สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๑๐
ความอ่อนล้าของจิตใจไม่อาจถูกเยียวยาให้หายเป็นปลิดทิ้งได้เพียงการนอนหลับแค่ชั่วข้ามคืน แม้จะระลึกไม่ได้ว่าผล็อยหลับไปเมื่อไร แต่รสสุคนธ์ก็รู้สึกเหมือนอดหลับอดนอนมาทั้งคืน
หล่อนรวบรวมแรงกายชันตัวลุกขึ้นจากหมอน หย่อนเท้าเรียวลงจากเตียงพาร่างกายหนักอึ้งเดินออกไปที่ระเบียง ทอดสายตามองฝูงนกสีขาวบินเวียนวนเหนือเกลียวคลื่น แล้วสูดลมหายใจกลิ่นทะเลที่พัดแผ่วเบาพร้อมนำเอาเสียงเพลงลูกทุ่งจากเรือหาปลาที่ลอยล่องบนคลื่นสงบไม่ห่างจากบ้านเรือนหลังเล็กที่ปลูกเรียงรายติดกันตามแนวชายฝั่ง
เป็นภาพชีวิตแสนเรียบง่ายของชาวบ้านธรรมดาสามัญที่ทำให้รสสุคนธ์นึกอิจฉาอยู่ในใจ หากแต่ชีวิตแสนธรรมดาสามัญเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนถ้าศูนย์รวมทุกความทันสมัยคืบคลานเข้ามา
แต่รสสุคนธ์ก็มั่นใจว่าการมาของโครงการคุณากรจะยังสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนมากกว่าโทษ ซึ่งแน่นอนว่าอาจมีส่วนน้อยที่ได้รับผลกระทบ ถ้าเป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดหรือร้านชำร้านเล็ก หล่อนจะจัดให้เช่าพื้นที่ทำร้านค้าในห้างด้วยราคาที่เหมาะสมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางเกษตรของชุมชน เป็นกลยุทธส่งเสริมรายได้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และถ้ามีรายได้จุนเจือค่าใช้จ่ายในครัวเรือนเพียงพอ การศึกษาของลูกหลานก็จะตามมา ขอเพียงนายต้นกล้ารับฟังความคิดของหล่อนสักครั้ง
นับจากคืนนั้น หล่อนก็ไม่ได้ย่างกรายเข้าไปในรั้วโรงเรียนของครูหนุ่มหลายสัปดาห์ เพราะต้องตรวจการลงวัสดุ คุยกับวิศกรก่อสร้าง ทำความคุ้นเคยกับทีมช่าง ทักทายคนงาน รวมถึงการเดินสำรวจชุมชนด้วยการนั่งไปกับรถประชาสัมพันธ์ที่ใช้วิธีเปิดลำโพงขยายเสียงบอกถึงความยิ่งใหญ่ที่กำลังมาเยือน
มีงานต่างๆ ให้หล่อนวุ่นวายดำเนินการตั้งแต่เช้าจรดค่ำวนเวียนไปอย่างเป็นวัฏจักรใหม่ของชีวิต ในบางวันหล่อนอาจได้นอนเฝ้าตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้เป็นออฟฟิศไซต์งานชั่วคราวถ้าแม่บ้านประจำไซต์ไม่มาพบหล่อนนอนฟุบกับโต๊ะก่อนไขกุญแจล็อกประตู
