากคุยกับคุณ มีข้อเสนอดีๆ ให้คุณเอาไปบอกเจ้านาย”
“นาน อย่ารอเลย” ตอบเสียงราบเรียบ “ตัดเสร็จผมก็ต้องเอาส่งลูกค้าที่งานแต่ง กว่าจะกลับก็มืดค่ำ”
“งั้นฉันจะไปกับคุณด้วย” หล่อนไม่ยอมให้วันนี้จบลงไปแบบไม่ได้อะไรเลย “ระหว่างคุณทำงาน เราก็คุยกันได้”
ดวงตาคมของครูหนุ่มเบิกกว้างราวกับได้ยินเรื่องประหลาดที่สุดในชีวิต “คุณล้อผมเล่นใช่ไหม”
“ฉันเป็นคนจริงจังค่ะคุณต้นกล้า ที่ฉันมาหาคุณแทบทุกวันนี่คุณยังไม่รู้อีกหรือว่าฉันจริงจังกับเรื่องนี้มากแค่ไหน แล้วฉันจะได้ทำความรู้จักชาวบ้านแถวนี้ไปด้วยทีเดียว พวกเขาจะได้รู้ว่าคุณรสสุคนธ์ เศรษฐกมลไม่ได้เป็นนายทุนใจร้ายไล่ที่โรงเรียน แต่มีความยุติธรรมพอที่จะยื่นข้อเสนอดีๆ เผื่อว่าครูใหญ่โรงเรียนปลูกปัญญาผู้ดื้อด้านและไม่ยอมรับฟังข้อเสนอใดๆ จะยอมนำสารนี้ไปบอกต่อท่านทีเค มิลเลอร์ผู้ใจบุญปานเทพบุตรให้เข้าใจแล้วยอมตกลงย้ายโรงเรียนออกไป” รสสุคนธ์กล่าวคำสรรเสริญเขาเสียยาวเหยียด จากนั้นก็หยิบพลับเข้าปากกัดดังกร๊อบเยาะเย้ย
เขาส่ายหน้าเหมือนระอาหล่อนเสียเต็มประดา แล้วยกเข่งกุหลาบเดินออกจากแปลง ก่อนทิ้งท้ายประโยคว่า “ก็ตามใจคุณ”
รสสุคนธ์จึงรีบวิ่งตามไปขึ้นนั่งบนส่วนที่พ่วงกับมอเตอร์ไซค์ แล้วส่งยิ้มแป้นแล้นให้ครูหนุ่มอย่างรู้หน้าที่
“หวังว่าคุณคงเคยซ้อนมอเตอร์ไซค์มาบ้าง” เขาส่งหมวกกันน็อกมาให้
“ก็ไม่บ่อยนักหรอกค่ะ แค่เฉพาะเวลารถติด”
คำว่าไม่บ่อยของหล่อนถูกยืนยันด้วยการคาดเข็มขัดหมวกกันน็อกแบบขอไปที ครูหนุ่มเห็นแล้วก็พ่นลมหายใจ จัดการความปลอดภัยให้หญิงสาวใหม่จนมั่นใจดี จากนั้นจึงสตาร์ตเครื่องขับออกจากโรงเรียน
แต่การเคลื่อนตัวของรถมอเตอร์ไซค์เป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้ว่าเป็นที่แรงม้าที่ควรเปลี่ยนเป็นแรงลาแก่ๆ ของมอเตอร์ไซค์รุ่นตกทอดหรือเป็นเพราะผู้ชายที่กุมบังเหียนรถอยากแกล้งให้หล่อนถูกแดดเผากันแน่
“นี่คุณ ขับช้าขนาดนี้ ไม่กลัวกุหลาบเหี่ยวก่อนถึงมือลูกค้าหรือไง”
“ก็ไม่ได้ช้าอะไรนี่ครับ ก้านดอกก็แช่อยู่ในน้ำ”
“ฉันคิดแทนลูกค้าของคุณไง เขาคงอยากให้กุหลาบถึงมือไวๆ ไม่ใช่ได้ไปแล้วดอกเหี่ยว กลีบร่วง คอตก”
“กุหลาบที่ผมปลูกแข็งแรงทุกดอก สดและปลอดสารพิษ ดมได้ปลอดภัย ไม่ใช่กุหลาบเร่งฮอร์โมนที่ตัดแล้วแช่ฟอร์มาลินทั่วไปตามท้องตลาด”
