สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๑๑
อาการป่วยของจ๊ะจ๋าไม่มีอะไรน่ากังวลมากนัก แค่ให้กินยาและเช็ดตัวเมื่อมีไข้ก็ทำให้ไข้ลดลง และตอนนี้คุณเธอก็หัวเราะร่า ส่งเสียงจ๊ะๆ จ๋าๆ สมกับชื่อที่ถูกตั้ง รสสุคนธ์จึงเห็นว่าได้เวลาที่ต้องไปปฏิบัติการพิสูจน์ความจริงเรื่องคนงานก่อสร้างส่งเสียงก่อกวน
“ขอบคุณมากนะคะคุณโรส” ครูชรากล่าวคำขอบคุณด้วยใบหน้าซาบซึ้ง “ถ้าคุณโรสไม่รีบ ก็อยู่รอทานข้าวเย็นด้วยกันก่อน ต้นกล้าน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”
“ไม่เป็นไรค่ะ” รสสุคนธ์ปฏิเสธด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“เขาไม่ลดตัวลงมากินข้าวกับเราหรอกครู” จ้อยพูดแทรกบทสนทนาของผู้ใหญ่อย่างไม่รู้จักมารยาท ครูเพ็ญจึงส่งตาเขียวให้ แล้วต่อด้วยคำสั่งสอนหนึ่งชุด
“จ้อยเอ๋ย เขาให้น้ำใจเรา เราก็ตอบแทนเขากลับด้วยน้ำใจ ไม่ได้เกี่ยวว่าจะสูงต่ำหรือฐานะแตกต่างกัน แต่มันอยู่ที่การสำนึกรู้บุญคุณ”
เจ้าจ้อยเบ้ปากทำเมิน ครูชราจึงส่ายหน้าหันมาขอโทษขอโพยกับเธอยกใหญ่ แต่หล่อนไม่อยากถือสา แค่ถูกเด็กประถมไม่ชอบหน้า ก็ใช่ว่าหล่อนจะต้องเก็บมาคิดให้เคืองขุ่น รสสุคนธ์จึงยกมือประนมไหว้ แล้วเดินออกจากห้องพักของครูเพ็ญ พอดีกันกับที่ครูหนุ่มนำรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคู่ชีพเข้าจอดหน้ากรงไก่
“คุณหมอว่าไงบ้างครับ” เขาเห็นหน้าหล่อนก็ถามทันที
“จ๊ะจ๋าเป็นส่าไข้ค่ะ คุณหมอจ่ายยาลดไข้ แล้วก็ให้เช็ดตัว สักพักก็น่าจะหายดี แต่ถ้าจ๊ะจ๋ากลับมามีไข้ขึ้นสูง ต้องพาไปเจาะเลือดหาเชื้อไข้เลือดออก”
รสสุคนธ์เข้าไปรายงาน มองผู้ชายร่างสูงยกกระสอบอาหารไก่กับเข่งที่มีปลาทะเลตัวใหญ่สองตัวนอนตาใสแทนที่ดอกกุหลาบที่เขาใส่เมื่อช่วงเย็น
“แล้วค่ารักษาเท่าไรครับ” มือหนาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์
“เก็บเงินคุณไว้เถอะ ฉันบอกแล้วไงว่าจะขอแลกคำขอบคุณเป็นอย่างอื่น”
“ผมไม่อยากติดหนี้ใครนาน คุณบอกมาเถอะว่าคุณจะเอาอะไรแลกค่าหมอ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกฉันได้ไหมว่า วันนี้คุณขายกุหลาบได้เงินมาเท่าไร”
“คุณจะรู้ไปทำไม” คิ้วเข้มเลิกขึ้นทันที
“ฉันจะได้ช่วยคุณคำนวณไงว่าถ้าเกิดฉันอยากเปลี่ยนใจให้คุณจ่ายค่าหมอเป็นเงิน คุณต้องขายกุหลาบกี่ดอกหรือไม่ก็ขายไข่กี่ฟอง อ้อ... แล้วก็ต้องหักค่าปลาตัวบิ๊กเบิ้มที่คุณซื้อมาเป็นกับข้าวเย็นด้วยสินะ” รสสุคนธ์คิดให้เสร็จสรรพ
ชายหนุ่มเอียงคอมอง มีรอยยิ้มบางระบายบนใบหน้า “ก็ไม่ได้มากมายหรอกครับ แล้วไข่พวกนี้ ผมก็ไม่ได้มีไว้ขายแต่เอาไว้เป็นอาหารที่โรงเรียน เว้นแต่ถ้ามีเยอะก็แบ่งให้เด็กๆ เอาไปขายสร้างรายได้บ้าง ส่วนปลาตัวบิ๊กเบิ้มนั่น แม่นักเรียนที่เป็นชาวประมงเขาแบ่งให้ผมมา”
“ชาวประมง?” รสสุคนธ์เลิกคิ้ว “ชาวประมงที่ปลูกบ้านติดชายฝั่งทะเลน่ะหรือคะ”
“แล้วคุณจะให้ชาวประมงปลูกบ้านติดชายเขาหรือครับ”
หล่อนย่นจมูกใส่ “ฉันกำลังมีปัญหากับพวกเขา”
“กับพวกที่ปลูกบ้านติดชายเขา?”
กวนจริงเชียว! “กับพวกชาวประมงที่ปลูกบ้านติดชายฝั่งทะเล”
“แล้วคุณไปมีปัญหาอะไรกับพวกเขาล่ะครับ พวกเขาเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่เชียวนะ” ครูหนุ่มว่าพลางยกเข่งใส่ปลา ตั้งท่าจะเดินกลับเข้าในตัวโรงเรียน
“พวกเขายกทัพไปร้องเรียนว่าคนงานของฉันทำเสียงเอะอะรบกวน แล้วขอให้ฉันย้ายบ้านพักคนงานไปสร้างที่อื่น” รสสุคนธ์บอกพลางสับขาเดินตามครูหนุ่มเข้าโรงครัว
“คุณก็ทำตามที่เขาขอสิครับ” เขาวางปลาบนเขียงแล้วหันไปหยิบมีดปลายคมออกจากลิ้นชัก เช็ดด้วยผ้าแห้งแล้วเฉือนลงบนชิ้นปลาดูคล่องแคล่วไม่ต่างกับตอนที่เขาใช้กรรไกรตัดกิ่ง
“คุณก็รู้นี่ว่าฉันทำไม่ได้”
ครูหนุ่มส่ายหน้าพลางยกยิ้มที่มุมปาก เอ่ยถามกลับขณะก้มหน้าจัดการกับชิ้นปลา “แล้วคุณจะทำยังไง”
“ยังไม่รู้ แต่คืนนี้ ฉันจะต้องไปค้างบ้านใครสักคนของพวกเขา”
“ค้าง?” เขาหยุดมือค้าง แล้วเงยหน้ามองทันที
“ใช่...ค้าง... ซึ่งมันอาจทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับชาวบ้านดีขึ้นก็เป็นได้ เป็นการเปลี่ยนศัตรูให้เป็นพันธมิตร”