กระทั่งสภาพร่างกายมาถึงจุดเกินกว่าจะขยับลุกขึ้นไปทำงานในเช้าวันใหม่ แต่รายงานแจ้งความคืบหน้าให้กับมิสเตอร์เรมอนด์ยังต้องตรวจทานซ้ำ หล่อนจึงแบกสังขารไปสำนักงานจนได้งานเสร็จสมใจหมาย แล้วถึงกระโซกระเซขับรถกลับโรงแรมด้วยความตั้งใจว่าจะทิ้งตัวบนเตียงโดยไม่อาบน้ำสักคืน
หากแต่ความตั้งใจที่มีนั้นสูญสลายไปในตอนที่ดวงตาเหนื่อยล้าเหลือบเห็นชื่อของสายเรียกเข้าที่ปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์ จึงรีบติดต่อกลับทันที
“ยายหงส์ ฉันคิดว่าเธอจะหายไปจากวงจรชีวิตฉันแล้ว” รสสุคนธ์เปิดบทสนทนาด้วยการประชดประชัน
“อย่าเพิ่งน้อยใจสิ ช่วงหลังฉันก็ยุ่งๆ เหมือนกัน” หญิงสาวปลายทางรีบให้เหตุผล “แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ออกมาหาอะไรดื่มกันหน่อยไหม”
“โธ่ แย่จัง ฉันอยู่ไซต์งาน เหนื่อยจนไม่มีแรงขับเข้าไปหาเธอ” รสสุคนธ์ครวญ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันไปหาก็แล้วกัน อย่าเพิ่งรีบนอนล่ะ แล้วจะขอค้างกับเธอด้วย ไม่ได้นอนคุยกันนานแล้ว”
แพรพรรณรายเป็นผู้ที่สร้างความปรีดาให้ชีวิตหล่อน การได้ใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อนยามหัวใจอ่อนแรงเป็นเรื่องที่ดีราวกับมียาชูกำลัง และถ้าคนๆ นั้นเป็นเพื่อนรักที่เธอสามารถวางความไว้ใจใส่พานให้อย่างแพรพรรณรายด้วยแล้ว ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็จะถ่างตารอ
รสสุคนธ์สั่งเครื่องดื่มและอาหารเพื่อเลี้ยงรับการมาของเพื่อนสาว แล้วใช้เวลาแห่งการรอคอยนั่งชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
ท้องทะเลดำสนิทมีเพียงแสงไฟสีเขียวจากเรือเดินสมุทรส่องประกายไกลลิบตา เหนือขึ้นไปคือเมฆหนาสีแดงอมม่วงที่คลุมแผ่นเต็มแผ่นฟ้า มีลมพัดกระทบดอกเฟื่องฟ้าที่ปลูกระดับในกระถางริมระเบียง นัยว่าพายุลูกใหม่กำลังชักพาลมฝนเข้าฝั่งในอีกไม่กี่วันตามพยากรณ์อากาศ
ไม่นานนัก พนักงานบริการก็นำเครื่องดื่มและอาหารขึ้นมาส่ง มีทั้งสลัดพาสต้าแบบเย็นและเครื่องดื่มรสชาติเข้มของแอลกอฮอล์อย่างคามิคาเซ่ที่เลือกให้เพื่อนสาว ส่วนหล่อนขอเป็นค็อกเทลเมนูใหม่ของโรงแรมที่มีชื่อว่า ‘ฟอลลิงอินเลิฟ’ ที่เสิร์ฟด้วยแก้วใสทรงสูงมีกุหลาบสีขาวเจือสีชมพูอ่อนดอกสวยปักประดับ
สำหรับรสชาตินั้นก็ช่างอัศจรรย์ใจ เพราะมันถูกสรรค์สร้างขึ้นจากนมอัลมอนด์ที่ปั่นกับน้ำแข็งจนเป็นเกร็ดละเอียดแล้วเพิ่มความเข้มด้วยเหล้ากลิ่นกุหลาบหอมหวาน เป็นการผสมผสานที่เข้ากันลงตัวดีจนน่าทึ่ง
เหมือนกันกับเขา...