รสสุคนธ์นึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ “อย่างกับคุณปลูกได้เก่งคนเดียวในโลกอย่างนั้นแหละ”
เขาคงคร้านจะตอบโต้ เลยปล่อยหล่อนให้นั่งจ้องมองเส้นผมสีน้ำตาลสวยอันเป็นปริศนาน่าคิดว่าเขามีเชื้อสายของคนชนชาติใด ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะได้ครอบครองดวงตาสีสวยแบบนั้น ยังไม่รวมรูปหน้าคมสันที่ใครเห็นก็ต้องเหลียวมอง คิดถึงตรงนี้ หล่อนก็ตระหนักถึงอดีตของเขาที่ครูชราเผยออกมาให้หล่อนรู้เพียงน้อยนิด
“ทำไมคุณถึงกลับมาเป็นครูใหญ่ที่เมืองไทย”
คำถามไม่ยากเลย แต่เขาใช้เวลานานหลายนาทีกว่าจะตอบ “ผมอยากกลับมาหาครูเพ็ญ อยากกลับมาปลูกกุหลาบให้ครูเพ็ญ”
รสสุคนธ์อมยิ้ม “ถ้าคุณยายฉันยังอยู่ ฉันจะจ้างคุณไปช่วยดูแลสวนของคุณยาย”
“คุณนี่คิดแต่จะใช้เงินหรือครับ ทำไมไม่ทำเองให้ท่านภูมิใจในตัวหลานล่ะ”
หญิงสาวทำเสียงจิ๊บ เขาช่างหาคำพูดมาจิกกัดหล่อนได้ตลอดเวลา “ถ้าการปลูกกุลาบมันมีสูตรสำเร็จที่ใครๆ ก็ปลูกได้ คนสวนอย่างคุณก็คงไม่จำเป็นต้องมีหรอกค่ะ”
ประโยคของรสสุคนธ์จบลงในตอนที่รถมอเตอร์ไซค์หยุดตรงที่สี่แยก ทั้งสองปล่อยให้เสียงจราจรที่หนาแน่นและเสียงของยวดยานเข้ามาแทนที่บทสนทนา กระทั่งสัญญาณไฟแดงสิ้นสุดการนับถอยหลัง
“ไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับใดๆ ในโลกหรอก เพราะถ้ามีจริง ก็คงไม่มีคนล้มเหลวหรือผิดพลาด ความสำเร็จมันมาจากหัวใจของคนที่อดทนทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการต่างหาก” ชายหนุ่มเปรยคำพูดก่อนขับเคลื่อนรถต่อไปเมื่อไฟเปลี่ยนสี
นั่นสินะ รสสุคนธ์ขบขันความคิดตัวเอง เพราะถ้ามีสูตรสำเร็จจริง หล่อนก็แค่เดินตามรอยทางที่บิดาสร้างมาเพื่อส่งต่อให้กับหล่อน แต่ทำไมผลประกอบการถึงถดถอย จนมารดาต้องจับหล่อนแต่งงานกับอิทธิฤทธิ์เพื่อหวังกอบกู้กิจการอันเป็นสูตรสำเร็จของมารดาที่หล่อนไม่อยากให้มันสำเร็จเลย
“วันนี้ลูกค้าของผมจัดงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงานสิบปี เขาอยากมอบดอกกุหลาบให้กันเป็นความหมายของความซื่อสัตย์และอดทนต่อความรักที่มีให้กันและกันมาตลอด”
รสสุคนธ์ยังก้มหน้ามองชิ้นพลับในจานที่ถือติดมือมา จมจ่อมกับความเศร้าที่เกิดขึ้นฉับพลัน จึงไม่ได้รู้สึกอยากฟังเรื่องราวโรแมนติกของใคร หรือไม่สนใจอยากรู้ว่าผู้หญิงคนไหนจะได้กุหลาบกลีบขาวก้านยาวดอกโตสวยส่งกลิ่นหอมหวานเหล่านั้น