หล่อนพูดด้วยใบหน้ามาดมั่นราวกับลืมไปแล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคืออุปสรรคความสำเร็จตัวสำคัญ ทว่าครูหนุ่มก็คล้ายกับไม่ได้สนใจ เขาก้มหน้าก้มตาเตรียมอาหารเย็นของตนต่อ เห็นแล้วก็ให้นึกหมั่นไส้จนลอบย่นจมูกใส่ แต่พอมองปลาตาใสตัวใหญ่ที่เขากำลังจะใช้มันเป็นอาหารเย็น ก็เกิดความคิดบางอย่างแล่นผ่านหัว
“จริงสิ คุณได้ปลามาจากแม่ของนักเรียนใช่ไหม แนะนำเขาให้ฉันได้หรือเปล่า ฉันอาจไปขอค้างบ้านเขาคนนั้น”
ต้นกล้าไม่ตอบแต่รสสุคนธ์รู้ว่าเขาได้ยิน จึงอดทนรอจนชิ้นปลาถูกบั้งลงทอดในน้ำมันร้อน ส่งกลิ่นหอมยั่วยวน จนหล่อนรู้สึกว่าการอดกลั้นความอยากอาหารทรมานมากกว่าการรอคำตอบจากครูหนุ่ม
“ผมจะพาคุณไปแนะนำกับเขาก็ได้ แต่คุณต้องช่วยผมทำอาหารอีกจาน” แต่แล้วในที่สุด เขาก็ให้คำตอบน่าพึงใจห้อยท้ายไว้ด้วยข้อแม้
“ด้วยความยินดี” รสสุคนธ์ยิ้มรับ “จะให้ฉันทำอะไร”
“ไข่เจียว”
“ไข่เจียวเนี่ยนะ” คิ้วเรียวงามเลิกขึ้น
“ผมอยากให้คุณทำไข่เจียว” เขายังยืนยันเสียงดังฟังชัด “ด้วยไข่ของแม่ไก่ที่โรงเรียนเลี้ยงเอง เพื่อเอาแลกกับปลาที่เขาให้ผมมาวันนี้”
รสสุคนธ์นึกค้านเต็มที่ เพราะแค่ไข่เจียวจะเพียงพอกับการขอค้างอ้างแรมได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นการจะดึงใจให้พวกเขาอยู่ข้างหล่อนได้ก็ต้องแสดงน้ำใจมากกว่านี้ หญิงสาวจึงไม่สนใจความคิดของครูหนุ่ม ยกโทรศัพท์มือถือสั่งอาหารหลากหลายเมนูจากโรงแรมไว้ล่วงหน้า
แม้เขาจะส่งแววตาไม่พอใจมาให้ แต่หล่อนไม่ได้ทำผิดประเพณี แถมเลี้ยงอาหารเจ้าบ้านให้อิ่มหมีพีมันสิจะเป็นการดี กระนั้นก็อยากแสดงฝีมือทำอาหารให้เขาเห็น ถึงจะเป็นแค่ไข่เจียวธรรมดาก็เถอะ
“ลองมาดูกันค่ะว่า ไข่จากแม่ไก่ตัวอวบอ้วนของคุณจะรสชาติดีแค่ไหน” ว่าแล้วหันไปคว้าไข่ไก่ที่วางซ้อนจากตะกร้าก่อนส่งยิ้มท้าทาย จากนั้นก็วาดฝีไม้ลายมือคล่องแคล่วเรียกสายตาของครูหนุ่มที่ใช้เตาข้างๆ ให้หันมามองพร้อมรอยยิ้มบ่อยครั้ง
ไข่เจียวฟูนุ่มน่ากินของหล่อนเสร็จทันพอๆ กับอาหารจานอื่นที่ครูหนุ่มทำอันได้แก่ปลาทอดสีเหลืองทอง ผัดผักปลอดสารพิษ และต้มยำหัวปลา
“ไข่เจียวของคุณโรสน่าทานจริงๆ ” พอได้ฟังคำชมของครูเพ็ญ หล่อนก็ยิ้มแก้มปริ หันไปส่งยิ้มเย้ยครูหนุ่ม
“ผมขอออกไปธุระกับคุณรสสุคนธ์” เขาบอกสมาชิก แล้วหยิบถุงอาหารทั้งหลายแหล่ที่โรงแรมนำมาส่งให้กับกล่องใส่ไข่เจียวฝีมือคุณรสสุคนธ์ ส่วนกล่องขนมเค้กหล่อนเป็นผู้รับผิดชอบเอง
“อ้าว ไม่กินข้าวกันก่อนหรือ มาๆ คุณรสสุคนธ์มาร่วมโต๊ะกันก่อนสิคะ” ครูเพ็ญลุกขึ้นกวักมือเรียก
“ไม่ดีกว่าค่ะ เชิญครูเพ็ญทานได้เลย ช่วยชิมไข่เจียวให้ด้วยนะคะว่าอร่อยถูกปากหรือเปล่า” หล่อนปฏิเสธไมตรีด้วยรอยยิ้ม “ดิฉันขอยืมตัวคุณต้นกล้าไปสักครู่นะคะ”
จากนั้นเดินไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของครูหนุ่ม ที่เปลี่ยนหน้าที่เป็นสารถีพาหล่อนไปปฏิบัติภารกิจเปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร
จนมาถึงหน้าบ้านไม้หลังหนึ่งท่ามกลางหลายหลังที่ปลูกล้ำน่านน้ำเรียงรายตามแนวสะพานปลา ทันทีที่ต้นกล้าบิดกุญแจดับเครื่อง คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงก็โผล่หน้าออกมากล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาทางหล่อนกลับแฝงความขุ่นข้องหมองใจไว้เต็มเปี่ยม
“อ้าวครูกล้า ปลาไม่อร่อยหรือถึงได้ขี่รถมาประท้วงถึงที่นี่” หญิงสาวร่างใหญ่ส่งเสียงทักทาย ขณะเดินออกจากบ้านไม้ริมทะเลที่เขาเดินนำหล่อนเข้าไป
“ปลาบ้านเราอร่อยทุกตัวครับพี่แพร้ว”
เขาช่างสรรหาคำเยินยอมาพูดได้น่าหมั่นไส้ หากแต่รสสุคนธ์ต้องเก็บใบหน้าให้นิ่งเรียบแล้วประนมมือก้มหัวกล่าวคำทักทายคนที่ครูหนุ่มเรียกว่าพี่แพร้ว
“สวัสดีค่ะ ดิฉันรสสุคนธ์”
“อ้อ... สวัสดีค่ะ”
หญิงผู้นั้นยิ้มค้างมองราวกับไม่รู้มาก่อนว่าหล่อนยืนอยู่ตรงนั้น รสสุคนธ์ไม่อยากเปิดช่องว่างที่เพิ่งฉกได้จากต้นกล้า จึงแนะนำตัวเองให้ละเอียดมากขึ้น
“ฉันเป็นเจ้าของโครงการห้างสรรพสินค้าที่กำลังก่อสร้างข้างๆ ชุมชนของคุณ”
“อ้อ...”