รสสุคนธ์ชันศอกกับโต๊ะคิดถึงห้วงเวลาที่อยู่ในวงแขนของครูหนุ่ม เขาสามารถแสดงคามอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษกับหล่อนได้ แต่ก็แข็งขืนพูดจากระด้างกับหล่อนได้อีกเหมือนกัน
‘ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนั้นอย่างที่คุณเขียน คุณก็ปลูกกุหลาบได้เช่นเดียวกับผม’ คำพูดของเขาในคืนนั้นยังไม่เคยลบเลือนออกจากหัวได้เลย
แพรพรรณรายมาพร้อมกับวิสกี้ขวดใหญ่ ดูเหมือนว่าเพื่อนสาวของหล่อนเตรียมตัวมาดื่มเต็มที่ แต่พอเห็นเมนูที่รสสุคนธ์สั่งไว้รอท่าก็กล่าวชม
“รู้ใจฉันเสมอเลยนะ”
“ก็มีเพื่อนสนิทกับเขาคนเดียว ไม่ให้รู้ใจได้ยังไงกัน” รสสุคนธ์ยิ้มเป็นปลื้มขณะตักสลัดแบ่งใส่จาน “แต่ก็มีแค่เรื่องเดียวที่ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบแบบไหน”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องสเปกผู้ชายไงล่ะจ๊ะ ฉันไม่เคยเห็นเธอคบกับใครเลยสักคน”
แพรพรรณรายยิ้มบางจิบเครื่องดื่มของตัวเอง “พูดเรื่องเธอดีกว่า เห็นบ่นว่าเหนื่อย นี่มาทำงานในฐานะลูกสาวประธานจริงหรือเปล่า หรือต้องแปลงร่างเป็นคนงานแบกปูนด้วย”
“ดูพูดเข้าสิ” รสสุคนธ์ย่นจมูก “แต่ถึงฉันจะแปลงร่างเป็นคนงานแบกปูนก็เถอะนะ ไม่รู้ว่าจะแบกปูนไปให้เสาเข็มต้นไหน เพราะยังไม่ได้ปักเลยสักต้น”
แพรพรรณรายหัวเราะขบขัน “นี่นายต้นกล้าเหนียวขนาดนั้นเลยหรือ”
“เหนียวยิ่งกว่าผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูป” พูดแล้วก็ตบโต๊ะปัง ยิ่งนึกหน้าของคนในบทสนทนาก็ยิ่งขุ่นใจ “ฉันยื่นข้อเสนอดีๆ ไปตั้งหลายอย่าง ไม่คิดจะรับไปบอกให้เจ้านายตัวเองพิจารณาสักอย่าง ขนาดบอกว่าจะให้ค่านายหน้า เขากลับโกรธฉันเป็นฟืนเป็นไฟ”
“แล้วลองเสนอตัวให้เขาหรือยังล่ะ นายนั่นอาจอยากได้เธอมากกว่าเงิน”
“หงส์ พูดแบบนั้นฉันโกรธนะ ฉันทำงานใช้สมอง ไม่ได้เอาความเป็นผู้หญิงแลกกับของที่อยากได้” คิ้วเรียวทั้งสองของหล่อนขมวดชิดกัน “แล้วนายต้นกล้านั่นก็ระอาใจฉันจะตาย”
“ไม่แน่นะ...” แพรพรรณรายแตะกลีบบางของกุหลาบขาวที่ประดับในแก้วเครื่องดื่ม “เขาอาจแอบชอบเธออยู่ก็ได้ ทั้งสวยทั้งหุ่นดีแบบเธอ ไม่ว่าใคร ถ้าได้อยู่ใกล้เป็นหลงจนถอนตัวไม่ขึ้นทุกคน”
“เว้นพี่อิทไว้คนหนึ่งก็แล้วกัน ให้เขาอยู่ห่างๆ ฉันไว้เป็นดี”
“แต่พอใจจะอยู่ใกล้คนสวนมากกว่าล่ะสิ ชักอยากเจอตัวจริงของนายต้นกล้าขึ้นมาแล้ว” แพรพรรณรายพูดเย้า
“ถ้าอยากเจอ เธอต้องฝ่าด่านบริวารวานรให้ได้ก่อน เจ้าจ้อยน่ะ หวงครูอย่างกับอะไร ทำอย่างกับจงอางหวงไข่ แต่ก็อย่างว่านะ ทั้งโรงเรียนมีเขาเป็นครูแค่คนเดียว”
“มีครูแค่คนเดียว?” เพื่อนสาวถามด้วยแววตาประหลาดใจ “แปลกนะ ถ้าเจ้านายเขาเป็นทีเค มิลเลอร์อย่างที่เธอบอก คนรวยระดับนั้นจะสร้างโรงเรียนที่มีครูแค่คนเดียวทำไม”