“Patience Love”
“อะไรนะคะ”
“ชื่อกุหลาบต้นนี้ครับ มันชื่อ Patience Love”
‘อดทนในความรัก’ อย่างนั้นหรือ หล่อนแปลความหมายในใจ ถึงจะเคยรู้ว่ากุหลาบมีมากมายหลายพันธุ์ หากแต่ไม่ค่อยสนใจอยากรู้จักชื่อของพวกมัน แล้วเจ้ากุหลาบขาวแสนสวยกอนั้นไม่ได้ผ่านสูตรสำเร็จในการปลูกของชายหนุ่มหรอกหรือ
“คุณอดทนมากี่ปี กว่าพวกมันจะออกดอกงดงามให้คุณเห็น” รสสุคนธ์ไม่ได้ตั้งใจเหน็บแนมอะไร แต่อยากรู้ว่านายต้นกล้าคนนี้ผ่านการคว้าน้ำเหลวมากี่ครั้ง จะเหมือนกับที่หล่อนประสบมาหรือไม่
“เท่ากับอายุของจ้อยนั่นแหละครับ”
เสียงของเขาเงียบหายไปทันทีที่ขบวนพาเหรดรถเทรลเลอร์คันใหญ่บรรทุกเหล็กเส้นมากมายวิ่งเข้าสู่สายตา ตามมาติดๆ ด้วยเสียงเพลงผ่านลำโพงดังจากรถบรรทุกดัดแปลงให้เป็นเวทีเคลื่อนที่ของพีอาร์สาว แถลงข่าวถึงความยิ่งใหญ่ของห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ตอนนี้
เป็นความรู้สึกอีกหลักอีเหลื่อที่รสสุคนธ์อยากให้ขบวนรถเหล่านั้นขับผ่านไปไวๆ ไม่ใช่เพราะกระดากอายหากมีใครบนขบวนรถนั้นเป็นหนึ่งในพนักงานคุณากรพร็อพเพอตี้ แต่กระดากในความรู้สึกต่อสารถีหนุ่มตรงหน้า บทสนทนาระหว่างเขาและหล่อนจึงจบลงตั้งแต่นั้น จนกระทั่งถึงบ้านหลังใหญ่ในโครงการจัดสรรหรูติดชายทะเล
“ครูกล้า ทำไมมาช้าจัง” เสียงแหลมเล็กที่หล่อนเริ่มคุ้นชินดังมาแต่ไกล เจ้าจ้อยคู่ปรับวิ่งปรี่เข้ามาหาครูอันเป็นที่รักพร้อมกับการต่อว่าต่อขาน
“กุหลาบตั้งแปลงนะจ้อย ไม่ใช่แค่ต้นสองต้น ตัดกิ่งเสร็จครูก็ออกจากโรงเรียนเลย”
“จริงเร้อ”
หางเสียงสูงๆ นั่นช่างแก่แดดเกินกว่าจะเป็นเด็กประถม ส่วนการมองหล่อนด้วยหางตาก็ยิ่งทำให้รสสุคนธ์เข่นเขี้ยวในใจ ถ้านายต้นกล้าคืออุปสรรคลำดับที่หนึ่งละก็ เจ้าเด็กจ้อยจัดเป็นลำดับที่สอง
“จริงสิ เห็นครูเป็นคนโกหกหรือไงกัน แล้วก็อย่ามองคนด้วยสายตาแบบนั้น ดูไม่น่ารัก”
“ก็ไม่ได้อยากให้ใครมารัก”
ต่อปากต่อคำดีเหลือเกินนะ รสสุคนธ์คิดพลางสะใจเล็กน้อยที่นายต้นกล้าว่ากล่าวศิษย์คนโปรด ถึงสุดท้ายแล้วคนเป็นครูจะจบลงด้วยการถอนหายใจเสียงยาว
“เอาพลับนี่ไปกินกับจ๊ะจ๋า เสร็จแล้วมาช่วยครูจัดช่อดอกไม้” เขาขอจานพลับจากหล่อนยื่นส่งให้เด็กชาย คงหวังให้หล่อนกับจ้อยอยู่ห่างกัน จะได้ไม่เกิดการปะทะวาจาระหว่างผู้ใหญ่และเด็กในงานมงคล แต่รสสุคนธ์ก็ไม่ได้อยากเอาใจใส่กับความรู้สึกของใครมากนัก