“มีคนของชุมชนไปร้องเรียนว่าคนงานของฉันส่งเสียงดังสร้างความรำคาญให้พวกคุณยามวิกาล”
สาวใหญ่พยักหน้า ปรายตามองครูหนุ่มก่อนกลับมามองหล่อนอีกครั้ง
“คนหนึ่งในพวกคุณขอให้ฉันมาลองค้างที่ชุมชนเพื่อยืนยันด้วยตัวเองว่าพวกเขาพูดจริง ฉันจึงจะมารบกวน หากคุณไม่รังเกียจ จะขอค้างที่บ้านคุณสักคืน”
รสสุคนธ์มั่นใจว่าตัวเองใช้ภาษาไม่ยาก ฟังเข้าใจง่ายที่สุดแล้ว แต่ไร้เสียงใดๆ ตอบกลับ แม้การพยักหน้าเออออก็ไม่มี ดวงตาของผู้ฟังแสนเรียบนิ่งและใสเหมือนน้ำจากเครื่องกรองชั้นดี
“คุณรสสุคนธ์เขาเล่าให้ผมฟังเรื่องเสียงเอะอะของคนงานน่ะครับ แล้วเขาก็อยากพิสูจน์ว่าคนงานก่อความรำคาญจริงหรือเปล่า ผมเลยแนะนำให้มาพักที่บ้านพี่แพร้ว และก็ไม่ได้มามือเปล่า คุณรสสุคนธ์เอาอาหารเย็นมาเป็นของฝากแทนคำขอบคุณ ไม่รู้ว่าพี่แพร้วสะดวกไหม”
ได้ยินแล้ว นางแพร้วก็ยิ้มกว้างจนเกือบเห็นฟันทุกซี่ แล้วยื่นมือมาหยิบถุงอาหารไปจากครูหนุ่ม “ได้สิ ถ้าครูกล้าฝากมา ต่อให้เป็นคนจร ฉันก็จะให้ที่หลับที่นอน”
รสสุคนธ์รู้สึกขัดใจพิลึกในคำพูดของเจ้าบ้าน แต่หล่อนจำต้องเก็บความรู้สึกภายใต้รอยยิ้มที่บรรจงปั้นให้ออกมาเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับน้ำเสียงที่ตอบกลับไป
“ขอบคุณมากค่ะ”
สาวใหญ่พยักหน้าหงึกๆ และหมุนตัวเดินเข้าบ้าน ส่งเสียงประกาศให้สมาชิกรู้ถึงการมาเยือนของแขก “เผ่า มุก ครูกล้ามาแน่ะ”
“คุณอย่าไปคิดมากตามที่พี่แพร้วเขาพูด” ต้นกล้ากระซิบ
“ฉันไม่คิดมากหรอกค่ะ แค่คิดว่าตัวเองเป็นคนจรก็พอ”
เขาหัวเราะส่ายหน้า แล้วนำหล่อนเข้าสู่ภายในครัวของบ้านไม้ริมทะเล
“ครูกล้า สวัสดีค่า” เด็กหญิงตัวน้อยวัยประถมวิ่งรี่เข้ามาย่อเข่าพนมมือไหว้ทำความเคารพ จากนั้นก็ส่งเสียงเรียกใครอีกคนด้วยความดีใจ “อาเผ่าๆ ครูกล้ามาหา”
ไม่กี่อึดใจถัดมา รสสุคนธ์ก็ได้พบหน้าเจ้าบ้านอีกคนที่ทำให้หล่อนกลืนน้ำลายรสขมลงคอ เพราะเขาคือชายคนที่ให้หล่อนมาพิสูจน์พฤติกรรมของคนงานก่อสร้าง
“พี่แพร้วบอกว่าคุณจะมาค้างที่นี่” เจ้าของคำถามมีใบหน้าไม่รับแขก
“ค่ะ... ต้องรบกวนด้วย” รสสุคนธ์รู้สึกมือเย็นจนบีบหูถุงกระดาษใส่กล่องขนมแน่น แต่แล้วก็ถูกครูหนุ่มดึงไปช่วยถือ ก่อนเอ่ยอธิบายให้เจ้าบ้านชายฟัง
“ผมแนะนำคุณรสสุคนธ์ให้มาพักที่นี่เองครับพี่เผ่า”
“ฉันเอาอาหารมาฝาก แทนคำขอบคุณและขอโทษล่วงหน้าหากพิสูจน์ได้ว่าคนงานฉันผิดจริง” รสสุคนธ์กล่าวต่อ
“อิ่มท้องน่ะไม่ใช่ปัญหาของพวกเราชาวเล แต่การได้หลับเต็มอิ่มสำคัญมากนักสำหรับคนที่ต้องแล่นเรือออกหาปลา” นายเผ่ามีวาจาคมกริบ ผิดกับอาการนอบน้อมตอนที่พูดกับครูต้นกล้า
“เชิญครูนั่งพักก่อนครับ บ้านช่องสกปรกไปหน่อย” เจ้าบ้านกล่าวเชื้อเชิญ ใช้ผ้าที่คว้าได้แถวนั้นปัดฝุ่นโซฟาไม้หลังใหญ่ แล้วสั่งเด็กหญิงตัวน้อยที่ส่งยิ้มมองหล่อนด้วยดวงตาใสซื่อ “นางหนูมุก ยืนยิ้มเผล่อยู่ทำไม รีบไปหาน้ำหาท่ามาให้ครูสิ”
นางหนูมุกก็วิ่งแจ้นไปหลังบ้าน แล้วกลับมาพร้อมกับน้ำเย็นในแก้วให้ครู... ‘แก้วเดียว’ ตรงตามคำสั่งเป๊ะ
รสสุคนธ์ไม่อยากคิดมากให้หนักใจ การถูกแบ่งแยกเกิดขึ้นได้แม้หล่อนจะไม่ได้มีศักดิ์ต่ำต้อยด้อยค่า แต่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยถูกเพิกเฉยละเลยอะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต จึงห้ามไม่ได้ที่จะร้อนในอกเหมือนมีไฟสุม
“อาเผ่า มีของน่ากินเต็มเลย ครูกล้าซื้อมาฝาก มีขนมเค้กด้วย” หนูมุกไม่รู้เรื่องราว บอกกับนายเผ่าด้วยใบหน้าเบ่งบานยินดี
“นางหนูมุกเอ๊ย เรียกครูกับคุณ...” แพร้วตะโกนจากในครัว หยุดปากในจังหวะที่จะเอ่ยชื่อหล่อน แต่คงนึกไม่ออก จึงข้ามเลยไป “มากินข้าวด้วยกันมา”
หนูมุกเป็นคนแรกที่ออกสตาร์ต ตามด้วยนายเผ่าที่เอ่ยปากเชื้อเชิญแขก ส่วนต้นกล้าเห็นว่าควรกลับเพราะหมดหน้าที่ตามจุดประสงค์ แต่รสสุคนธ์รีบดักทางไว้ไม่ยอมให้เขาทิ้งหล่อนให้เคว้งคว้างกลางวงอาหารกับคนที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งต้องขอบใจหนูมุกที่ช่วยคะยั้นคะยอคุณครูของเธอ รสสุคนธ์จึงได้หลุมหลบภัยกินอาหารเย็นเงียบๆ ข้างครูหนุ่ม
สมาชิกในวงอาหารทุกคนนั่งกันบนพื้น มีเสื่อปูกันไม่ให้ก้นสัมผัสกระดานไม้ ห้องอาหารคือระเบียงเปิดโล่งข้างครัว มีลมทะเลโชยเย็นสบาย มองเห็นแสงสีเขียวของเรือเดินทะเลจากสุดปลายขอบฟ้า
บทสนทนาในวงส่วนมากเป็นเรื่องของงานประเพณี เรื่องราคาปลาที่จำเป็นต้องปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน ปัญหาปลาแช่แข็งจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาแข่งขันในตลาด ขาดการอุดหนุนจากภาครัฐ ไปจนถึงการงดออกเรือแต่หันมาเลี้ยงเพาะเลี้ยงในกระชังแทน
“เนื้อปลาที่เลี้ยงในกระชังมันไม่อร่อย กินแล้วไม่ได้รสชาติ นางหนูมุกยังรู้สึกได้” แพร้วออกความเห็นพลางตักกับข้าวใส่ในจานของต้นกล้า
“เนื้อมันแหยะๆ ” หนูมุกรีบเติมแต่ง อยากมีส่วนร่วมสำคัญกับเขาบ้าง แต่ในมือยังถือน่องไก่อบซอสที่ค่อยๆ แทะเล็มอย่างเอร็ดอร่อย
ส่วนรสสุคนธ์ก็พลอยก้มมองชิ้นปลาย่างที่ทางโรงแรมห้อยท้ายใต้ชื่ออาหารว่าเป็นปลานำเข้าจากทะเลสแกนดิเนเวีย หวังว่ามันจะไม่มีรสแหยะอย่างที่หนูมุกกล่าว ที่แน่ๆ ปลาจากโรงแรมแพ้ไข่เจียวฝีมือของหล่อนหลุดลุ่ย เพราะเป็นอาหารจานแรกที่ทุกคนออกปากชมว่ารสชาติดีและกินจนหมดภายในไม่กี่นาที