“ฉันก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยเจอนายทีเค มิลเลอร์นี่สักครั้ง แต่นอกจากนายต้นกล้าแล้ว ก็มีครูเพ็ญ แต่ไม่ได้สอนอะไร คงเพราะอายุมากแล้วน่ะ อ้อ แล้วก็มีนายคนนั้น คนที่ขยิบตาให้เธอนั่นแหละ เขาไปๆ มาๆ โรงเรียนอยู่พักใหญ่”
แพรพรรณรายฟังพลางยกแก้วกามิกาเซ่ขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นหยิบบรั่นดีขวดเล็กเปิดฝารินผสมกันกับค็อกเทลที่เหลือติดก้นแก้ว ก่อนใช้ส้อมตักสลัดพาสต้าเย็นแบ่งใส่จานของตนกินระหว่างฟังรสสุคนธ์ระบายเรื่องราวต่างๆ
“ผู้ช่วยฉันเคยขอให้ฉันเปลี่ยนวิธีเจรจากับนายต้นกล้า” รสสุคนธ์เริ่มเล่าต่อม้วนเส้นพาสต้าในจาน “ฉันรู้ว่าวิธีที่ว่านั่นหมายถึงอะไร แต่ฉันมีคุณธรรมพอและเชื่อว่านายต้นกล้าจะเข้าใจ แต่เขาแทบไม่ฟังฉันอธิบายเลย วันๆ นอกจากสอนนักเรียน ก็เฝ้าแปลงผัก แปลงกุหลาบ หรือไม่ก็ทำความสะอาดเล้าไก่”
“เธอก็ต้องหาโอกาสเข้าถึงตัวเขาให้มากขึ้น” แพรพรรณรายออกความเห็น
หญิงสาวถอนลมหายใจ “นายนั่นน่ะคุยกับฉันได้ไม่ถึงสิบวินาที ก็เร่าๆ จะเชิญฉันออกจากโรงเรียนแล้ว”
“เธอก็หาข้ออ้างอื่นยื้อเวลาอยู่ต่อก็ได้นี่นา เช่นมาซื้อต้นกุหลาบไปตบแต่งโครงการอื่น หรือไม่ก็ไปบริจาคสมุดดินสอให้โรงเรียน เผื่อว่าเขาจะยอมเจียดเวลาคุยเพราะความเกรงใจ”
หล่อนก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่จากที่สัมผัสกับครูหนุ่ม เขาไม่ใช่คนที่เห็นแก่ได้ของใคร เพราะเขาไม่เคยแลจำนวนหลักบนเช็คที่หล่อนเสนอให้มากกว่ามูลค่าที่ดิน
“ไว้ฉันจะลองดู” แต่ไม่ก็อยากต่อต้านความเห็น จึงเปลี่ยนเรื่องคุยที่รื่นรมย์กว่าเรื่องงาน “ถ้าเสื้อผ้าซีซันใหม่ของเธอเปิดตัวเมื่อไร ห้ามลืมเรียกฉันไปร่วมแสดงความยินดีเด็ดขาดนะ”
“รอบนี้คงจัดไม่ใหญ่นัก ซีซันที่แล้วฉันลงทุนไปเยอะ แต่ผลตอบรับไม่ดี มีปัญหาให้แก้ทุกวัน”
แพรพรรณรายพูดเกี่ยวกับงานของตัวเองด้วยหน้าตาเรียบเฉยทั้งที่ควรจะเคร่งเครียดกว่า หล่อนได้ยินมาว่าปัญหาที่บอกนั้นคือคุณภาพเสื้อผ้าไม่ได้มาตรฐานสมราคา ยิ่งมีการแพร่กระจายของข่าวจากลูกค้ารายหนึ่งที่เป็นเจ้าของบริษัทสื่อด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของร้านเสื่อมเสียบานปลาย
หากทว่าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านี้กลับไม่ได้แสดงอาการท้อแท้ ก็เพราะแพรพรรณรายเป็นคนแบบนี้ รสสุคนธ์จึงเลื่อมใสและให้ความนับถือในฐานะสาวแกร่งนอกเหนือจากความจริงใจอย่างที่เพื่อนมีให้กัน
“ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย ก็บอกได้นะ” รสสุคนธ์กล่าวด้วยความตั้งใจจริง เพื่อเป็นการตอบแทนมิตรภาพที่ดีที่สุด