“ให้ฉันช่วยไหม ฉันจัดดอกไม้เก่งนะ” ใจจริงก็ไม่ได้อยากอาสาช่วยเหลือ แต่อยากทำให้งานของเขาเสร็จเร็วขึ้นเพื่อให้เขามีเวลาคุยกับหล่อน แล้วงานจัดดอกไม้เป็นงานที่หล่อนถนัด
“คุณน่ะหรือ” ดวงตาคมเข้มของเขาเบิกกว้างจนรสสุคนธ์อยากใช้นิ้วจิ้ม
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ผมไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างให้คุณหรอกนะ”
หล่อนเชิดหน้าพูด “ฉันทำให้ฟรีย่ะ”
“คุณทำดีไม่หวังผลหรือฮะ” เจ้าจ้อยแทรกคำพูด
“สำบัดสำนวนจังนะ ท่าทางจะชอบวิชาภาษาไทย” หล่อนไม่ได้อยากหาเรื่องชวนเจ้าหนูปากดีคุยหรอกนะ แต่รู้อยู่ว่าหล่อนกำลังถูกท้าทาย
“ไม่ได้ชอบวิชาภาษาไทย แต่ชอบวิชาจริยธรรม ครูกล้าสอนเสมอว่าคนเราทำดีต้องไม่หวังผล”
ใบหน้าไร้เดียงสาแต่วาจาเหลือร้ายนัก รสสุคนธ์อดกลั้นความขุ่นไว้ภายใต้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะประดิษฐ์ “น่าปลื้มใจจัง ประเทศเราจะมีอนาคตของชาติดีๆ เพิ่มอีกคนสินะเนี่ย ครูต้นกล้าสอนเก่งจริงๆ ”
“ไม่ใช่เพราะผมสอนเก่งหรอกครับ มันเป็นจิตสำนึกที่ควรมีอยู่แล้ว ผมแค่ค่อยๆ ปลูกฝังลงในความคิดเขา แต่ก็ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของเด็กๆ และสังคมที่แวดล้อมในชีวิตของพวกเขาด้วย” ครูหนุ่มบ่ายเบี่ยงความชอบ
“แล้วทำไมคุณถึงไม่บอกให้นายคุณไปหาที่หาทางที่แวดล้อมด้วยสังคมดีกว่านี้ล่ะคะ” คำพูดของเขาเข้าทางหล่อนทันที “ฉันเห็นว่ารอบๆ โรงเรียนมีแต่ที่รกร้าง ดูแล้วไม่เห็นว่าจะดีเลยสักนิด ถ้าย้ายไปในแหล่งที่เจริญทางสังคมกว่านี้...”
เขาไม่ปล่อยให้หล่อนพูดต่อ “คุณรสสุคนธ์มองไกลไป ผมกำลังหมายถึงสังคมที่ใกล้ชิดกับตัวเด็กเช่นครอบครัว หรือเพื่อนบ้าน และแม้แต่โรงเรียน ดังนั้นถึงโรงเรียนจะย้ายไปอยู่แดนสวรรค์วิมานอะไรก็ตามแต่ ถ้าเขากลับบ้านก็ยังเจอสภาวะแวดล้อมเดิมอยู่ดี”
“ฉันแค่อยากนำเสนอสิ่งดีๆ ให้ก็เท่านั้น และการให้เด็กๆ ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาเรียน นั่นก็จะทำให้พวกเขามีความสุขจนอยากไปโรงเรียนไม่ใช่หรือคะ เพราะสำหรับเด็กบางคนอาจต้องการหนีจากความจริงที่เป็นอยู่ และคิดว่าโรงเรียนคือสวรรค์วิมานมากกว่าบ้าน”
สิ้นคำพูด รสสุคนธ์ก็คว้ากุหลาบสีขาวก้านยาวดอกโตของโรงเรียนปลูกปัญญาเดินไปหาที่สงบเพื่อจัดช่อดอกไม้เจ้าสาว