“ฝีมือคุณรสสุคนธ์ครับ” นายต้นกล้าให้เครดิตหล่อน
“ไข่ไก่ของโรงเรียนปลูกปัญญาค่ะ” ซึ่งหล่อนก็ควรให้เครดิตเจ้าของวัตถุดิบ
“มิน่าเล่า ไข่ไก่ของโรงเรียนปลูกปัญญานี่เอง ไข่เจียวมันถึงรสชาติดีขนาดนี้” นายเผ่าฟาดฝ่ามือตบเข่าฉาด
นั่นประไรล่ะ... ไม่มีใครอยากพูดชื่นชมฝีมือการปรุงสักนิดเลยหรือไงกัน รสสุคนธ์ตัดพ้อในใจ แล้วยื่นมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มดับอาการกระหายที่เกิดขึ้นฉับพลัน แต่ไปสบกับดวงตาใสแป๋วของเด็กหญิงมุกพอดี
“คุณจะมาไล่โรงเรียนหนูให้ย้ายไปที่อื่นจริงหรือคะ”
น้ำเย็นไม่ได้ไหลลื่นลงคอแต่มันเอ่อล้นอยู่ในกระพุ้งแก้ม แล้วก็ไม่มีอาการสำลักอย่างในละครทีวี เพียงแต่หล่อนกลืนไม่ลง จากบรรยากาศคุยสนุกก็เริ่มมีความอึมทึมเข้าแทนที่ แถมยังมีดวงตาขุ่นของนายเผ่าที่จ้องหล่อนราวกับอยากกินหล่อนแทนข้าวในจาน จนต้องขยับหาที่หลบภัยด้านหลังครูหนุ่ม
“โรงเรียนของเราจะไม่ย้ายไปไหนหรอกหนูมุก มันอยู่ตรงไหนก็จะอยู่ตรงนั้นตลอดไป”
การกอบกู้สถาณการณ์ของเขาไม่ค่อยตรงใจหล่อนนัก แต่มันก็ช่วยบรรเทาความระอุในดวงตานายเผ่าลงได้บ้าง เพราะคืนนี้หล่อนต้องนอนค้างอ้างแรมในบ้านหลังนี้ทั้งคืน
“จะว่าไป ฉันก็เป็นรุ่นพี่ของครูกล้า ฉันนี่ศิษย์ครูเพ็ญรุ่นแรกๆ เรียนกับครูเพ็ญตั้งแต่โรงเรียนยังมีแค่เสากับหลังคา ยังไม่มีฝาผนังเลยนะตอนนั้น” นายเผ่าวางจานข้าวลง กล่าวโดยไม่มองหน้าหล่อน แต่หันไปทางครูหนุ่มที่แทบไม่แตะสำรับกับข้าวเลย
“โรงเรียนใหม่ของหนูมีฝาผนังนะ แล้วก็กว้างมากเลย มีกรงไก่ใหญ่ๆ แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง มีต้นกุหลาบเป็นร้อยเลยด้วย” หนูมุกอวดโรงเรียนของตัวเองบ้าง
“เออ โรงเรียนนางหนูมุกใหญ่อย่างกับวัง มองจากไกลๆ ฉันนึกว่าบ้านเศรษฐี” นางแพร้วว่าพลางเคี้ยวข้าวหมุบๆ “แต่พอรู้ว่าเป็นโรงเรียนของครูเพ็ญละก็ ตกใจเชียวละ ไม่รู้ว่ามีใครใจบุญนักถึงได้บริจาคเงินสร้างโรงเรียนใหญ่เสียขนาดนั้น ถามครูกล้า ครูกล้าก็ไม่ยอมบอกสักที”
“ถ้าหนูมุกเจอคุณเขา หนูมุกจะไหว้ขอบคุณสวยๆ แบบนี้” หนูมุกบอกแล้วยกมือไหว้ปลกๆ
“ตั้งใจเรียนและเป็นเด็กดีก็ถือเป็นการขอบคุณเขาแล้วหนูมุก” ครูหนุ่มยิ้ม ลูบศีรษะน้อยอย่างเอ็นดู
“จริงหรือคะ” หนูมุกเอียงคอสงสัย
“ใช่จ้ะหนูมุก ไม่ต้องไปตามตัวเขาให้เหนื่อยหรอก เพราะส่วนมากคนที่เขาชอบทำดีไม่หวังผลน่ะนะ เขาขี้อายเหมือนนางอายเชียวล่ะ”
รสสุคนธ์เสริม พอเห็นดวงตาครูหนุ่มหรี่มองมาก็ทำเป็นลอยหน้าลอยตา แต่หากนางแพร้วไม่พูดออกมา หล่อนก็ไม่รู้ว่านายต้นกล้าไม่คิดบอกใครเรื่องเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินกับสิ่งปลูกสร้าง
“ว้าว เค้กช็อกโกแลต ของโปรดหนูเลย” เสียงใสของหนูมุกดังเรียกหล่อนออกจากความคิด มองใบหน้าอิ่มเอิบของเด็กหญิงที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับขนมเค้กที่หล่อนสั่งมาจากโรงแรม
“อร่อยจัง อร่อยกว่าเค้กที่ซื้อในตลาดอีก” หนูมุกยิ้มเผล่ด้วยปากจุ๋มจิ๋มที่มีคราบขนมหวานสีน้ำตาลติดเต็มไปหมด
“ถ้าหนูมุกชอบ” รสสุคนธ์ก็ได้ทีเอาใจลูกสาวเจ้าของบ้าน “หนูมุกไปเที่ยวหาฉันที่ไซต์ก่อสร้างได้ทุกวัน ฉันจะสั่งขนมเค้กให้หนูมุกทาน”
หนูมุกส่งยิ้มไร้เดียงสา แล้วจัดการขนมเค้กชิ้นต่อไปจนอิ่มหนำสำราญ ส่วนฝ่ายผู้ใหญ่ก็ทำหน้าเจื่อนๆ แต่ก็ไม่มีใครอยากขัดความสุขของเด็ก
จนได้เวลาวงอาหารเลิกรา นางแพร้วต้องทำบัญชีรายรับรายจ่าย ส่วนหนูมุกก็หาวหวอดแล้วอ้อนครูกล้าของเธอให้เล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง แต่นายเผ่ามีเรื่องอยากปรึกษาครูหนุ่ม รสสุคนธ์จึงรับอาสาเล่านิทานให้ฟังหลายเรื่องจนความอ่อนล้าพาหนูมุกเข้าสู่นิทรารมย์
ทว่าตัวหล่อนเองต้องทนนั่งหาวหวอดอยู่บนเสื่อที่เจ้าบ้านจัดหามาปูไว้ข้างหนูมุก ในขณะที่หล่อนรู้สึกท้องว่างและอดทนฝืนถ่างตาต่อสู้กับความเหนื่อยล้าและอาการง่วง หนูมุกกลับอิ่มท้องนอนหลับสนิทส่งเสียงกรนเบาๆ แถมยังกลิ้งตัวอวบอ้วนมาเบียดหล่อนประกาศศักดาความเป็นเจ้าของสถานที่ ส่วนนางแพร้วพอเสร็จงานบัญชีก็เข้ามานอนข้างบุตรสาว แล้วหลับแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอน
“เมื่อไรจะเช้าเสียที” หล่อนรำพึงเบาๆ ทั้งที่รู้ว่าอีกเกือบห้าชั่วโมงกว่าที่เข็มสั้นของนาฬิกาจะหมุนไปชี้เลขหก
รสสุคนธ์รู้สึกเหนื่อยหน่าย จึงลุกขึ้นจากเสื่อที่หนูมุกขยายอำนาจเต็มผืน แล้วย้ายตัวเองออกไปรับลมชมทะเลตรงระเบียงบ้านที่สร้างล้ำไปในผืนน้ำ ฟังเสียงของเกลียวคลื่นซัดเข้าใต้เสาไม้ จ้องมองเรือประมงหลายลำส่องแวววาวสีเขียวระยิบระยับกลางน่านน้ำ สถานที่เดียวกันกับที่หล่อนมองจากห้องพักในโรงแรม
“ผมขอนั่งด้วยคนได้ไหม” คนถามยืนใช้สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง
“ไม่ใช่บ้านของฉันนี่คะ จะห้ามก็ใช่ที่ แล้วทำไมคุณยังไม่กลับไปอีกล่ะคะ ป่านนี้จ้อยอาจจินตนาการไปไกลว่าคุณถูกฉันฆ่าหมกศพไปแล้วก็ได้”
เขาหัวเราะในลำคอ แล้วหย่อนกายลงนั่ง ชันศอกกับเข่าแล้วทอดตามองท้องทะเล “ผมโทรไปบอกครูเพ็ญแล้วว่าจะอยู่กับคุณต่อสักหน่อย”
“นายเผ่าคงอยากให้คุณเป็นพยานรู้เห็นอีกคนล่ะสิ” จมูกโด่งรั้นของหล่อนเชิดขึ้น
“นั่นก็เพื่อตัวคุณด้วย”
“เพื่อฉัน?”