“เธอดูแลปัญหานายต้นกล้าของเธอเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”
แต่คำตอบของเพื่อนสาวทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนถูกกันออกจากมิตรภาพ เกือบทุกครั้งที่แพรพรรณรายเล่นบทเป็นผู้ฟัง น้อยครั้งที่จะออกความเห็นหรือพูดแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผย และหลายครั้งที่รสสุคนธ์ไม่เคยรู้เลยว่าแพรพรรณรายมีเรื่องทุกข์ใจอะไรบ้าง แต่หากการไม่ก้าวก่ายเป็นสิ่งที่แพรพรรณรายต้องการ รสสุคนธ์ก็จะทำ
จานอาหารและแก้วค็อกเทลเปล่าถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ หญิงสาวทั้งสองเปลี่ยนทำเลสนทนามาที่เตียง รสสุคนธ์นอนเล่าเรื่องต่างๆ ที่เธอประสบ โดยที่แพรพรรณรายนั่งพิงหมอนจิบวิสกีฟังเงียบๆ ทำราวกับว่าคำพูดของหล่อนเป็นเสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ไม่มีวันหยุด
กระทั่งความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาเยือน ไม่ช้าไม่นาน เครื่องเล่นแผ่นเสียงสาวก็ผล็อยหลับไป และฟื้นตัวขึ้นมาในเช้าวันใหม่ หากแต่บนเตียงหนานุ่มนั้น มีเพียงหล่อนคนเดียวที่ครอบครอง
‘ขอตัวกลับก่อน มีเรื่องด่วน ขอโทษที่ไม่ได้อยู่กินอาหารเช้าด้วย’
รสสุคนธ์อ่านข้อความสั้นๆ บนกระดาษแผ่นจิ๋วที่ถูกวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วเอนหลังหนุนหมอนนุ่มอีกครั้ง อยากฝังร่างเหนื่อยล้าของตัวเองบนที่นอน แต่เพราะงานที่คั่งค้างทำให้หล่อนต้องฮึดดันตัวเองไป อาบน้ำแล้วผลัดเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์ม เลือกสวมรองเท้าผ้าใบเตรียมตัวไปไซต์งาน คว้ากระเป๋ากับโน้ตบุ๊คแล้วกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่กุหลาบขาวในแก้วเปล่าก็เรียกสายตาให้หยุดมองจนต้องเดินวกกลับไปคว้าดอกไม้กลีบงามหย่อนในกระเป๋าสะพาย
ในตอนที่รสสุคนธ์เดินทางมาถึงไซต์งาน เจ้าหน้าที่และคนงานได้เริ่มต้นทำงานที่ตนได้รับมอบหมายกันแล้ว แต่หล่อนไม่เห็นผู้ช่วยร่างท้วม พอถามจากธุรการสาวประจำไซต์ก็ได้ความว่ายังไม่กลับมาจากสำนักงานใหญ่
การที่ผู้ช่วยของหล่อนจะไปไหนมาไหนนั้น ถ้าเป็นเรื่องงาน หล่อนปล่อยให้เขาทำได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้างานนั้นเป็นคำสั่งจากผู้ใหญ่ในเมือง รสสุคนธ์จึงต้องไต่ถามจนธุรการสาวจนได้ความว่าผู้ที่เรียกคนของหล่อนเข้าไปนั้นคืออิทธิฤทธิ์นั่นเอง
คงเป็นภาวะจำยอมที่ไม่ว่าใครก็คงไม่อาจขัดคำสั่ง รสสุคนธ์จึงปล่อยให้ธุรการสาวทำงานของตน ส่วนตัวหล่อนเองก็ต้องเริ่มต้นทำหน้าที่เช่นกัน รสสุคนธ์ค่อนข้างโล่งใจเมื่อตรวจกำหนดการเข้าเคลียร์พื้นที่แล้วเห็นว่าสามารถเริ่มจากส่วนที่ห่างชุมชนก่อน เท่ากับยังมีเวลาให้หล่อนและครูใหญ่โรงเรียนปลูกปัญญาตั้งเวทีเจรจากันอีกหลายเดือน และมันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่เพราะในท้ายรายงานนนั้นมีการลงชื่อรับรองของกรรมการผู้จัดการใหญ่