หล่อนนำกุหลาบขาวแต่ละก้านมาจัดช่อรวมกับดอกไม้ต่างพันธุ์ ใช้ผ้าชีฟองสีม่วงละมุนและผ้าลูกไม้สีขาวมาเสริมความอ่อนหวาน จากนั้นเพิ่มความพิเศษลงไปด้วยการประดิษฐ์การ์ดใบเล็ก ผูกติดกับริบบิ้นสีขาวเขียนด้วยตัวหนังสือภาษาอังกฤษตวัดเส้นสวยงาม
ความภูมิใจในผลงานของรสสุคนธ์ถูกแสดงออกผ่านรอยยิ้มและแววตาของเจ้าภาพหนุ่มใหญ่ที่มอบช่อดอกกุหลาบอันมีชื่อสื่อถึงความหมายตามวลีแก่ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดอีกคนที่อ่อนวัยกว่า
ต้นกล้าแนะนำให้หล่อนรู้จักกับเจ้าภาพชายทั้งสองที่ครองรักกันท่ามกลางความอดทนต่อการถูกกดดันจากสังคมและคนใกล้ชิดอย่างแท้จริง แต่ทั้งคู่ก็ยังยืนอยู่เคียงข้างกันในวันแสนสุขนี้ได้ เห็นแล้วก็นึกสะท้านหัวใจประหลาด คิดไปว่าในชีวิตหล่อนจะได้มีวันชื่นคืนสุขอย่างนี้บ้างไหม
“ครูกล้าบอกว่าคุณเป็นคนจัดช่อกุหลาบน่ารักๆ ให้เรา” เจ้าของงานเดินเข้ามากล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มพร้อมกับคู่รักของเขาในอ้อมแขน “ขอบคุณที่มาร่วมยินดีกับเราสองคน”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เป็นดิฉันมากกว่าที่ต้องขอโทษเพราะเข้ามาร่วมงานโดยไม่ได้รับเชิญ” หล่อนทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแก้ความเคอะเขิน ไม่วายแอบส่งตาค้อนให้ครูหนุ่มที่ยืนทำท่าขบขันด้านหลังคู่รัก
“ครูกล้าเล่าเรื่องคุณให้พวกผมฟังแล้ว”
นี่เขาเที่ยวไปพูดล็อบบี้คนอื่นหาพวกเข้าข้างตัวเองแล้วสิ รสสุคนธ์ของขึ้นทันที แต่ประโยคต่อมาถูกเอ่ย หน้าอกของหล่อนก็พองโตคล้ายมีลูกโป่งลูกใหญ่อัดแน่นภายใน
“คุณเป็นผู้หญิงเก่งจริงๆ ตัวเล็กแค่นี้แต่ทำงานใหญ่ได้”
“เอ่อ...ค่ะ...” หล่อนหาคำพูดตอบกลับไม่ถูก งุนงงกับคำชมที่ถูกป้อนให้โดยไม่รู้ตัว
“ถ้าไม่เป็นการรบกวน เราอยากเชิญคุณรสสุคนธ์เป็นเกียรติเปิดฟลอร์เต้นรำด้วยกันได้ไหม” ฝ่ายชายที่อายุน้อยกว่าคลี่ยิ้มเอ่ยคำชวน
ใจจริงแล้วรสสุคนธ์อยากบอกปัด แต่ความคิดเรื่องสร้างสัมพันธ์อันดีกับผู้อยู่อาศัยแถบนี้ก็รั้งคำปฏิเสธไว้ หล่อนยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นมือไปหวังให้หนึ่งในนั้นยื่นมือของเขามาจับจูงเข้าสู่ลานดนตรีที่เนรมิตอย่างสวยงามด้วยกุหลาบหลากสายพันธุ์ แต่มือบางกลับถูกจับไปโยงใยกับปลายนิ้วเรียวของครูหนุ่ม หัวใจของหญิงสาวจึงเริ่มเต้นผิดจังหวะ
“เอ่อ... คือ...”