“พี่เผ่าเขาไปแจ้งเรื่องที่โรงพักไว้ก่อน ถ้ามีปัญหาอะไร ทางตำรวจจะส่งเจ้าหน้าที่มาทันที ที่ต้องทำแบบนั้นเพราะเขาคิดว่าคนงานของคุณอาจเมาแล้วอาละวาดใส่ ถึงคุณจะเป็นนายเขาก็เถอะ แต่คนเมาไม่มีสติยั้งคิด”
“แปลกนะคะ ดูเขาอยากตะเพิดฉันออกจากบ้านจะแย่” หล่อนยิ้มขัน
“ก็เพราะพี่แพร้วกับพี่เผ่าเคารพครูเพ็ญมากทั้งคู่ครับ พวกเขาเป็นพี่น้องกัน สามีพี่แพร้วเสียไปเพราะกระโดดทะเลลงไปช่วยลูกเรือที่ตกทะเล แต่ก็เอาตัวเองไม่รอด ตอนนั้นหนูมุกยังไม่รู้ความ พี่แพร้วต้องทำงานแทนสามี เลยเอาหนูมุกมาฝากให้ครูเพ็ญดูแลอบรมตั้งแต่แบเบาะ พวกเขาซาบซึ้งในน้ำใจครูเพ็ญ ก็เลยต่อต้านโครงการของคุณ ท่าทีของนายเผ่าก็เลยเป็นอย่างที่คุณเห็น” เขาจบประโยคแล้วหันมามองด้วยดวงตาสีน้ำผึ้งสะท้อนแสงของดวงไฟสวยงาม
“ถึงห้างสรรพสินค้าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว บ้านหลังนี้ก็ยังตั้งอยู่ที่เดิมของมัน แต่สิ่งที่หายไปคือโรงเรียนปลูกปัญญา ฉะนั้นคนที่ควรโกรธเป็นฟืนเป็นไฟคือทีเค มิลเลอร์ เจ้านายของคุณ ไม่ใช่นายเผ่า” แม้หล่อนจะรู้สึกดีที่พวกเขาก็ยังมีความห่วงใยให้คนนอก แต่ก็อดค่อนขอดครูหนุ่มไม่ได้ตามประสาคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม
“คุณคิดว่าทีเค มิลเลอร์ไม่โกรธเลยหรือ”
รสสุคนธ์ยักไหล่ “ไม่รู้สิ ฉันยังไม่เคยเจอหน้าเขาเลยสักครั้ง ก็เพราะคุณนั่นแหละกีดกัน พอฉันจะอ้าปากคุณก็เชิญฉันออกจากโรงเรียนภายในเวลาไม่เกินสิบวินาที”
“ขนาดนั้น?” เขายิ้มขัน
“จะลองดูไหมล่ะ ฉันจะได้เริ่มนับถอยหลังให้ดู”
ต้นกล้าคลี่ยิ้ม ไม่ยอมตอบรับคำท้า แต่ยกแขนชันศอกกับเข่ามองด้วยแววตาที่หล่อนตีความให้เริ่มต้นนับเลข
“สิบ”
“ถ้านายของผมยังดื้อ ไม่ยอมย้ายคุณจะทำยังไง” เขาเอ่ยคำถามขัดการนับ
“ลองดูกันว่าใครจะดื้อกว่าใคร ถึงฉันจะไม่เคยถูกคุณครูตีหน้าชั้นเรียน แต่พี่เลี้ยงมักบอกว่าฉันเป็นเด็กดื้อตาใส... เก้า” หล่อนตอบคำถามพร้อมกับนับถอยหลังเลขลำดับถัดไป
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้ม เอี้ยวหน้าไปหันมองท้องทะเลสงบยามค่ำคืน “พอจะมองออกอยู่บ้าง ขนาดบอกให้คุณทำแค่ไข่เจียว คุณยังไม่เชื่อ”
พอเขาพูดถึงไข่เจียว หล่อนก็เชิดอกเอ่ยประโยคประชดประชัน “นั่นสินะ ขนาดอาหารของโรงแรมห้าดาวยังอร่อยสู้ไข่ไก่ของครูต้นกล้าไม่ได้เลย... แปด”
“ที่เขาพูดกันไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะไข่ไก่ของโรงเรียนนะครับ เขาตั้งใจชื่นชมผลงานการเลี้ยงดูแม่ไก่ของหนูมุกต่างหาก ไข่ไก่ถึงได้อร่อย”
“เจ็ด... ไม่จริงหรอก ทั้งน้ำเสียงทั้งสีหน้ามองฉันแรงขนาดนั้น ถ้านายเผ่าฆ่าฉันได้ด้วยสายตา ฉันคงตายไปแล้วล่ะค่ะ”
ต้นกล้าไม่ตอบโต้ แต่ยังจ้องหน้าหล่อนแน่วนิ่ง ราวกับกำลังลองทำอย่างที่หล่อนเพิ่งพูดไป... ฆ่าหล่อนทางสายตา ไม่มีทางเสียหรอก ถึงเขาจะมีดวงตาสวยสะกดใจแค่ไหน ศัตรูก็คือศัตรู
“หก” รสสุคนธ์ก็ยังคงนับเลขถอยหลังของหล่อนต่อไป
“แล้วสมมุติว่า ทีเค มิลเลอร์ยืนยันว่าจะไม่ย้ายโรงเรียน คุณจะทำยังไง” คำถามที่ไม่มีน้ำเสียงคาดคั้น คล้ายกับเป็นเพียงการรำพึงเบาๆ ผ่านสายลม
“ฉันก็รุกต่อด้วยแผนที่เตรียมเอาไว้...ห้า”
“แผนล่อหนูมุกด้วยขนมเค้กน่ะหรือ”
“นั่นก็อาจเป็นส่วนหนึ่ง...สี่” หล่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
ต้นกล้าส่ายหน้ายิ้ม “คุณเคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ บ้างหรือเปล่า”
คำถามของเขาทำให้หล่อนลอบถอนหายใจ “ยอมแพ้ง่ายๆ เลยไม่มี มีแต่พยายามสุดกำลังแล้วไม่สำเร็จ ก็ต้องเลิกรา...สาม”
“บอกผมได้ไหมว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณยอมแพ้”
รสสุคนธ์นิ่งงันใช้ความคิดตรึกตรอง ที่ยังไม่ตอบเพราะหล่อนรู้อยู่แก่ใจว่าคือเรื่องอะไร แต่เขาก็เพียรใช้ดวงตาจับจ้องเพื่อคาดคั้นเอาคำตอบ หล่อนจึงถอนหายใจยาวหนึ่งทีแล้วสารภาพเสียงเบาปานลมกระซิบว่า
“ปลูกกุหลาบ...สอง”
“อะไรนะ”
“ปลูกกุหลาบ... หนึ่ง”
“ปลูก...อะไรนะครับ”
เขายกมือป้องหู ดูน่าโมโหจนหล่อนไม่มีอารมณ์นับเลขต่ออีก “ปลูกกุหลาบ หูไม่ดีหรือไงคะคุณครูต้นกล้า!”