“คุณโรสคะ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาร้องเรียนเรื่องเสียงดังค่ะ”
คำพูดของธุรการสาวทำให้หล่อนละสายตาจากรายงานเลิกคิ้วด้วยความสงสัย หยิบกำหนดการมาอ่านซ้ำพร้อมถามกลับไปว่า “ชาวบ้านกลุ่มไหน”
“กลุ่มทางฝั่งตอนใต้ของโครงการค่ะ เขาบอกว่าเมื่อคืนคนงานของเรากินเหล้ากันแล้วเมามายส่งเสียงดัง”
รสสุคนธ์ผ่อนลมหายใจ มองแผนที่โครงการแล้วจึงรู้ว่าบ้านพักคนงานสร้างอยู่ติดกับชุมชนประมงชายฝั่ง หล่อนม้วนแผนที่แล้วเดินตามธุรการออกไปเพื่อพบกับตัวแทนชุมชนเป็นชายร่างใหญ่ผิวกรำแดดสวมใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินเก่าซีดกับกางเกงขาก๊วยห้าส่วน
“คนงานของคุณตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง รบกวนเวลานอนของพวกผม” ประโยคแรกที่หล่อนได้ยินคือคำว่ากล่าว หาใช่คำทักทายตามประสาคนที่เพิ่งเห็นหน้าค่าตาครั้งแรก
“ขออภัยที่คนของดิฉันสร้างความไม่พอใจให้ ดิฉันจะรีบตักเตือนพวกเขาทันที” รสสุคนธ์ตอบกลับด้วยวาจาและกิริยาสุภาพ
“ไม่อยากให้แค่เตือน แต่อยากให้ย้ายออกไป”
หนึ่งในชาวบ้านริมทะเลเรียกร้องในสิ่งที่ทำให้หล่อนลำบากใจ แต่ต้องทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ “รอดูสักพักก่อนได้ไหมคะ ถ้าฉันเตือนพวกเขาแล้วยังไม่เปลี่ยนแปลง เราค่อย...”
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ต้องลองไปนอนที่บ้านพวกเราแล้วล่ะ จะได้รู้ว่าเปลี่ยนจริงไม่จริง คุณอยู่แต่ในโรงแรมหรู ไม่ได้กินนอนที่เดียวกับเรา จะรู้ได้ยังไงว่าเราเดือดร้อนจริง”
“ได้ค่ะ ฉันจะลองไปพักที่บ้านพวกคุณคืนนี้” น้ำเสียงกับแววตาตั้งมั่นของหญิงสาวเพียงพอแล้วที่จะสร้างความพอใจแล้วยอมกลับไป
“คุณโรสจะไปนอนบ้านพวกเขาจริงหรือคะ” สีหน้าของธุรการสาวแสดงถึงความกังวล
“พูดแล้วก็ต้องไป”
รสสุคนธ์ให้คำตอบ แล้วกลับไปทำงานจนบ่ายแก่ จากนั้นก็กลับโรงแรมเพื่อจัดเก็บเสื้อสำหรับค้างอ้างแรมในบ้านชาวประมงหนึ่งคืน แต่ในตอนที่หล่อนเดินออกจากลิฟต์ ก็ประจันกับร่างสูงของครูหนุ่มที่หอบหิ้วกุหลาบขาวสีชมพูเหลือบดอกกลมโตสวยช่อใหญ่เข้ามา
“สวัสดีค่ะ” หล่อนเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“สวัสดีครับ” เขาก็ทักกลับอย่างเสียมิได้
“วันนี้สมุนทโมนไม่มาด้วยหรือคะ”
ต้นกล้าส่ายหน้า “จ๊ะจ๋ามีไข้ครับ จ้อยก็เลยต้องอยู่เฝ้าไข้”
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน นึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องไห้กระจองอแงตามพี่ชายตลอดเวลา “เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“เป็นไข้ต่ำมาสองสามวันครับ”