“ถ้าคุณไม่อยากเต้นรำกับผม ผมจะบอกพวกเขาให้” ร่างสูงกล่าวเสียงขรึม
แต่รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าสบตาสีสวยพร้อมกับเอ่ยวาจา “แค่เต้นรำกับคุณ ทำไมฉันจะทำไม่ได้”
“อย่าเสแสร้ง ถ้าไม่ได้อยากทำจริง”
“ใครกันที่เสแสร้ง หรือเป็นคุณต่างหากที่ไม่อยากเต้นรำกับฉัน”
ต้นกล้าแค่นหัวเราะ “อยากสิ อยากมาก”
รสสุคนธ์ย่นจมูก “อยากแล้วจะรออะไร รีบพาฉันไปเต้นเสียทีสิ”
“แล้วคุณพร้อมหรือยัง” เขาคลี่ยิ้มกวน
“พร้อมสิ พร้อมมาก” ลากเสียงคำสุดท้ายแล้วก็เชิดหน้า ยอมให้เจ้าของมือหนาจับจูงหล่อนก้าวเข้าสู่ลานสนามหญ้าที่มีคู่เจ้าภาพรวมถึงคู่รักอื่นที่ประคองกันและกัน ล่องลอยไปตามท่วงทำนองของเสียงเพลงบรรเลงที่กำลังขับกล่อมหัวใจ
“ห้ามเหยียบเท้าฉันนะ” รสสุคนธ์เตือนเขาขณะวางมือข้างซ้ายบนบ่ากว้าง ส่วนมือข้างขวาประสานกับฝ่ามือหนา
ทันใดนั้น หัวใจหล่อนก็เกือบกระเด็นออกนอกอกเป็นครั้งที่สองของวัน ในตอนที่มือหนารวบเอวบางเข้าใกล้ แล้วเคลื่อนหน้าเข้ามาพูดกระซิบใกล้ใบหู
“จะเหยียบให้จมดินเลย ระวังตัวให้ดีล่ะ”
ตาบ้าเอ๊ย! หล่อนหมั่นไส้รอยยิ้มยียวนของเขาชะมัด
แต่เมื่อเสียงเพลงเริ่มบรรเลง ร่างบางก็ถูกพาให้เคลื่อนไหวไปตามท่วงทำนอง แช่มช้า อ่อนช้อยและพลิ้วหวาน ทว่ามั่นคงปลอดภัย ในขณะที่เจ้าของมืออุ่นที่ประคองหล่อนนั้นกลับไม่สร้างความรู้สึกครอบครองกักขัง ช่างอัศจรรย์จนรสสุคนธ์เผลอส่งยิ้มในตอนที่เขาจับตัวหล่อนหมุนเป็นวงกลมตามจังหวะดนตรี
“ต้องแอบฝึกกันไว้บ้าง เผื่อเปิดวิชาลีลาศในโรงเรียนปลูกปัญญา” เขาอ่านสายตาหล่อนออก
“คนเป็นครูจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องเลยหรือคะ”
“ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง” ดวงตาคมของเขาจับจ้องหล่อนแน่วนิ่ง “แล้วคนที่เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ นอกจากจัดดอกไม้เก่งแล้ว ต้องเขียนบทกลอนเป็นด้วยหรือครับ”
รสสุคนธ์อมยิ้ม หมุนตัวเป็นวงกลมตามการจับจูงของคู่เต้นก่อนวนกลับมาประสานมือของตนกับฝ่ามืออุ่น “ฉันแค่ชื่นชมดอกไม้กับชอบการอ่านบทกลอน”
มีรอยยิ้มบางระบายบนใบหน้าคมเข้ม ดวงตาของเขาเปล่งแสงเป็นประกาย “ผมเชื่อแล้วล่ะว่าคุณจัดดอกไม้เก่ง แล้วก็บทกลอนของคุณ...มัน...”