เท่านั้นแหละ เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังจนตัวเองต้องรีบเอามือปิดปาก เพราะกลัวจะทำให้นางแพร้วและหนูมุกตื่น
“ไม่เห็นมีอะไรน่าขำ” รสสุคนธ์ฉุนจัด
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่หัวเราะ แต่มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ ”
“ไม่ได้มีฉันคนเดียวในโลกสักหน่อยที่ปลูกกุหลาบไม่เป็น”
“คงไม่ใช่เรื่องที่คุณคับแค้นต้นกุหลาบ จนอยากถอนรากถอนโคนดอกกุหลาบของผมจนหมดสวนใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้ปัญญาอ่อนขนาดนั้นนะ” แต่ยังมีเสียงขำเล็ดลอดออกมาอีก หล่อนจึงถลึงตาใส่ ถึงครูหนุ่มจะพยายามเกร็งหน้าแล้วก็ตาม
“ถ้าผมสอนคุณปลูกกุหลาบ คุณจะเปลี่ยนใจเรื่องไล่ที่โรงเรียนหรือเปล่า”
“คุณคิดว่าฉันจะปลูกได้หรือ” รสสุคนธ์แค่นหัวเราะ แต่ที่ถามไปก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจริง
“ผมทำได้ ขอเพียงคุณอดทน คุณจะรับข้อเสนอของผมไหมล่ะ บางทีนายผมอาจใจอ่อนให้กับความดื้อ อ้อ ไม่ใช่สิ ความอดทนของคุณ”
“ฉันไม่มีความอดทนขนาดนั้นหรอก” รสสุคนธ์พูดเชิงปฏิเสธ และรู้สึกขื่นใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงหมายกำหนดการที่จ่อคออยู่ “เสาเข็มของห้างสรรพสินค้าจะต้องปักในที่ดินโรงเรียนสิ้นปีนี้”
“ไม่เกินสิ้นปี... กุหลาบดอกแรกของคุณจะเบ่งบาน”
ทำไมเขาถึงมั่นใจนักนะ นี่เขารู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังเล่นกับอะไร ต่อให้ขึ้นชื่อว่าเป็นกุหลาบพันปีก็เถอะ ได้เจอเธอไม่กี่วันก็เฉาตายมาแล้ว!
“คุณกำลังเอากุหลาบหนึ่งต้นแลกกับการยุบโครงการหมื่นล้านอยู่นะคะ”
“ที่ผมอยากแลกมีค่ามากกว่าเงินหมื่นล้าน...” ดวงตาสีน้ำผึ้งป่าส่องประกาย “ผมจะเอากุหลาบแค่หนึ่งต้นแลกกับหัวใจของคุณ แลกกับหัวใจของคนที่ผมรู้ว่าไม่ได้เย็นชาขนาดอยากเห็นโรงเรียนของหนูมุกพังทลายในพริบตา”
“แล้ว... แล้วถ้าดอกกุหลาบไม่บานตามเวลาที่คุณบอก...”
“ผมก็จะเข้าไปบอกกับทีเค มิลเลอร์ว่าข้อเสนอของคุณน่าสนใจมากแค่ไหน จากนั้นผมก็จะเก็บกระเป๋า พานักเรียนและกุหลาบทั้งหมดออกจากโรงเรียนไปให้พ้นตาคุณ”
มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะหล่อนมาที่นี่ก็เพื่อขับไล่พวกเขาออกจากที่ดินผืนนั้นไม่ใช่หรือ แต่คล้ายกับดวงตาคู่นั้นส่งพลังลึกลับมากดทับหน้าอกให้รู้สึกหนักอึ้ง จนไม่อาจเอ่ยวาจาประกาศออกไปชัดเจนว่าสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมดก็คือผลลัพธ์จากชัยชนะของหล่อน
เพล้ง!
ฉับพลันในวินาทีนั้น มีเสียงแตกร้าวดังมาจากด้านหน้าของบ้านติดทะเล
เพล้ง!
เกิดเสียงเดียวกันดังเป็นครั้งที่สอง หนนี้ต้นกล้าและรสสุคนธ์ลุกขึ้นพร้อมกันแล้วก้าวขาตามนางแพร้วที่ตื่นก่อนอยู่แล้วเดินไปแง้มบานเฟี้ยมไม้ลอบสอดสายตาออกไป
เพล้ง!
หนสามนี้ตำตาทั้งภาพและเสียงด้วยหลักฐานขวดเบียร์ที่ถูกโยนข้ามเขตแดนกำแพงซึ่งกั้นระหว่างรั้วชุมชนชาวเลกับบ้านพักคนงานก่อสร้างตกลงพื้นแตกกระจาย
รสสุคนธ์หน้าซีดเผือด สบตากับต้นกล้าและนางแพร้วด้วยแววตาลุแก่โทษ “ฉันจะไปเตือนพวกเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
“อย่าเลยคุณ” มืออวบของนางแพร้วจับเข้าที่ข้อแขนบาง “เมาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ ปล่อยไว้อย่างนี้แหละ เช้าแล้วคุณค่อยไปเตือนก็ได้”
“ผมก็เห็นด้วยกับพี่แพร้ว คุณรออยู่ที่นี่ ผมจะไปตามตำรวจ” ต้นกล้ายืนยันความคิดของนางแพร้ว แล้วผละตัวออกไป
“แต่ฉันถ้าไม่ไปตอนนี้ พวกเขาอาจบ่ายเบี่ยงในตอนที่ฉันเตือนพวกเขาภายหลัง” เพราะรสสุคนธ์เชื่อแบบนั้น หล่อนแตะหลังมือสาวใหญ่เบาๆ บอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ไม่มีใครในไซต์งานไม่รู้จักฉัน หากฉันไปเตือนแล้วยังไม่ฟังก็ให้รู้กันไป”
ก็ไม่รู้ว่าไปได้ความกล้ามาจากไหน รู้แต่ว่าถ้าไม่จัดการอะไรกับคนของตัวเองเลย ความเสียหายต่อโครงการจะมีมากกว่าแน่นอน และหล่อนจะไม่ยอมให้ความสำเร็จที่นอนรออยู่ปลายทางตื่นกลัวจนกระโจนหนีหายไป
เสียงร้องรำทำเพลงใกล้เข้าในทุกก้าวที่หล่อนเดินเข้าใกล้ ในขณะที่เดินไปตามเส้นทางคับแคบทางฝั่งชุมชนชาวเลจนเลยเขตแบ่งที่เป็นกำแพงสังกะสีขาดแหว่ง รสสุคนธ์ลอบมองผ่านช่องโหว่ เห็นวงสุราล้อมรอบด้วยชายฉกรรจ์ห้าหกคน ส่วนอีกวงข้างกันนั้นถึงจะเอะอะมะเทิ่งไม่แพ้กัน แต่ที่ทำให้หญิงสาวเจ้าของโครงการโกรธจนต้องมุดเข้าไปพร้อมกับเปล่งเสียงดังคือพวกเขากำลังกระทำผิดกฎหมายในเขตไซต์งานของคุณากรพร็อพเพอตี้
“ถือดียังไงถึงได้ตั้งวงเล่นการพนันในไซต์ก่อสร้าง!”
ยิ่งกว่าเห็นผีก็คงจะเป็นการเห็นหล่อนโผล่มาโดยไม่ได้ตั้งตัว กระป๋องนมข้นหวานที่ใช้เป็นอุปกรณ์เสี่ยงโชคร่วงผล็อยจากมือชายวัยกลางคน กระดานกระดาษที่วางอยู่กลางวงถูกเหยียบย่ำ เหล่าคนงานทั้งคนที่เล่นคนเชียร์ ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายต่างแตกกระเจิงวิ่งหนีหาย ทิ้งไว้แค่ลูกเต๋าสองลูกที่กลิ้งหลุนๆ มาหยุดที่ปลายรองเท้าของหล่อน
หากแต่เหล่าคนในวงเหล้านั้นกลับนั่งหัวเราะงอหาย ไม่ได้รู้ชะตาตนเลยว่ากำลังทำให้นายสาวโกรธจนมีไฟลุกในดวงตา
“ต่อไปนี้ฉันไม่อนุญาตให้เล่นการพนันหรือกินเหล้าในเขตที่พัก ถ้าใครขืนคำสั่งมารับเงินชดเชยแล้วออกไปได้!”