“แล้วทำไมคุณมาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่พาจ๊ะจ๋าไปหาหมอ”
ร่างสูงพ่นลมหายใจแรง “ส่งกุหลาบเสร็จ ผมก็จะพาไป”
ที่เขาพูดนั่นคือกุหลาบเต็มคันมอเตอร์ไซค์พ่วงเชียวนะ “เรื่องเจ็บเรื่องไข้ของเด็กมันสำคัญกว่าการส่งกุหลาบหาเงินของคุณมากหรือไง”
“ไม่ได้สำคัญกว่าแน่นอน” เขาพูดเสียงขุ่น
“ไม่สำคัญกว่าแล้วทำไมไม่พาไปหาหมอตอนนี้เลยล่ะคะ จะรออะไรล่ะ”
“ผมมีธุระด่วนต้องทำให้เสร็จด้วย”
“ถ้าธุระของคุณด่วนขนาดปล่อยเด็กเป็นไข้นอนซม ก็เชิญคุณไปทำธุระของคุณให้สบายใจไปเลย ฉันจะเป็นคนพาจ๊ะจ๋าไปหาหมอเอง!” รสสุคนธ์ฉุนจัดจนเผลอขึ้นเสียงใส่ พอเห็นแววความประหลาดใจบนใบหน้าคมเข้มหล่อนก็รู้ว่าพูดแรงไป จึงรีบหิ้วกระเป๋าใส่เสื้อผ้าก้าวขาเดินออกจากตรงนั้น
“คุณรสสุคนธ์” แต่เขาเรียกเธอไล่หลัง “ผมไม่ได้เห็นการส่งกุหลาบหรือธุระสำคัญกว่าจ๊ะจ๋า แต่ครูเพ็ญก็อยู่ ผมไม่ได้ทิ้งจ้อยให้อยู่กับน้องตามลำพัง”
“จริงๆ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันหรอก แต่ฉันเคยถูกพ่อแม่ที่ติดงานเลี้ยงลูกค้าทิ้งให้อยู่กับพี่เลี้ยงตอนเป็นไข้สูง กว่าพี่เลี้ยงจะรู้ว่าต้องโทรหารถฉุกเฉิน ฉันก็ชักตาค้างไปหลายนาที มันก็เลยทำให้ฉันคิดถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก...” หล่อนสูดลมหายใจเข้า เก็บความหลังวัยเยาว์แสนน่าน้อยใจไว้ก่อน “ฉันจะพาจ๊ะจ๋าไปหาหมอแทนคุณก็แล้วกัน ถึงครูเพ็ญจะอยู่ด้วย แต่ถ้ามีเรื่องด่วนอะไร ครูเพ็ญคงขับรถไม่ได้ใช่ไหมคะ”
ปากหยักได้รูปเม้มเป็นเส้นตรง ในดวงตาเขามีประกายวูบไหว “ขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี เอาเป็นว่าผมฝากคุณดูแลจ๊ะจ๋าด้วยก็แล้วกัน ขอบคุณมากนะครับ”
รสสุคนธ์คลี่ยิ้ม “เก็บคำขอบคุณของคุณไว้ก่อนเถอะค่ะ ฉันจะใช้มันแลกเป็นอย่างอื่น”
คิ้วเข้มของของครูหนุ่มขมวดมุ่นทันที เห็นแล้วก็ทำให้หล่อนหัวเราะขำ “ได้โปรดอย่าทำหน้าเครียดใส่ฉันแบบนั้นนะคะ ถึงฉันจะอยากให้โรงเรียนปลูกปัญญาย้ายออกพรุ่งนี้ แต่ฉันไม่ใจร้ายขนาดแลกกับชีวิตเด็กหรอกค่ะ”
พูดแล้วเอานิ้วเรียวแหวกหว่างคิ้วที่ย่นยู่ของเขาให้ออกจากกัน ทว่าฉับพลัน วินาทีนั้นเขารวบนิ้วหล่อนไว้ในกำมือแน่นแล้วจ้องตานิ่ง หายใจแรงดูน่ากลัว
“คุณต้นกล้า...”
เหมือนเขาได้สติคืนมา จึงรีบปล่อยนิ้วเรียวแล้วสอดมือของตนเข้ากระเป๋ากางเกง “ผมไม่มีของมีค่ามากมายพอจะแลกคำขอบคุณของคุณได้หรอก”
เขากล่าวเสียงเบาแล้วหมุนตัวเดินเข้าโรงแรมไป ปล่อยให้หัวใจหล่อนยังคงเต้นแรง ปลายนิ้วก็ยังคงอุ่นเหมือนยังถูกกอบกุมในมือหนา แต่ใบหน้าของหล่อนเย็นเยียบเพราะสายลมเจือกลิ่นฝนกำลังพัดโบกโบย