เจ้าของเรียวปากหยักหยุดพูดชั่วขณะ คล้ายกับยังมีอีกคำพูดที่เขาอยากเก็บกลั้นไว้ แต่ก็เอ่ยมันออกมาในที่สุด “มัน... ไพเราะมากทีเดียว”
แว่วเสียงเพลงรักในงานสอดประสานกันดีกับน้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่ม รสสุคนธ์จึงนิ่งงันไปชั่ววินาที จดจ้องดวงตาคมที่เหมือนกำลังดูดหล่อนเข้าสู่ใจกลางบ่อน้ำผึ้ง หัวใจหล่อนกำลังเต้น เต้นในจังหวะแปลกประหลาด เต้นในจังหวะที่ไม่ถูกไม่ควร
“หากคุณคิดอย่างที่คุณเขียนออกมา แสดงว่าคุณก็รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าอดทน” ไม่ใช่ปากของเขาที่อยากถ่ายทอดความหมายของคำพูด แต่เป็นดวงตาคู่นี้ต่างหากที่สื่อสารถึงหัวใจคนฟัง
รสสุคนธ์รีบผินตาไปทางคู่เต้นรำที่คลอเคลียกลางสวนประดับไฟระยิบระยับ แต่คล้ายกับฝ่ามือหนาประสานมือหล่อนกระชับแน่นขึ้น ในขณะที่มืออีกข้างก็ยังโอบเอวบางแผ่วเบาไม่ได้ล้ำเกินเส้นความเป็นสุภาพบุรุษ แต่ก็ทำให้เนื้อตัวของหล่อนร้อนผะผ่าว
“ฉันเคยอดทนต่ออะไรมามากมาย แต่ไม่ได้รวมถึงอดทนรอจนกว่าเจ้านายของคุณจะยอมขายที่ให้ฉันหรอกนะคะ”
“งั้นคุณก็ต้องฝึกความอดทนนานขึ้นหน่อย”
ความท้าทายในน้ำเสียงทำให้รสสุคนธ์หันขวับกลับไปสบตา “คุณก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือคะว่าคนของฉันจะเริ่มเข้าพื้นที่แล้ว อีกหน่อยคุณจะฝืนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ แล้วถ้าฉันเสนอเจ้านายคุณว่าจะเป็นธุระหาที่ดินผืนที่เหมาะสมใหม่ แล้วยอมขายต่อให้ด้วยราคาต่ำกว่าที่ดินของโรงเรียน คุณคิดว่าเขาจะตกลงไหม”
บทเพลงจบลงแล้วในตอนนั้น ทุกคนเริ่มก้าวขาเดินออกจากฟลอร์กลางสวน หากแต่หล่อนและเขายังสอดประสานฝ่ามือ จ้องหน้ากันแน่วนิ่งราวกับไม่ได้ยินเสียงอื่นใด
“ฉันกำลังรอคำตอบ”
“เขาไม่ตกลง” ดวงตาคู่นั้นเติมเต็มความหมายของคำพูดชัดเจน เขาปล่อยมือหล่อนแล้วโค้งคำนับให้ก่อนก้าวขาเดินออกจากลานเต้นรำ
“ทำไมคุณต้องทำให้มันเป็นเรื่องยากด้วย คุณทำอย่างกับคุณเป็นทีเค มิลเลอร์เสียเอง บอกมาเถอะว่าคุณอยากให้ฉันจ่ายค่านายหน้าให้คุณใช่ไหมล่ะ ถึงได้ดึงเกมนัก!”
“ผมไม่อยากได้เงินของคุณ แล้วผมก็ไม่ได้ดึงเกม” น้ำเสียงเรียบและแววตาที่มองมาเปลี่ยนแปรไปจากดวงตาของครูหนุ่มที่หล่อนเคยเห็น
“แต่... แต่ฉันพยายามหาทางออกที่ดีที่สุดให้ทั้งสองฝ่ายแล้ว”
“แสดงว่าการย้ายโรงเรียนเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในความคิดของคุณใช่ไหม เท่ากับโรงเรียนปลูกปัญญาไม่มีความสำคัญไปกว่าอาคารจอดรถห้างสรรพสินค้าของคุณเลยอย่างนั้นน่ะสิ”
หล่อนอับจนคำพูด แต่รู้แก่ใจว่าไม่ได้คิดอย่างที่เขากล่าวหา ความสำคัญของหล่อนไม่ได้วัดกันที่ห้างสรรพสินค้าหรือโรงเรียน แต่เป็นความอยู่รอดของคุณากรพร็อพเพอตี้ที่หล่อนก็ไม่ยอมให้มันล้มไป เหมือนกับที่เขากำลังปกป้องโรงเรียนของตัวเอง ทั้งเขาและหล่อนมีเรื่องที่ต้องปกป้องทั้งสิ้น