คำขู่ของหล่อนได้ผล พวกนิยมน้ำเมาเริ่มได้สติกลับมา แล้วรู้แจ้งแจ่มแก่สายตาว่าหญิงสาวร่างเล็กที่ยืนชี้หน้าว่ากล่าวคนนี้คือใคร บ้างก็ยกมือไหว้ปลกๆ แล้วเดินกลับเข้าที่พัก บ้างก็ยิ้มเจื่อนแต่ทำเนียนซ่อนขวดเหล้าไว้ใต้เสื้อ แต่ก็มีพวกที่ยังทำหน้ามึนตึง จ้องหล่อนด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ทำงานหนักมาทั้งวัน จะไม่ให้พวกเราได้พักผ่อนหย่อนใจกันบ้างเลยหรือไง” หนึ่งในกลุ่มที่ต่อต้านไม่พอใจพูดเสียงห้าว
“พักน่ะได้ แต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร แล้วฉันก็เห็นว่าพวกเธอกำลังทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ซึ่งมันทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเสียหาย” หล่อนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แล้วถ้าไม่ให้กินที่บ้านพัก จะให้ไปกินกันที่ไหน หรือคุณรสสุคนธ์จะเชิญเราไปกินที่ห้องพักของคุณ”
ทั้งเสียงและแววตาบอกให้รู้ว่าไม่พอใจ คล้ายกับต้องการข่มขู่หล่อนกลายๆ แต่รสสุคนธ์ทนเก็บอารมณ์เดือดดาลไว้ “ระวังคำพูดไว้บ้าง ที่เขาบอกว่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมาใช้ไม่ได้ผลในทางกฎหมาย ฉันสามารถแจ้งความกับตำรวจให้บันทึกคำพูดของเธอไว้ได้”
“ผมก็พูดเล่นไปอย่างนั้น คนรวยอย่างคุณคงไม่ถือสาปากขี้ข้ากรรมกรอย่างผม”
ถึงสีหน้าของคนงานจะเปลี่ยนไป แต่รอยยิ้มและคำพูดที่ปล่อยออกมาไม่ได้มีความสำนึกแต่อย่างใด การทำใจกล้าไม่เกรงกลัวต่อดวงตามาดร้ายคือสิ่งที่หล่อนรู้ว่าทำได้ยากยิ่ง แต่หากคุมคนเพียงเดียวไม่อยู่แล้ว ไฉนเลยจะคุมคนทั้งบริษัทได้
“จะทำงานที่นี่ก็ต้องเคารพกฎของที่นี่ และคนคุมกฎคือฉัน ถ้ามีชาวบ้านไปร้องเรียนฉันอีก ฉันจะจัดการขั้นเด็ดขาด คงไม่ต้องบอกนะว่าฉันจะทำอะไร” ยื่นคำขาดแล้วหมุนตัวเดิน แต่ครูหนุ่มก็ยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยนายเผ่าและนายตำรวจที่กำลังส่งสายสายตาคุมเชิง
“ฉันคิดว่าเราตกลงกันได้แล้วค่ะ คงไม่ต้องเดือดร้อนคุณตำรวจ”
“ผมไม่คิดแบบนั้น” แววตาของต้นกล้ามองเลยผ่านหลังของหล่อน “ผมว่าเราควรให้เจ้าหน้าที่ลงบันทึกเหตุการณ์ประจำวันไว้ก่อน”
“ยังไม่มีใครบาดเจ็บสักหน่อย เศษขวดเบียร์ที่คนของฉันปาออกไป ฉันจะให้คนงานไปตามกวาดให้เรียบร้อย” หล่อนอยากให้มันจบแค่การตักเตือนภายในบริษัท ไม่ได้อยากให้มีบันทึกประจำวันที่อิงถึงปัญหาระหว่างโครงการและประชาชน
“แต่ผมเห็นด้วยกับครูกล้าครับ ถ้าคุณผู้หญิงพอมีเวลา ผมขอเชิญไปโรงพักกับผมตอนนี้ได้ไหมครับ” นายตำรวจขอทำตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด เขาบอกกับหล่อนด้วยท่าทีขึงขัง “ลงบันทึกประจำวันเอาไว้ หากมีอะไรเกิดขึ้นจะมีประโยชน์ในการดำเนินคดีภายหลัง”
“ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรแล้วค่ะ” หล่อนขอผัดผ่อนออกไปก่อน
“ถ้าอย่างนั้น พี่เผ่าไปลงบันทึกประจำวันกับคุณตำรวจได้ไหมครับ”
ต้นกล้าหาทางออกให้หล่อนได้เร็ว รสสุคนธ์จึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แล้วขอตัวกลับบ้านนายเผ่า ปล่อยให้บุรุษทั้งสามคุยกันถึงเหตุการณ์ แต่เมื่อไปถึงก็เห็นนางแพร้วยืนอุ้มหนูมุกพาดบ่าอยู่หน้าบ้าน มือข้างหนึ่งตบที่ก้นหนูมุกเบาๆ เอนร่างท้วมไหวไปมาราวกับเปลกล่อมไกว
“ครูกล้าไปทันเจอคุณไหม” นางแพร้วก้าวขาเข้าไปแล้วก็เดินมาหา ถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
รสสุคนธ์พยักหน้าให้เป็นคำตอบ แล้วขึ้นบันไดไปเก็บกระเป๋าสัมภาระ เดินลงมาหยุดบอกกับเจ้าบ้าน “ฉันคงไม่ต้องนอนที่นี่แล้วค่ะ รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร ถ้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีก ขอให้ไปบอกฉัน ฉันจะจัดการทันที ขอบคุณมากสำหรับน้ำใจคืนนี้”
“ไม่รอให้ถึงเช้าก่อนหรือคุณ ไปตอนนี้มันอันตราย เพิ่งจะเกิดเรื่องด้วย”
รสสุคนธ์ส่งยิ้มที่พยายามปั้นให้ธรรมชาติที่สุด “ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ”
“ให้ครูกล้าไปส่งเถอะ คุณเป็นเจ้านายพวกมันก็จริง แต่ก็เป็นผู้หญิง อีกฝ่ายเป็นคนเมา ถ้ามันทำอะไรขึ้นมา ไม่คุ้มเสียหรอกคุณ นั่นไง ครูมาพอดี”
ไม่ต้องรอให้นางแพร้วบอก หล่อนก็รู้ว่าเสียงเดินที่ใกล้เข้ามาเป็นของใคร
“คุณเขาจะกลับเลย ไม่ค้างแล้ว” นางแพร้วเล่าให้เสร็จสรรพ
“คุณน่าจะรอให้ถึงเช้า” เขาพูดประโยคเดียวกับนางแพร้วเปี๊ยบ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมาค้างเพื่อต้องการพิสูจน์ว่าคนของฉันทำผิดจริง แล้วตอนนี้ก็รู้แล้ว ก็เลยไม่อยากรบกวน”
“ไม่รบกวนอะไรหรอก ฉันดีใจเสียอีกที่คุณมา คุณค้างที่นี่จนเช้าเถอะ รอดูพระอาทิตย์ขึ้น สวยอย่าบอกใครเลยนะ”
รสสุคนธ์ไม่แน่ใจว่าสาวใหญ่ผู้มีรอยยิ้มและดวงตาสดใสพูดจากความรู้สึกแท้จริงหรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้หล่อนสัมผัสถึงนิมิตหมายอันดี เพราะถ้าหล่อนทยอยผูกมิตรกับชุมชนใกล้เคียงได้มากเท่าไร ผู้สนับสนุนโครงการห้างสรรพสินค้าก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น แผนการรุกเชิงเข้ากระชับความสัมพันธ์จึงผุดขึ้นมาในหัว มันช่างตื่นเต้นเสียจนอยากร่างแผนงานออกมาให้เสร็จคืนนี้
“เอาไว้โอกาสหน้าเถอะค่ะ วันนี้ฉันขอบคุณคุณแพร้วมาก” รสสุคนธ์กล่าวปฏิเสธนุ่มนวล
“อย่ารอโอกาสมาถึงเลยครับ เพราะคุณอาจพลาดภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยกว่าการมองจากโรงแรมของคุณในเช้าวันพรุ่งนี้”
“ฉันคงไม่ได้ตื่นมาชมพระอาทิตย์หรอกค่ะ” หล่อนหาข้ออ้างหนี
“พวกคนระดับคุณเขาไม่ตื่นเช้ากันหรือครับ”
ทำไมเขาถึงช่างสรรหาคำพูดมาเกทับท้าทายหล่อนได้เก่งจริงเชียว!
รสสุคนธ์กำลังจะอ้าปากเถียงกลับ โชคดีที่หนูมุกขยับตัวดิ้น คงเพราะนอนไม่สบายตัว นางแพร้วจึงขอเอาลูกสาวไปกล่อมต่อบนบ้าน เป็นโอกาสให้หล่อนได้แสดงสีหน้าและความเป็นตัวตนชัดเจนกับครูหนุ่ม
“แล้วถ้ามันไม่ได้สวยกว่าที่ฉันมองจากโรงแรมล่ะ คุณจะรับผิดชอบเวลาที่ฉันเสียไปได้ยังไง” หล่อนเอ่ยคาดทัณฑ์ แต่ใบหน้ายิ้มๆ ของเขากระตุกอารมณ์ขุ่นหล่อนได้ดีพอๆ กับคำพูดเชิงเทศนาสั่งสอนที่เขาเริ่มพรรณนา
“คนอย่างพวกคุณมัวแต่เห็นเวลาเป็นเงินเป็นทอง เลยประหยัดได้แม้กระทั่งเวลานอนเพื่อเอามันไปต่อยอดเงิน แต่เวลาที่จะได้ซึมซับการมีชีวิต ซึมซับกับการรับรู้ และการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ รอบตัวกลับคิดว่าเป็นเรื่องไม่น่าใส่ใจ ทั้งที่พรุ่งนี้คุณอาจไม่มีชีวิตใช้เงินที่คุณหาได้”
“ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดวันเดียวฉันคงไม่ตาย พูดไปคุณก็ไม่เข้าใจ เพราะเราสองคนมีเป้าหมายต่างกัน”
รอยยิ้มของครูหนุ่มหดแคบลง แต่ดวงตาคมยังหลงเหลือความเมตตาในแบบครูมองศิษย์ ดวงตาแบบนี้ที่ทำให้หล่อนรู้สึกถึงความต่ำต้อยในตัวเอง เขาหันกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์พ่วง เสียบกุญแจแต่ยังไม่บิดสตาร์ต
“เราเชื่ออะไร ชีวิตเราก็จะเป็นแบบนั้น”
เขาเอ่ยคล้ายรำพึงกับตัวเอง แต่หล่อนตีความวลีนั้นเป็นการดูถูกว่าหล่อนคือมนุษย์ผู้มีชีวิตต่ำต้อย ส่วนเขาคือนักบุญที่มาโปรดสัตว์ รสสุคนธ์จึงรีบตรงเข้าไปหา สบตาชายหนุ่มด้วยดวงตาเดือดจัด พร้อมกับยืนกรานความตั้งใจเสียงชัดเจน
“และฉันก็เชื่อว่าสิ้นปีนี้ จะมีห้างสรรพสินค้าแสนยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านในอีกฝั่งของรั้วสังกะสีนี้!”
“ถ้าเชื่อขนาดนั้น รอจนเช้านั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นช้าๆ สักวันจะเป็นไรไป”
เขาคงกำลังทำตัวเป็นทะเลน้ำนิ่งยามราตรี หลอกล่อหล่อนด้วยใบหน้าสุขุมและดวงตานุ่ม แต่ใช้คำพูดท้าทายให้หล่อนกระโจนดำดิ่งลงไปในกระแสน้ำวน
“คุณทำอย่างกับคุณจะชนะ คุณทำอย่างกับว่าโรงเรียนปลูกปัญญาจะยังเสนอตัวอยู่ในวงห้อมล้อมของโครงการของฉัน แต่คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นนายทีเค มิเลอร์ของคุณก็เถอะ ถ้าเขาขวางทาง ฉันก็จะสู้ให้ถึงที่สุด”
“คุณรสสุคนธ์” เขาถอนหายใจ “ทีเค มิลเลอร์ไม่เคยอยากสู้กับคุณ แต่เขาสู้กับค่านิยม สู้กับสังคมที่เน้นความเจริญทางวัตถุมากกว่าคุณค่าของปัญญา แล้วผมก็รู้ว่าคุณไม่ได้อยากทุบโรงเรียนทิ้งจริงๆ ”
“คุณจะมาอ่านใจฉันออกได้ยังไง” หล่อนกอดอด เชิดหน้าพูด แต่เสียงหัวเราะผ่อนคลายของเขาทำให้หล่อนรำคาญใจ หมดความมั่นใจไปหลายระดับ ก็เขาทำอย่างกับหล่อนเป็นเด็กเล็กยิ่งกว่าหนูมุก
“เวลาผมปลูกกุหลาบ ผมอ่านใจมันไม่ได้ แน่นอนว่ามันไม่พูดกับผมหรอกว่ามันต้องการปุ๋ยแบบไหน ต้องการน้ำเมื่อไร หรือต้องการให้ริดก้านริดใบ แต่ผมอ่านจากสิ่งที่เห็นด้วยตา เช่นถ้าใบหยิกงอ แสดงว่ามันต้องการให้ผมไล่แมลงหรือถ้าก้านเล็กไม่แข็งแรง แสดงว่ามันต้องการให้ผมใส่ปุ๋ย”
“ฉันยังไม่ได้ตกลงให้คุณสอนวิธีปลูกกุหลาบสักหน่อย ไม่ต้องมาบอกฉันหรอก ที่ฉันอยากรู้มาตลอดก็คือฉันจะพบทีเค มิลเลอร์ได้ยังไง”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้อยากไล่ที่โรงเรียนจริงหรอก ถึงคุณจะได้พบทีเค มิลเลอร์แล้ว เขาก็อ่านใจคุณได้เหมือนผม”
“ยังไงมิทราบ” หล่อนเหยียดปากพูด
“แววตาที่คุณมองหนูมุก ผมมองตาคุณอยู่ตลอด คุณเอ็นดูหนูมุกเหมือนกับที่คุณมีเมตตาให้จ๊ะจ๋า”
หล่อนร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า แม้ว่าคำเปรียบเปรยที่เขากล่าวมานั้นจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ดวงตาคมกล้าคู่นั้นสร้างความหวั่นไหวให้หล่อนแบบไม่น่าให้อภัย
“บอกผมสิว่าผมคิดไม่ผิด”
รสสุคนธ์เม้มปากแน่นไม่ตอบคำถาม หล่อนหันหลังขวับแล้วพูดโดยไม่เหลียวหน้ากลับไป “ฉันจะกลับเข้าไปรอจนถึงเช้า ถ้ามันสวยจริงอย่างที่คุณพูดละก็ ฉันจะยอมเรียนปลูกกุหลาบต้นแรกกับคุณ โดยมีข้อแม้ว่ามันต้องออกดอกให้ฉันเห็นทันเสาเข็มต้นที่จะเจาะลงบนพื้นที่ของคุณ”
“ขอบคุณสำหรับความอดทนแรกเริ่ม”
ครูหนุ่มส่งเสียงบอกแต่หล่อนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มุ่งตรงเข้าบ้านนายเผ่าด้วยความรู้สึกที่ไม่เป็นตัวเอง หล่อนเดินขึ้นบันไดจนมาถึงขั้นสุดท้าย แล้วเข้าห้องไปหย่อนตัวนั่งเบาๆ ข้างหนุมุก ทอดตามองออกไปนอกหน้าต่าง
เมื่อวานท้องฟ้ายังเต็มไปด้วยเมฆฝน แต่คืนนี้กลับดารดาษไปด้วยดวงดาวพร่างพราว สวยงามจนไม่คิดว่าเป็นฟ้าแผ่นเดียวกัน พานให้คำนึงถึงพระอาทิตย์ในรุ่งอรุณ มันจะสวยประทับใจอย่างที่เขามั่นใจใช่หรือเปล่า
แล้วในชั่วแวบของความคิดตอนนั้น แค่ชั่วแวบเท่านั้น... ที่หล่อนไม่อยากให้มีเสาเข้มต้นไหนปักลงบนแปลงกุหลาบเลยสักต้นเดียว