บทสนทนาจบลงแค่นั้นด้วยความหมางเมิน แตกต่างกับการเต้นรำอันแสนประทับใจในนาทีก่อนหน้า เขาเข้าไปร่ำลาเจ้าของงานที่ฝากคำขอบคุณมาถึงหล่อน พร้อมกับสัญญาว่าจะเป็นลูกค้ารายแรกของห้างสรรพสินค้า ถือว่าการได้มาร่วมงานนี้ไม่เสียเปล่าสำหรับรสสุคนธ์ แต่ใครบางคนอาจเสียความรู้สึกในใจ และหนึ่งในใครบางคนอาจรวมหล่อนอยู่ด้วยก็เป็นได้
หลังงานเลี้ยงเลิกรา รสสุคนธ์เดินตามหลังครูหนุ่มและจ้อยที่อุ้มจ๊ะจ๋าไปขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พ่วง หล่อนเตรียมใจตั้งรับสายตารังเกียจจากเด็กชายไว้อยู่แล้ว แต่น่าแปลกที่เจ้าของดวงตาดวงน้อยดูเศร้าหมอง เอาแต่นั่งกอดน้องตัวเองโดยไม่มีเสียงพูดตลอดทาง ส่วนครูหนุ่มก็ทำตัวเป็นใบ้กระทั่งถึงโรงเรียน
รสสุคนธ์สลัดความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจออก เดินไปยังรถยนต์ส่วนตัวที่จอดริมรั้ว อยากรีบกลับโรงแรมเพื่อล้มตัวลงนอน พักทุกความคิดแล้วรอให้ผ่านคืนนี้ไป
“คุณรสสุคนธ์”
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นรถ หญิงสาวเจ้าของชื่อก็รีบหันกลับไป เห็นร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าประตูโรงเรียน
“ผมอยากรู้ว่ามีอะไรที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจเรื่องไล่ที่โรงเรียนบ้าง” คนพูดสืบเท้าเข้ามาใกล้
“คงมีแค่ความอดทนล่ะมั้งคะ แต่ผลของความอดทนของฉันไม่ได้สวยงามเหมือน Patience Rose ของคุณ”
“คุณแค่เห็นผลตอนที่มันออกดอกแล้ว แต่คุณยังไม่เคยร่วมรู้ว่าผมผ่านเวลาแห่งความเหนื่อยยากมานานแค่ไหน”
“จริงอยู่ที่ฉันไม่รู้ซึ้งถึงความยากลำบากของคุณ แต่ฉันก็รู้ว่าการปลูกกุหลาบมันไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้”
“คุณทำได้” ใต้แสงจันทร์กระจ่าง ดวงตาของเขาก็กระจ่างใส “คุณปลูกกุหลาบที่ต้องใช้ทั้งแรงกายแรงใจ รอให้มันเติบโตผลิดอกให้เชยชมได้”
“ฉัน...ฉันทำไม่ได้หรอก”
“Be patience in love with you is the most of my beautiful time ever after”
แต่แล้วเมื่อวลีที่หล่อนเขียนบนการ์ดประดับช่อดอกไม้เปล่งออกจากริมฝีปากหยัก หัวใจของหล่อนก็สั่นไหวรุนแรง
“การได้อดทนในความรักที่มอบให้แด่คุณ คือห้วงเวลาสวยงามที่สุดนิจนิรันดร์... ถ้าคุณเคยรู้สึกอย่างที่คุณเขียน คุณก็ปลูกกุหลาบได้เช่นเดียวกับผม”
คล้ายกับอากาศรอบกายเบาบางลงจนหล่อนหายใจติดขัด หัวใจเต้นผิดจังหวะยามถูกดวงตาสีน้ำผึ้งป่าเพ่งมอง หล่อนอยากจะกลืนอคติในอดีตลงคอเดี๋ยวนั้น หากแต่ความทุกข์ของหล่อนกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ จะมีเวลาให้หล่อนได้เตรียมใจรับมือนานเท่าไรกัน
“เสียใจค่ะ ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้น” หล่อนพูดแล้วรีบสอดตัวเข้ารถ ปิดประตู สตาร์ตเครื่องยนต์ ขับออกจากตรงนั้นก่อนที่เขาจะได้เห็นความอ่อนไหว
รสสุคนธ์รู้ว่าประโยคที่กล่าวออกไปคือการโป้ปด แล้วก็รู้อีกว่าหัวใจที่ยังเต้นถี่รัวดวงนี้นั้น มันไม่เคยโกหกใครได้เลยแม้แต่ตัวหล่อนเอง